“ชญาน์พิมพ์” นักเขียนสาวมากฝีมือที่ฝากนิยายสุดฮิตไว้หลายเรื่อง อย่างเรื่องซีรีส์ “มาเฟีย” ที่ได้รับการนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์จนโด่งดัง สร้างความฟินให้คนทั้งในและต่างประเทศ วันนี้เราขอพาทุกคนไปพูดคุยกับเธอถึงซีรีส์ชุดนี้และหนังสือเล่มสุดท้ายในชุด “กาลครั้งนั้น…ในอ้อมกอดแห่งรัก” ที่จะบอกให้เรารู้ว่า "ความรู้สึกไม่ใช่สิ่งที่ควรนำมาล้อเล่น ความรักก็เช่นกัน"
> จุดเริ่มต้นของ 'มาเฟีย'
“ชุดมาเฟียนี้เริ่มต้นจากเรื่อง 'ข่าววุ่นลุ้นรัก' ค่ะ เริ่มจากตัวละครหนุ่มมาเฟีย ที่ชื่อ แดเนียล หว่อง หรือ หวังเสี้ยวเทียน ที่โผล่ออกมาในภาคสอง (ฉบับรวมเล่มจะรวมเป็นเล่มเดียวกันหมดแล้ว ไม่ได้แยกภาค) ซึ่งชญาน์พิมพ์รู้สึกชอบเขามาก อยากเขียนเรื่องของเขาต่อก็เลยยกมาเขียนเป็นเรื่อง 'กาลครั้งหนึ่ง...ในหัวใจ' จากนั้นก็เกิดอาการเดิมกับตัวละครตัวอื่น อย่าง เฉินหมิง ก็เลยเขียนเรื่องราวของเขาต่อมาในเล่ม 'ตราบดินสิ้นฟ้า...สัญญารักนิรันดร์' ค่ะ
“ส่วนเรื่อง 'เพียงเธอ (Mon amour, je t’aime)' เป็นเรื่องราวความรักของคนสนิทของ เฉินหมิง จวิ้นเจี๋ย กับ เพ่ยเพ่ย ลูกสาวของเฉินหมิงกับบัวบูชา ส่วนเรื่อง 'กาลครั้งนั้น...ในอ้อมกอดแห่งรัก' เป็นเรื่องของหย่งเต๋อลูกชายของแดเนียลกับฟ้าใสและไอศิกา ลูกสาวของศัตรูของแก๊งฮวงหลงค่ะ”
> ปิดฉากซีรีส์ 'มาเฟีย'
“ 'กาลครั้งนั้น...ในอ้อมกอดแห่งรัก' เริ่มต้นเรื่องราวหลังจากเหตุการณ์ในเรื่อง 'เพียงเธอ' ผ่านไปแล้ว 7 ปีเต็ม หย่งเต๋อกับเฉินกุ้ยที่รอดตายมาจากคืนวิปโยคที่บองลิเยอ ปารีสมา ได้เดินเข้าสู่โลกมืดเต็มตัว และกลายเป็นจอมวายร้ายเหมือนรุ่นพ่อของตัวเอง ตอนนั้นเองฟ้าใสถูกลอบวางระเบิดจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุกคนพุ่งเป้าไปยัง ภาม พิมพ์สุริยา อดีตเจ้าพ่อภาคกลางที่เคยตั้งตัวเป็นศัตรูกับฮวงหลงเสมอมา แต่ภามเองก็ถูกลอบยิงจนได้รับบาดเจ็บไม่ได้สติเช่นกัน หย่งเต๋อกับเฉินกุ้ยก็เลยปลอมตัวเป็นอินเตอร์โพลแฝงเข้าไปสืบว่าภามเป็นคนที่ลอบวางระเบิดหวังสังหารแม่ของตนจริงหรือไม่ เรื่องคงจะง่ายหากเขาไม่ได้พบกับไอศิกา ลูกสาวของศัตรูที่ทำให้เขาหวั่นไหวตั้งแต่แรกเห็น ส่วนเนื้อเรื่องจะเป็นแบบไหน ไปอ่านต่อกันได้ในเล่มนะคะ”
ถ้าไม่เคยอ่านหนังสือชุดนี้เลย จะอ่านได้มั้ย “แนะนำว่าควรอ่านเพียงเธอก่อนค่ะ ไม่อย่างนั้นอาจจะงงได้ ว่าตัวละครมีที่มาที่ไปจากไหน ถ้าอยากรู้เรื่องแบบโดยรวมก็ควรอ่านทั้งเซ็ตค่ะ (หัวเราะ)”
> นักอ่านรอคอยและคาดหวังในเล่มนี้
“จริงๆ เกร็งมากค่ะ กลัวความคาดหวังเหมือนกัน เล่มนี้ห่างจากเล่มที่แล้วนานมาก แต่ถ้านับเวลาจากเล่มแรกก็ถือว่าเป็นตัวละครที่ชญาน์พิมพ์อยู่กับพวกเขามาเกิน 10 ปีแล้ว ตอนเขียนนี่เครียดที่สุดค่ะ กลัวว่าจะไม่ได้ตามที่ทุกคนหวัง แต่พอเขียนจบแล้ว ก็ดีใจแล้วก็เหงาไปด้วยว่าเรื่องราวของพวกเขาจบลงเท่านี้แล้วจริงๆ เหรอเนี่ย ความเครียดก็หายไปด้วยนะคะ เหลือแค่ขอให้คนอ่านเพลิดเพลินกับเนื้อหาก็พอใจแล้วค่ะ”
> เสน่ห์ของนิยายชุดนี้อยู่ที่ตัวละคร
“ถ้าถามว่านิยายแต่ละเล่มในชุดมีเสน่ห์แบบไหน คิดว่าทุกเล่มมีเสน่ห์อยู่ที่ 'ความขาด' และ 'ไม่สมบูรณ์พร้อม' ของตัวละครค่ะ
" 'กาลครั้งหนึ่ง...ในหัวใจ' มีเรื่องของความรัก ความอบอุ่น มิตรภาพ ของเพื่อนฝูงครอบครัว ฟ้าใสผู้มองโลกในแง่ดีช่วยเติมเต็มชีวิตของแดเนียลที่ดูเหมือนสมบูรณ์แบบ ทรงอำนาจได้ในแบบที่คนอื่นก็เติมเต็มไม่ได้ ตัวละครแต่ละตัวในเรื่อง มีชีวิตของตัวเอง ตอนที่เขียนนี่ยังเด็กมากนะคะ แล้วก็มีแต่ความคิดอะไรตลกๆ เต็มไปหมด แต่เป็นการเขียนแบบตะลุยดุ่ยๆ ไม่มีการวางแผนอะไรไว้มากมาย ใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากใส่ อยากลอง อยากเขียน เต็มไปด้วยพลังงานของตัวเองค่ะ อาจขาดๆ เกินๆ บ้าง แต่ก็มีความสุขที่ได้เขียนมากจริงๆ
“ตราบดินสิ้นฟ้า...สัญญารักนิรันดร์ เป็นนิยายที่วางโครงเรื่องจากประสบการณ์ในการไปใช้ชีวิตที่ฝรั่งเศส ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่รักมาก แล้วก็คิดว่าอยากจะลองเขียนถึงตัวละครที่ต่างกัน แต่เติมเต็มกันและกันได้อย่างเป็นธรรมชาติดูบ้าง ก็เลยลองสร้างบัวบูชาขึ้นมาจากบุคลิกของคุณยายตัวเอง คือคุณยายเป็นคนอ่อนหวาน อบอุ่น ทำกับข้าว ทำขนมเก่งมากและอร่อยมากด้วย มีความเป็นไทยสูงแบบที่ชญาน์พิมพ์ไม่มีจริงๆ ส่วนเฉินหมิงเป็นผู้ชายเกรียนที่มีความเป็นฝรั่งเศสสูง พอมาอยู่ด้วยกัน ก็เข้ากันได้อย่างน่าประหลาดค่ะ ตอนแรกก็กังวลนะคะว่าผลตอบรับจะเป็นยังไง พอได้รับผลตอบรับดีก็ชื่นใจค่ะ
" เพียงเธอ (Mon amour, je t’aime) เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คิดว่าอยากลองเขียนเรื่องของรักต่างวัยดูบ้าง และก็อยากเขียนเรื่องที่พระเอกทุ่มทุกอย่างที่มีให้นางเอกแม้แต่ชีวิตดูในแบบที่แตกต่างออกไปจากเฉินหมิง ก็เลยได้ออกมาเป็นเรื่องลูกแมวแสบกับจวิ้นเจี๋ยนี่ละค่ะ แต่เรื่องนี้มีความเป็นดราม่าสูงกว่าเรื่องอื่นๆ ทั้งหมดนะคะ คนอ่านก็บอกว่าสงสารตัวละครกันเลยค่ะ (หัวเราะ)
“กาลครั้งนั้น...ในอ้อมกอดแห่งรัก เรื่องนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเสน่ห์ของหย่งเต๋อจะมากพอกลบความร้ายกาจของเขาไหม แต่คิดว่า การที่ตัวละครโตขึ้น และมีความคิดความอ่านที่น่าทุบก่อนจะได้รับบทเรียนชีวิตราคาแพงก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนอ่านเพลิดเพลินได้ค่ะ”
> แล้วชอบเล่มไหนมากที่สุด
“รัก 'ตราบดินสิ้นฟ้า...สัญญารักนิรันดร์' ที่สุดค่ะ เพราะเขียนจากประสบการณ์ส่วนหนึ่งสมัยที่เรียนปริญญาโทที่ฝรั่งเศส อ่านทีไรก็คิดถึงชีวิตวัยรุ่นในช่วงนั้นมากค่ะ แล้วประสบการณ์ในการเขียนนิยายเรื่องนี้คือมีค่ามากจริงๆ
> แล้วตัวละครล่ะ
“ชอบเฉินหมิงค่ะ เพราะเขาเป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยบาดแผล ความเจ็บปวดทำให้เขากลายเป็นคนขวางโลก ไม่เคยมีใครทำให้เขาเปิดใจได้ทำให้เขาน่าสงสารอย่างที่สุด อย่างที่เคยบอกไว้ว่าคนเดียวที่รู้วิธีประคองเครื่องแก้วที่เต็มไปด้วยรอยร้าวอย่างเฉินหมิงคือบัวบูชาเท่านั้น เมื่อมีความรัก เฉินหมิงไม่ได้พยายามเปลี่ยนตัวเองเป็นคนอื่นแล้วก็ไม่ได้บังคับบัวบูชาให้เปลี่ยนเป็นคนอื่นเพื่อเขาเหมือนกัน พวกเขาเป็นตัวของตัวเอง และยอมรับกันและกันในแบบที่เป็นค่ะ”
> ให้เลือกฉากที่ประทับใจที่สุด
“ในชุดนี้มีฉากที่เขียนแล้วประทับใจเองอยู่ 2 ฉากนะคะ
ฉากแรกคือฉากที่เฉินหมิงมาเมืองไทยเพื่อมาร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวรีสอร์ตของแดเนียลแล้วพบว่าบัวบูชาเป็นคนเล่นจะเข้ในงานนั้น คือฉากนี้ได้มาจากสมัยเป็นนักข่าวค่ะ แล้วไปทำข่าวการแสดงโชว์เพชรมาคีที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่โรงแรมดุสิตธานี ตอนนั้นเจ้าของงานเนรมิตห้องจัดเลี้ยงเป็นป่าหิมพานต์ทั้งห้อง มีต้นไม้แขวนอยู่บนผนังและเพดานเต็มไปหมดจนเหมือนอยู่ในป่าจริงๆ เลยค่ะ ตื่นตาตื่นใจมาก ถ้าจำไม่ผิดคุณนุ่น วรนุช เป็นมโนราห์ ส่วนคุณอ้น สราวุฒิ เป็นพระสุธน นักแสดงทุกคนแต่งกายงดงามสุดๆ เหมือนหลุดออกมาจากภาพบนฝาผนังเลยค่ะ ยังประทับใจมากจนทุกวันนี้เลยหยิบบรรยากาศตอนนั้นมาเขียนในเรื่อง คิดว่าคงโรแมนติกดีถ้าเฉินหมิงได้พบนางในดวงใจอีกครั้งท่ามกลางบรรยากาศไทยๆ กึ่งโมเดิร์นแถมยังมานั่งเล่นจะเข้ เครื่องดนตรีไทยที่ชญาน์พิมพ์ชอบที่สุดด้วยค่ะ
“อีกฉากหนึ่งจากเรื่องเดียวกันก็คงจะเป็นฉากที่บัวบูชาอยู่ใน Chapel ของโรงพยาบาลตอนที่คุณยายนวลถูกทำร้ายสาหัส แล้วเฉินหมิงเห็นบัวบูชาสวมห่วงเหล็กที่เฉินหมิงตัดให้จากห่วงเปิดขวดน้ำแร่ เพื่อแกล้งแหย่เล่นบอกว่าเป็นแหวนหมั้น แต่บัวบูชากลับสวมติดมือไว้เหมือนของมีค่า เฉินหมิงก็เลยแสร้งทวงแหวนหมั้นของตนเองบ้าง บัวบูชาเลยประทับจุมพิตบนนิ้วนางซ้ายของเฉินหมิงแทนแหวนล่องหน เฉินหมิงบอกบัวบูชาว่า เขาจะไม่มีวันถอดแหวนวงนี้ไปตลอดชีวิต เหมือนเป็นคำสาบานรักกันต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าค่ะ เป็นฉากที่รักมากจริงๆ”
> จะได้เห็นเรื่องอื่นของชุดบนจอแก้วไหม
“จริงๆ ทางช่อง 7 ได้ซื้อลิขสิทธิ์เรื่อง ตราบดินสิ้นฟ้า...สัญญารักนิรันดร์ซึ่งเป็นภาคต่อในส่วนเรื่องของเฉินหมิงไปแล้วนะคะ ก็ต้องมารอดูกันว่าจะได้สร้างเมื่อไหร่ ตัวชญาน์พิมพ์เองก็รอลุ้นเหมือนกันค่ะ ประทับใจมากกับผลงานของคุณเติ้ล ตะวันและมงคลการละครที่ทำให้ตัวละครแต่ละตัวโลดแล่นมีชีวิตเหมือนหลุดออกมาจากหนังสือจริงๆ นักแสดงทุกคนก็สวมบทบาทได้อย่างน่าประทับใจจนทุกวันนี้ตัวเองก็เป็นแฟนคลับของทุกคนไปโดยปริยาย คาดว่าถ้าภาคต่อได้ทำก็คงน่าประทับใจไม่แพ้กันค่ะ”
> เสน่ห์ในงานเขียนของชญาน์พิมพ์
“ไม่กล้าคิดว่างานของตัวเองมีเสน่ห์ตรงไหนหรือแตกต่างจากคนอื่นอย่างไรเลยค่ะ เรื่องแบบนี้ต้องให้นักอ่านเป็นคนบอกคนเขียนมากกว่า แค่ทุกคนอ่านแล้วได้รับฟีดแบ็คว่าชอบหรือสนุกก็ดีใจมากแล้วค่ะ ส่วนคำวิจารณ์ต่างกๆ ก็จะน้อมรับไว้เพื่อพัฒนาในเรื่องต่อๆ ไปนะคะ ขอแค่คนอ่านให้โอกาสอ่านเรื่องอื่นๆ ต่อก็ขอบพระคุณมากแล้วค่ะ แปลว่ามนต์มูเตลูที่ร่ายไว้ได้ผล (หัวเราะ)”
> สำหรับงานเขียน เรื่องไหนสำคัญที่สุด
“สำหรับการเขียนหนังสือในแบบของตัวเอง สิ่งแรกที่จะให้ความสำคัญที่สุดคือ หนึ่ง การวางพล็อตค่ะ พล็อตต้องแน่นและละเอียดเพื่อที่จะได้ไม่ตันเวลาเขียนไปถึงจุดที่ยากแล้วหาทางลงไม่ได้ การมีพล็อตและเส้นเรื่องที่แข็งแรงก็ทำให้งานไม่เป๋ไปเป๋มาค่ะ
“สอง ข้อมูล เป็นคนให้ความสำคัญกับข้อมูลมากพอๆ กับการวางพล็อตนะคะ แต่พล็อตสำคัญกว่าตรงที่ถ้าข้อมูลเยอะ แต่วางพล็อตไม่ดี ข้อมูลที่ใส่ลงไปก็อาจเลอะเทอะได้ ต้องคัดเลือกข้อมูลที่พอเหมาะกับเนื้อหาของเรื่อง รวมไปถึงต้องไม่ยัดเยียดจนเกินไป และจะต้องเป็นข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบแล้วด้วยเพื่อให้ผิดพลาดน้อยที่สุดค่ะ
“สาม แก่นเรื่องและคติธรรมที่สอดแทรกอยู่ในเรื่อง คือยึดคำพูดของคุณทมยันตีเป็นครูเสมอนะคะ ท่านบอกว่านิยายต่อให้ประโลมโลกแค่ไหน ก็ต้องให้คนอ่าน อ่านแล้วได้อะไรติดหัวไปบ้าง อย่างน้อยถ้าเขียนเรื่องชิงรักหักสวาทรุนแรงแค่ไหนก็ต้องมีการสอดแทรกเรื่องของคุณงามความดีลงไปบ้าง เช่น คนทำดีต้องได้ดี ธรรมะชนะอธรรมเสมอ ไม่จำเป็นต้องโจ่งแจ้ง แค่ให้มีอยู่บ้าง หนังสือทุกเล่มก็ถือเป็น “สื่อ” อย่างหนึ่ง คนอ่านได้รับสารจากเราไป บางคนอาจเข้าใจ บางคนอาจไม่เข้าใจ ถ้าเราชี้นำในสิ่งที่ผิด เขาอาจไปผิดทางได้เช่นกัน ฉะนั้นในความบันเทิงก็ควรมีสาระสอดแทรกอยู่บ้างเนอะ”
> การพัฒนาตลอด 10 ปีบนเส้นทางน้ำหมึก
“คิดว่าการทำงานในตอนนี้ก็ยังต้องพัฒนาอีกมากโขค่ะ 10 ปี ที่ผ่านมามุมมองที่มีต่อโลกเปลี่ยนไปมาก อาจไม่สดใสหรือหวานแหววมากเหมือนตอนยังรุ่นๆ ทำให้ก่อนเขียนต้องคิดมากขึ้น ละเอียดรอบคอบมากขึ้น และรู้จักรับฟังมากขึ้น จากประสบการณ์การทำงานตลอด 10 ปีที่ผ่านมา คิดว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้ร่วมงานกับคนเก่งๆ บก. เก่งๆ หลายท่าน ที่ช่วยแนะนำและชี้จุดผิดถูกให้เห็นเสมอ บางครั้งเราคิดว่ารู้ดีแล้ว ก็กลายเป็นว่าเราไม่รู้อะไรเลยก็มี ทั้งการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง การสะกดตามแบบฉบับที่ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจเรา (หัวเราะ) ทั้งเรื่องของการออกไปเปิดโลกหาข้อมูล คิดว่างานของตัวเองตอนนี้ก็คงโตขึ้นจากเมื่อสิบปีก่อนมากเลยละค่ะ และหวังว่าจะได้มีโอกาสเติบโตมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ต้องขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามผลงานกันมาจนทุกวันนี้และมอบโอกาสให้ได้แก้ไขและพัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่ ตรงไหนผิดก็ชี้ ก็บอก เป็นทั้งผู้มีพระคุณและเป็นครูไปด้วยพร้อมๆ กัน ขอให้เราได้เติบโตไปด้วยกันแบบนี้ตลอดไปนะคะ”