‘ฮักกันบ่ได้ดอก’ ความรักของพระเอกลิเกกับแม่ยกนัมเบอร์วัน โดย littleskyofme

บทสัมภาษณ์

นักเขียนส่วนใหญ่มักเริ่มจากการเป็นคนชอบอ่านมาก่อน คุณเป็นแบบนั้นไหม หรือว่ามีจุดเริ่มต้นอย่างไร? “ใช่ค่ะ เริ่มแรกก็เคยเป็นนักอ่านมาก่อน ติดอ่านนิยายมาตั้งแต่เด็กๆ เลย เริ่มจากเขียนบทความบ้าง เรื่องสั้นบ้าง กลอนบ้าง พอโตขึ้นเลยทดลองเขียนเป็นเรื่องยาวจริงจังลงในเว็บ แล้วก็เขียนมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ค่ะ”


ถ้าเลือกได้แค่หนึ่งคน นักเขียนคนโปรดของคุณคือใคร? “พอมาเป็นนักเขียนก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสอ่านงานของนักเขียนท่านอื่นบ่อยนัก เมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นนักอ่าน ก็ไม่ค่อยมีนามปากกาที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว อ่านค่อนข้างหลากหลาย เลยอาจจะไม่ได้มีนักเขียนคนโปรดที่ชอบที่สุดค่ะ”


งานเขียนเรื่องแรกของคุณเกี่ยวกับอะไร และเสน่ห์ของการเขียนอยู่ตรงไหนที่ทำให้คุณเขียนมาจนถึงวันนี้? “งานเขียนเรื่องแรกเป็นแนวรักโรแมนติก ออกแนวหวานๆ น่ารัก ไม่ได้มีปมซับซ้อนมาก ตอนแรกที่เขียนแล้วอัปลงไปก็ไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาอ่านด้วยซ้ำ แต่กลับมีคนเข้ามาให้กำลังใจเยอะ สะสมมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่าตอนนี้พอจะมีฐานผู้ติดตามบ้างแล้ว ก็ดีใจมากๆ เลยค่ะที่หลายคนคอยซัปพอร์ตกันตลอดมา ส่วนตัวแล้ว สาเหตุที่ทำให้ทุกวันนี้ยังทำงานเขียนอยู่ก็เพราะชอบเขียน ชอบเล่าเรื่องราว จินตนาการ แล้วถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ คิดว่าเสน่ห์ของมันคือการที่เราสามารถทำให้คนอีกร้อยพันที่ไม่ได้รู้จักกัน ไม่ได้เห็นหน้ากัน เข้าใจจินตนาการ ภาพในหัวของเรา แม้ว่าจะมีรูปร่างแตกต่างกันไป แต่ยังไงก็ถือว่าได้สื่อสารความคิดของตัวเองออกไปได้สำเร็จ รู้สึกดีมากๆเวลาที่มีคนชื่นชมในความสามารถเล็กๆ ตรงนี้ค่ะ ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมาถึงจุดนี้ได้เหมือนกัน”


คุณเคยดูลิเกไหม เป็นความชอบส่วนตัวหรือว่ามีเหตุผลอะไรที่ทำให้เลือกอาชีพ ‘พระเอกลิเก’ ให้พระเอกของเรื่อง? “คุณยายชอบฟังเพลงเก่าๆ ชอบฟังหมอลำ ลิเกอะไรประมาณนั้น จริงๆ ส่วนตัวแล้วก็ซึมซับมาในระดับหนึ่ง เพราะสนิทกับคุณยายค่อนข้างมาก ได้ยินมาตั้งแต่เล็กจนโต ยายชอบฟังเพลงลูกกรุง ลูกทุ่ง ไปจนถึงลิเก แถมตอนเด็กๆ ก็เคยมีโอกาสไปดูลิเกอยู่บ่อยครั้ง ทำให้พอจะจำรายละเอียดต่างๆ ได้บ้าง คุณปู่เองก็เคยเป็นนักดนตรีวงปี่พาทย์ คลุกคลีกับวงการลิเกพอสมควร เลยได้รับแรงบันดาลใจมาจากจุดนั้น อีกทั้งนิยายที่ตัวละครเป็นลิเกเนี่ย ยังมีน้อยอยู่ ถ้าได้เขียนก็คงเป็นนิยายที่แปลกใหม่สำหรับคนอ่านไม่มากก็น้อย จึงตัดสินใจเขียนเรื่อง ‘ฮักกันบ่ได้ดอก’ ขึ้น โดยนำเสนอผ่านตัวละครหลักอย่าง ‘สมชาย’ ที่เป็นพระเอกของเรื่อง คิดว่าจะช่วยให้ผู้คนได้สัมผัสถึงเสน่ห์ตรงนี้มากขึ้นค่ะ”


คุณใช้ระยะเวลาในการเขียนเรื่องนี้นานแค่ไหน และระหว่างการเขียนมีติดขัดตรงไหนอย่างไรบ้าง? “ราวๆ สี่ถึงห้าเดือนได้ค่ะ ในช่วงที่เขียนก็จะมีติดขัดบ้างในส่วนของกฎหมายบางอย่างที่ใช้กับปมในเรื่อง จริงๆ แล้วช่วงที่อัปนิยายแรกๆ นักอ่านหลายคนได้เข้ามาให้ข้อมูลว่ามันมีกฎหมายตรงนี้ๆ ที่ตัวละครสามารถทำได้ ทำไม่ได้ หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้ไปพูดคุยกับนักกฎหมายโดยตรงเพื่อเอาข้อมูลที่ถูกต้องมาปรับใช้ในเรื่องเพื่อให้สมจริงมากยิ่งขึ้นค่ะ”


อยากให้อธิบายถึงที่มาของบุคลิกตัวละครในเรื่อง โดยเฉพาะ ‘สมชาย’ กับ ‘เกี้ยมอี๋’ ว่ามีที่มาอย่างไร และทำไมถึงจับสองคนนี้มาคลิกกันได้? “ตัวละครสองตัวนี้มีนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วมากๆ คนหนึ่งเป็นเทือกเขาน้ำแข็ง ส่วนอีกคนเป็นดวงอาทิตย์เจิดจ้าเลย แต่คิดว่าความแตกต่างตรงนี้จะเป็นจุดที่ทำให้คนอ่านสนใจได้มากกว่าตัวละครขั้วเดียวกัน แล้วก็ช่วยให้ดำเนินเรื่องได้ง่ายมากขึ้นด้วยค่ะ

คนอ่านก็รอติดตามว่าในอนาคตสองคนนี้จะมีพฤติกรรมอะไรที่เปลี่ยนไปไหม แต่ละคนก็จะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน นอกจากจะหันด้านดีเข้าหากันแล้ว ก็ต้องแสดงด้านเสียด้วยเพื่อที่จะได้เรียนรู้แล้วก็ให้ตัวละครเขาได้แก้ไขมันไปพร้อมๆ กัน ถือเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ อีกอย่างที่ได้เห็นพวกเขาเติบโตไปด้วยกัน มีพัฒนาการไปจนถึงตอนจบได้”


นอกจากความสนุกที่คุณต้องการส่งต่อให้ผู้อ่านแล้ว ตัวคุณเองได้อะไรจากการเขียนเรื่องนี้บ้าง? “ก็คงจะเป็นเรื่องของเสน่ห์แล้วก็วัฒนธรรมเกี่ยวกับอาชีพของตัวละครหลัก นั่นก็คือลิเกค่ะ แม้ว่าจริงๆ จะพอมีพื้นฐานมาบ้าง แต่พอได้มาเรียนรู้ ได้ลองมาค้นหา และเตรียมข้อมูลอย่างจริงๆ จังๆ แล้วเนี่ย เกร็ดเล็กน้อยบางอย่างก็เป็นเหมือนความรู้ใหม่ๆ ที่ทำให้เราได้เรียนรู้ไปด้วย ก่อนที่จะนำมาใช้ในเรื่องเพื่อให้คนอ่านได้รู้ไปพร้อมๆ กัน”


คุณประทับใจฉากไหนในเรื่อง ‘ฮักกันบ่ได้ดอก’ มากที่สุด? “โดยส่วนตัวประทับใจฉากที่สมชายแสดงลิเกบนเวทีแล้วมองหาเกี้ยมอี๋ แม่ยกเบอร์หนึ่งไม่เจอ เพราะวันนั้นเกี้ยมอี๋ไม่สบาย เลยไม่สามารถไปยืนด้านหน้าได้ตามปกติ ในใจสมชายตอนนี้ก็รู้สึกร้อนรนเป็นธรรมดา พอเขาไม่มา ก็เหมือนมันไม่ชินตาไปแล้ว

เป็นอีกตอนที่ทำให้เห็นถึงความรู้สึกในใจของสมชายบ้าง จากที่ปกติจะเป็นคนเย็นชาไม่เปิดเผยความรู้สึกส่วนตัวให้ใครเห็นง่ายๆ แล้วพอรู้ว่าจริงๆ แล้วเกี้ยมอี๋ก็มาดูแต่ว่าป่วยเลยมาช้า ความรู้สึกของสมชายก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แถมฉากนี้ยังเพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับการแสดงลิเก งานวัด และการไหว้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่จะเป็นเสน่ห์เด่นๆ ของเรื่องไว้อีกตอนหนึ่งด้วย เลยเป็นฉากที่ประทับใจมากที่สุดค่ะ”


โดยส่วนตัวแล้วคุณคิดอย่างไรกับนิสัยกล้าแสดงความรักออกมาอย่างตรงไปตรงมาของเกี้ยมอี๋? “เกี้ยมอี๋เป็นเด็กดี แม้จะเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ แต่ความตรงไปตรงมาและความซื่อสัตย์ต่ออารมณ์ ความรู้สึกของตัวเอง นับเป็นอีกหนึ่งความกล้าที่ส่วนตัวนักเขียนยังขาดหายไป เกี้ยมอี๋ก็อาจจะเป็นเหมือนตัวแทนจากส่วนลึกในใจที่อยากจะเติมเต็มให้ตัวเองด้วย

เขาเป็นคนที่สนุกสนาน ร่าเริง ยิ้มง่าย ใจดีกับคนรอบข้าง ในขณะเดียวกันก็พยายามอย่างมากที่จะมองโลกในแง่ดี ก้าวข้ามความกลัว ก้าวข้ามสิ่งไม่ดีที่คนอื่นๆ คอยพูด คอยนินทาตัวเอง ไม่ว่าจะได้ยินอะไรมา เกี้ยมอี๋ก็ยังคงสดใสและร่าเริง เป็นที่รักของทุกๆ คนในเรื่อง นิสัยกล้าแสดงความรักของเขา เป็นอีกหนึ่งความโดดเด่นในเรื่องนี้เลยค่ะ”


ฝากผลงานเรื่องนี้และเรื่องต่อ ๆ ไป “ตอนนี้มีนิยายที่เพิ่งจะออกมาใหม่ค่อนข้างเยอะ บางเรื่องก็จบไปแล้ว บางเรื่องก็ยังลงอยู่ ทั้งหมดจะลงในเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อให้ได้เข้าไปอ่านกันได้ง่ายและสะดวก หนึ่งในนั้นที่อยากจะฝากติดตามกันต่อไป นั่นก็คือภาคต่อของ ‘ฮักกันบ่ได้ดอก’ เรื่องราวของ ‘กิมเล้ง’ ลูกชายคนโตของเสี่ยเฮง และ ‘มาโนช’ พี่เลี้ยงหน้าซื่อตาใสคนสนิท ในบทรักบทใหม่ ‘เอาพี่ไหมมาโนช’ รับรองว่ามีทั้งตลก หวาน บทซึ้ง บทโศก ครบรสชาติไม่แพ้เรื่องนี้แน่นอนค่ะ! ฝากรอติดตามกันด้วยน้า”


ติดตามความสนุกใน ฮักกันบ่ได้ดอก ได้แล้ววันนี้ ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์สถาพรบุ๊คส์ www.satapornbooks.comร่วมรีวิวหนังสือ และพบปะพูดคุยกับเพื่อนๆ นักอ่าน ได้ที่ แฮชแท็ก #ฮักกันบ่ได้ดอก