เดินทางสุดปลายเท้า โสภณ ศุภมั่งมี

บทสัมภาษณ์

หากหยิบหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง มาภาพสถานที่สวยงามหลายแห่ง แล้วคิดว่าเป็นไกด์บุ๊กแนะนำแหล่งท่องเที่ยว อยากให้หยิบหนังสือชื่อ "คิดสุดปลายเท้า" ขึ้นมา แล้วคุณจะได้คำตอบใหม่ว่ามันสามารถเป็นได้มากกว่าการพาไปชมสถานที่สวยงาม หากแต่มันสามารถพาผู้อ่านก้าวข้ามจินตนาการ ความคิดบางอย่าง แล้วโลดแล่นไปกับมุมคิด ที่ผู้ชายคนนี้ "โสภณ ศุภมั่งมี" ได้กลั่นออกมา เขาไม่ได้พาคุณออกเดินทางไปท่องเที่ยว แต่กำลังพาคุณโลดแล่นท่องไปกับความคิด มุมมองใหม่ ๆ เปิดโลกทัศน์แม้เท้าจะไม่ขยับ

5 สถานที่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปาย เสม็ด ลาสเวกัส ปักกิ่ง และฮ่องกง ที่โสภณได้ไปสัมผัสระหว่างปี 2551-2555 ได้ถูกรื้อออกมาจากลิ้นชักความทรงจำอีกครั้ง รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ มิตรภาพ การเรียนรู้ ได้พรั่งพรูออกมาเพื่อเล่าสู่กันฟัง

"ที่เลือก 5 สถานที่นี้มาเล่าเพราะมันผุดขึ้นมาในหัวก่อนเพื่อน ที่จริงทุกที่มีเรื่องเล่า แล้วแต่ว่าจังหวะไหน เรื่องไหนจะวนกลับเข้ามาอีกครั้ง บางครั้งเราลืมมันไปแล้วจนเส้นทางของชีวิตได้เจอบางเรื่องราวที่เตือนใจให้นึกถึงสิ่งที่ผ่านมา ผมไปมาหลายที่ ต้องเรียกว่าผมหลงใหลการเดินทาง ตั้งแต่เป็นเด็กมีเครื่องหมายคำถามบนหัว เห็นอะไรก็อยากรู้อยากเห็นไปหมด ผมโชคดีมีพี่สาวเรียนอยู่ที่สหรัฐเมริกา (ณารา-นักเขียน) ตอนที่พี่เขารับปริญญาผมก็มีโอกาสได้ไปเที่ยวครั้งนั้นเหมือนโลกของเด็กชายคนหนึ่งได้ถูกเปิดขึ้น ผมได้ขึ้นเครื่องบินข้ามน้ำข้ามประเทศมีความฝันมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ผมกลับบ้านมาบอกแม่กับเตี่ยเลยว่า ผมจะไปเรียนเมืองฝรั่ง ทั้งๆ ที่ตอนนั้นอายุแค่ 13 ปี"

แล้วในที่สุดคำพูดของเด็กวัย 13 ก็เป็นจริง หลังเรียนจบระดับมัธยมปลาย โสภณไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยสอวิงตัน เมืองซีแอตเติล สหรัฐอเมริกา ทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ พอเรียนจบก็ทำงานกับบริษัท ไมโครซอฟท์ ต่ออีก 5 ปี แล้วชีวิตก็พลิกผันเมื่อคุณแม่ไม่สบายต้องกลับเมืองไทยมาสานต่อธุรกิจของครอบครัว

ดูทีท่าแล้วสิ่งที่โสภณถนัดที่สุดคงจะเป็นการเขียนโปรแกรมภาษา C, C++, C#, Java ฯลฯ มากกว่า ทว่าทุกครั้งที่เขาออกเดินทาง กล้องตัวเองคือเพื่อนคู่กาย จนในที่สุดเขาก็ได้มาเขียนหนังสือ

"ผมกับกล้องเหมือนคนรักการเดินทางมาเจอกันตอนที่เหงา ตอนนั้นผมไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ย้ายจากเมืองซีแอตเติล ไปเมืองแซนด์เลอร์แอริโซนา เพื่อฝึกงานบริษัทอินเทล ตอนนั้นเหงามากเพราะไม่มีเพื่อนเลย ตอนนั้นเลยตัดสินใจซื้อกล้องออกไปถ่ายรูปแก้เหงาเอาสนุก ไม่น่าเชื่อว่ามันจะกลายมาเป็นส่วนที่สำคัญในชีวิต ไปไหนขาดไม่ได้คือกล้องตัวเก่ง พอมาเขียนหนังสือ ยากมากครับคือถึงแม้ว่าจะมีพี่สาวเป็นนักเขียน แต่เรื่องกระบวนการในการเขียนผมไม่รู้เรื่องเลย แม้จะเขียนเรื่องเปื่อยลงเฟซบุ๊กลงบล็อกของตัวเองบ้าง เขียนประกอบรูปนิดๆ หน่อย ๆ คือถ้าเปรียบเทียบก็คงประมาณมวยวัดที่ต่อยอย่างเมามัน ออกหมัดมั่วจนเหนื่อย โดนบ้างไม่โดนบ้างจนเหนื่อย โดนบ้างไม่โดนบ้าง โชคดีที่หมัดไปโดนไปเฉี่ยวตาของ บก.ของสำนักพิมพ์Hide A Way ผมก็ต้องกลับมาฝึกใหม่ โชคดีที่บก.ยังให้คำแนะนำตลอดการฝึกซ้อม ค่อยๆ ปั้นออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้"

โสภณตอบหนักแน่นว่า ใครคิดจะเอาหนังสือเล่มนี้ไปเป็นไกด์บุ๊ก รับรองว่าหลงทางแน่นอน เพราะไม่มีเนื้อหาแบบที่หนังสือท่อง เที่ยวปกติควรจะมี ไปไหน ไปยังไง ไปทำอะไร กินอะไร ร้านไหน แผนที่ ฯลฯ แต่ "คิดสุดปลายเท่า" เป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในสถานที่ต่าง ๆ ผู้คน มิตรภาพ ความรัก ความเหงา โกรธบ้าง มุมมอง ความคิด แทบจะเรียกได้ว่า เป็นหนังสือที่เป็นเหมือนบุคคลหนึ่งที่มีเรื่องเล่าในสถานที่ต่างๆ บนโต๊ะอาหาร พอฟังจบแล้วคนที่ยังไม่เคยไปก็อาจจะอยากเก็บกระเป๋าเพื่อไปให้เห็นและได้รู้ ส่วนบางคนที่เคยไปมาแล้วก็คงจะได้เห็นอีกมุมมองหนึ่งที่บางทีอาจจะไม่เหมือนกัน เพราะแม้จะเป็นสถานที่เดียวกันก็มีหลายมุมให้มอง แล้วแต่ว่าคนนั้นเป็นใคร ส่วนที่แนะนำการท่องเที่ยวก็มีนิดหน่อยแต่ไม่ละเอียดเลย อย่างที่บอกครับเล่มนี้ไม่ได้เป็นไกด์บุ๊ก แต่เป็นไลฟ์บุ๊กซะมากกว่า"

ทุกครั้งที่ออกเดินทาง ความคิดได้เคลื่อนไหว

"เมื่ออกเดินทางทุกครั้งผมเชื่อว่าทุกคนจะได้บทเรียนอะไรสักอย่างระหว่างก้าวเดิน และสิ่งหนึ่งที่มันน่าตื่นเต้นทุกครั้งคือ เราไม่มีทางรู้ว่าเราจะได้อะไรกลับมาบ้าง ผมไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่สิ่งที่ผมทำทุกครั้งหลังจากปิดประตูบ้านและออกเดินก้าวแรกคือเปิดใจ เตรียมตัวรับสิ่งที่จะเข้ามา ทั้งดีและไม่ดี เรียนรู้ให้มากที่สุดในเวลาที่มีโอกาส

ผมคิดว่าสำคัญที่สุดเลยการเดินทางทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น ทำให้รู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ชีวิตสมัยนี้มันเป็นขั้นตอนเกินไป เข้าโรงเรียน จบมหา'ลัย ทำงาน แต่งงาน มีลูก แก่ แล้วก็ตาย บางคนชีวิตยุ่งจนลืมหาช่องว่างให้ตัวเองนั้นหายใจ ทำงานจนไม่ลืมหูลืมตา ทำจนลืมไปว่าตัวเราเองนั้นเป็นมนุษย์ มีความเหนื่อยล้า ความรัก ความเกลียด ความชอบ สำหรับผมแล้ว การออกเดินทางเหมือนได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ได้ใช้เวลากับคนที่ผมรัก ไม่มีเสียงภายนอกมารบกวน ได้สั่งสมประสบการณ์ใหม่ ๆ ในชีวิต ได้เรียนรู้ข้อผิดพลาด ได้รู้จักการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ได้ค้นพบความฝันที่บางทีก็หลงลืมไปตามกาลเวลาหรือเจอความฝันที่ไม่เคยคาดคิด ไอเดียที่ผุดขึ้นมาเมื่อเจออะไรแปลกตา และสุดท้ายได้ใช้เลาคุยกับตัวเองอย่างจริงจัง"

เมื่อผู้ชายคนนี้ออกเดินทาง ความคิดของเขานั้นจะไปสิ้นสุดยังที่ใด หรือว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด หากเขายังก้าวออกเดินอยู่ ลองมาเดินร่วมทางไปกับ 5 สถานที่ เขาจะพาไปพบอะไรที่บางครั้งเราอาจคาดไม่ถึง

ขอขอบคุณข่าวประชาสัมพันธ์จาก : โพสทูเดย์