21

ตอนพิเศษ อลวนอลเวง ครื้นเครง ว่าจะลงเอย


อลวนอลเวง ครื้นเครง (?) กว่าจะลงเอย

“ไม่ให้แต่ง”

ภามพูดเสียงดังฟังชัด สีหน้าของเขานิ่งสนิท ไม่มีแม้แต่ร่องรอยแห่งความไม่พอใจในแววตาทว่าไอศิการู้ดีว่าบิดากำลังขุ่นใจอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านเลื่อนสายตามายังมือใหญ่โตของชายหนุ่มที่กุมมือของเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ไม่ว่าเธอจะพยายามชักมือหนีอย่างไร เขาก็ยังดื้อดึงอยู่นั่นเอง

“ขอเหตุผล”

หย่งเต๋อเค้นเสียงลอดไรฟัน ใบหน้าที่พยายามปั้นยิ้มมาตั้งแต่ขับรถออกจากปารีสมาแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันตา

“ยังมีหน้ามาขอเหตุผลอีกเรอะ ทำอะไรไว้ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจไม่ใช่หรือไง”

ผู้สูงวัยกว่าระบายลมหายใจยาว เขาลุกจากโซฟาเดินตรงหายเข้าไปในครัว กระท่อมหลังน้อยที่ภามใช้สำหรับพักผ่อนหลังนี้ตั้งอยู่ไม่ห่างจากปราสาทเก่าแก่ซึ่งเขาซื้อต่อมาจากเจ้าของเดิมเพราะเจ้าตัวจ่ายค่าซ่อมบำรุงและภาษีมหาโหดไม่ไหว

“ก็รู้...ถึงได้พยายามหาทางไถ่โทษอยู่นี่ไงเล่าครับคุณพ่อตา”

หย่งเต๋อผุดลุกตามภามไปอย่างร้อนร้น เขาเหลือบมองไปบนชั้นวางของเหนือเตาผิงแล้วขบกรามแน่นเมื่อเห็นภาพของภัทรพลยืนกอดคอกับอดีตพ่อตา ไม่ได้การแล้วดูเหมือนไอ้พี่ภัทรของไอศิกายังคงพยายามจะกลับมาสานสัมพันธ์กับเธออยู่

แม่งเอ๊ย...หรือเขาควรจะส่งเฉินกุ้ยไปฆ่าปาดคอไอ้หมอนี่เสียวันนี้เพื่อตัดไฟแต่ต้นลมดีวะ?

“ไถ่โทษมามากเกินพอแล้วมั้ง” ภามตักลูกแพร์ตุ๋นไวน์แดงร้อนๆ จากหม้อบนเตาใส่ชามกระเบื้อง 2 ใบ กลิ่นไวน์ผสมกลิ่นหวานหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของอบเชยลอยอวลอยู่ในบรรยากาศให้ความรู้สึกอ่อนโยนเสียจนอากาศที่หนาวจัดกว่าทุกปีของแคว้นโพรวองซ์ดูอบอุ่นขึ้นมาหลายเท่า “ที่นี่ก็ซื้อมาจากเงินที่แกหอบมาซื้อบ้านกับที่ดินของฉันนั่นละ แต่ฉันไม่ขอบใจแกหรอกนะ หวังหย่งเต๋อ”

เขาพูดพลางส่งชามใส่ลูกแพร์ตุ๋นใบหนึ่งให้หย่งเต๋อพร้อมช้อนหนึ่งคัน

“กินตอนร้อนๆ นะ จะได้อุ่นท้อง ฉันทำเอง ไม่ต้องกลัวว่าจะใส่ยาพิษหรอก”

“คุณรู้?”

หย่งเต๋อรับชามกับช้อนมาถือเอาไว้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งประหลาดใจและ...อบอุ่น...ดูเหมือนสองปีที่ผ่านมานี้จะเปลี่ยนชีวิตของอดีตเจ้าพ่อไปไม่น้อย จากคนที่เคยมีคนพะเน้าพะนอเอาใจ คอยรองมือรองเท้า กลับกลายมาเป็นชายวัยกลางคนผู้มีความสุขกับการปลูกต้นไม้ต้นไร่ทำสวนผลไม้และปรุงอาหารกินเองไปเสียแล้ว ซึ่ง...ถือว่าเป็นการล้างมือในอ่างทองคำอย่างที่พ่อของเขาเคยปรารถนา แต่ไม่มีวันทำได้ดังใจ

“ก็พอเดาอะไรๆ ได้อยู่บ้าง ใจป้ำดีนะ ให้ราคาสูงกว่าตลาดเยอะเชียว ฉันก็เลยสบายอย่างที่เห็น แต่...อย่ามาเที่ยวโมเมว่าเป็นสินสอดเด็ดขาด” ภามกดเสียงลงต่ำพอให้ได้ยินกันสองคนจากนั้นจึงถือชามขนมหวานอีกใบไปส่งให้ไอศิกา “เดี๋ยวนี้พ่อทำอร่อยแล้วนะ สูตรใหม่ใส่เหล้ารัมด้วย รีบกินเถอะลูก นั่งรถมาตั้งสิบกว่าชั่วโมงคงหิวแย่”

ไอศิกาหลุบตามองลูกแพร์ลูกโตที่กลายเป็นสีแดงอมม่วงดูชุ่มฉ่ำแล้วอมยิ้ม เธอเห็นเม็ดวนิลาแท้สีดำเล็กๆ ลอยอยู่ในน้ำเชื่อมไวน์ พ่อคงเพิ่งใส่เพิ่มเข้าไปเมื่อครู่นี้นั่นละ ท่านไม่ชอบวนิลาเอาเสียเลย แต่รู้ว่าเป็นของโปรดของเธอจึงต้องมีฝักวนิลาติดบ้านไว้เสมอ หากเธอกลับมาเยือนเมื่อใดจะได้มีพร้อมสำหรับรับประทาน

“ขอบคุณค่ะ คุณพ่อ หนูกำลังอยากกินเลย”

ที่จริงระหว่างการเดินทาง หย่งเต๋อพาเธอแวะรับประทานอาหารมาแล้ว แถมยังซื้อขนมนมเนยไว้ให้รองท้องเต็มไปหมด แต่เธอก็กินอะไรไม่ค่อยลง เอาแต่นอนหลับเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็ต้องโทษเขานั่นละ ทำเรื่องบ้าๆ อะไรก็ไม่รู้จนเธอหมดเรี่ยวหมดแรง น่าแปลกที่เขายังคงมีสีหน้าท่าทางสดชื่นอยู่ได้ทั้งที่จอดรถงีบหลับไปเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น คิดถึงตรงนี้ แก้มทั้งสองข้างของหญิงสาวก็เห่อร้อนขึ้นมา ภาพตอนที่เธอตกอยู่ใต้ร่างใหญ่โตของเขาลอยเด่นขึ้นมาในความทรงจำอย่างน่าละอาย

“อะไร ยังไม่ทันกินก็หน้าแดงเสียแล้ว เมากลิ่นไวน์หรือไง ฮึ”

ภามลูบศีรษะลูกสาวอย่างรักใคร่ในขณะที่หย่งเต๋อทำหน้ายุ่ง เดินกลับมาทิ้งตัวลงข้างๆ ไอศิกาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ถึงลูกแพร์ที่ตุ๋นจนนุ่มจะมีรสชาติเข้มข้นและหวานฉ่ำ แต่พอหันไปมองหน้าคนที่อยากให้เป็นพ่อตาแล้วกลับรู้สึกขมในคอพิกล

ถ้าไม่ยกไอศิกาให้เขาจริงๆ สงสัยคงต้องยึดตามแผนเดิม...ฉุด!

“แหม...คุณพ่อคิดไปเองแล้วค่ะ หน้าหนูไม่แดงเสียหน่อย”

หญิงสาวยกมือขึ้นแนบแก้มแล้วเสหัวเราะกลบเกลื่อน ตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่าระหว่างหน้าของตนเองกับลูกแพร์อะไรจะแดงกว่ากัน ทุกอย่างเป็นความผิดของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอนี่ละ!

“ไม่แดงก็ไม่แดง” ภามยิ้ม “รีบกินเถอะลูก จะได้ไปพักผ่อน ส่วนแก คืนนี้นอนที่นี่ ไม่ต้องเดาะตามลูกฉันเข้าไปในบ้านโน้นล่ะ เข้าใจไหม”

เขาพูดกับลูกเสียงหวาน แต่พูดกับคนที่ไม่อยากเป็นลูกเขยเสียงแข็งแกมข่มขู่ หย่งเต๋อกระตุกมุมปากซ้ายขึ้นนิดๆ จนดูเกือบคล้ายสิ่งที่เรียกว่ารอยยิ้ม ขณะวางชามเปล่าลงบนโต๊ะรับแขก คิดเหรอว่าจะยอมเชื่องง่ายๆ!

“ยังไงก็ได้ เอาที่สบายใจเลยฮะ คุณพ่อตา” ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืน “ผมขอออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกสักเดี๋ยวนะ”

“นะโม...”

ไอศิกาส่งเสียงเรียกเขา แต่ช้าไป เพียงครู่เดียวเจ้าของร่างสูงใหญ่ก็คว้าเสื้อโคตแล้วเดินออกจากประตูไปเสียแล้ว

“ปล่อยไปเถอะ ถ้าแค่นี้ยังไม่มีความอดทน ก็ถือว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะดูแลลูกแก้วของพ่อได้” ภามมองตามชายหนุ่มที่เดินไปสวมเสื้อโคตไปผ่านหน้าต่างบ้านแล้วส่ายหน้าอย่างระอาใจ “แล้วไปยังไงมายังไงถึงได้ไปเจอกันได้ ฮึ ไหนเล่าให้พ่อฟังซิ”

“ก็...” ไอศิกาอึกอักเมื่อบิดาหันกลับมาจ้องหน้าด้วยสายตากึ่งคาดคั้น หญิงสาวสาบานกับตนเองว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมให้รายละเอียดน่าละอายหลุดจากปากของตนเองเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้น หวังหย่งเต๋อต้องเดือดร้อนกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่! “ก็...เจอกันโดยบังเอิญ...ที่โรงพยาบาลค่ะ...”

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไอศิกาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน จะว่าสับสนก็สับสนอยู่หรอก แต่ความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายก็กระจ่างชัดในหัวใจอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

“อ้อ...” คนเป็นพ่อมองหน้าลูกแล้วได้แต่ถอนใจดวงตาของเธอหลุกหลิกและมองไปยังประตูที่ชายหนุ่มเพิ่งเดินออกไปบ่อยครั้ง “ตกลงว่าเรายังรักเปี้ยนเหลี่ยนหวังอยู่ใช่ไหม”

“หนู...” หญิงสาวหลุบตา “หนู...ยังรักเขาอยู่ค่ะ คุณพ่อ...”

รัก...ทั้งที่เขาเคยทำให้เจ็บปวดเจียนตาย และยังรัก...แม้จะรู้ว่าอนาคตเบื้องหน้าเขาอาจต้องพบกับเรื่องปวดร้าวมากมาย แต่รู้ตัวอีกที เธอก็กลับไปอยู่ในอ้อมแขนของหวังหย่งเต๋ออีกครั้งราวมีแรงดึงดูดระหว่างกันอย่างรุนแรงเกินจะต้านทานได้

“ความรักเป็นเรื่องประหลาดนะ ว่าไหม ยิ่งเราพยายามลืมใครสักคนมากแค่ไหน ก็เท่ากับยิ่งฝังคนๆ นั้นลึกลงไปในหัวใจมากขึ้นเท่านั้น” ภามระบายลมหายใจอีกคำรบก่อนจะส่งยิ้มเนือยๆ ให้ไอศิกา “ลูกโตแล้ว พ่อเชื่อว่าลูกคงตัดสินใจเรื่องอนาคตของตัวเองได้”

“หนูยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลยค่ะ” หญิงสาวรีบวางชามขนมแล้วเงยหน้าขึ้นมองบิดาตรงๆ “หนูเป็นลูกพ่อนะคะ ถ้าหนูต้องตัดสินใจอะไรที่สำคัญกับชีวิตมากขนาดนั้นจริงๆ หนูก็ต้องปรึกษาคุณพ่อก่อนอยู่แล้ว”

“หมายความว่าถ้าพ่อไม่ให้แต่งก็จะไม่แต่งใช่ไหม” ภามหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ ดวงตาคมกริบมองลูกสาวอย่างรู้เท่าทัน

“หนูแล้วแต่คุณพ่อค่ะ” ไอศิกายิ้มเจื่อน “ตอนนี้เราเหลือกันอยู่แค่สองคน คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะคะ หนูจะไม่ทำเรื่องที่ทำให้คุณพ่อไม่สบายใจเด็ดขาด”

“งั้นเหรอ” ภามพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ชุดที่ทางตระกูลหวังส่งมาให้ก็คงจะไม่ได้ใช้แล้วสินะ”

“ชุด? ชุดอะไรคะคุณพ่อ”

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง ในขณะที่ภามเดินตรงไปยังห้องเก็บเสื้อโค้ตที่อยู่บริเวณโถงทางเดินแล้วเปิดประตู ลากหุ่นโขว์เสื้อผ้าแบบมีล้อเลื่อนออกมา หุ่นตัวนั้นไม่มีแขนขาหรือศีรษะ มีเพียงลำตัวบุด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำเหมือนที่เห็นตามร้านเสื้อมีระดับทั่วไป เพียงแต่ชุดลูกไม้สีขาวที่ปรากฏต่อสายนั้น ไม่ใช่ชุดธรรมดาสามัญ แต่เป็นชุดเจ้าสาวสีขาวสะอาดตา!

“นี่...นี่มัน...”

ไอศิกาอ้าปากค้าง เธอลุกจากโซฟาแล้วสาวเท้าไปหาหุ่นโชว์ตัวนั้นด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ชุดที่อยู่ตรงหน้าเธอนี้ แม้จะมีรูปแบบเรียบง่าย ทว่าการตัดเย็บอย่างประณีตและผ้าลูกไม้ฝรั่งเศสโปร่งบางซึ่งทิ้งตัวตามน้ำหนักของไข่มุกแท้ที่ประดับอยู่บนชุดทำให้ดูหรูหราและมีกลิ่นอายของแฟชั่นชั้นสูงอย่างเต็มสูบ

“ก่อนหน้านี้หวังเสี้ยวเทียนเคยมาหาพ่อสองสามครั้ง มาพูดเรื่องลูกกับเปี้ยนเหลี่ยนหวังนั่นละ”

“เอ๊ะ...พูดเรื่องหนูกับนะโม...เหรอคะ” หญิงสาวรู้สึกเหมือนหูฝาดไป “แต่...แต่...คุณพ่อไม่เคยเล่าให้หนูฟัง...”

“พ่อไม่รู้ว่าควรเล่าดีไหม พ่อกลัวว่าจะทำให้ลูกพะวักพะวนเรื่องผู้ชายคนนั้นจนไม่เป็นอันเรียน”

เขารู้...ว่าไอศิกากับหย่งเต๋อรักกันลึกซึ้ง แต่หลายเหตุการณ์บีบคั้นให้ต้องลาจากทั้งที่ความรู้สึกระหว่างกันยังท่วมท้นและรุนแรงประสาคนหนุ่มสาวเพิ่งริรัก แม้จะดูใจร้ายไปสักหน่อย ทว่าเขาก็ดีใจไม่น้อยที่ลูกสาวเลือกตัดใจจากผู้ชายที่เขาไม่เคยมั่นใจเลยว่าจะทำให้เธอมีความสุขได้หรือไม่ เขาอยากให้ไอศิกาพบรักกับคนธรรมดาแบบภัทรพลมากกว่ามาเฟียที่มือเปื้อนเลือดเหมือนตนเอง

...น่าขันนักที่ท้ายที่สุดแล้ว โลกบิดๆ เบี้ยวๆ ใบนี้ก็เหวี่ยงให้คนสองคนที่ร้างลากันไปแล้วกลับมาพบกันอีก...

“พ่อปฏิเสธหวังเสี้ยวเทียนไปทุกครั้งนั่นละ เพราะอยากให้ลูกเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องบ้าบอในอดีตอีก พ่อเห็นเขาหายไปพักใหญ่ก็คิดว่าตัดใจไปแล้ว ที่ไหนได้ ดันให้ไอ้เด็กที่ชื่ออะไรกุ้ยๆ สักอย่างเอาชุดนี้มาส่งให้เมื่อเช้ามืดนี่ละ”

“เฉินกุ้ย...เหรอคะ...” ไอศิกางงเป็นไก่ตาแตก สับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก “แล้วทำไม...เขาถึงได้เอาชุดนี้มาให้...”

เรื่องที่หย่งเต๋อขอเธอแต่งงานไม่น่าจะมีใครรู้ทั้งสิ้น แถมตลอดระยะเวลาที่บึ่งรถมาจากปารีส เขาก็ไม่ได้โทรศัพท์หาใครเลยสักคน แม้แต่เฉินกุ้ยซึ่งถือว่าเป็นคนสนิท แล้วทำไมจู่ๆ หวังเสี้ยวเทียนกับเฉินหมิงถึงส่งชุดแต่งงานมาให้เธอได้กันเล่า

“แล้วตอนนี้...พี่ใบป่าน...หนูหมายถึงเฉินกุ้ยอยู่ที่ไหนเหรอคะ...”

เขา...เป็นคนเดียวที่น่าจะให้คำอธิบายกับเธอได้

“ไม่รู้สิ เอาชุดมาส่ง แล้วก็ออกไปเลย ไม่ได้บอกว่าจะไปไหน อ้อ ไอ้เด็กนั่นมันร่ายยาวด้วยนะว่าชุดนี้เป็นชุดต้นแบบของคอลเล็คชันใหม่ล่าสุดของลา เฟที่ยังไม่ได้วางขาย แต่เฉินหมิงสั่งให้เอามาให้ลูกก่อน ถ้ามีตรงไหนไม่พอดีจะให้ช่างบินด่วนมาแก้ขนาดให้ก่อนวันงาน”

“วัน...วันงาน? เดี๋ยวนะคะ หนูงงไปหมดแล้ว หนูกับคุณพ่อยังไม่ได้ตกลงอะไรเลย แต่นี่...มีทั้งชุด แล้วก็มีกำหนดวันงานด้วย”

นี่มันมัดมือชกกันชัดๆ!

“ตามที่เฉินกุ้ยของลูกบอกพ่อกำหนดงานก็น่าจะเป็นช่วงปีใหม่พอดีมั้ง ถ้าลูกตกลง” ภามส่ายศีรษะด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก พ่อลูกตระกูลหวังคู่นี้ดูเผินๆ เหมือนมีบุคลิกต่างกันสุดขั้ว แต่พอเอาเข้าจริง ใจร้อน จอมเผด็จการแถมยังดื้อด้านเหมือนกันไม่มีผิด “พ่อถึงได้ถามไง ลูกแก้ว ว่าลูกตัดสินใจยังไง อยากแต่งงานกับเปี้ยนเหลี่ยนหวังหรือเปล่า”

“เรื่องนั้น...” ดวงตาคู่งามวูบไหวด้วยความรู้สึกสับสนระคนกังวลใจ “หนูไม่รู้จะตอบยังไงจริงๆ ค่ะคุณพ่อ...”

“ที่ไม่รู้จะตอบว่ายังไง เพราะไม่รู้จริงๆ หรือเพราะเป็นห่วงความรู้สึกของพ่อกันแน่ ฮึ” ภามดักคออย่างรู้ทัน เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะลูกสาวอย่างอ่อนโยน “ถ้าเป็นอย่างหลังละก็ เลิกคิดได้แล้ว ลูกน่ะ ต้องฝืนใจทำอะไรเพื่อพ่อมามากมายหลายอย่าง ถ้าลูกแน่ใจว่ารักเขา และอยากใช้ชีวิตกับเขาจริงๆ ก็ตัดสินใจอย่างที่ต้องการได้เลยนะลูก”

“แต่เมื่อกี๊...คุณพ่อบอกนะโมว่า ไม่อนุญาตให้เราแต่งงานกันนี่คะ”

ในเมื่อบิดายืนกรานเสียงแข็งเพียงนั้นแล้วเธอจะกล้าขัดคำสั่งได้อย่างไรกันเล่า

“ก็ไอ้หมอนั่นมันชอบกวนประสาทพ่อ พ่อก็ต้องเอาคืนกันบ้างนั่นละ” ภามแค่นหัวเราะ “บอกตรงๆ นะ พ่อไม่แน่ใจนักว่าหวังหย่งเต๋อจะทำให้ลูกมีความสุขได้ไหม ใช่ว่าจะรังเกียจหรือยังรู้สึกโกรธแค้นเรื่องที่เขาเคยทำกับลูกในอดีต แต่พ่อห่วงเรื่องที่เขาจะพาลูกไปเจอในอนาคตมากกว่า เขาเป็นทายาทตระกูลหวัง ไม่ว่ายังไงวันหนึ่งก็ต้องสืบทอดตำแหน่งต่อจากหวังเสี้ยวเทียนอยู่ดี แล้วเมื่อถึงตอนนั้น ศัตรูก็จะพุ่งเป้ามาที่ลูกอีกครั้ง พ่อเป็นห่วง ไม่รู้ว่าลูกจะรับไหวหรือเปล่าถ้าต้องเจอเหตุการณ์ร้ายแรงอีก”

“นะโมบอกหนูว่า เขาจะปกป้องความสุขของหนู จะไม่ให้หนูเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของแก๊งฮวงหลงเด็ดขาด” ไอศิกายังคงเรียกหย่งเต๋อด้วยชื่อไทยตามความเคยชิน เธอลูบชุดแต่งงานด้วยความรู้สึกสับสนอยู่ลึกๆ ยามพูดถึงชื่อของชายหนุ่ม ดวงตาของเธอทอประกายอ่อนเชื่อมลงอย่างเห็นได้ชัด “หนูก็ไม่รู้หรอกนะคะว่าเขาจะทำได้ตามที่พูดหรือเปล่า แต่หนู...เชื่อใจเขาค่ะคุณพ่อ เชื่ออย่างไม่มีเหตุผลด้วย ดูโง่ๆ ยังไงก็ไม่รู้นะคะ”

“พูดอะไรอย่างนั้น การเชื่อความรู้สึกกับสัญชาตญาณของตัวเองไม่ใช่เรื่องโง่เลยสักนิด ถึงบางครั้งจะก้าวพลาด แต่ก็ทำให้เราได้รับบทเรียนและเติบโตไม่ใช่เหรอลูก” ภามรั้งตัวลูกสาวเข้ามากอดไว้หลวมๆ “และการที่ลูกเชื่อมั่นในตัวคนที่ลูกรักก็เป็นการยืนยันแล้วว่าลูกพร้อมที่จะเผชิญทุกปัญหาในอนาคตไปพร้อมๆ กับเขา ถูกไหม”

ไอศิกาซุกหน้ากับอกกว้างของพ่อแล้วพยักหน้ารับอย่างขัดเขิน ภามกดจูบบนกระหม่อมของเธอแล้วถอนใจ

“สรุปว่าอยากแต่งกับเปี้ยนเหลี่ยนหวังแน่ใช่ไหม เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ เอาจริงๆ นะ พ่อไม่อยากได้มันเป็นลูกเขยเลยให้ตายเถอะ”

เขาพูดไปอย่างนั้นเอง รู้...ว่าไอศิกาไม่มีวันเปลี่ยนใจแน่

“แหม คุณพ่อละก็” ไอศิกาหัวเราะ ไออุ่นจากอ้อมกอดของพ่อพานทำให้น้ำตารื้นขึ้นมาคลอเบ้า “หนู...จะแต่งงานกับเขาค่ะ หนูจะแต่งงานกับนะโม”

 

หย่งเต๋อจุดบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาแทนที่มวนเก่าที่เพิ่งมอดไปจากนั้นจึงอัดควันเข้าปอดซ้ำๆ ร่างที่สวมเสื้อโค้ตไว้ลวกๆ เอนพิงต้นไม้ใหญ่ในสนาม ดวงตาคมกล้ามองผ่านกระจกกลับเข้าไปในตัวบ้านผ่านม่านควันสีเทาที่เพิ่งพ่นออกมาจากริมฝีปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

“ขอแสดงความยินดีด้วยนะพี่หย่งเต๋อ พี่กำลังจะมีห่วงผูกคออย่างเป็นทางการแล้ว” เฉินกุ้ยที่ยืนกอดอกพิงต้นไม้อีกด้านเอ่ยยิ้มๆ “ที่นี้จะได้เลิกบ่นเสียทีว่าไม่รู้จะมีลูกกับใคร”

“ถ้าไม่ได้มองออกมานอกหน้าต่างแล้วเห็นหน้าเอ๋อๆ ของแก คืนนี้ฉันคงฉุดลูกสาวเขาหนีแล้ว” หย่งเต๋อหัวเราะพลางพ่นควันออกทางจมูก “ถามจริงๆ เหอะ แกรายงานเรื่องฉันให้พ่อรู้เหรอวะ”

“พูดอย่างกับไม่รู้อย่างนั้นละว่าบอสคอยจับตามองพี่อยู่ตลอด พอรู้ว่าพี่ตบะแตก พาสาวขึ้นรถไปส่งบ้านปุ๊บ ก็โทรศัพท์หาผมปั๊บ สั่งให้เอาชุดเจ้าสาวมาส่ง นี่ยังบอกอีกนะว่า ให้คอยดูพี่ดีๆ อย่าเพิ่งคลั่งแล้วพาลูกแก้วหนี เดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่”

ต่อหน้าหย่งเต๋อ แดเนียลทำเป็นตีหน้านิ่งเหมือนไม่ใส่ใจลูกชายคนโตนัก แต่เอาเข้าจริงก็ให้คนคอยตามประกบเพื่อดูแลอยู่ห่างๆ ด้วยความห่วงใยเสมอ พ่อลูกคู่นี้ไม่รู้เป็นอย่างไรสิน่า รักกันก็ไม่ยอมบอกกันตรงๆ ไม่รู้ว่ามัวแต่วางท่าอะไรอยู่

“พ่อรู้ใจฉัน”

หย่งเต๋อยิ้มกว้างไม่ยอมหุบ เขารู้ว่าหวังเสี้ยวเทียนมักมองเกมขาดทะลุปรุโปร่งแทบทุกเรื่อง แต่ไม่นึกว่าจะมองออกว่าความรู้สึกที่เขามีให้ไอศิกาไม่เคยจืดจางหายไปและพร้อมระเบิดทุกเมื่อ...เพียงแค่ได้สัมผัสเธออีกครั้ง...

“เรียกว่ารู้สันดานพี่เป็นอย่างดีจะดีกว่า พี่ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง พอไม่ได้ดังใจก็ก่อเรื่องทุกที บอสคงรำคาญพี่เต็มแก่ ก็เลยให้แต่งๆ ไปเสียเลยจะได้จบเรื่อง” แม้จะพูดคำเหน็บเสียสิบคำ แต่น้ำเสียงของเฉินกุ้ยบอกชัดว่าแท้จริงแล้วยินดีกับอีกฝ่ายมากเพียงใด “อ้อ บอสบอกให้พี่ไปพักที่ชาโตที่บอสซื้อให้พี่เจี๋ยกับเพ่ยเพ่ยเป็นของขวัญแต่งงานนะ เดี๋ยวคืนนี้บอสกับคุณฟ้าใสบินมาถึงแล้วจะได้คุยเรื่องจัดงานแต่งกันเลย”

“ฉันไม่อยากอยู่ห่างจากลูกแก้ว” หย่งเต๋อส่ายหน้า “สองปีที่ผ่านมามันนานเกินไปแล้ว ฉันไม่อยากห่างจากเขาอีก”

“แหม ยังไม่ทันแต่ง แววติดเมียก็มาให้เห็นเสียแล้ว” เฉินกุ้ยหัวเราะ “แค่ขับรถไปอีกฟากของเมืองเองนะพี่ ห่างออกไปไม่เกินครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ทำอย่างกับอยู่คนละซีกโลกไปได้ แยกจากกันแค่สองสามวันก็แต่งแล้ว ไม่เจอกันเดี๋ยวเดียวมันคงไม่ขาดใจตายหรอกมั้ง”

“ทีแกยังไม่อยากห่างจากเมียแกเลย แค่ให้ไปทำอะไรให้นิดๆ หน่อยๆ แกก็บ่นฉันเสียหูชา บอกว่าเสียเวลากอดเมียไม่ใช่หรือไง” ลูกมังกรหนุ่มทำเสียงจึ๊กจั๊กอยู่ในลำคออย่างไม่สบอารมณ์นัก

“นิดๆ หน่อยๆ อะไรกัน พี่จิกหัวใช้ผมอย่างกับทาสในเรือนเบี้ย” เฉินกุ้ยกลอกตา นอกจากเขาจะต้องคอยรองมือรองเท้าลูกพี่ใหญ่แล้ว ยังต้องคอยเดินตามก้นไอศิกาเพื่อคุ้มครองเธออย่างลับๆ ตามคำสั่งจนแทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่น แล้วแบบนี้เขาจะมีเวลาผลิตลูกให้ครบห้าคนดังที่ตั้งใจไว้ได้อย่างไรกันเล่า! “บอสบอกผมแล้วว่าพี่ต้องทำตัวดัดจริตไม่ยอมห่างจากลูกแก้วแน่ พี่ลองคิดดูดีๆ นะ ถ้าพี่ไปพักที่อื่น ไม่ทำรุ่มร่ามกับลูกแก้วอย่างที่ชอบทำอยู่ตลอด ผมว่าภามน่าจะมองพี่ในแง่ดีขึ้นนะ อีกอย่าง เดี๋ยวพอลูกแก้วแต่งกับพี่แล้วก็ต้องอยู่กับพี่เป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้อยู่กับพ่อ พี่น่าจะปล่อยให้พ่อลูกเขาได้ใช้เวลาร่วมกันตามลำพังบ้าง”

“เออ รู้แล้วน่า” หย่งเต๋อดีดก้นกรองบุหรี่ที่ยังไม่มอดดีลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้จนดับสนิท เขารู้ว่าไอศิกากับภามไม่ค่อยมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันมากนัก เพราะหญิงสาวเรียนหนักอยู่ที่ปารีส ส่วนภามเองก็อยู่ไกลถึงโพรวองซ์ ต้องคอยดูแลเรือกสวนและประคับประคองธุรกิจใหม่ให้ไปรอด อย่างดีก็ได้แต่คุยกันผ่านโทรศัพท์หรือวิดีโอคอลล์เป็นครั้งคราวเท่านั้น “ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนมาแต่งงานพรุ่งนี้แทนได้ไหม หรือช้าสุดมะรืนก็ได้”

“ไม่แต่งมันเย็นนี้ไปเลยเล่า” เฉินกุ้ยแขวะเข้าให้อย่างขบขันเต็มทน นี่ละ ลูกพี่ของเขา บทจะคลั่งรักก็ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น

“ได้ก็ดี” หย่งเต๋อรับลูกหน้าตาเฉย “แต่ว่าที่พ่อตาของฉันต้องโวยวายแน่”

“รู้อย่างนั้นก็ดี นี่! พี่ต้องทำตัวให้ดีๆ หน่อยนะ พี่หย่งเต๋อ เดี๋ยวภามเปลี่ยนใจไม่ยกลูกสาวให้ขึ้นมาจะยุ่ง แล้วอย่าหวังว่าลูกแก้วจะยอมหนีตามพี่เชียว พี่ก็รู้ว่าลูกแก้วรักพ่อมากแค่ไหน ถ้าพ่อสั่งห้ามคำเดียว รับรองพี่ชวดล้านเปอร์เซ็นต์ จบ อดมีเมีย”

ที่ผ่านมาภามใจแข็งเพียงไหน เฉินกุ้ยรู้ซึ้งดี ขนาดมีวาทศิลป์เป็นเลิศอย่างแดเนียลยังต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมอดีตเจ้าพ่ออยู่นานแรมปีกว่าจะใจอ่อนยอมเอ่ยปากในที่สุดว่า หากไอศิกายังรักหย่งเต๋ออยู่ เขาจะยินยอมให้ทั้งคู่แต่งงานกัน ถ้าหย่งเต๋อทำเสียเรื่องละก็ ต่อให้เป็นชาติหน้าก็คงไม่มีวันได้ลงเอยกับนางในดวงใจแน่

“นี่ก็ทำตัวดีที่สุดแล้ว จะบ่นอะไรนักหนาวะ ไอ้ตี๋เล็ก”

หย่งเต๋อทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคออย่างไม่จริงจังเท่าใดนัก ใบหน้าฉาบไปด้วยรัศมีแห่งความสุขเสียจนคนมองอดรู้สึกหมั่นไส้เป็นครั้งที่ล้านไม่ได้ แหม...ลองไม่ได้แต่งขึ้นมาจริงๆ เปี้ยนเหลี่ยนหวังได้เปิดศึกกับว่าที่พ่อตาจนเป็นเรื่องใหญ่โตล้านเปอร์เซ็นต์

“เดี๋ยวคนที่ต้องบ่นอีกกระบุงโกยน่ะไม่ใช่ผมแน่ แต่เป็นพี่” เฉินกุ้ยหัวเราะหึๆ อย่างมีเลศนัย “รู้หรือยังว่าบรรดาแขกเหรื่อที่บอสเชิญมาร่วมงานน่ะเริ่มทยอยมาถึงกันบ้างแล้วนะ แก๊งสุดขอบนรกมาครบก๊วนแล้ว ดวดเหล้ากันอยู่ที่ชาโตนั่นละ นายหญิงฟ้าใสกับคุณบัวบูชาน่าจะมาถึงพร้อมเพ่ยเพ่ยเช้าวันพรุ่งนี้ ส่วนเฟลอร์ โจทก์เก่าของพี่ หยูเยว่กับคุณหลิงหลิงจะมาถึงตอนบ่ายพรุ่งนี้ นี่ยังไม่รวมท่านหวังเฟย คุณพริมากับคุณถังเวยอีกนะ ถึงจะบอกว่าเป็นงานเล็กๆ ภายใน แต่ก็ถือว่างานช้างละ คงต้องจัดการเรื่องความปลอดภัยกันเต็มที่”

“นี่พ่อแจ้งข่าวหมดแล้วเหรอ” หย่งเต๋ออดทึ่งกับการเตรียมการฉับไวของบิดาไม่ได้ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าพ่อบริหารจัดการทุกอย่างได้ยอดเยี่ยมทุกเรื่องก็ตามที “แล้ว...เพื่อนๆ ของลูกแก้วล่ะ...สองคนนั้นน่ะ ชื่ออะไรฉันก็จำไม่ได้ ได้รับเชิญด้วยหรือเปล่า”

“บอสสั่งว่าอย่าเพิ่งบอกคนอื่นที่เมืองไทยเดี๋ยวความลับจะรั่วไหล แต่ถึงจะเชิญก็กระชั้นเกินไป จัดการเรื่องวีซ่าอะไรให้ไม่ทันหรอก เห็นว่าจะเชิญมาเที่ยวทีหลัง” เฉินกุ้ยถอนใจ นึกสงสารไอศิกาอยู่ไม่น้อยที่ต้องแต่งงานโดยไม่มีเพื่อนสนิทหรือคนที่เคยรู้จักมาร่วมงานเลยสักคนเดียว มีแต่บิดาของตัวเองและผู้ใหญ่กับแขกเหรื่อใจโหดทางฝ่ายชายเท่านั้น “แขกของภามก็คงมีคนเดียวนั่นละ แต่พี่ไม่น่าจะชอบใจนักหรอก”

“ใครวะ” หย่งเต๋อหันกลับไปมองหน้าลูกไล่ตรงๆ รู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาตงิดๆ “อย่าบอกนะว่า...”

“ก็เป็นคนที่พี่คิดนั่นละ ไอ้ภัทรพลไง”

“ไม่เอาโว้ย!”

 

“ทำไมทำหน้าบูดเป็นตูดหมูขนาดนั้นวะ ไอ้เจ้าบ่าว ตกลงไม่อยากแต่งเมียหรือไง”

จวิ้นเจี๋ยเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องนอนของหย่งเต๋อแล้วหัวเราะอย่างขบขันเมื่อเห็นเจ้าตัวทำหน้าเหมือนอยากสังหารหมู่แขกเหรื่อที่มาร่วมงานมากกว่าจะเดินออกไปต้อนรับ ร่างสูงใหญ่ที่ถอดแบบมาจากหวังเสี้ยวเทียนผู้เป็นบิดายืนพิงกรอบหน้าต่างแบบเฟรนช์วินโดว์สูงจากพื้นจดเพดานด้านบน เช้านี้ว่าที่เจ้าบ่าวสวมชุดสูทผ้าไหมสามชิ้นที่เสื้อสูทและกางเกงเป็นสีขาวสะอาดตา เสื้อกั๊กด้านในเป็นลายพาร์สลีย์สีงาช้างสีเดียวกับเน็คไทแบบแอสคอตกลัดด้วยเข็มกลัดมรกตน้ำงามเม็ดเขื่องซึ่งเป็นของขวัญจากพริมาและถังเวย ทำให้หวังหย่งเต๋อดูหรูหราสง่างามสมกับเป็นคุณชายน้อยแห่งตระกูลหวังทุกกระเบียดนิ้ว เรือนผมที่เคยปล่อยให้ยาวระต้นคอถูกตัดสั้นและจัดทรงเนี้ยบที่สุดในรอบสองปีที่ผ่านมา

“อยากได้เมียอยู่หรอก แต่อยากข้ามงานยกน้ำชาไปเข้าหอเลยมากกว่า”

เฉินกุ้ยที่นั่งอยู่ปลายเตียงส่งเสียงหัวเราะแกนๆ ลูกพี่ใหญ่ของเขาอาละวาดฟาดงวงฟาดงามาสามวันแล้ว เหตุเพราะทางภามยืนยันเสียงแข็งว่าหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่ยอมตัดภัทรพลออกจากรายชื่อแขกที่มีเพียงหนึ่งเดียวเป็นแน่ แถมยังพูดอีกว่า ภัทรพลเป็นฝ่ายอกหักโครมใหญ่แท้ๆ แต่ยังแสดงความมีน้ำใจมาร่วมงานแต่งงาน หากหวังหย่งเต๋อใจคอคับแคบเช่นนี้ก็ถือว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะแต่งงานกับไอศิกา

เท่านั้นละ...เป็นเรื่อง!

มีหรือที่คนอย่างเปี้ยนเหลี่ยนหวังจะยอมง่ายๆ พ่อเจ้าประคุณถึงขั้นวางแผนเจาะยางรถของภัทรพลไม่ให้ขับมางานได้ แต่ดูเหมือนหวังเสี้ยวเทียนจะอ่านเกมออกจึงให้จันทร์เจ้าไปรับศัตรูหัวใจของพี่ชายมาร่วมงานเสียอย่างนั้น ทำให้เขาไม่กล้าแตะต้องรถที่น้องสาวเป็นคนขับ แน่นอนว่าคนที่สะใจที่สุดงานนี้ก็คือจันทร์เจ้านั่นละ ได้แกล้งพี่ชายตัวร้ายที่แย่งไอศิกาไปจากตนเอง มีหรือจะไม่ชอบ!

พี่น้องคู่นี้น่ากลัวฉิบ บุญหัวของไอ้เฉินกุ้ยแล้วที่เกิดมาเป็นลูกคนเดียว!

“อ้อ แปลว่าแผนลอบสังหารอดีตศัตรูหัวใจของแกไม่สำเร็จละสิท่า” จวิ้นเจี๋ยหัวเราะเยาะในขณะที่หย่งเต๋อแยกเขี้ยวใส่ “อย่าอารมณ์เสียไปเลยน่า ถึงยังไงวันนี้น้องหนูคนสวยนั่นก็เป็นคนของแกแล้ว ไอ้หมอนั่นหมดสิทธิ์ แกต้องนับถือน้ำใจมันนะที่ยอมมาร่วมงานแต่งงานทั้งที่ตัวเองเคยเกือบได้เป็นเจ้าบ่าวของลูกแก้วแล้วแท้ๆ”

ในชีวิตของเขา เคยเห็นผู้ชายที่มีจิตใจกว้างแบบนี้เพียงแค่คนเดียวคืออัณณ์ผู้หลงรักบัวบูชาหมดหัวใจ แม้เธอจะแต่งงานกับผู้ชายที่ตนเกลียดชังที่สุดอย่างเฉินหมิง แต่เขากลับแสดงความยินดีอย่างจริงใจ มิหนำซ้ำยังคอยดูแลเอาใจใส่พุดพิชญา ลูกสาวของทั้งคู่ รวมไปถึงเหม่ยอิง เด็กในอุปการะของเฉินหมิงประหนึ่งเป็นลูกแท้ๆ ของตนเอง

คนดีแบบนี้...พี่บัวกลับไม่เลือก ดันมาเลือกนายผู้แสนร้ายกาจและเอาแต่ใจของเขา แต่อย่างว่าละ ความรักเป็นเรื่องประหลาด เรามักรักคนที่ไม่สมควรรัก และเลือกคนที่หัวใจเรียกร้อง แม้จะรู้ดีว่า คนๆ นี้อาจนำพาความเจ็บปวดมาสู่ชีวิตก็ตามที

“มันงานแต่งผม ผมไม่อยากเห็นหน้ามัน”

หย่งเต๋อส่งเสียงฮึ่มๆ แฮ่ๆ อย่างหงุดหงิดเต็มทน ต่อหน้าไอศิกา เขาจำเป็นต้องตีหน้าเฉยเมยเหมือนไม่รู้สึกรู้สมต่อการปรากฏตัวของภัทรพล แต่พอลับหลังก็หาทางวางแผนเล่นงานอดีตเพื่อนรุ่นพี่เสียอย่างนั้น

“พี่อย่าทำตัวเหมือนเด็กไปหน่อยเลยน่า สงสารลูกแก้วบ้างเถอะ ไอ้พี่ภัทรนั่นเป็นแขกคนเดียวของทางฝั่งนั้นเลยนะ ใจคอจะไม่ให้ลูกแก้วมีแขกมาร่วมงานบ้างเลยหรือไงวะครับ”

เฉินกุ้ยใช้คำลงท้ายพิลึกพิลั่นว่า ‘วะครับ’ เพื่อเน้นอารมณ์เหนื่อยหน่ายที่ตนเองต้องกลายเป็นกระโถงท้องพระโรงตลอดระยะเวลาสองสามวันที่ผ่านมา เอะอะอะไรก็หงุดหงิดใส่ไอ้กุ้ยตลอด!

“ก็บอกแล้วว่าให้ลุงฌอง-ปอลจัดการเรื่องวีซ่าให้เพื่อนของลูกแก้วสองคนนั่นมางานแทนไอ้ภัทรพลก็ไม่รีบทำ”

รู้อยู่แก่ใจว่าตนเองเอาแต่อารมณ์เพียงใด แต่ความหึงหวงก็ทำให้เขากลายเป็นคนขาดเหตุผลมากกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า

“ผมก็บอกพี่แล้วไงว่ามันกระชั้นชิดไป เพื่อนของลูกแก้วสองคนนั้นคนหนึ่งติดสอบสัมภาษณ์งาน อีกคนติดเรื่องเตรียมตัวดีเฟนส์วิทยานิพนธ์ จะจัดตารางใหม่ก็ไม่ทันแล้ว เว้นแต่พี่จะยอมเลื่อนไปแต่งปีหน้านั่นละ”

“ไม่เลื่อนอะไรทั้งนั้น แค่นี้ฉันก็แทบลงแดงตายแล้ว”

สองสามวันมานี้ เขาแทบไม่มีเวลาได้อยู่กับไอศิกาตามลำพังเลยสักนิด อย่าว่าแต่จะจูบเลย แต่จะจับมือยังลำบาก ก้างขวางคอดาหน้ากันเข้ามาขวางไม่ได้หยุดหย่อน ทั้งภาม ทั้งภัทรพล แล้วไหนจะจันทร์เจ้าที่แท็กทีมมากับอาหลิงหลิงอีก โดยเฉพาะสองคนหลังนี่ถือว่าร้ายที่สุด จ้องจะเคลมว่าที่เจ้าสาวของเขาทุกขณะจิต

หน็อย...ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เถอะ!

“แกก็ใช้โอกาสนี้สวีตกับว่าที่เมียไปเลยสิวะ เอาให้มันเห็นกันจะจะตาไปเลยว่าเด็กนั่นเป็นเมียใคร ใช้วิธีแบบนายฉันไง ให้เมียแต่งตัวสวยๆ แล้วควงให้โลกรู้ไปเลยว่าคนนี้เป็นของฉัน คนอื่นห้ามแตะ”

จวิ้นเจี๋ยยักไหล่ เขายังจำได้ว่าสมัยหนุ่มๆ เฉินหมิงนั้นแสนร้ายกาจ เขาชอบจับบัวบูชาแต่งตัวอวดผิวขาวไร้รอยไฝฝ้าราคีให้ผู้ชายอื่นได้แต่มอง ทว่าไม่มีสิทธิ์แตะต้อง โถ...ใครจะกล้ายุ่งกับผู้หญิงของแมวดำกันเล่า เดี๋ยวคอขาดกันพอดี ผิดกับหวังเสี้ยวเทียนที่ไม่เคยชอบให้ผู้ชายหน้าไหนชายตามองฟ้าใสเลย ถ้าวันไหนแต่งตัวสวยแล้วมีหนุ่มๆ ผิวปากแซวละก็เป็นได้สั่งตัดลิ้น ควักตา เดือดร้อนนายหญิงของแก๊งฮวงหลงต้องห้ามปรามเสียทุกครั้งไป แต่สรุปก็คือบ้าพอกันทั้งมังกรทั้งแมวดำนั่นละ!

“อาเจี๋ย เยี่ยเซียงร้องแล้วนะ ทำไมไม่ไปดูลูก” พุดพิชญาในชุดเดรสสีชมพูพาสเทลก้าวฉับๆ เข้ามาในห้อง ดวงหน้าเล็กเรียวนั้นคล้ายบัวบูชาชนิดเคาะพิมพ์กันมา เพียงแต่แววตาและท่าทางห้าวหาญเหมือนเฉินหมิงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งเหมือนสามีไม่มีผิด “อ้าว นายจืด แต่งตัวเสร็จแล้วก็ลงไปที่ห้องข้างล่างสิ เขาวุ่นกันจะตายอยู่แล้ว ยังจะมายืนทำหน้าเหมือนถ่ายไม่ออกอยู่แบบนี้ทำไม อากุ้ยก็เหมือนกัน เตรียมเรื่องแหวนที่จะให้ปาทริคถือเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”

เนื่องจากครอบครัวของทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวตกลงกันเรื่องรูปแบบของงานแต่งงานไม่ได้เนื่องจากทางฝั่งของหวังเฟยอยากให้ยกน้ำชาแบบจีน ส่วนภามอยากให้จัดพิธีแบบไทย แต่การจัดงานที่กระชั้นชิดแบบนี้ทำให้ตระเตรียมไม่ทัน จึงสรุปกันว่าจะจัดงานยกน้ำชาเป็นการภายในก่อนและมีการแลกแหวนแต่งงานกันแบบที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวอยากได้ ส่วนพิธีรดน้ำสังข์แบบไทยนั้นจะไปจัดอีกทีที่โรงแรมของตระกูลหวังที่เมืองนีซหลังเทศกาลปีใหม่ไปแล้ว

“โอเคครับ คุณผู้หญิง ผมจะไปดูลูกเดี๋ยวนี้ละ” จวิ้นเจี๋ยหัวเราะแล้วเดินตรงไปจูบแก้มภรรยาอย่างมันเขี้ยวก่อนจะหันมาหาหย่งเต๋อ “แกดูเอาไว้เลยนะ นี่ละ อนาคตของแก เคารพเมียไว้ มีอะไรก็ครับๆ ไว้ก่อน จะได้รอดตาย ไม่เชื่อก็ถามอากุ้ยมันดู”

“พูดอย่างนี้อยากนอนนอกห้องเหรอคะ คุณสามี” พุดพิชญายิ้มหวานชวนขนลุกในขณะที่คนเป็นสามีรีบเผ่นแผล็วไปดูลูกอย่างว่องไวพร้อมเสียงหัวเราะ ใช่ว่าเธออยากทิ้งลูกไว้ตามลำพังเสียเมื่อไหร่กันเล่า แต่แม่หนูน้อยราชาวดีติดจวิ้นเจี๋ยมาก เมื่อใดที่ร้องไห้ ไม่มีใครเอาอยู่สักคน แม้แต่บัวบูชามารดาของเธอ พี่เลี้ยงทั้งหลายก็อ่อนอกอ่อนใจ มีแต่คนเป็นพ่อนั่นละ ที่อุ้มขึ้นตักปุ๊บก็เงียบปั๊บเหมือนมีคนกดปุ่มปิดสวิตช์อย่างไรอย่างนั้น “อ้าว อากุ้ย มีอะไรเหรอ หน้าซีดเชียว”

“คือ...” เฉินกุ้ยตบฝ่ามือไปบนอกเสื้อและกางเกงด้วยสีหน้าเหมือนถูกบังคับให้กลืนยาขม เขาแทบไม่กล้าสบตาหย่งเต๋อตรงๆ สักนิด “ฉิบหายแล้ว...เหมือน...แหวนจะหาย!”

 

“ตื่นเต้นเหรอ”

จันทร์เจ้าเอ่ยถามขณะบรรจงใช้พู่กันแต้มลิปสติกสีชมพูกลีบกุหลาบบนริมฝีปากบางเฉียบของไอศิกาที่วันนี้งามจับตากว่าทุกครั้งที่เคยเห็น เรือนผมดำขลับที่เหลือความยาวเพียงประบ่าถูกรวบขึ้นเป็นมวยต่ำทางด้านหลังและประดับด้วยดอกกุหลาบทรงถ้วยแบบอังกฤษที่มีสนนราคาแพงระยับเพราะอยู่นอกฤดู ต้องสั่งพิเศษจากร้านที่มีสต็อกจากการนำเข้ามาจากเอกวาดอร์แหล่งเพาะพันธุ์กุหลาบแหล่งใหญ่ของโลก

“ก็...นิดหน่อยค่ะ”

ท่าทางตกประหม่าของไอศิกาทำให้เธอดูน่าทะนุถนอมมากขึ้นอีกหลายเท่า จันทร์เจ้าต้องพยายามข่มใจไม่รวบร่างเล็กในชุดเจ้าสาวสีขาวเข้ามากอดไว้แน่นๆ นึกแล้วก็หงุดหงิดพี่ชายตัวดีนัก เธอเจอไอศิกาก่อนแท้ๆ แต่เขาดันมาแย่งเธอไปเสียนี่!

“อุ๊ย ไม่ต้องตื่นเต้นไปนะจ๊ะคนดี เดี๋ยวอาจะช่วยนวดบ่าคลายเครียดให้”

หลิงหลิงในชุดกี่เพ้าสีแดงเพลิงปราดเข้ามาหาว่าที่เจ้าสาว แต่ถูกหลานสาวคนงามที่แต่งชุดสูทสีฟ้าอ่อนแบบผู้ชายยกมือห้ามไว้ทันควัน สีหน้าที่เคยวางเฉยเป็นนิตย์ ดูเย็นชากว่าเดิมอีกหลายเท่า

“พอเลยค่ะอาหลิงหลิง หนูยังแต่งหน้าให้ลูกแก้วไม่เสร็จ ขืนปล่อยให้อากอดรัดฟัดเหวี่ยงเจ้าสาว หนูแต่งหน้าไม่เสร็จทันเวลา พี่ใหญ่ได้มาแหกอกหนูกันพอดี”

“แหม...อาก็แค่อยากจะช่วยให้หนูลูกแก้วผ่อนคลาย”

หลิงหลิงรีบแสร้งทำเป็นยิ้มหวานเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรู้ทัน ส่วนคนกลางอย่างไอศิกาได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ กับท่าทางแปลกๆ ของทั้งสองสาว ที่จริง...เธอทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าจันทร์เจ้าเสียมากกว่า เธอ ‘เคย’ สนิทกับเพื่อนรุ่นพี่ผู้นี้มากก่อนจะรู้ความจริงว่าเจ้าตัวเป็นทายาทคนรองของตระกูลหวังและเป็นน้องสาวแท้ๆ ของหย่งเต๋อ ตอนที่รู้เรื่องทั้งหมด เธอยอมรับว่าโกรธจันทร์เจ้าอย่างไร้เหตุผลที่สุด คิดเองเออเองไปต่างๆ นานาว่าจันทร์เจ้ามาตีสนิทกับเธอก็เพื่อหาทางทำร้ายเธอและพ่อ เพิ่งมารู้ความจริงเมื่อวันสองวันนี้เองว่า จันทร์เจ้าไม่เคยมีความคิดในแง่ร้ายเช่นนั้นอยู่ในหัวสมองเลยแม้แต่น้อยมิหนำซ้ำยังมีแต่ความจริงใจให้เสมอมา

“ยิ่งทำให้เครียดละไม่ว่าค่ะ”

จันทร์เจ้าส่ายหน้าอย่างระอาใจ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าอาสาวของเธอกำลังคิดหาเศษหาเลยกับว่าที่เจ้าสาว อย่าว่าแต่หลิงหลิงจะคิดเลย เธอเองก็ยังคิด ไอศิกาน่ารักขนาดนี้ ใครเล่าจะอดใจไหว

“ห้องนี้ทำอะไรกันอยู่จ๊ะ ครึกครื้นเชียว”

ฟ้าใสเดินเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มสดใสอันเป็นเอกลักษณ์พร้อมกับบัวบูชา ทั้งคู่แต่งกายด้วยโทนสีชมพูกลีบบัวซึ่งสาวๆ ฝั่งตระกูลเฉินเสนอให้ใช้เป็นสีธีมของงานวิวาห์ แต่สองสาวตระกูลหวังอย่างจันทร์เจ้ากับหลิงหลิงไม่ยอมร่วมด้วย คนหนึ่งสวมสีฟ้า ส่วนอีกคนสวมสีแดงเพลิงเหมือนไฟไหม้ฟางเสียนี่

“อุ๊ย หนูลูกแก้วไม่ต้องไหว้หรอกจ้ะ คนกันเองทั้งนั้น”

นายหญิงของฮวงหลงและไป๋หู่รีบยกมือห้ามเป็นพัลวันเมื่อเห็นหญิงสาวกระพุ่มมือไหว้พวกตนอย่างนอบน้อม

“หนูสวยจังเลย” บัวบูชาเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ดวงตาฉายแววปรานีในแบบที่ไอศิกาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นจากคนที่เป็นถึงภรรยาของหัวหน้าแก๊งที่ขึ้นชื่อว่าเหี้ยมโหดที่สุดในปารีส “ถ้านะโมมาเห็นเข้าต้องตะลึงจนตาค้างแน่เลยนะคะคุณฟ้า”

“ฉันก็ว่าอย่างนั้นละค่ะคุณบัว นะโมของพวกเรานี่ตาถึงจริงๆ”

ฟ้าใสเชยคางกลมมนของคนที่กำลังจะกลายเป็นลูกสะใภ้ของตนเต็มตัวขึ้นพินิจด้วยความเอ็นดู ไอศิกาเสทำเป็นไม่เห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่บนข้อมือทั้งสองข้างของฟ้าใส รอยนั่น...มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นรอยที่เกิดจากการถูกมีดกรีด ในตอนแรก เธอคิดว่าฟ้าใสน่าจะได้แผลพวกนั้นมาจากตอนที่ถูกลอบวางระเบิดเมื่อสองปีก่อน แต่หย่งเต๋อบอกว่ารอยแผลนี้มีมาตั้งแต่ก่อนเขาเกิดเสียอีก คงเป็น...ราคาค่างวดของการเป็นคนรักของชายในโลกมืดอย่างแดเนียลสินะ บัวบูชาเองก็มีบาดแผลที่ข้อมือ เพียงแต่จางกว่ามากจนแทบไม่เห็นหากไม่สังเกต

...ผู้หญิงของมาเฟียทุกคนล้วนแล้วแต่มีบาดแผล หากแต่ต้องเยียวยารักษาตนเองให้หาย และทำตัวให้แกร่งขึ้นเพื่ออยู่เคียงข้างผู้ชายที่ตนรักไปจนสุดทาง...

“หนูเห็นด้วยค่ะ เจ้าสาวของหย่งเต๋อสวยจริงๆ ด้วย น้าบัว”

เสียงหวานใสดังนำมาก่อนที่ร่างโปร่งบางในชุดสีชมพูโทนเดียวกับนายหญิงของทั้งสองแก๊งจะเดินเข้ามา ใบหน้าสวยหวานตามแบบฉบับลูกครึ่งและเรือนผมหยักศกยาวสยายดูเย้ายวนและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ทางเพศในแบบที่ไอศิกายังอดชื่นชมไม่ได้

“อ้าว เฟลอร์ มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แล้วคุณแม่อยู่ที่ไหนจ๊ะ”

บัวบูชารีบถามหาธูปหอมเพื่อนรักที่คบหากันมายาวนานทันที

“คุณแม่อยู่กับคุณพ่อข้างล่างค่ะ แต่ตอนนี้กำลังดุคุณพ่อเรื่องดื่มไวน์มากเกินไปเสียงดังโวยวายเชียวละค่ะ หนูเลยจะมาตามน้าบัวไปห้ามทัพ ”

เฟลอร์ไม่ค่อยเก่งภาษาไทยนักจึงเลือกจะพูดภาษาฝรั่งเศสกับบัวบูชาและพยายามพูดภาษาไทยปนภาษาอังกฤษกับคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแม่

“ตายจริง เอาอีกแล้วเหรอจ๊ะ สองคนนี้ทะเลาะกันอยู่เรื่อย” บัวบูชาหัวเราะ “งั้นเดียวขอตัวสักครู่นะจ๊ะ หนูลูกแก้ว เดี๋ยวน้าจะมาช่วยดูหนูแต่งตัวใหม่”

“ยินดีที่รู้จักนะคะ ฉันชื่อเฟลอร์ค่ะ เป็นเพื่อนของเพ่ยเพ่ย เสียดายเรามีเวลาคุยกันน้อย เอาไว้เจอกันข้างล่างนะคะ”

เฟลอร์ยิ้มกว้างให้เจ้าสาวอย่างจริงใจก่อนจะเดินตามบัวบูชาออกจากห้องไปด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง

“เพื่อนของคุณเพ่ยเพ่ยสวยจังเลยค่ะ พี่จันทร์เจ้า สูงอย่างกับนางแบบแน่ะ”

ไอศิกามองตามชายกระโปรงสีหวานที่หายลับไปจากกรอบประตูด้วยสายตาชื่นชม เฟลอร์เป็นผู้หญิงที่สวยมีเสน่ห์มาก สูงโปร่ง ทว่ามีทรวดทรงองค์เอวครบเครื่องในแบบที่ผู้ชายเห็นแล้วคงต้องมองกันเหลียวหลัง คอดในส่วนที่ควรคอด และอวบอิ่มในส่วนที่ควรอวบอิ่ม

“เอ๊ะ...นี่หนูลูกแก้วไม่รู้จักเฟลอร์เหรอ คนนี้น่ะ แฟนเก่าหย่ง...”

“อาหลิงหลิงคะ”

จันทร์เจ้าปรามเสียงเข้มอยู่ในที แต่ดูเหมือนจะช้าไป เพราะแววตาของไอศิกาวูบไหวจากประโยคที่เอ่ยยังไม่ทันจบของหลิงหลิงเสียแล้ว

“แฟนเก่า?” หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆ แล่นขึ้นมาจุกที่คอหอย “คุณเฟลอร์เป็นแฟนเก่าของนะโมเหรอคะ”

“แฟนเก่าก็คือแฟนเก่า อย่าคิดมากเลย” จันทร์เจ้ารีบพูดพลางตวัดพู่กันทาลิปสติกให้สาวรุ่นน้องต่อ “เก่าที่แปลว่าไม่ได้คบกันแล้วนั่นละ เฟลอร์น่ะแต่งงานไปนานแล้วนะ เป็นเรื่องตั้งแต่สมัยพี่หย่งเต๋อเพิ่งอายุ 20 โน่น”

“โอ๊ย แต่ตอนนั้นหย่งเต่อเครซี่ยายหนูเฟลอร์น่าดูนะ เทียวไล้เทียวขื่อทุกวันไม่เคยขาด ขลุกอยู่ที่ฝรั่งเศสเป็นเดือนๆ เชียวละ”

หลิงหลิงยังคงพูดต่อประสาคนที่ไม่เคยสนใจสิ่งใดในโลกหล้า ไม่แม้แต่จะสังเกตสีหน้าที่ค่อยๆ หมองลงของไอศิกา ทำเอาจันทร์เจ้าต้องลอบกลอกตาด้วยความระอาใจ โอเค เธออาจหงุดหงิดที่พี่ชายได้แต่งงานกับสาวน้อยที่เธอแอบผูกสมัครรักใคร่ข้างเดียวมานานแรมปี แต่ไม่งี่เง่าพอที่จะถล่มงานแต่งของหย่งเต๋อด้วยคำพูดไม่ยั้งคิดเหมือนที่หลิงหลิงกำลังทำอยู่นี่หรอก ดูจากสีหน้าของไอศิกาแล้ว...ตัวใครตัวมันละกันนะพี่ใหญ่!

 

“หา! อะไรนะ ลูกแก้วไม่ยอมลงมา?” หย่งเต๋อที่กำลังอุ้มปาทริคไว้ในอ้อมแขนหันไปมองหน้าน้องสาวด้วยความรู้สึกเหมือนตนเองหูฝาดไป “เกิดอะไรขึ้น หยูเยว่ นี่เราไปพูดเรื่องบ้าๆ อะไรหรือเปล่า”

“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย พี่ใหญ่ อาหลิงหลิงล้วนๆ” จันทร์เจ้าถอนใจ “ฉันช่วยพูดให้แล้วนะ แต่ลูกแก้วบอกว่ายังไม่พร้อม อยากเลื่อนงานแต่งออกไปก่อน”

“เฮ้ย! ไม่ได้!” ชายหนุ่มร้องเสียงดังเสียจนบรรดาแก๊งสุดขอบนรกที่นั่งคุยกันอยู่ที่มุมห้องจัดเลี้ยงที่ตกแต่งด้วยดอกไม้อย่างสวยงามพากันหันมามองเป็นตาเดียว เขาจึงรีบวางปาทริคลงนั่งบนเก้าอี้แล้วคว้าต้นแขนจันทร์เจ้าลากให้มาคุยอีกด้านหนึ่ง “นี่มันเรื่องอะไรกันวะ ไอ้ตี๋เล็กก็ยังหาแหวนแต่งงานไม่เจอ แล้วนี่ลูกแก้วก็จะไม่ยอมแต่งงานกับพี่อีก”

“ก็โน่น...อดีตสาวของพี่นั่นละโผล่ไปบนห้องตอนฉันกำลังช่วยลูกแก้วแต่งตัว” จันทร์เจ้าทำท่าพยักพเยิดไปทางหญิงสาวที่ยืนคุยอยู่กับพุดพิชญา “ลูกแก้วชมว่าเฟลอร์สวย แล้วอาหลิงหลิงก็บอกว่าเขาเป็นแฟนเก่าของพี่ พี่เคยเครซี่เขามาก เท่านั้นละ ลูกแก้วเงียบไปเลย”

“อาหลิงหลิงนะอาหลิงหลิง” ดวงตาคมกริบกวาดมองหาตัวต้นเรื่องแต่ไม่พบ หน็อย...พอก่อเรื่องเสร็จก็ชิ่งเลยนะ! “บ้าไปกันใหญ่แล้ว เฟลอร์น่ะมีผัวแล้วนะ”

“พูดจาน่าเกลียด พี่ใหญ่ เลือกคำให้มันสุภาพหน่อยสิ” จันทร์เจ้าทำหน้าเบ้ นิสัยห่ามเรียกพ่อของพี่ชายนี่ไม่ว่าอย่างไรก็แก้ไม่หายเสียทีสิน่า “พี่อย่าลืมนะว่าตัวเองมีชนักติดหลังอยู่หลายเรื่อง สมควรที่ลูกแก้วจะระแวงอยู่หรอก แล้ววันนี้เป็นวันแต่งงาน ถือเป็นวันสำคัญ ผู้หญิงน่ะอ่อนไหวที่สุดก็วันนี้นี่ละ ทั้งกลัว ทั้งกังวลสารพัด พอมาได้ยินอะไรแบบนี้ก็คงรู้สึกไม่มั่นคงเป็นธรรมดา ทางที่ดีพี่ควรไปคุยกับลูกแก้วให้เข้าใจนะ ไม่อย่างนั้นฉันได้รับช่วงต่อเจ้าสาวของพี่แน่ พี่ใหญ่”

“ฝันไปเถอะ!”

หย่งเต๋อขู่ฟ่อแล้วเดินกระแทกเท้าปึงปังเดินตรงกลับไปยังห้องนอนชั้นบนของชาโตหรือปราสาทอันแสนเก่าแก่ที่แดเนียลสั่งรีโนเวทใหม่ทั้งหมดก่อนยกเป็นของขวัญแต่งงานให้พุดพิชญาและจวิ้นเจี๋ย แม้นานๆ ทีสองสามีภรรยายอดแสบคู่นั้นจะมาพักผ่อนที่นี่เสียทีหนึ่ง แต่ก็มักให้คนเข้ามาทำความสะอาดปัดกวาดและคอยดูแลเป็นอย่างดีอยู่เสมอ

“ลูกแก้ว” ชายหนุ่มเคาะประตูห้องแล้วขยับลูกบิดดูก็พบว่ามันล็อกอยู่ “ลูกแก้วได้ยินผมหรือเปล่า”

คนที่ขังตัวเองอยู่ด้านในยังคงเงียบงันจนเขาอดรู้สึกเป็นห่วงอยู่ลึกๆ ไม่ได้

“ที่รัก ทุกคนกำลังรอคุณอยู่ข้างล่างนะ คุณพ่อของคุณก็ด้วย ไหนคุณว่าไม่อยากทำให้ท่านต้องเป็นห่วงไงจ๊ะ คนดี” เมื่อไม่มีการตอบรับมือหนาก็เริ่มเขย่าลูกบิดแรงขึ้น “ลูกบิดทองเหลืองนี่อายุเป็นร้อยปีเลยนะ ทูนหัว ผมยังไม่อยากทำให้มันหักคามือ ฉะนั้นออกมาเถอะนะจ๊ะ คุณก็รู้ว่าผมเอาจริงแน่”

สิ้นประโยคข่มขู่กลายๆ ของหย่งเต๋อ เสียงปลดล็อกก็ดังขึ้นพร้อมกับที่บานประตูเปิดออกเผยให้เห็นหญิงสาวในชุดเจ้าสาวสีขาวดูสวยหวานไปทั้งตัว ดวงตาของเธอแดงก่ำเหมือนพยายามกลั้นสะอื้นอย่างสุดความสามารถ เธอมองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

“ฉันคิดว่า...เราควรจะเลื่อนงานแต่งออกไปก่อน มัน...มันเร็วเกินไป...”

เร็วสิ เร็วมากด้วย เจอหน้ากันอีกครั้งยังไม่ทันถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงดี เธอก็ตัดสินใจยอมรับคำขอแต่งงานของเขาโดยไม่หยุดคิดแม้แต่วินาทีเดียว เรียกว่าทำตามอารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ ไม่ได้ใช้เวลาไตร่ตรองให้ดีเลยสักนิด เธอรักเขา เพียงแค่เขาบอกว่าคอยตามเฝ้ามองเธอตลอดสองปีที่ผ่านมา เธอก็หลงใหลได้ปลื้มจนลืมไปว่า เขาก็อาจเคยทำแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่นมาแล้วเช่นกัน โดยเฉพาะผู้หญิงที่ชื่อเฟลอร์คนนั้น คนที่หลิงหลิงบอกว่าเขา ‘เครซี่’ เธอมากคอยตามเฝ้าไม่ห่าง

“เป็นอะไรไป ทำไมจู่ๆ ถึงปอดแหกขึ้นมาได้ ฮึ” หย่งเต๋อก้าวไปประชิดคนตัวเล็กที่วันนี้สูงกว่าปกติเพราะสวมรองเท้าส้นสูง แต่ถึงกระนั้นศีรษะของเธอก็ยังไม่พ้นหัวไหล่เขาอยู่ดี สองมือประคองดวงหน้าเรียวที่แต่งแต้มอย่างประณีตงดงามขึ้นสบตากันตรงๆ “ถ้าคุณกังวลเรื่องเฟลอร์ละก็ เลิกคิดไปได้เลย เฟลอร์เป็นแฟนเก่าของผมก็จริง แต่นั่นเป็นเรื่องสมัยผมอายุยี่สิบเท่านั้นเองนะ ลูกแก้ว เราจบกันไปนานมากแล้ว ตอนนี้ผมกับเขาเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น คุณไม่จำเป็นต้องหึงเลย”

“ฉันไม่ได้หึง” ไอศิกาพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง จริงๆ ก็หึงนั่นละ! หึงจนรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าอย่างไรก็ไม่รู้ ดวงตาของเธอจับจ้องใบหน้างดงามราวปีศาจจำแลงของหย่งเต๋ออย่างสับสน “ฉันแค่...รู้สึกไม่มั่นใจว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก มาก...เกินไปด้วย...”

“คุณก็กำลังจะแต่งงานเป็นภรรยาของผมไงจ๊ะ เด็กน้อย” ชายหนุ่มแนบริมฝีปากจุมพิตหน้าผากกลมมนอย่างเอาใจ “ช้าหรือเร็วไม่ใช่ประเด็น แต่หลักใหญ่ใจความคือเรารักกัน และอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยกันต่างหาก ผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักก็คือคุณนะ ลูกแก้ว เชื่อมั่นในตัวผมหน่อยสิ สองปีที่ผ่านมานี้มีแต่คุณที่นั่งอยู่กลางหัวใจผม ผมรักคุณแทบบ้าขนาดนี้แล้วยังไม่พออีกเหรอ ฮึ”

“แต่ฉันคงไม่ใช่คนแรกที่คุณบอกว่ารักแทบบ้าแน่ ถูกไหม” ไอศิกาเม้มริมฝีปากแน่น พยายามไม่หลงละเมอไปกับแววตาหวานเชื่อมของพ่อคนร้อยเล่ห์ตรงหน้า

“ลูกแก้ว ถ้าผมรู้ว่าในอนาคตผมจะพบคุณแล้วรักคุณมากขนาดนี้ ผมจะไม่มีวันมองผู้หญิงคนไหนเลย จะรอแค่คุณคนเดียว แต่ผมเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ไม่ได้มีพลังวิเศษอะไร ไม่มีทางหยั่งรู้อนาคตได้หรอกนะว่าเมื่อไหร่จะได้พบคนที่ใช่”

เขาพยายามงัดมุกสมัยพระเจ้าเหาที่หวังเฟยเคยใช้กล่อมมารดาของเขาตอนที่รู้ว่าพ่อมีสาวๆ ในอดีตมากมายจนได้ผลมาแล้ว เรื่องนี้เขาเคยฟังจากอาหลิงหลิงมานับร้อยครั้งจนจำได้ขึ้นใจ แถมปู่ยังชอบพูดทวงบุญคุณเรื่องที่พ่อกับแม่เขาได้ลงเอยกันเพราะความช่วยเหลือของท่านอยู่บ่อยๆ ถ้ามุกนี้ยังไม่เวิร์คอีกละก็ เขาคงต้องไปเชิญปู่ขึ้นมาเป็นตัวช่วยเสียแล้ว

“ตอนนั้นคุณก็คงคิดว่าคุณเฟลอร์คือคนที่ใช่ ส่วนตอนนี้คุณบอกว่าเป็นฉัน แล้วถ้าวันหนึ่งคุณเปลี่ยนใจอีกล่ะ แล้วถ้าคุณ...”

เสียงที่เหลือถูกริมฝีปากหยักลึกดูดกลืนไปจนสิ้น ในตอนแรก ไอศิกาตั้งท่าจะผลักเขาให้ออกห่าง แต่เมื่อเขาเริ่มบดคลึงกลีบปากของเธออย่างอ่อนหวานเพื่อส่งผ่านทุกความรู้สึกที่มี เธอก็หยุดนิ่ง ทุกความสับสนวุ่นวายในสมองและความรู้สึกไม่มั่นคงลึกๆ ในหัวใจแทบสลายหายไปในหนึ่งจูบอันแสนยาวนานของเขา

“นั่นเป็นเรื่องสมัยผมยังวัยรุ่น มันจบไปนานมากแล้ว ตอนนี้ผมรักคุณคนเดียว ลูกแก้ว คุณคนเดียวที่เป็นเจ้าของผมทั้งตัวและหัวใจ ฉะนั้นเลิกคิดมากได้แล้ว ที่รัก”

หย่งเต๋อกระซิบชิดริมฝีปากนุ่มนิ่มก่อนจะประทับจุมพิตอีกครั้ง ไอศิการีบยกมือขึ้นดันใบหน้าของเขาให้ออกห่างแล้วปาดปลายนิ้วไปบนรอยลิปสติกสีชมพูที่เลอะอยู่รอบๆ ปากของเขา

“พะ...พอแล้วค่ะ ข้างล่างมีผู้ใหญ่อยู่ตั้งเยอะแยะ อุ๊ย! นะโม!”

หญิงสาวอุทานเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมหยุด เอาแต่ประทับจูบลงมาซ้ำๆ จนเธอตัวอ่อนปวกเปียก

“เด็กดื้ออย่างคุณน่ะต้องจับมาจูบปรับทัศนคติให้ปากเปื่อยแบบนี้ละถูกแล้ว มีอย่างที่ไหนอยู่ก็คิดจะยกเลิกงานแต่งดื้อๆ คุณไม่รู้หรอกว่าผมรอเวลานี้มานานแค่ไหน รอนานจนแทบจะขาดใจตายอยู่แล้ว” หย่งเต๋องับริมฝีปากล่างของไอศิกาอย่างยั่วเย้าจากนั้นจึงตวัดร่างบอบบางขึ้นอุ้มแนบอก ตั้งท่าจะเดินตรงไปที่เตียง “ผมว่าถ้ามันยุ่งยากนัก เรามาข้ามพิธีการแล้วมุ่งเข้าหอกันเลยก็แล้วกัน”

“แหม...ไม่ต้องรีบมีหลานให้ฉันขนาดนั้นก็ได้มั้ง ไอ้ตัวดี” แดเนียลยืนกอดอกพิงกรอบประตูมองว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่กำลังจะข้ามขั้นตอนด้วยแววตาขบขัน “รีบย้ายก้นลงไปข้างล่างได้แล้ว ปู่กับคนอื่นๆ เริ่มบ่นกันแล้วนะว่าแกกับหนูลูกแก้วหายไปไหนตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว เดี๋ยวก็เลยฤกษ์จนได้”

“ผมถือฤกษ์สะดวกครับพ่อ แล้วตอนนี้ก็คิดว่าสะดวกจะเข้าหอแล้ว”

หย่งเต๋อหัวเราะแล้วหันไปขยิบตาให้คนที่กำลังรู้สึกอับอายจนตัวแดงเป็นกุ้งต้มอยู่ในอ้อมแขน

“ให้มันน้อยๆ หน่อย สงสารหนูลูกแก้วบ้าง” ดวงตาของพญามังกรยามทอดมองสองคนตรงหน้าอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด “ตอนนี้มีปัญหาใหญ่เรื่องแหวนอยู่นะ คิดได้หรือยังว่าจะเอายังไง จนเดี๋ยวนี้อากุ้ยยังหาแหวนแต่งงานของแกไม่เจอเลย”

“หาไม่เจอ? หมายความว่าแหวนหายเหรอคะ” ไอศิกามองหน้าหย่งเต๋อสลับกับแดเนียล

“ไอ้เฉินกุ้ยจำไม่ได้ว่าเอาไปวางไว้ตรงไหนน่ะสิ ตั้งแต่มีลูกเนี่ย มันลืมทุกอย่างนั้นละ วันๆ ก็มัวแต่ถ่ายคลิปลูกทำโน่นทำนี่” หย่งเต๋อส่ายหน้าอย่างระอาใจ “ที่จริงเราค่อยไปแลกแหวนกันตอนทำพิธีแบบไทยปีหน้าก็ได้มั้งครับพ่อ”

“หรือ...หรือเราไม่ต้องแลกแหวนก็ได้ ฉันมีกำไลที่คุณให้มาอยู่แล้ว...”

ไอศิกามัวแต่กังวลว่าเฉินกุ้ยจะถูกเอ็ดเอาจึงลืมความตั้งใจแรกที่จะยกเลิกการแต่งงานไปเสียสิ้น ที่จริง...ก็ลืมไปหมดตั้งแต่ถูกว่าที่สามีจุมพิตดูดดื่มแล้ว

“หรือไม่ก็ใช้แหวนวงนี้แทน” ฟ้าใสเดินออกมาจากทางด้านหลังสามีผู้มีเรือนกายใหญ่โตบังตัวเธอเสียมิดเม้นแล้วยื่นแหวนเพชรน้ำงามให้ลูกชาย ตัวเรือนเป็นทองคำขาวเรียบๆ ประดับด้วยเพชรทรงกลมขนาดห้ากะรัตเพียงหนึ่งเม็ดตรงกลาง “แหวนแต่งงานของแม่เอง ชอบไหม”

“จะดีเหรอคะ นั่นเป็นแหวนแต่งงานของคุณป้า...”

“เรียกว่าคุณแม่ได้แล้วจ้ะ หนูลูกแก้ว” ฟ้าใสเอ่ยอย่างนุ่มนวล “เราจะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะจ๊ะ ของๆ แม่ทั้งหมด ยังไงก็ต้องส่งต่อให้พวกลูกๆ อยู่ดี รับไปตั้งแต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ดีเสียอีกที่หนูจะได้ใช้แหวนวงเดียวกับที่พ่อกับแม่เคยใช้แต่งงาน”

นายหญิงของฮวงหลงส่งแหวนให้บุตรชายด้วยความรู้สึกเต็มตื้นอยู่ในอก เธอชูข้อมือที่สวมกำไลมังกรเซียงซือหงโต้วให้สองหนุ่มสาวดู

“อีกอย่างนะ แม่ก็มีของขวัญชิ้นสำคัญของพ่อที่ให้แม่ไว้อยู่แล้ว”

ฟ้าใสหันไปสบตากับแดเนียลที่ตอบรับกลับมาด้วยรอยยิ้มนุ่มนวลอย่างที่ไอศิกาไม่คาดว่าจะได้เห็นจากคนที่ได้ชื่อว่าพญามังกรไร้พ่ายผู้เหี้ยมโหดที่สุดในเอเชีย เขารูดแหวนหยกออกจากนิ้วแล้วส่งให้ว่าที่ลูกสะใภ้

“เดี๋ยวหนูใช้แหวนวงนี้สวมให้หย่งเต๋อก็แล้วกันนะ ฉันยกให้มันสวมตรงๆ ก็คงไม่ยอมหรอก”

“พ่อ! นั่นมัน...” หย่งเต๋อพูดไม่ออก แหวนหยกวงนี้คือ...

“แหวนวงนี้คือสัญลักษณ์บ่งบอกว่าแกคือหัวหน้าแก๊งของฮวงหลง” แดเนียลมองลึกเข้าไปในดวงตาของลูกชาย “เมื่อสวมแหวนวงนี้แล้วจงระลึกให้ดีว่า แกมีคนที่แกต้องปกป้องมากกว่าหนึ่ง จะทำอะไรก็หัดคิดหน้าคิดหลังบ้าง”

“หมายความว่า...พ่อจะลงจากตำแหน่งงั้นเหรอ”

“ใครว่า ฉันก็แค่ถอยมายืนข้างหลัง แล้วให้แกออกหน้าก็เท่านั้น ฉันจะยืนอยู่ข้างหลัง คอยช่วยเหลือแกเสมอนั่นละ ไอ้ลูกชาย” แดเนียลยิ้มกว้าง “ทำไม คิดว่าตัวเองกระจอกจนไม่มีปัญญาดูแลแก๊งฮวงหลงหรือไง ตอนฉันรับตำแหน่งจากปู่ของแก ฉันก็อายุเท่าๆ แกนี่ละ แต่อาจจะเก่งกว่าหน่อย”

“ขี้คุยชะมัด” หย่งเต๋อหัวเราะ ในแว่บแรก เขารู้สึกหนักใจกับภาระที่จู่ๆ ก็ตกใส่บ่าให้แบกรับ แต่ครู่ต่อมาก็รับรู้ได้ถึงความเชื่อมั่นของบิดาที่มีให้เขาอย่างล้นปรี่และรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก เขาไม่เคยอยากเป็นหัวหน้าแก๊งฮวงหลง ทว่า...การได้รับความเชื่อใจให้ดูแลชีวิตของทุกคนนั้นคือสิ่งที่เขาปรารถนามาตลอด “ผม...ไม่แน่ใจว่าจะทำได้ดีแค่ไหนหรอกนะพ่อ แต่จะทำให้ดีที่สุด ผมจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังเป็นอันขาด”

คำมั่นของลูกชายเรียบง่ายทว่าหนักแน่นอย่างน่าชื่นชมจนคนเป็นพ่ออดปลื้มปีติอยู่ลึกๆ ไม่ได้ แดเนียลเดินตรงไปเช็ดรอยลิปสติกที่ติดอยู่บนแก้มของหย่งเต๋อแล้วทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอ

“อย่าเพิ่งได้ใจ ตอนนี้ยังถือว่าแกเป็นแค่หัวหน้าแก๊งฝึกหัด ยังต้องเรียนรู้จากฉันกับปู่ของแกอีกเยอะ”

“พ่อก็อย่าเบื่อที่จะสอนผมก็แล้วกัน”

หย่งเต๋อปล่อยไอศิกาลงยืนบนพื้นแล้วโผเข้ากอดบิดาเอาไว้หลวมๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แม้จะขัดเขินอยู่บ้าง แต่ก็บ่งชัดถึงความรักและผูกพันที่ทั้งคู่มีให้กันอย่างล้นปรี่

“แกเตรียมตัวไว้ให้ดีเถอะ ฉันโหดนะโว้ย” แดเนียลเสทำเป็นหัวเราะแก้เขิน มือหนาตบบ่าลูกชายสองสามครั้งก่อนจะหันไปหาไอศิกา “หนูไม่ต้องกังวลไปนะ เรื่องที่หนูไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับแก๊งก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง หนูสามารถใช้ชีวิตอย่างที่หนูปรารถนาข้างๆ หย่งเต๋อ แต่ไม่จำเป็นต้องพัวพันกับเรื่องที่เขาทำ ฉันให้สัญญาว่าหนูกับพ่อจะมีชีวิตที่สงบสุข ทุกเรื่องของหนูจะเป็นความลับ คนอย่างฉันพูดคำไหนคำนั้น เชื่อใจฉันได้เลย”

“ขอบพระคุณค่ะ”

ไอศิกากระพุ่มมือไหว้ผู้สูงวัยว่าด้วยความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ปากคนเราจะพูดพล่อยๆ แบบใดก็ได้ แต่แววตาไม่มีวันโกหก และแววตาของแดเนียลก็เป็นเช่นนั้น จริงใจและเต็มไปด้วยความปรานี

“ไปกันเถอะ ป่านนี้ทุกคนรอเราแย่แล้ว” หย่งเต๋อคว้ามือของไอศิกามากุมไว้อย่างทะนุถนอมแล้วก้มลงกระซิบชิดริมหูบอบบาง “ผมกินลิปสติกคุณไปหมดแล้ว เดี๋ยวให้หยูเยว่ทาให้ใหม่นะจ๊ะ ส่วนคืนนี้ ผมไม่กินแค่ลิปสติกแน่”

“บ้า”

หญิงสาวหน้าแดง เธอหยิกหมับเข้าที่เอวสอบของชายหนุ่มแล้วปล่อยให้เขาจับจูงออกจากห้องไปพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมสุข

“คุณน่ะเจ้าเล่ห์ไม่เปลี่ยนเลยนะคะ แดเนียล” ฟ้าใสมองตามแผ่นหลังของเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ “คุณเป็นคนเอาแหวนไปซ่อนเพราะจะให้ลูกรับแหวนประจำตำแหน่งวันนี้ใช่ไหมคะ ไหนๆ คนสำคัญก็มารวมตัวกันแล้ว ประกาศเรื่องหัวหน้าแก๊งคนใหม่พร้อมงานมงคลก็เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”

“คุณนี่ฉลาดสมกับเป็นนายหญิงของฮวงหลงจริงๆ ครับฟ้า” แดเนียลโอบไหล่ภรรยาแล้วดึงเธอเข้ามาแนบกาย “สงสารก็แต่ไอ้เฉินกุ้ยนั่นละ ป่านนี้คงยังไม่รู้ว่าแหวนอยู่ที่ผม”

“คุณกับนะโม นิสัยไม่ดีทั้งคู่ ชอบแกล้งอากุ้ยกันจริงๆ” ฟ้าใสหัวเราะเสียงหวานพลิ้ว “ฉันมีความสุขจังค่ะแดเนียล ฉันดีใจที่นะโมได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรัก ส่วนจันทร์เจ้า ก็ได้มีชีวิตแบบที่ตัวเองเลือก แต่ก็กลัวนะคะ ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีเรื่องวุ่นวายอะไรรออยู่อีก”

“อย่าไปกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเลยครับฟ้า ลูกๆ น่ะโตแล้วนะ พวกเขาเข้มแข็งมากกว่าที่เราคิด ไม่ว่าจะเกิดอะไร พวกเขาก็คงรับมือกันได้แน่ เชื่อใจลูกสิ”

“ฉันเชื่อใจลูกค่ะ” ฟ้าใสซบศรีษะกับแผงอกของสามี “แล้วก็เชื่อว่านิทานชีวิตของพวกเขาต่อจากนี้จะต้องเต็มไปด้วยสีสันและเสียงหัวเราะแน่ๆ ถึงจะไม่ราบรื่น แต่พวกเขาก็แกร่งพอที่จะผ่านอุปสรรคในชีวิตไปได้”

กาลครั้งหนึ่ง...เธอเคยตกหลุมรักผู้ชายจากโลกมืด รัก...มากพอที่จะจับมือฟันฝ่าสารพัดเรื่องราวไปด้วยกันโดยไม่เคยย่อท้อ และเชื่อว่าความรักในกาลครั้งนั้น...ที่หย่งเต๋อและไอศิกายังเยาว์จะช่วยประคับประคองพวกเขาให้ก้าวไปสู่อนาคตเบื้องหน้าด้วยกันได้อย่างมั่นคง

หลายปีต่อมา เฉินกุ้ยก็ยังถูกลูกพี่ใหญ่ล้อเลียนเรื่องทำแหวนหายไม่เลิกรา แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าบิดาของตนเป็นคนเอาไปซ่อน เฉินหมิงและจวิ้นเจี๋ยที่ล่วงรู้ความลับอยู่แล้วก็พร้อมใจกันร่วมวงรังแกเฉินกุ้ยกันเพื่อความบันเทิงส่วนตัว เฉินเปียวนั้นจนปัญญาที่จะช่วยเหลือลูกชายได้ เพราะตัวเองก็ยังเป็นของเล่นยามว่างของแดเนียลอยู่เสมอ

ภัทรพลผู้มีสีหน้าจ๋อยสนิทยามเห็นเจ้าบ่าวจุมพิตเจ้าสาว ได้พบกับคนที่มาเยียวยาหัวใจของตนเองในที่สุด และดูเหมือนชีวิตจะไปได้สวย และอาจมีข่าวดีในเร็ววัน คนเดียวที่ไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวใดๆ กับใครทั้งสิ้นเพราะหลับตลอดพิธีการแต่งงานทั้งที่ตนมีหน้าที่ถือแหวนก็คือปาทริค แน่นอนว่าเขาถูกเฉินหลินแซ็วเรื่องนี้ไปจนเข้ามหาวิทยาลัยทีเดียว และเมื่อราชาวดีลูกสาวจอมแก่นของจวิ้นเจี๋ยและพุดพิชญาแอบอ่านไดอารีซึ่งเฉินหลินบันทึกเรื่องราวของงานแต่งแสนวุ่นวายตามคำบอกเล่าของเฉินกุ้ยผู้เป็นบิดาเอาไว้ เธอก็อดอมยิ้มไม่ได้เมื่ออ่านมาถึงประโยคสุดท้าย...

...และแล้ว...ทุกคนก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข...

Happily ever after...

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น