จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงนักอ่าน ตอนนี้กลายมาเป็นนักเขียนแล้ว การอ่านนิยายยังให้ความรู้สึกเหมือนเดิมอยู่ไหม และการอ่านนิยายของคนอื่นกับการอ่านนิยายของตัวเอง ให้ความรู้สึกเหมือนหรือต่างกันอย่างไร? “ยอมรับว่าตั้งแต่เริ่มเขียนนิยายมาเอ็มก็อ่านนิยายน้อยลงมากครับ แต่พอเขียนมาสักพักแล้วกลับไปอ่านนิยายก็ยังให้ความรู้สึกคล้ายเดิม จนบางทีลืมไปเลยว่าเราก็เขียนนิยาย แต่กว่าจะได้นิยายมาอ่านสักเรื่อง เอ็มจะใช้เวลาเลือกค่อนข้างนาน ต้องถูกจริตจริงๆ ถึงอ่าน แน่นอนว่าตอนอ่านนิยายของนักเขียนท่านอื่นจะให้ความรู้สึกแตกต่างกับตอนอ่านนิยายของตัวเองครับ บางทีอาจเป็นเพราะสำนวนภาษาด้วยส่วนหนึ่ง” นักเขียนคนโปรดคือใคร? “เลือกไม่ถูก งั้นขอเลือก ‘ไรท์เอ็ม’ นะครับ ฮ่าๆๆๆ อาจเพราะอ่านงานเขียนแบบกระจายมั่วไปหมดเลย บางทีก็เป็นงานเขียนต่างประเทศ บางทีก็แปลไทย บางทีก็นิยายไทย เพราะฉะนั้นเลยยังไม่รู้ว่าชอบนักเขียนคนไหนเป็นพิเศษ” งานเขียนเรื่องแรกเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร และเสน่ห์ของการเขียนอยู่ตรงไหนที่ทำให้เขียนมาจนถึงวันนี้? “งานเขียนเรื่องแรกเริ่มเขียนเมื่อประมาณช่วงต้นฤดูร้อนปี 2017 ครับ เนื้อหาเกี่ยวกับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 สองคนที่ถูกจับมาเป็นรูมเมตกัน แล้วหลังจากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เปลี่ยนแปลงไป ขั้นตอนการทำงานของการเขียนเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ ในสไตล์ของ ‘ไรท์เอ็ม’ เป็นอย่างไร? “เอ็มเป็นคนที่ชอบคิดชื่อเรื่องก่อน บางคนอาจมีพลอตมาในหัว แต่เราจะคิดชื่อเรื่องก่อนครับ จากนั้นค่อยแตกออกเป็นย่อยๆ อย่างเช่น อยู่ดีๆ คำว่า ‘พิกุล’ ก็เข้ามาในหัว แล้วเกิดคำถามว่าพระเอกชื่ออะไรดี คิดได้ว่าชื่อ ‘โลม’ เลยตั้งชื่อเรื่องว่า ‘โลมพิกุล’ มันดูสวยงามดีครับ จากนั้นก็เริ่มวางพลอต ตัวละครสองตัวนี้เคยเป็นอะไรกันมาก่อนหรือเปล่า กลับมาเจอกันด้วยเหตุผลอะไร มีปมอะไรบ้าง แล้วเรื่องราวในอดีตล่ะ ประมาณนี้ครับผม” บุคลิกตัวละครอย่าง ‘โลม’ กับ ‘พิกุล’ มีที่มาอย่างไร? “อาจเพราะเอ็มชอบเขียนให้พระเอกดูเป็นคนร้ายๆ เลยเขียน ‘โลม’ ให้ออกมาแบบนั้นครับ ตอนแรกคิดว่าจะทำยังไงให้พระเอกของเราดูร้ายแต่ไม่มีเรื่องของมือที่สามเข้ามาเกี่ยว เลยเขียนให้เจ้าตัวปากร้าย หยิ่งยโส ตรงกันข้ามคือนายเอกของเรา ‘กุล’ หรือ ‘ครูพี่กุล’ เอ็มมองว่าพิกุลคือดอกไม้งาม มีกลิ่นหอม เลยสร้างบุคลิกของตัวละครนายเอกให้ออกมาอ่อนโยน สวยงาม แต่ขณะเดียวกันก็พยายามทำให้ตัวเองเข้มแข็ง จนสุดท้ายคนปากร้ายก็ยอมศิโรราบ” ระยะเวลาในการเขียนเรื่องนี้นานแค่ไหน และระหว่างการเขียนมีติดขัดตรงไหนอย่างไรบ้าง? “เอ็มเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมจนถึงต้นเดือนกันยายน ใช้เวลานานกว่าหลายเรื่องที่ผ่านมาเลยครับ อุปสรรคที่มีคือความกดดัน เพราะกลัวเขียนบทต่อๆ ไปออกมาไม่ดีเท่าบทก่อนหน้า มีเว้นช่วงนานเป็นเดือนเพราะติดเรียนด้วยครับ ปัญหาหลายๆ อย่างรวมกันจนทำให้เรื่องนี้เสร็จช้า แต่ในที่สุดก็เสร็จแล้วเรียบร้อย” ประทับใจฉากไหนในเรื่อง ‘โลมพิกุล’ มากที่สุด? “ฉากกลับมาพบกันอีกครั้งหลังห่างกันไปหนึ่งปี กุลกำลังนั่งดูรูปถ่ายเก่าๆ ริมทะเลแล้วโลมก็โผล่มา ตอนเขียนร้องไห้หนักมากครับ มีหลายฉากในเรื่องที่ชอบ แต่ชอบฉากนี้สุด” นอกจากความสนุกที่ต้องการส่งต่อให้ผู้อ่านแล้ว นักเขียนได้อะไรจากการเขียนเรื่องนี้บ้าง? “การตัดสินใจทำอะไรสักอย่างที่คิดว่าถูกต้องที่สุด อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ทำให้เรามีความสุขที่สุด เพราะฉะนั้นหากมีโอกาสได้ตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง เราควรเลือกทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามีความสุขที่สุดดีกว่า (แน่นอนว่าต้องไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนนะ!)” คิดอย่างไรกับคำว่า...‘คนที่เกิดมาคู่กัน ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องได้คู่กัน’ และจะบอกกับคนที่ไม่สมหวังในรักอย่างไร? “เอ็มเชื่อในเรื่องของโชคชะตา เพราะฉะนั้นประโยคดังกล่าวเลยมีโอกาสเกิดขึ้นกับคู่รักบนโลกนี้อย่างแน่นอน แต่เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะสมหวังกับความรักเสมอไป ความผิดหวังจึงกลายเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญในชีวิตของใครหลายคน แต่ไม่แน่ว่าคนที่เกิดมาคู่กันกับเราอาจจะเป็นตัวของเราเองก็ได้ครับ เพราะฉะนั้นถ้าหากเราตามหาใครคนนั้นไม่เจอสักที เราลองหยุดตามหาเขา แล้วเปลี่ยนมาตามหาตัวเราเองดีไหมครับ” ฝากผลงานเรื่องนี้และเรื่องต่อๆ ไป “สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน ‘โลมพิกุล’ หรือกำลังลังเลว่าจะอ่านดีไหม ไรท์เอ็มอยากให้ลองมาอ่านกันนะ เรื่องราวความรักของอดีตเพื่อนสนิทอย่าง ‘โลม’ กับ ‘กุล’ จะทำให้ทุกคนเสียน้ำตาอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่แค่น้ำตาแห่งความโศกเศร้านะครับ น้ำตาแห่งความสุขเช่นเดียวกัน ติดตามความสนุกใน โลมพิกุล ได้แล้ววันนี้ ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์สถาพรบุ๊คส์ www.satapornbooks.com ร่วมรีวิวหนังสือ และพบปะพูดคุยกับเพื่อนๆ นักอ่าน ได้ที่ แฮชแท็ก #โลมพิกุล |