ตอนที่ ๑๕
ตัดสินใจ
“ได้เจอคุณพ่อแล้ว ทำไมถึงยังทำหน้าหงิกอยู่อีกเล่า ไม่ดีใจหรือไง”
หย่งเต๋อถามคนที่ยืนอยู่เคียงข้างกันในลิฟต์ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ
ไอศิกาไม่ตอบ ดวงตาของเธอแดงก่ำและเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาที่เหมือนจะหยดมิหยดแหล่ ริมฝีปากบางเม้มแน่นอย่างพยายามข่มกลั้นอารมณ์ขุ่นเคืองเอาไว้อย่างสุดกำลัง
“คุณคงอยากอยู่กับคุณพ่อนานกว่านี้” เฉินกุ้ยมองตัวเลขดิจิทัลที่กำลังขยับขึ้นสู่ลานจอดรถชั้นบน “แต่คุณพ่อคุณเพิ่งฟื้น ต้องพักผ่อน แล้วนี่ก็ดึกแล้ว ทางโรงพยาบาลเองก็ยังไม่อนุญาตให้ญาติอยู่เฝ้า เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่เถอะครับ”
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ภัทรพลจงใจไล่ให้พวกเขาพาไอศิกากลับเซฟเฮาส์ไปก่อนเพื่อจะพูดคุยบางเรื่องกับภามต่างหากเล่า เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับ ‘ฮวงหลง’ แน่ ถึงพยายามปิดบังไม่ให้พวกเขารู้
“ลูกแก้ว...เข้าใจค่ะ” เสียงสูดน้ำมูกของไอศิกาดังกว่าเสียงพูดที่อู้อี้จนแทบฟังไม่รู้เรื่อง
“เข้าใจแล้วทำไมถึงยังร้องไห้งอแงเป็นเด็กๆ อีกฮึ” หย่งเต๋อเอื้อมมือไปลูบศีรษะคนตัวเล็กกว่า แต่เจ้าตัวก็เบี่ยงหนีทันควัน มิหนำซ้ำยังไม่ยอมมองหน้าเขาแม้แต่แวบเดียว “แล้วนี่งอนอะไรอีกครับคุณหนู”
“ฉันไม่ได้งอน”
แต่โกรธ...ที่เขาพูดจาเสียมารยาทกับพ่อของเธอ...
“ถ้าไม่ได้งอนแล้วทำไมไม่ยอมมองหน้าผม”
หย่งเต๋อช้อนคางให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตากันตรงๆ หยาดน้ำตาที่หยดลงมาอาบแก้มพาให้หัวใจที่เคยแข็งแกร่งปานหินผาสั่นไหวอย่างประหลาด หากไม่ติดว่าในลิฟต์มีกล้องวงจรปิด เขาคงโน้มลงไปประทับจุมพิตปลอบขวัญเธอนานแล้ว ส่วนเฉินกุ้ยน่ะหรือ...มันชินยามเห็นเขากอดจูบสาวๆ นานแล้ว และมักจะเบือนหน้าไปทางอื่นทุกครั้งอย่างรู้งานเสียด้วย เว้นแต่ครั้งนี้ ไอ้ตี๋เล็กของเขาหันกลับมาจ้องหน้ากันเขม็งจนไอศิกาเป็นฝ่ายกระดาก เธอปัดมือของเขาทิ้งแล้วกระถดตัวหนีไปยืนชิดผนังลิฟต์อีกด้าน
“จะรุ่มร่ามอะไรก็ดูตาม้าตาเรือหน่อยนะพี่ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องจนได้”
เฉินกุ้ยเอ่ยเสียงเบาขณะที่ประตูลิฟต์โดยสารเปิดออก เผยให้เห็นร่างขององอาจที่ยืนรออยู่ด้านนอก หย่งเต๋อทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคออย่างไม่สบอารมณ์นักแล้วคำรามเสียงต่ำ
“มารคอหอยจริงจริ๊ง”
“คุณหนู” องอาจมองหญิงสาวในชุดนิสิตที่เดินจ้ำพรวดออกมาจากลิฟต์สลับกับใบหน้าของชายหนุ่มทั้งสองคนด้วยความสงสัย “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่...ไม่มีอะไรค่ะ” ไอศิการีบส่ายหน้าแล้วฝืนยิ้มแห้งๆ “ว่าแต่คุณลุงองอาจมาทำอะไรตรงนี้เหรอคะ”
“ลุงมีเรื่องจะพูดกับคุณหนู” มือขวาของภามขึงตาใส่ชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่เดินตามมาประชิดหญิงสาวอย่างเอาเรื่อง “เป็นการส่วนตัว... คนอื่นไม่เกี่ยว ถอยไป”
“ต้องขอโทษด้วยที่ถอยได้ไกลที่สุดเท่านี้” หย่งเต๋อรวนกลับด้วยการเดินถอยหลังจากไอศิกาหนึ่งก้าว คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นสูงอย่างท้าทาย “ผมได้รับคำสั่งให้ดูแลคุณหนูลูกแก้วอย่างใกล้ชิดชนิดไม่ให้คลาดสายตา ก็ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด”
เฉินกุ้ยฟังลูกพี่พูดแล้วลอบกลอกตา คนเดียวที่หย่งเต๋อเชื่อฟังก็คือตัวของเขาเองนั่นละ ขนาดหวังเสี้ยวเทียนผู้เป็นบิดาแท้ๆ พร่ำบ่นจนปากเปียกปากแฉะยังทำเป็นหูทวนลม แถมยังคอยแต่จะหาจังหวะแหกกฎตลอดเวลาอีกต่างหาก
“อ้าว ไอ้นี่”
“คุณลุงองอาจคะ มาคุยกันทางนี้เถอะค่ะ” ไอศิการีบคว้าแขนขององอาจเอาไว้เมื่อเห็นว่าเขาตั้งท่าจะพุ่งตรงเข้าไปหาชายหนุ่มจอมยียวน “หนูต้องขอโทษแทนเขาด้วย เขาก็ชอบพูดจาไม่เข้าหูแบบนี้ละค่ะ แต่จริงๆ ไม่มีอะไรหรอก”
“ทำไมคุณหนูต้องออกหน้าแก้ตัวให้มันด้วย พวกอินเตอร์โพลมันเคยสนใจความเป็นความตายของพวกเราจริงๆ เสียที่ไหน”
องอาจทำท่าฮึดฮัด แต่ก็ยอมเดินตามหญิงสาวไปอีกทางแต่โดยดี เธอหันไปปรามชายหนุ่มด้วยสายตาแล้วเดินไปจนมั่นใจว่าพ้นระยะที่เขาจะได้ยิน ถึงกระนั้นก็ยังเอ่ยต่อไม่เต็มสุ้มเสียงนัก
“ลูกแก้วไม่ได้แก้ตัวแทนเขานะคะ ลูกแก้วแค่ไม่อยากให้มีเรื่องมีราวกันเท่านั้นเอง” ไอศิกาเหลือบมอง ‘เขา’ ที่ว่าอยู่เป็นระยะ เธอไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าผู้ชายที่ชื่อนะโมกำลังคิดอะไรและคิดจะทำสิ่งใดต่อไป เขาเป็นคนแบบนั้นเอง ไร้มารยาท ยากจะเดาทางความคิด แต่เธอก็ไม่เคยรังเกียจที่เขาเป็นแบบนั้น “ว่าแต่ลุงมีอะไรจะพูดกับลูกแก้วเหรอคะ”
“เรื่องของนาย” องอาจตวัดตามองเด็กรุ่นลูกที่ริปีนเกลียวอย่างขุ่นเคืองใจเป็นระยะ “ดูเหมือนจะมีคนไปขุดเรื่องเก่าๆ ของนายขึ้นมา พวกตำรวจก็เลยบ้าจี้ หาทางยัดข้อหาแล้วหิ้วนายเข้าคุก”
“หา? จะเอาเข้าคุกเรื่องอะไร คุณพ่อล้างมือมานานแล้ว พวกคดีเก่าๆ ก็...เคลียร์จนปิดเคสไปหมดแล้วนี่คะ ไม่น่ามีอะไรให้รื้อฟื้นได้เลย”
จริงอยู่ว่าเธอแทบไม่รู้รายละเอียดเรื่องความผิดแต่หนหลังของบิดานัก แต่ก็พอรู้ว่าการ ‘เคลียร์’ ที่ว่านี้มีเงินค่าวิ่งเต้นตกใส่ตักพวกข้าราชการกับนักการเมืองใจคดจำนวนมากเพียงใด และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ภามต้องเข้าสู่ภาวะล้มละลายหลังจ่ายเงินมากมายมหาศาลเพื่อพาตนเองออกจากวังวนของโลกมืด จนแทบไม่เหลืออะไร...แม้แต่บ้าน
“ลุงก็เข้าใจว่าจบไปหมดแล้ว แต่วงในกระซิบบอกว่ามีคนหาทางขุดเรื่องเก่าๆ ขึ้นมา แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องอะไร ถ้าให้เดา ลุงคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องค้ามนุษย์กับพวกยาเสพติด เรื่องพวกนี้อินเตอร์โพลไม่น่ากล้ายื่นมือเข้ามาปิดแผ่นฟ้าให้เราแน่ เพราะเป็นเรื่องหลักที่ทางอินเตอร์โพลเองก็ไล่ปราบปรามอยู่”
“ค้ามนุษย์กับยาเสพติด? นี่เอาอะไรมาพูดกันคะ คุณพ่อไม่เคยยุ่งกับเรื่องสกปรกพวกนั้นเสียหน่อย” ดวงตาคู่งามเต้นระริกยามมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเหมือนตนเองหูฝาดไป แต่เมื่อเห็นว่าองอาจหลบตา หัวใจของเธอก็ดิ่งวูบด้วยความผิดหวัง “ไม่จริงใช่ไหมคะ คุณพ่อไม่เคยยุ่งกับเรื่องพวกนั้น คุณพ่อ...ไม่ทำแน่...”
“คุณหนู” องอาจระบายลมหายใจยาว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอัดอั้นแกมลำบากใจ “คืออย่างนี้...สมัยนายยังหนุ่มๆ นายเคยทำเรื่องที่ไม่น่าภูมิใจหลายอย่างเพื่อความอยู่รอด ต่อให้มันผ่านมานานจนคนลืมกันไปหมดแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเคยทำ หลักฐานมันมีอยู่”
“ลูกแก้วขอดูหลักฐานที่ว่านั่นหน่อยได้ไหมคะ” แม้สิ่งที่เพิ่งได้ยินจะทำให้รู้สึกหดหู่และเสียใจเพียงใด แต่ในสถานการณ์เช่นนี้การมัวแต่ร้องร่ำคร่ำครวญไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่ควรทำคือตั้งสติและคิดหาทางแก้ไขต่างหากเล่า “เผื่อว่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ลูกแก้วจะได้ลองถามคุณพ่อ”
“เรื่องนี้ละที่ผมอยากคุยกับคุณหนู” องอาจกดเสียงลงต่ำอีก คล้ายกลัวว่าไอ้หนุ่มสองคนที่เขม้นมองมาจะได้ยินเข้า “ผมให้คนไปสืบมาแล้ว เห็นว่ามีการส่งหลักฐานพวกนั้นไปให้ท่านพิบูลย์ คุณหนูก็รู้จักท่านดี ถ้าลองไปคุยดูท่านอาจจะยินดีช่วยเราก็ได้”
“คุณลุงพิบูลย์เหรอคะ”
ดวงตาของไอศิกาสว่างวาบอย่างมีความหวัง พิบูลย์ สิทธา คืออดีตนักการเมืองชื่อดังผู้สนิทสนมกับบิดาของเธอมายาวนานเกือบยี่สิบปี แม้จะเก็บเรื่องสายสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นความลับด้วยเหตุผลของภาพลักษณ์ทางการเมือง แต่ก็ไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ เพิ่งจะห่างๆ กันไปช่วงสองสามปีหลังนี่เอง ตอนที่บิดาถูกยิง หญิงสาวจึงไม่กล้าแล่นไปขอความช่วยเหลือจากพิบูลย์ ด้วยไม่แน่ใจนักว่าจะทำให้ท่านต้องพลอยเดือดร้อนหรือไม่ ยิ่งได้ข่าวว่าเจ้าตัวกำลังจะกลับไปรับตำแหน่งสำคัญในพรรคการเมืองด้วยแล้ว ก็กลัวว่าท่านอาจจะไม่อยากยุ่งเรื่องที่ทำให้เป็นข่าวเสื่อมเสียชื่อเสียง
“แต่ลูกแก้วจะไปพบท่านได้ยังไงล่ะคะ ถ้ายังไงเราลองปรึกษาคุณพ่อดูก่อนดีไหม”
จริงอยู่ที่บิดาของเธอสนิทกับพิบูลย์ แต่ก็ใช่ว่าจะเดินลุยดุ่ยๆ เข้าไปขอพบได้เลยเสียเมื่อไหร่กันเล่า คนระดับนั้นกับเด็กกะโปโลระดับเธอเหมือนอยู่กันคนละโลกโดยสิ้นเชิง
“นายต้องไม่เห็นด้วยแน่คุณหนู” องอาจส่ายหน้า “คุณหนูก็รู้ว่านายต้องไม่ยอมให้ดึงท่านพิบูลย์มายุ่งกับเรื่องครั้งนี้แน่ แต่ถ้าไม่ได้ท่านพิบูลย์ช่วย พวกเราแย่แน่”
“แต่ถ้าคุณพ่อมารู้ทีหลังจะโกรธเอานะคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เราไม่ควรทำอะไรโดยพลการ”
ไอศิกายังคงลังเล เธอรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่หลักฐานที่ว่านั่นถูกส่งไปยังคนที่สนิทกับบิดาของเธอที่สุดอย่างมีเงื่อนงำ คนที่ส่งไปต้องการให้เกิดผลอะไรขึ้นกันแน่ ทำลายความน่าเชื่อถือของบิดาเธอ? สร้างรอยร้าวระหว่างบิดาของเธอกับพิบูลย์? หรือเห็นว่าอดีตนักการเมืองผู้นี้เป็นคนดีมีศีลธรรมจึงต้องการให้ใช้หลักฐานนั้นกลับมาเล่นงานท่านกันเล่า
“ก็ลองไปพูดเกริ่นปูทางไว้ก่อน ต่อให้นายมารู้ทีหลังก็คงโกรธไม่ลงหรอก นายรักคุณหนูจะตาย อย่าว่าแต่ตีเลย ดุสักคำยังไม่เคย ยิ่งคุณหนูพยายามหาทางช่วยแบบนี้ นายคงไม่ว่าอะไรหรอกน่า”
สีหน้าขององอาจเคร่งเครียดเสียจนหญิงสาวเริ่มใจอ่อน เธอรู้ว่าเขารักและเป็นห่วงบิดาของเธอมากกว่าใครๆ เป็นหนึ่งในบรรดาลูกน้องไม่กี่คนที่ไม่ยอมทอดทิ้งท่าน แม้ว่าจะสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีเงินจ่ายค่าจ้างรายเดือนให้อีกต่อไปแล้วก็ตามที มิหนำซ้ำยังช่วยรับภาระค่าใช้จ่ายบางอย่างให้ในช่วงแรกที่ชีวิตของท่านตกต่ำอีกด้วย ความซื่อสัตย์และปรารถนาดีของเขานั้นจึงไม่เคยเป็นที่กังขาสำหรับเธอเลยแม้แต่นิด
“ก็ได้ค่ะ แล้ว...หนูจะโทร. ขอนัดพบคุณลุงพิบูลย์ได้ยังไงคะ หรือหนูควรขอให้คุณพ่อของพี่ภัทรช่วยนัด...”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ลุงติดต่อผ่านเลขาฯ ของท่านพิบูลย์ไปแล้ว ตารางงานของท่านช่วงนี้แน่นมาก แต่ท่านยินดีให้ไปพบได้ที่งานเลี้ยงส่วนตัวคืนพรุ่งนี้ที่โรงแรมของเพื่อนท่าน ท่านก็เลยกรุณาใส่ชื่อคุณหนูลงไปในรายชื่อแขกแล้ว มีเวลาให้คุยประมาณ ๑๕ นาที”
“ที่แท้ลุงก็ไปคุยมาหมดแล้วนี่คะ”
ไอศิกาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ก่อนดี องอาจก็เป็นเสียแบบนี้ ชอบจัดการทุกอย่างมาจนเกือบจบกระบวนการแล้วค่อยมาบอก เรียกว่าจัดการงานในส่วนยากไว้จนหมด เหลือขั้นตอนสำคัญที่สุดเอาไว้ให้บิดาของเธอจัดการเป็นลำดับสุดท้ายเสมอ ท่านถึงได้เชื่อมือเขาให้ทำงานแทนในแทบทุกเรื่อง
“ยังไม่หมดเสียหน่อย เรื่องคุยกับท่าน ลุงทำได้ที่ไหนกัน ท่านไม่ยอมลดตัวลงมาคุยกับลุงหรอก” องอาจถอนใจหนักหน่วง น้ำเสียงและสีหน้าไม่ได้แสดงความน้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด มีเพียงความกังวลใจที่ฉายชัดในแววตา “เรื่องคืนพรุ่งนี้อย่าเพิ่งบอกให้ใครรู้นะ แม้แต่คุณภัทรเองก็เถอะ ลุงไม่อยากให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปให้คนนอกรู้ เดี๋ยวจะมีคนดักทางเราเสียก่อน ไอ้อินเตอร์โพลสองคนนั้นก็ด้วย ต่อให้พวกมันเคยช่วยชีวิตคุณหนูเอาไว้ก็ไม่น่าไว้ใจอยู่ดี ถ้าไม่จำเป็นอย่าให้พวกมันตามไปด้วยนะครับ”
“เรื่องนั้น...คงไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าไม่ให้สองคนนั้นไปด้วย พี่ภัทรต้องสงสัยแน่ๆ พวกเขาเคยไปไหนมาไหนกับลูกแก้วตลอด จู่ๆ ไม่ให้ตามไป จะยิ่งผิดสังเกตนะคะ” เธอโกหกครึ่งหนึ่ง ที่จริงเธอรู้สึกอุ่นใจมากกว่ายามมีนะโมกับใบป่านคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ พวกเขาคือสองคนที่เธอมั่นใจได้ว่าจะไม่มีวันคิดร้ายต่อเธอเป็นอันขาด “ถ้ายังไง...ลูกแก้วจะบอกพวกเขาให้รอด้านนอกตอนที่คุยกับคุณลุงพิบูลย์ดีไหมคะ”
องอาจฟังแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
“เอาอย่างนั้นก็ได้” เขาตวัดตามองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มทั้งสองคนอีกครั้ง “เรามีโอกาสแค่ครั้งเดียวนะคุณหนู อย่าพลาดเป็นอันขาด”
“ลูกแก้วรู้ค่ะ ลูกแก้วจะพยายามให้ดีที่สุด”
ไอศิกาพยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น ลึกๆ เธอก็ยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องอดีตอันไม่สวยงามของบิดาเท่าใดนัก ท่านอาจมีฉายาว่าเจ้าพ่อภาคกลางและเคยทำเรื่องร้ายกาจมามากมาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่าพัวพันกับยาเสพติดและการค้ามนุษย์ได้ เพราะนั่นคือสองสิ่งที่ท่านเกลียดชังเป็นที่สุด สิ่งเดียวที่จะให้คำตอบเรื่องนี้แก่เธอได้คือหลักฐานที่องอาจกล่าวอ้างถึงพวกนั้น
คุณพ่อคะ ลูกแก้วเชื่อมั่นในตัวคุณพ่อเสมอนะคะ...
หย่งเต๋อสาวเท้าไปตามโถงทางเดินในโรงพยาบาลอย่างไม่เร่งรีบ ทั้งที่หัวใจลอยไปอยู่ที่ห้องพิเศษตั้งแต่ยังขับรถมาไม่ถึงที่นี่เสียด้วยซ้ำ แผ่นหลังของชายหนุ่มตั้งตรงอย่างสง่างาม ดวงตาคมกล้ากวาดมองไปยังเหล่าการ์ดของฮวงหลงที่ยืนอารักขาตามจุดต่างๆ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ยามการ์ดเหล่านั้นค้อมศีรษะทำความเคารพด้วยความยำเกรง
หวังหย่งเต๋ออาจอายุยังน้อย แต่ชื่อเสียงเรื่องความห้าวหาญและเหี้ยมโหดนั้นนำหน้าหวังหลิงหลิงผู้เป็นอาไปหลายช่วงตัว หากแสดงกิริยาใดๆ ให้คุณชายน้อยไม่พอใจ อาจไม่มีเงาหัวได้ ยิ่งหวังเฟยออกหน้าคอยแก้ต่างแทนหลานชายหัวแก้วหัวแหวนแทบทุกเรื่องด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีใครกล้าหือกับเปี้ยนเหลี่ยนหวังแม้แต่แอะเดียว...จะมีก็แต่หวังเสี้ยวเทียนผู้เป็นบิดานั่นละ ที่เรียกได้ว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับลูกชายอย่างแท้จริง
ชายหนุ่มเดินมาหยุดหน้าประตูห้องพิเศษ เขามองผ่านช่องกระจกเข้าไปยังร่างผอมบางที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง อกที่อยู่ใต้ผ้าห่มหนากระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจที่แสนแผ่วเบา สายน้ำเกลือระโยงระยางและเครื่องช่วยหายใจที่ครอบอยู่บนใบหน้าทำให้เจ้าตัวดูเหมือนหุ่นยนต์ในโรงซ่อมบำรุงมากกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเสียอีก
แม่...
หัวใจของหย่งเต๋อปวดแปลบเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมารดา โชคดีเท่าใดแล้วที่แรงระเบิดในวันนั้นไม่พรากชีวิตของท่านไปจากเขาและทุกๆ คน เขาเจ็บใจนักที่วันเกิดเหตุไม่ได้อยู่เคียงข้างแม่ หากเขาอยู่ที่นั่น...อาจสังเกตเห็นความผิดปกติและอาจช่วยเหลือท่านได้ทันท่วงที
เมื่อคิดถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็ขบกรามแน่น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยอมไม่ได้ เรื่องนี้ต้องมีคนชดใช้!
“มาเยี่ยมไข้แม่ตอนตีสอง ไม่ดึกไปหน่อยหรือไงไอ้ตัวดี”
เสียงทุ้มทรงอำนาจที่ดังขึ้นเบื้องหลังดึงหย่งเต๋อออกจากห้วงภวังค์ เขาหันกลับไปหาเจ้าของเสียงแล้วยักไหล่ยียวน
“ก็ผมว่างตอนนี้” ชายหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ในเงาสลัวชัดถนัดตา หวังเสี้ยวเทียนผู้ยิ่งใหญ่แห่งแก๊งฮวงหลงดูซูบไปผิดหูผิดตา ใบหน้าคมคายที่เคยนิ่งสนิทราวสวมหน้ากากหยกเอาไว้ตลอดเวลาดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด “พ่อนั่นละ ทำไมถึงออกมาเดินไปเดินมาตอนตีสอง ไม่หลับไม่นอน”
“นอนไม่หลับ” แดเนียลระบายลมหายใจยาว “ก็เลยออกไปเดินเล่นรับลมบนดาดฟ้าโรงพยาบาล”
“แม่ฟื้นแล้ว อาหลิงหลิงบอกว่าอาการของแม่ดีขึ้นมาก พ่อยังจะต้องกังวลอะไรอีก พักผ่อนเสียหน่อยเถอะ”
แม้น้ำเสียงจะฟังห่างเหินอยู่บ้าง แต่ความห่วงใยที่ฉายชัดในแววตาทำให้คนเป็นพ่อต้องอมยิ้มน้อยๆ
“ก็ห่วงว่าแกมัวแต่ไปก่อเรื่องที่ไหน ทำไมถึงไม่มาเยี่ยมแม่เสียทีไง” แดเนียลส่ายหน้าอย่างระอาใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ชินกับพฤติกรรมไม่อยู่กับร่องกับรอยของลูกคนโตเสียที “รู้ไหมว่าแม่เขาฟื้นขึ้นมาก็ถามหาเราไม่ขาดปาก”
“ผมก็อยากมาเร็วกว่านี้ แต่มีธุระต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน”
“ธุระที่ว่า เกี่ยวกับ ภาม พิมพ์สุริยา หรือลูกสาวของมันกันล่ะ” แดเนียลดักคออย่างรู้ทัน ดวงตาคมกริบจับจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง
“ก็...ทั้งสองอย่าง” หย่งเต๋อแสยะยิ้ม “ไอ้เฉินกุ้ยคงรายงานพ่อหมดแล้ว ผมคงไม่ต้องบรรยายร่ายยาวอะไรให้มากความมั้ง”
“เฉินกุ้ยมันก็รายงานตามหน้าที่ แต่ฉันอยากฟังรายละเอียดจากแกมากกว่า” เจ้าของนัยน์ตาพญาเหยี่ยวถอยหลังไปพิงผนังฝั่งตรงข้ามประตูห้องพักผู้ป่วยอย่างอ่อนล้าเพื่อพยุงกายทรงตัวไว้
หลังจากถูกสะเก็ดระเบิดในเหตุระเบิดกลางเมืองปารีสเมื่อ ๗ ปีก่อน ขาของเขาก็ติดจะเดินขัดๆ อยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องออกวิ่งไล่ล่าศัตรู หย่งเต๋อรู้ดีว่าหวังเสี้ยวเทียนผู้นี้อาจวิ่งได้เร็วกว่าตนเสียอีก
“ได้ข่าวว่าลูกสาวของไอ้ภามสวยน่าดูนี่ แกถึงเล่นบทอินเตอร์โพลเสียแนบเนียน คอยเดินตามก้นแม่เด็กนั่นต้อยๆ เลยไม่ใช่เหรอ”
“พ่อก็เคยเห็นหน้าเธอผ่านกล้องที่สั่งให้ไอ้เฉินกุ้ยติดแล้วนี่ สวยหรือไม่สวยก็เห็นๆ กันอยู่” หย่งเต๋อจ้องบิดากลับอย่างท้าทาย เป็นการบอกกลายๆ ว่ารู้เรื่องที่ตนเองถูกจับตาดูเป็นอย่างดี
แดเนียลหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ ไอ้ลูกเวรของเขานี่มันแสบจริงๆ ให้ตายเถอะ
“ก็สวยแบบที่แกชอบด้วยใช่ไหมเล่า” ริมฝีปากหยักลึกยกแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่กลับส่งไปไม่ถึงดวงตาที่หรี่ลงนิดๆ อย่างเอาเรื่อง “อย่าเล่นสนุกให้มันเลยเถิดเกินไปนักนะหย่งเต๋อ ความบาดหมางของเรากับไอ้ภามไม่เกี่ยวข้องกับลูกสาวของมันเลยสักนิด อย่าดึงคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่มารับเคราะห์นะโว้ย”
“แม่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับความบาดหมางระหว่างเรากับมันเหมือนกัน ยังถูกดึงมารับเคราะห์เต็มๆ เราเจ็บ มันก็ต้องเจ็บด้วย เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอพ่อ”
ประกายตาของลูกมังกรแข็งกร้าว เสริมให้เสี้ยวหน้าของเขาดูกระด้างเหมือนรูปสลักยักษ์ในวิหารจีนไม่มีผิด
“เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าไอ้ภามอยู่เบื้องหลังการวางระเบิดวันนั้นหรือเปล่า อย่าเพิ่งด่วนสรุปแล้วลงมือทำอะไรชั่วๆ เป็นอันขาด แกเองก็มีน้องสาวนะหย่งเต๋อ ใช้หัวคิดหน่อย ถ้ามีไอ้สารเลวตัวไหนทำกับหยูเยว่แบบที่แกทำกับลูกสาวของไอ้ภามบ้าง แกจะรู้สึกยังไง”
ภาพเคลื่อนไหวที่ส่งตรงจากเซฟเฮาส์นั้นฟ้องชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างหย่งเต๋อกับไอศิกาคืบหน้าไปในระดับที่น่ากังวล แดเนียลไม่เคยสนใจว่าลูกชายตัวร้ายจะไปหัวหกก้นขวิดหรือทำตัวสำมะเลเทเมากับหญิงสาวหน้าไหน ตราบใดที่ควบคุมตนเองได้และทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ต้องไม่ใช่กับลูกสาวของศัตรู!
“หยูเยว่คงเชือดคอหอยผู้ชายคนนั้นทิ้งก่อนที่ผมจะลงมือด้วยซ้ำ น้องสาวผมเหมือนคนอื่นที่ไหนกันเล่า” หย่งเต๋อแบะปาก แม่น้องน้อยของเขาเป็นผู้หญิงแกร่งผิดกับรูปลักษณ์มากมายนัก นิสัยหรือก็เลือดเย็นเหมือนบิดาเขาไม่มีผิดเพี้ยน ใครได้ไปเป็นเมียต้องคอยระวังหลังให้ดี หากทำอะไรผิดใจนิดเดียว แม่เจ้าประคุณพร้อมตวัดคมมีดปาดคอแล้วหล่อปูนถ่วงทะเลทุกเมื่อนั่นละ “แล้วนี่น้องไม่มาเฝ้าแม่เป็นเพื่อนพ่อเหรอ เห็นทุกทีตัวติดกันอย่างกับเนื้องอก”
“น้องมาเฝ้าแม่ตอนกลางวัน ตอนนี้กลับไปอยู่เป็นเพื่อนปู่ตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ใครจะเหลวไหลเหมือนแกกันเล่า” แดเนียลถอนใจอีกคำรบ “อย่ามาทำเป็นเปลี่ยนเรื่องนะไอ้ตัวแสบ เรายังพูดกันไม่จบ”
“ถ้าพ่อคิดจะเทศนาผมเรื่องเด็กนั่นละก็ผมว่าจบดีกว่า มันไม่มีอะไรในกอไผ่อยู่แล้ว ผมก็แค่หาเรื่องฆ่าเวลาเล่น ไม่ต้องห่วงว่าจะเดือดร้อนมาถึงพ่อหรอกน่า เดี๋ยวเบื่อก็เลิก”
“เบื่อก็เลิก? จริงเหรอวะ” น้ำเสียงของแดเนียลเข้มขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็รีบเบื่อเสียวันนี้เลยเป็นไง ก่อนที่ฉันจะทนรำคาญตาไม่ไหวแล้วบังคับให้แกเบื่อด้วยวิธีของฉัน”
“แหม ผมละภูมิใจจริงๆ ที่มีพ่อเป็นหัวหน้าแก๊งผู้มีคุณธรรม ใจกว้างเสียยิ่งกว่าแม่น้ำฮวงโหแบบนี้” หย่งเต๋อแค่นหัวเราะ ทว่านัยน์ตาทอประกายวับวาวแบบคนหัวขบถ “ผมยังสนุกอยู่เลย จะให้เลิกเสียตอนนี้ก็น่าเสียดาย”
“วันนี้สนุก แต่วันหน้าจะทุกข์ถนัด” แดเนียลมองลูกชายกลับด้วยแววตาเย็นเยียบชนิดทำให้ผู้คนเข่าอ่อนได้ แต่แทบไม่มีผลใดๆ ต่อคนตรงหน้าเลยสักนิด “จำที่ฉันเคยบอกแกตอนเด็กๆ ได้ไหม On ne badine pas avec l’amour”
On ne badine pas avec l’amour (อง เนอ บาดีน ปาส์ อะแวค ลามูร์)
เราไม่ล้อเล่นกับความรัก...
“จำได้” หย่งเต๋อทำหน้าเบ้ จำได้แม่นเชียวละ สมัยยังเด็ก เขาเห็นพ่อเอาใจแม่ชนิดถวายหัว ไม่เคยขัดใจ ไม่แม้แต่พูดเสียงดังใส่ให้เจ็บช้ำน้ำใจ คอยเฝ้าประคบประหงมราวแม่เป็นเครื่องแก้วล้ำค่าที่เต็มไปด้วยรอยร้าว เมื่อเขาถามว่าทำไมพ่อถึงทะนุถนอมแม่ถึงขนาดนั้น พ่อก็ยิ้มเศร้าและตอบกลับมาด้วยประโยคนี้ ประโยคที่เขาไม่เคยเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเลยแม้แต่นิด “แต่ไม่เห็นว่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังพูดอยู่ตรงไหนเลยนี่”
“ถ้าไม่เกี่ยว ฉันคงไม่พูดให้เปลืองน้ำลายหรอก ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนแกนะหย่งเต๋อ ถึงแกจะคิดว่าตัวเองโคตรเจ๋งแค่ไหน แต่เรื่องประสบการณ์ชีวิต ถ้าเทียบกับฉันแล้ว แกก็เป็นแค่ไอ้ไก่อ่อนจอมอวดดีเท่านั้น”
“พ่ออยากพูดอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ หลอกด่าผมอ้อมไปอ้อมมาแบบนี้ผมตีความไม่ออก ไอ้ผมมันคนหัวช้า ไม่เหมือนหยูเยว่ที่พ่อพูดปุ๊บ เก็ตทุกอย่างปั๊บหรอกนะ”
รายนั้นแค่มองตาก็รู้ใจพ่อเสียจนน่าหมั่นไส้!
“แกไม่ได้หัวช้า แค่อวดดีแล้วก็คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลจนลืมมองความรู้สึกของคนรอบตัวต่างหาก” แดเนียลทำหน้าเมื่อย การต้องถกเถียงกับจอมกวนประสาทอย่างหย่งเต๋อมักทำให้เขารู้สึกแก่ลงสิบปีเสมอ “ฉันก็เคยโง่เขลาแบบแกนี่ละ โง่และอวดดี ปล่อยให้ความแค้นเข้าครอบงำแล้วทำร้ายคนที่ฉันรักอย่างไม่น่าให้อภัย ฉันไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”
ภาพความทรงจำในอดีตลอยกลับเข้ามาในสมอง ครั้งนั้นเขายังหนุ่มแน่นและเหี้ยมหาญ ไม่มีสิ่งใดสำคัญต่อเขามากไปกว่าหน้าที่กับความรับผิดชอบที่มีต่อฮวงหลง...ภาระใหญ่หลวงที่เขาแบกไว้บนบ่าตั้งแต่ลืมตาดูโลก ภาระที่ทำให้เขากลายเป็นพญามังกรไร้หัวใจ จวบจนเมื่อผีเสื้อตัวน้อยๆ บินเข้ามาในหัวใจอันชืดชา เขาถึงได้รู้ตัวว่ามันยังเต้นอยู่ เต้นเพื่อหญิงสาวคนเดียวที่มีความหมายต่อความรู้สึกในแบบมนุษย์ปุถุชน แต่ถึงกระนั้นเมื่อความโกรธแค้นบังตา เขาก็พร้อมบดขยี้เธอแทบแหลกคากรงเล็บอย่างไม่ไยดี สมองที่เคยประมวลผลอย่างชาญฉลาดมาตลอดชีวิตกลับชำรุดจนใช้งานไม่ได้เหมือนคนโง่ หากไม่ได้หวังเฟยกระหน่ำตบหน้าเรียกสติในวันนั้น เขาก็อาจสูญเสียฟ้าใสไปตลอดกาล...
“ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย?” หย่งเต๋อหัวเราะ “พ่อหมายถึงผมกับลูกแก้วน่ะเหรอ ตลกแล้ว ผมบอกแล้วไงว่าแค่ฆ่าเวลาเล่น ไม่มีอะไรลึกซึ้งมากไปกว่านั้น”
พูดถึงตรงนี้ แววตาของเขาก็วูบไหวแปลกๆ อย่างที่คนเป็นพ่อไม่ต้องสังเกตก็เห็นได้อย่างชัดเจน จากที่เห็นในคลิปวิดีโอที่ส่งตรงมาจากเซฟเฮาส์ แดเนียลมั่นใจว่าความห่วงใยที่หย่งเต๋อมีให้ไอศิกานั้นมากเกินกว่าจะเรียกได้ว่าฆ่าเวลาเล่น ว่ากันง่ายๆ หากไม่รู้สึกอะไรกับแม่สาวน้อยคนนั้นจริงๆ ไอ้ลูกตัวดีของเขาคงปล่อยให้เธอถูกคนร้ายยิงทิ้งไปตั้งแต่แรกแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตช่วยเธอให้เหนื่อยหรอก ที่เขากลัวก็คือความรู้สึกนี้หยั่งรากลึกเพียงใดแล้ว หากลึกมาก ยามต้องออกแรงกระชากเพื่อถอดถอน แผลน่าจะเหวอะหวะและบาดลึกไม่น้อยทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้นก็ถอยออกมา ไม่สิ...ถ้าแกยังมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่บ้างก็ถอยออกมาจากเด็กคนนั้นเสีย หย่งเต๋อ” แดเนียลจ้องหน้าลูกรักเขม็ง “ความรู้สึกของมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่ควรเอามาล้อเล่น ความรักก็เช่นกัน อย่าสร้างตราบาปให้คนบริสุทธิ์เพียงเพราะแกอยากแก้แค้นแบบโง่ๆ ไม่อย่างนั้นแกจะต้องใช้เวลาที่เหลือจมอยู่กับความเสียใจไปตลอดชีวิต”
“ผมหนังหนา ผมทนได้ พ่อไม่ต้องห่วงผมหรอก” เสียงพูดกลั้วหัวเราะของหย่งเต๋อฟังดูเหี้ยมเกรียมกว่าเคย “ผมเคยบอกไอ้เฉินกุ้ยไปแล้วว่าไม่มีเรื่องไหนทำให้ผมเสียใจได้เท่ากับเรื่องที่ผมไม่ได้อยู่ปกป้องแม่ในวันที่เกิดเรื่องอีกแล้ว แม่เจ็บแค่ไหน ไอ้ภามก็ต้องเจ็บมากกว่าพันเท่า”
“แกคิดว่าแกเป็นคนเดียวที่เจ็บแค้นหรือไง ฉันเองก็แค้นไม่ต่างกัน แต่แกเป็นคนนะหย่งเต๋อ ไม่ใช่หมาบ้าจะได้ไล่กัดไม่เลือก ในอนาคตแกจะต้องดูแลฮวงหลงต่อจากฉัน จะทำเรื่องบ้าๆ เหมือนคนไร้สติแบบนี้ไม่ได้ ถ้าอยากแก้แค้นไอ้ภาม ก็ไปหาหลักฐานมาว่ามันเป็นคนสั่งวางระเบิดจริงๆ แล้วแกจะเชือดคอหอยหรือจับมันเผานั่งยาง โบกปูนลงทะเล แล่เนื้อเถือกระดูกแล้วสับให้หมากินก็ตามใจ แต่ต้องไม่เอาความแค้นไปลงกับคนบริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย”
“ถ้าพ่อได้ยินที่ไอ้ภามพูดว่าจะฆ่าพ่อ รับรองว่าพ่อไม่มีทางพูดแบบนี้แน่ ไอ้แก่นั่นมันบอกว่ามันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องระเบิด แต่อย่างที่รู้ ผู้ร้ายที่ไหนจะสารภาพว่าตัวเองเป็นคนทำง่ายๆ กันเล่า” ลูกมังกรแค่นหัวเราะเสียงต่ำ “เอาเถอะ พ่อมีวิธีของพ่อ ผมก็มีวิธีของผม ถ้าพ่อไม่พอใจ จะยกตำแหน่งทายาทฮวงหลงให้หยูเยว่ผมก็ไม่ว่าอะไร ยังไงผมก็ไม่เหมาะสมกับไอ้ตำแหน่งสูงส่งนี้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว”
“ก็ทำตัวให้เหมาะสมเสียทีสิ เริ่มต้นจากเลิกทำตัวเป็นหมาบ้าก่อนก็ได้” แดเนียลเริ่มรู้สึกอยากกลับไปสูบบุหรี่คลายอาการปวดประสาทขึ้นมาติดหมัดทั้งที่เลิกสูบมานานเกือบค่อนชีวิต...ไม่รู้ว่าชอบตีรวนเหมือนใครสิน่า ไอ้ลูกเวรเอ๊ย! “ฉันจะไม่ออกคำสั่งกับแกหรอกนะ เพราะรู้ว่าสั่งไปก็ไม่ต่างอะไรกับสั่งขี้มูก แต่ฉันขอเตือนในฐานะพ่อของแกและในฐานะคนที่ผ่านโลกมาก่อน ความรู้สึกของมนุษย์เปราะบางมากนะหย่งเต๋อ ถ้าถูกเหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว จะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมได้อีก มันมักจะมีชิ้นส่วนเล็กๆ ที่หลุดหายไปเสมอ ต่อให้สร้างขึ้นมาใหม่ก็ไม่ใช่ชิ้นเดิม เอาไปประสานต่อก็ไม่พอดีกัน และมันจะกลายเป็นหนามแทงใจให้ต้องนึกถึงไปตลอด”
เหมือนที่เขาต้องนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่เคยทำไว้กับฟ้าใส ไม่ว่าพยายามชดเชยให้เธอมากเพียงใด ความรู้สึกผิดก็ยังเกาะกินหัวใจอยู่ลึกๆ เสมอ
“บอกแล้วไงว่าผมหนังหนา ไม่รู้สึกรู้สมอะไรหรอก พ่อไม่ต้องห่วงผมนักก็ได้น่า”
ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะใช้แผ่นหลังกว้างของตนเองดันบานประตูห้องพิเศษแล้วเดินถอยหลังเข้าไปด้านใน เขาค้อมศีรษะให้บิดาที่ยืนกอดอกพิงผนังโถงทางเดินและมองตรงมาอย่างเงียบเชียบด้วยแววตาแสดงความกังวลอยู่ลึกๆ
แดเนียลปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ในใจภาวนาขอให้ลูกชายผู้แสนเลือดร้อนอย่าทำเรื่องใดๆ ที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่เช่นนั้นคนที่จะต้องเสียใจที่สุดก็คือตัวของหย่งเต๋อเอง
ความคิดเห็น |
---|