‘เกล็ดมณี’ โดย พงพี นิยายดีรางวัลการันตี Popular vote จากธัญล่าฝันซีซั่น 3

บทสัมภาษณ์

แนะนำตัว “สวัสดีครับ ‘พงพี’ นะครับ พงพีเป็นเด็กต่างจังหวัด ทำงานที่โรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งใกล้บ้าน แล้วพงพียังมีความฝัน ‘อยากเป็นนักเขียน’ มาตั้งแต่เด็ก เพราะน้าสาวชอบอ่านนิยายมากๆ พงพีก็เลยได้รับการปลูกฝังให้รักการอ่านมาตั้งแต่ตอนนั้น จนพอเริ่มโตขึ้นก็เลยเริ่มดำรงตำแหน่ง ‘นัก (อยาก) เขียน’ ซึ่งก็เขียนมาเรื่อยๆ แต่เขียนไม่จบสักเรื่อง แฮ่ๆ จนมีพี่ที่รู้จักส่งข่าวการประกวดนิยายโครงการธัญล่าฝันซีซั่น 3 มาให้ ก็เลยลองส่งดูครับ ผลปรากฏว่าเข้ารอบ 10 เรื่องสุดท้าย และได้รับรางวัล Popular vote จึงนับว่า ‘เกล็ดมณี’ เป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนจบ แล้วยังถือว่าได้รับผลตอบรับดีเกินคาดอีกด้วยครับ”


เริ่มต้นเขียนนิยายตั้งแต่เมื่อไหร่ มีอุปสรรคหรือปัญหาอย่างไรถึงหยุดเขียนไป? “ถ้าจะเริ่มนับจริงๆ ก็น่าจะเริ่มเขียนเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2555 ครับ ตอนนั้นเขียนเกี่ยวกับนิยายความรักปนสยองขวัญ แต่เป็นการเขียนแบบ ‘ตามใจฉัน’ คือ ผมเขียนตามอารมณ์ และบงการตัวละครคล้ายเชิดหุ่น มันเลยทำให้เมื่อดำเนินไปจนถึงกลางเรื่อง เราไปต่อยาก เพราะเราไม่เห็นภาพรวมการดำเนินเรื่องที่ชัดเจน ไม่มีเส้นเรื่องที่แน่นอน หรือจะพูดในแบบที่เข้าใจง่ายก็คือ ‘ออกทะเล’ ครับ เนื้อเรื่องไม่สัมพันธ์กัน มั่วซั่วไปหมด ซึ่งผมคิดว่าเป็นอุปสรรคที่นักเขียนหน้าใหม่ทุกคนน่าจะเคยเจอ บวกกับว่าการเรียนเริ่มเข้มข้นขึ้น จึงพักการเขียนเอาไว้ และหันมาสนใจการเรียนก่อน จึงทำให้ไม่ได้เขียนต่อนับตั้งแต่ตอนนั้น เพิ่งตัดสินใจกลับมาเขียนก็เมื่อตอนเรียนจบเมื่อตอนปี พ.ศ. 2559 เพราะเรียนจบแล้ว มีงานทำแล้ว ก็เลยอยากลงมือทำสิ่งที่เราฝันมาตั้งแต่เด็กอีกสักครั้ง โดยมีพี่ที่สนิท ซึ่งเป็นนัก (อยาก) เขียนเหมือนกัน คอยเป็นที่ปรึกษา และส่งข่าวโครงการต่างๆ เกี่ยวกับงานเขียนที่มีประกาศในอินเทอร์เน็ตมาให้ผมลองเข้าร่วม ส่วนมากก็ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร จนมาถึงโครงการธัญล่าฝันซีซั่น 3 นี่แหละครับ ที่เข้ามาถึงรอบลึกที่สุด เลยทำให้ผมรู้สึกว่าถ้าเราตั้งใจทำจริงๆ เราก็สามารถทำได้”


อยากให้เล่าเกี่ยวกับความฝันที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเขียนเรื่อง ‘เกล็ดมณี’ “พูดแล้วพงพีขนลุก ฮ่าๆ คือ เดิมทีในการส่งผลงานเข้าประกวดตอนแรก ผมจะส่งผลงานเรื่อง ‘นิลธาร’ ครับ แต่ก่อนจะหมดเขตส่งผลงานประมาณ 2 สัปดาห์ ผมดันฝันเห็นนกยักษ์สีดำโฉบลงมาเด็ดดอกบัวทองคำไปหนึ่งหอบ แล้วในดอกบัวดอกหนึ่งก็มีงูตัวหนึ่งเลื้อยออกมา จากนั้นผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนประมาณหกโมงเช้าของวันเสาร์ ผมก็เลยรู้สึกว่าหรือจริงๆ แล้วผมควรเปลี่ยนเรื่องที่จะส่ง หรือแค่บังเอิญฝันไปแบบนั้น แต่ก็ตัดสินใจลงมือร่างพลอตขึ้นมาใหม่ โดยอิงจากเรื่องที่ฝันเห็นเป็นแรงบันดาลใจ ในการร่างเส้นเรื่อง ซึ่งหัวข้อที่กำหนดในการประกวดเป็นหัวข้อเกี่ยวกับ ‘ความทรงจำ’ ผมจึงผนวกความคิด ความรู้สึกของผม ในความทรงจำที่ผ่านมาเกี่ยวกับความรัก ที่ ‘รู้ทั้งรู้ว่ารักกัน แต่ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้’ มาเป็นส่วนหนึ่งในนิยายเรื่องนี้ และเมื่อคิดถึงความรักที่ไม่อาจเคียงคู่กันได้ ก็ทำให้ผมนึกถึง ‘ครุฑกับนาค’ ขึ้นมา จึงได้ผูกข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกันจนได้เส้นเรื่องที่ชัดเจน และตั้งชื่อเรื่องว่า ‘นาคีนิรันดร์’ แต่เมื่อลงมือเขียนจริงกลับคิดชื่อนางเอกไม่ออก ผมเลยตั้งชื่อสมมุติไปแค่ว่า ‘นางเอก’ พอเรื่องราวดำเนินไปเกือบเสร็จตามจำนวนบทที่ทางโครงการต้องการ ผมก็ฝันอีกครั้ง โดยส่วนตัวผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมหมกมุ่นกับการเขียนจนเก็บไปฝัน หรือเป็นเพราะอะไร ผมจึงฝันเห็นผู้หญิงในชุดไทยสีงาขาว สวมเครื่องประดับทองคำ รูปร่างหน้าตาสะสวย แต่ตามผิวของผู้หญิงคนนั้นมีเกล็ดงูประปราย เกล็ดเหล่านั้นทอแสงวิบวับหลายสีเหมือนเอากากเพชรไปทาตัว ก่อนผมจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นในตอนเช้า มันเหมือนรู้สึกว่าในหัวมีชื่อหนึ่งแวบเข้ามา ก็คือ ‘เกล็ดมณี’ จากวันนั้นผมเลยเปลี่ยนชื่อเรื่องจาก ‘นาคีนิรันดร์’ เป็น ‘เกล็ดมณี’ และให้ชื่อนางเอกว่า ‘เกล็ดมณี’ มาตลอดครับ และจากนั้นก็ไม่ได้ฝันอะไรที่เกี่ยวกับเนื้อหาของนิยายอีกเลย”


ใช้ระยะเวลาในการเขียนเรื่องนี้นานแค่ไหน และระหว่างการเขียนมีติดขัดตรงไหน อย่างไรบ้าง? “ผมเริ่มต้นเขียนช่วงเดือนกันยายน มาจนถึงการส่งต้นฉบับวันสุดท้ายคือช่วงเดือนธันวาคม ก็ลากยาวมากว่า 4 เดือนเลยทีเดียวครับ ถ้าจะถามว่าในระหว่างที่เขียนติดขัดตรงไหน ก็คงเป็นส่วนของการบรรยายในฉากที่มีตัวละครจำนวนมาก หรือฉากการแสดงออกของตัวละครที่ต้องแสดงออกถึงอารมณ์ในช่วงเวลานั้น เช่น เศร้ามากที่สุด หรือมีความสุขมากที่สุด สำหรับผมแล้ว คือ พงพีมีความรู้สึกอยากให้คนอ่านอินไปกับตัวละครมากๆ จึงต้องพยายามดึงตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในแต่ละฉาก แต่ละบท เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ยอมรับว่ากว่าจะผ่านมาได้ พงพีน้ำตาไหลไปหลายครั้งเลยครับ ทั้งอิน ทั้งกดดันตัวเองด้วย จนท้ายที่สุดก็ต้องบอกตัวเองว่า “มันเป็นสิ่งที่เรารัก เราต้องมีความสุขกับมันสิ เราต้องสนุกที่จะเขียน สนุกที่จะมีบทบาทในนั้น สนุกที่จะต้องผจญภัยไปกับตัวละครแต่ละตัว เพราะฉะนั้น เขียนไปเลยตามอารมณ์แล้วค่อยมาเกลาทีหลัง” ผมจึงเขียนไปตามอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง รวมถึงภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหัวก่อน แล้วค่อยมาเกลาอีกครั้งหลังจากเขียนจบบทแล้ว จึงผ่านมาได้จนจบเล่มครับ”


ชอบอ่านนิยายแนวไหนมากที่สุด? “โดยปกติแล้วอ่านหลากหลายแนวมากเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นนิยายแฟนตาซี ซึ่งถือเป็นนิยายแนวแรกที่หยิบมาอ่านตอนสมัยยังเด็กๆ ตอนนั้นก็จะอ่าน ‘หัวขโมยแห่งบารามอส’ (Rabbit), ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์’ (J.K.rowling) และอีกเรื่องที่ชอบอ่านคือ ‘The Draker’s Story’ (กัลฐิดา) พอเริ่มโตขึ้นจึงค่อยหันมาจับนิยายรัก ซึ่งก็มีหลายเรื่องเลยที่ชอบอ่าน เช่น ‘ฟ้าจรดทราย’ (โสภาค สุวรรณ), ‘เสราดารัล’ (กิ่งฉัตร), ‘ดั่งดวงหฤทัย’ (ลักษณวดี), ‘คุณชายพุฒิพัฒน์’ (เก้าแต้ม) หรืออื่นๆ อีกหลายเรื่อง แต่แนวที่ชอบโดยส่วนมากก็จะชอบ นิยายรักไทยแฟนตาซีครับ อย่าง ‘บาดาล’ ‘เทวปักษี’ ‘เทพอวตาร’ (ลักษณวดี), ‘ทวิภพ’ (ทมยันตี) หรือ ‘จันทราอุษาคเนย์’ (วรรณวรรธน์) ซึ่งมักจะเลือกหยิบขึ้นมาอ่านเป็นตัวเลือกแรกเลย”


ระหว่างการอ่านกับการเขียน อย่างไหนถือเป็นการผ่อนคลายมากที่สุด เพราะอะไร? “ส่วนตัวผมรู้สึกว่า ‘การเขียน’ นะครับ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้พงพีได้ปลดปล่อยจินตนาการ หรือความรู้สึกหลายอย่างลงไปในบทบาทของตัวละครแต่ละตัว มันจึงเหมือนกับว่าเราได้เป็นคนอื่นที่เราอยากเป็น หรือได้ไปที่ที่เราอยากไป ผมเลยมองว่ามันรู้สึกผ่อนคลายกว่าอ่านหนังสือสักเล่ม ที่เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครและต้องลุ้นตลอดเวลา”


ถ้าวันนั้นไม่เชื่อความฝัน ยังเขียนเรื่องเดิมที่พลอตไว้ตอนแรก คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปไหม? “คำถามนี้ตอบยากมากเลยครับ ฮ่าๆ คือ จริงๆ แล้วถึงพลอตจะเปลี่ยนไป แต่ภาษา บทบรรยาย หรือความตั้งใจในการเขียนของผมก็ยังคงอัดแน่นอยู่เหมือนเดิม ผมเลยคิดว่า ‘อาจมีการเปลี่ยนแปลง’ ไม่ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลงก็ตาม แต่ยังไง ผมก็คงทุ่มสุดกำลังที่มีเพื่อเขียนนิยายเรื่องนั้นตามพลอตจนจบ และพาตัวละครในเรื่องนั้นๆ มาพบปะกับนักอ่านทุกท่าน เพื่อให้ได้ลุ้นหรือเอาใจช่วยไปด้วยกันแน่นอนครับ”


เสน่ห์ของการเขียนนิยายอยู่ตรงไหน และงานหลังจากนี้จะยังใช้ภาษาทางวรรณศิลป์เหมือนเดิมไหม? “ผมคิดว่าเสน่ห์ของการเขียน คือการใช้ภาษาครับ โดยส่วนมากผมชอบอ่านนิยายที่มีภาษาสละสลวย หรือวรรณคดีที่เป็นร้อยกรองมากๆ ก็เลยอาจทำให้ภาษาที่ใช้ในการเขียนมีคำจากร้อยกรอง หรือคำจากบทกลอนมาปะปนบ้าง แต่โดยส่วนตัวรู้สึกชอบการใช้คำดังกล่าว แต่ก็พยายามปรับเพื่อความสมดุลของเนื้อหา เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ และหากมีผลงานเล่มต่อไปก็ยังคงใช้ภาษาทางวรรณศิลป์เหมือนเดิมครับ”


คิดว่า ‘ความรักมั่นคง’ แบบที่ติดตามกันไปหลายภพหลายชาติมีจริงไหม หรือมีแค่ในนิยาย? “โดยส่วนตัวพงพีเชื่อว่า ‘ความรักมั่นคง’ มีอยู่จริงนะ เพียงแค่ไม่รู้ว่าจะมาในรูปแบบไหน และอยู่ที่โชคชะตาของแต่ละคนด้วย เพราะยังไงผมก็ยังเชื่อว่า ‘มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่ตัวคนเดียว’ ยังไงเราต่างก็ต้องมีใครสักคนที่เฝ้าคอย และจะหากันจนเจอเมื่อถึงเวลา เพียงแค่เวลานั้นอาจจะมาถึงเร็วหรือช้าเพียงเท่านั้น แต่อย่างน้อยในสักวันเราจะได้พบเจอแน่นอน”


ฝากผลงาน‘เกล็ดมณี’เป็นผลงานที่พงพีตั้งใจเขียนขึ้นมามากๆ เพราะเนื้อหานั้นอัดแน่นไปด้วย ‘ความทรงจำ’ ของพงพี ที่เรียงร้อยขึ้นมา ประสานเข้าไปในการดำเนินเรื่องของตัวละคร โดยหวังว่าผู้ที่หยิบผลงานเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน จะได้รับทั้งความสนุก ความรู้ หรือแม้แต่แง่คิดที่สอดแทรกเข้าไปด้วยนะครับ อย่างไรก็ฝาก ‘เกล็ดมณี’ ไว้ในอ้อมกอดของนักอ่านทุกท่านด้วย รับรองว่ามีครบทุกรสชาติแน่นอนครับ”


ติดตามความสนุกใน เกล็ดมณี ได้แล้ววันนี้ ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์สถาพรบุ๊คส์ www.satapornbooks.co.th