13

ยิ่งใกล้กัน ยิ่งหวั่นไหว (๑)


 

๑๓

ยิ่งใกล้กัน ยิ่งหวั่นไหว (๑)

 

“ลูกแก้ว!”

ภัทรพลวิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องรับแขก ก่อนจะต้องหยุดยืนตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นคนที่นั่งเอกเขนกสบายอารมณ์อยู่บนโซฟา ตามเนื้อตัวและเสื้อยืดของเขาเต็มไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรัง ดูน่าสะพรึงเหมือนปีศาจร้ายที่เพิ่งผุดขึ้นมาจากบ่อโลหิต

นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ลิเอซองหนุ่มยืนนิ่งอึ้ง แต่เป็นร่างบอบบางที่นอนคู้ตัวอยู่บนโซฟาตัวยาวตัวเดียวกันนั่นต่างหาก

ไอศิกานอนหนุนตักไอ้หวังหย่งเต๋ออยู่!

“แกทำอะไรลูกแก้ว! ทำไม...”

เอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็ต้องชะงัก เมื่อ ‘เจ้าของตัก’ ยกนิ้วชี้ขึ้นจดริมฝีปากหยักลึกของตนเป็นเชิงเตือน

“เบาๆ หน่อยสิพี่ ลูกแก้วเพิ่งกินยา นี่ก็นอนหลับไปได้แค่ชั่วโมงเดียวเอง”

“กินยาอะไร” ภัทรพลสาวเท้าเข้าไปประชิดโซฟา สรรพนามเรียกขานที่เพิ่งได้ยินฟังดูสนิทสนมจนสะดุดหูพิลึก “นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น ทำไมลูกแก้วถึงมีสภาพแบบนี้ แล้วคนของฉันไปไหนหมด”

เมื่อมองในระยะใกล้เขาก็เห็นรอยฟกช้ำและรอยข่วนเล็กๆ ปรากฏประปรายอยู่บนเนื้อตัวของไอศิกาอย่างชัดเจนเสียจนใจหาย มือข้างหนึ่งของเธอกำหูตุ๊กตากระต่ายตัวโตที่กองอยู่บนพื้นด้านหน้าโซฟาแน่น ไม่ยอมปล่อยแม้อยู่ในห้วงนิทรา เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อนและจำได้ว่าในบรรดาตุ๊กตุ่นตุ๊กตาของหญิงสาว ไม่มีตัวใดมอมแมมจนดูเป็นสีชมพูกระดำกระด่างเช่นนี้แน่

“คนของพี่? มีด้วยเหรอ นึกว่ามีแต่หนอนบ่อนไส้เสียอีก” หย่งเต๋อแสยะยิ้มเยาะหยัน เขาพาดแขนข้างหนึ่งไปตามความยาวของพนักพิงด้านหลัง ส่วนมืออีกข้างเลื่อนขึ้นมาลูบศีรษะของไอศิกาอย่างแผ่วเบา

“หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้วนะโม” ภัทรพลคว้ามือของชายหนุ่มเอาไว้อย่างเหลืออด แทบทนไม่ได้เมื่อเห็นอีกฝ่ายสัมผัสแตะต้องเธอต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน อย่าบอกนะว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนชั่วๆ ของแก”

“แหม...รู้สึกดีใจยังไงก็ไม่รู้แฮะที่พี่นึกถึงผมทุกครั้งที่มีเรื่องระยำตำบอนเกิดขึ้นบนโลกใบนี้” หย่งเต๋อกระตุกมือกลับ เขาเลิกคิ้วซ้ายขึ้นนิดๆ อย่างยียวน รอยยิ้มบนริมฝีปากหยักลึกส่งไปไม่ถึงดวงตาจึงทำให้ประกายวับวาวที่ฉายอยู่ในนั้นดูแข็งกร้าวและชืดชาเสียจนน่าขนลุก “แต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้ไม่ใช่ผม พี่ก็น่าจะรู้...ถ้าเป็นแผนของผม ป่านคุณหนูลูกแก้วของพี่คงหายสาบสูญไปแบบไร้ร่องรอยแล้ว อีกอย่าง...ถ้าผมทำ ผมจะโทร. เรียกพี่มาทำไม ผมเชือดแล้วชิ่งไม่ง่ายกว่าหรือไง”

“แกโทร. หาฉัน บอกว่าเกิดเรื่องที่เซฟเฮาส์นิดหน่อย แต่จากสภาพโชกเลือดของแกที่ฉันเห็นมันไม่นิดหน่อยอย่างที่พูดแน่!”

เฮอะ! ที่พูดว่านิดหน่อยเพราะอยากให้มาวันพรุ่งนี้ต่างหาก ใครจะคิดว่าโทรศัพท์บอกตอนเที่ยงคืน ไอ้คุณพี่ภัทรจะแล่นมาหาแม่ตัวยุ่งตอนตีสามแบบนี้กันเล่า หมั่นไส้ฉิบ!

ลูกมังกรหนุ่มทำปากเบ้ในขณะที่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะขบหัวเขาอยู่รอมร่อ

“สำหรับ ‘คนจำพวกเรา’ แล้ว ก็ถือเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นละครับ คุณภัทรพล”

เฉินกุ้ยเอ่ยแทรกเสียงเรียบ ก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องรับแขกด้วยสีหน้านิ่งสนิทไม่สื่ออารมณ์ใดๆ คืนนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีขาวที่พับชายแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นจนถึงข้อศอก ในมือถือผ้าขนหนูซับน้ำจากท่อนแขนและปลายนิ้วอย่างเงียบเชียบ สีชมพูจางๆ ที่ติดอยู่บนผ้าสีขาวนั่นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคราบเลือด!

“คนของฉันอยู่ที่ไหน”

ภัทรพลถามซ้ำเสียงเครียด สองมือกำแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดโปนในขณะที่ดวงตาหลุบลงมองไอศิกาที่ยังนอนสลบไสลไม่ได้สติด้วยความกังวลระคนหวาดหวั่น เขาไม่เคยไว้ใจเปี้ยนเหลี่ยนหวังเลยสักนิด ถึงได้ให้ลูกน้องคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิดตลอด ๒๔ ชั่วโมง ไม่นึกเลยว่า...จะพลาด!

“เก็บกวาดไปหมดแล้ว” หย่งเต๋อพูดกลั้วหัวเราะ

“แกหมายความว่ายังไง”

“อย่าทำเป็นไร้เดียงสาไปหน่อยเลยน่าพี่ภัทร ความหมายออกจะตรงตัวเป๊ะ มีขยะก็ต้องเก็บกวาดไปทิ้งให้สะอาด ถูกไหม แต่บางชิ้นก็ยังอยู่นะ”

ลูกมังกรหนุ่มทำท่าพยักพเยิดไปยังโทรศัพท์มือถือเปื้อนเลือดราวสี่ห้าเครื่องที่วางกองอยู่บนโต๊ะรับแขก ภัทรพลหยิบเครื่องหนึ่งขึ้นมาดูด้วยมืออันสั่นเทา เมื่อเห็นรูปถ่ายที่บันทึกอยู่ในเครื่องก็รู้ในทันทีว่าเป็นเครื่องของชัยวัฒน์ เพราะเขาเป็นคนสั่งให้เจ้าหน้าที่ผู้นี้คอยแอบถ่ายรูปของหย่งเต๋อกับเฉินกุ้ยเพื่อรายงานความเคลื่อนไหวของทั้งสองคนให้เขารู้เป็นระยะ

“หมายความว่า...พวกแก...ฆ่าชัยวัฒน์กับคนอื่นๆ ไปแล้ว...”

เสียงของลิเอซองหนุ่มสั่น รู้สึกหนาวเยือกเข้าไปถึงกระดูก เขามองชายหนุ่มสองคนเบื้องหน้าซึ่งอยู่ในอิริยาบถสบายๆ ประหนึ่งกำลังมองยมทูตที่ขึ้นจากนรกมาเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณคนโฉดอย่างไรอย่างนั้น

“No photo please” หย่งเต๋อยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วส่ายไปมาอย่างน่าหมั่นไส้ “กรุณาทราบไว้ด้วยว่าพวกผมไม่เคยอนุญาตให้ใครถ่ายรูป โอเค้?”

“เพราะเรื่องแค่นี้ แกถึงกับต้องฆ่าต้องแกงกันเชียวเหรอ...”

“อู๊ย...เรื่องเล็กกว่านี้ก็ฆ่า เป็นคนชั่วก็แบบนี้แหละ จริงไหม”

ชายหนุ่มยักไหล่ในขณะที่คนโดนรวนใส่ได้แต่กัดฟันกรอดๆ ข่มอารมณ์ แม้จะรู้ว่าหวังหย่งเต๋อกวนโอ๊ยจนน่าเหยียบยอดหน้ามาแต่ไหนแต่ไร แต่เมื่อต้องเจอกับตัวจังๆ หลายครั้งหลายหนเข้าก็ชักทนไม่ไหวเหมือนกัน!

“ชัยวัฒน์ยังอยู่ แค่นอนสลบอยู่บนระเบียงชั้นสอง” เฉินกุ้ยดึงมีดพกออกมากจากปลอกที่เหน็บไว้หลังเอว ก่อนจะเช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่บนใบมีดกับอกเสื้อของภัทรพลช้าๆ จนสะอาด “นับเป็นขยะชิ้นเดียวที่ไม่เน่า ก็เลยไม่ต้องกำจัดทิ้ง คราวหน้าคราวหลังจะส่งใครมาทำงานสำคัญก็หัดเช็กบ้างสิครับ จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่นต้องคอยเก็บกวาดแทนแบบนี้”

“แกพูดเรื่องอะไร”

เขาอยากวิ่งขึ้นไปดูให้เห็นกับตาว่าชัยวัฒน์ยังมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่ แต่ไม่กล้าทิ้งไอศิกาไว้กับฆาตกรเลือดเย็นสองคนนี้เพียงลำพัง

“มีคนคิดลอบฆ่าลูกแก้ว”

ประโยคนั้นของหย่งเต๋อราบเรียบ แต่ทำให้ใจของคนฟังกระเพื่อมไหวราวทะเลที่กำลังมีคลื่นลมโหมกระหน่ำ

“อะ...อะไรนะ!”

“ก็อย่างที่เห็น เพราะผม ลูกแก้วถึงยังปลอดภัยดีอยู่ ฟกช้ำนิดหน่อย แต่เสียขวัญมาก อากุ้ยต้องให้กินซาแน็กซ์ถึงจะหลับได้ ยาแรง คงจะไม่รู้สึกตัวไปจนเช้านั่นละ” หย่งเต๋อพูดทวงบุญคุณต่อโดยไม่สนใจสีหน้าที่ซีดเผือดลงเรื่อยๆ ของภัทรพล “ผมเคยบอกแล้วว่าให้เช็กประวัติลูกน้องตัวเองให้ดี เบื้องหลังแต่ละคนน่ะเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งนั้น”

“ฉันเช็กแล้ว ลูกน้องของฉันทุกคนไม่มีประวัติอาชญากรรม ไม่มีความเกี่ยวข้องกับอาชญากรแก๊งไหนทั้งสิ้น”

“แต่คุณสะเพร่า ไม่ได้เช็กเส้นทางการเงินของแต่ละคน” เฉินกุ้ยมองชายหนุ่มด้วยสายตาเย็นชาแกมตำหนิติเตียน “มันอาจเห็นไม่ชัดมาก เพราะส่วนใหญ่เงินจะไม่ได้โอนเข้าบัญชีของพวกมันตรงๆ แต่เป็นของคนใกล้ชิด ครั้งละห้าถึงหกหมื่นบาท ในสถานการณ์แบบนี้นอกจากจะตรวจสอบคนของตัวเองแล้ว ต้องสืบประวัติคนรอบตัวพวกมันอย่างละเอียดด้วยสิครับ”

“ทางเราตรวจสอบประวัติส่วนตัว และคนในครอบครัวของเจ้าหน้าที่ทุกคนโดยละเอียดก่อนบรรจุเข้าทำงานเสมอ อินเตอร์โพลไม่เคยหละหลวมกับเรื่องพวกนี้” ภัทรพลยืนยัน ทว่าน้ำเสียงของเขาไม่หนักแน่นอย่างที่ควรเป็น

“ไม่เคยหละหลวม? พี่นี่ซื่อจนน่าสมเพชจริงจริ๊งพี่ภัทร” ริมฝีปากหยักลึกที่เหยียดออกเป็นรอยยิ้มหยันของลูกมังกรหนุ่มทำเอาคนมองหน้าร้อนวาบด้วยความโกรธ “ริจะสู้กับโจร ก็ต้องหัดคิดแบบโจรสิครับคุณลิเอซอง มัวแต่คิดแบบพระเอกผู้ผดุงความยุติธรรมแบบนี้ ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอีกร้อยชาติก็ไม่มีทางต่อกรกับคนแบบพวกเราได้หรอก”

“คนใกล้ตัวไม่ได้มีแค่พ่อแม่พี่น้องหรือญาติโกโหติกาหรอกนะครับคุณภัทรพล แต่รวมไปถึงเพื่อนฝูงกับคนรักด้วย” เฉินกุ้ยเดินตรงไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะเครื่องหนึ่งขึ้นมากด แล้วส่งให้ชายหนุ่ม

“แต่นั่นมันเกินขอบเขตอำนาจของเรา แล้วก็ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล...”

ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอ...ทั้งรูปถ่ายของไอศิกา และข้อความรายงานความเคลื่อนไหวคร่าวๆ ว่าออกไปไหนและทำอะไรกับใคร ถูกส่งไปให้ใครบางคนที่ไม่ใช่เขา!

“ผมเช็กแล้ว ข้อความพวกนั้นส่งไปให้พวกที่ดักรอคุณลูกแก้วอยู่นอกหมู่บ้าน คงรอจังหวะลงมือมาหลายวัน ฉะนั้นที่นี่ถือว่าไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว ถ้าให้ผมแนะนำ คุณต้องรีบย้ายเธอไปที่อื่นโดยเร็วที่สุด”

“ดักรออยู่นอกหมู่บ้าน? ลูกแก้วออกไปทำอะไรนอกหมู่บ้าน? แล้วทำไมแกถึงอยู่กับเธอ”

ภัทรพลเงยหน้าขึ้นมองเฉินกุ้ยซึ่งตีหน้านิ่งแทนคำตอบ เมื่อหันไปมองหย่งเต๋อ สัญชาตญาณเบื้องลึกก็ร้องเตือนแปลกๆ เขาไม่ชอบสีหน้าของทายาทฮวงหลงเอาเสียเลย สีหน้าเหมือนกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องที่ได้ถือไพ่เหนือกว่า!

“จะไปทำอะไรก็ช่างเถอะน่า ประเด็นก็คือ มีคนคิดฆ่าลูกแก้วแล้วป้ายความผิดให้ผม”

“ป้ายความผิดให้แก? เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าแก...”

“คือเปี้ยนเหลี่ยนหวัง พวกมันก็ไม่รู้หรอก เพราะถ้ารู้คงไม่กล้าขนาดนี้”

หย่งเต๋อต่อประโยคให้เสร็จสรรพ มือเลื่อนลงต่ำในระดับที่สายตาของอีกฝ่ายมองไม่เห็น จากนั้นจึงใช้ปลายนิ้วม้วนปลายผมนุ่มลื่นของหญิงสาวบนตักเล่น เฉินกุ้ยหลุบตามองกิริยานั้นเพียงครู่ด้วยสีหน้าที่ตีให้เป็นปกติที่สุด ทว่าในใจรู้ดีว่ามีบางอย่างผิดปกติไปและเป็นในทางที่น่ากังวลเสียด้วย

นี่คือสิ่งที่ไม่ควรเกิดในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเพราะความรู้สึกจริงๆ หรือเป็นแผนร้ายของเจ้าตัวก็ตามที...

“ฟังดูเหมือนเป็นแผนตื้นๆ ปัญญาอ่อนใช่ไหมเล่า ฆ่าลูกสาวของภามที่มีเรื่องบาดหมางกับฮวงหลง เสี้ยมให้ทั้งสองฝั่งฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง มันก็คงน่าเชื่อถืออยู่หรอกถ้าภามไม่ได้บ้อท่า หมดอำนาจบารมีไปนานแล้ว ฉะนั้นจุดประสงค์ของพวกมันไม่ใช่แค่สร้างความบาดหมางขั้นรุนแรงระหว่างฮวงหลงกับภามแน่ แต่เป็นการหาข้ออ้างอันชอบธรรมในการล้างบางทั้งสองฝ่ายชนิดถอนรากถอนโคน”

“แกรู้เรื่องของคุณลุงภามหมดแล้วสินะ”

ภัทรพลระบายลมหายใจอย่างหนักหน่วง...ก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอก เรื่องที่ภามประสบปัญหาการเงินอย่างหนักไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อนระดับชาติแต่อย่างใด ในวงสังคมก็ซุบซิบกันเสียงดังกระหึ่มไม่น้อย เพียงแต่ไม่มีใครรู้ต้นสายปลายเหตุเท่านั้น แต่เขารู้อยู่เต็มอกว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะสาวน้อยผู้นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่ตรงนั้น เพราะเธอ...ภามถึงยอมทิ้งทุกสิ่งที่สร้างมาไว้เบื้องหลัง

“ก็รู้บ้างไม่รู้บ้าง” หย่งเต๋อทำเหมือนไม่ใส่ใจเรื่องของภามนัก ทั้งที่จริงอยากรู้เต็มแก่ แต่ก็รู้ดีว่าลิเอซองหนุ่มตรงหน้าตนไม่มีวันปริปากเล่ารายละเอียดให้เขาฟังแม้แต่แอะเดียว เพื่อปกป้องทั้งภามและไอศิกา...เฮอะ! เป็นเทพบุตรผู้แสนดีจนน่ารำคาญ! “แต่ดูเหมือนพี่จะรู้เรื่อง ‘ล้างบาง’ อยู่ไม่มากก็น้อยใช่ไหม”

เฉินกุ้ยรู้สึกทึ่งไม่น้อยที่ลูกพี่ปะติดปะต่อเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วโดยที่เขายังไม่ได้เปิดปากเล่าเรื่องที่รู้จากเหม่ยอิงให้เจ้าตัวรู้แม้แต่คำเดียว สมแล้วที่เป็นลูกชายของบอส หากใจเย็นและทำตัวขบถขวางโลกน้อยกว่านี้สักนิด หวังหย่งเต๋อในอีกห้าหรือหกปีข้างหน้าคงสามารถขึ้นมารั้งตำแหน่งหัวหน้าแก๊งแทนบิดาได้อย่างสบาย

แต่ก็นั่นละ ลูกพี่ใหญ่ของเขาไม่เคยอยากเป็นหัวหน้าแก๊งฮวงหลงเลยสักนิด

“ล้างบางบ้าบออะไร อย่ามโนแต่งเรื่องเอาเองหน่อยเลย แกคิดว่าฉันจะเชื่อเรื่องบ้าๆ ที่แกพูดหรือไง”

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าพวกระดับตัวเอ้ของอินเตอร์โพลไม่เปิดทางให้ ใครหน้าไหนจะกล้าลงมือโต้งๆ แบบนี้กันเล่า”

หย่งเต๋อกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย ภัทรพลยังคงโลกสวยเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน เมื่อไหร่จะรู้เสียทีว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่สองฝั่ง หรือแบ่งเป็นสีขาวกับดำชัดเจน บางครั้งธรรมะกับอธรรมก็ปะปนกันในรูปแบบที่ยากเกินกว่าจะแยกแยะได้

“ฉันไม่เชื่อแก ตราบใดที่ไม่มีพยานหรือหลักฐานมายืนยัน” ใบหน้าของภัทรพลนิ่งขึง เขาไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดไม่รู้ว่าในอินเตอร์โพลมีเจ้าหน้าที่กังฉินแฝงตัวอยู่ไม่น้อย แต่เรื่องใดที่มาจากปากของอาชญากรหนุ่มจอมปลิ้นปล้อนคนนี้ เขาถือว่าล้วนแต่เชื่อไม่ได้ทั้งสิ้น “เจ้าหน้าที่ตัวเอ้ที่เปิดทางให้อาชญากรอย่างพวกแกเข้ามาวุ่นวายในคดีนี้ก็มีแต่ ฌอง-ปอล กุสโต เท่านั้นละ เผลอๆ เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดอาจเป็นหนึ่งในแผนชั่วของพวกแกก็ได้”

“หามุกอื่นมาเหน็บกันบ้างเท้อ พูดบ่อยจนคนหนังหนาอย่างผมกับอากุ้ยไม่รู้สึกรู้สมอะไรแล้วพี่ภัทร จะบอกให้เอาบุญนะ ลุงฌอง-ปอลมีตำแหน่งสูงก็จริง แต่ถ้าไม่มีคนที่ระดับบิ๊กกว่าออกหน้าช่วยจัดการให้ พวกเราจะมาอยู่ตรงนี้ได้โดยไม่มีใครคัดค้านได้ยังไงกันเล่า ผมน่ะเส้นใหญ่กว่าที่พี่คิดไว้เยอะนะ หัดใช้สมองบ้าง ปล่อยให้กลวงอยู่แบบนี้ นานไปจะฝ่อหมดนะพี่”

“แกนี่มัน...”

ภัทรพลต้องยั้งปากทันทีที่เห็นไอศิกาขยับตัวครางอืออาอย่างน่าสงสาร

“ถ้าคุณจะหาหลักฐานก็สืบดูจากเบอร์โทรศัพท์ในเครื่องพวกนั้นดูก็ได้ แต่ผมคิดว่าคงยากหน่อย เพราะมันคงไม่โง่ถึงขนาดปล่อยให้สาวถึงตัวง่ายๆ แน่ ส่วนพยาน...ขอโทษด้วยที่เก็บกวาดไปหมดแล้ว ไม่เหลือใครไว้ให้สอบถาม”

น้ำเสียงไร้อารมณ์ความรู้สึกของเฉินกุ้ยทำเอาภัทรพลหนาวจับขั้วหัวใจ คนพวกนี้พูดเรื่องฆ่าคนอย่างสะดวกปากโดยไม่มีทีท่าสะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น หากปล่อยให้ลูกแก้วของเขาอยู่ใกล้คนพวกนี้ต่อไป คงไม่ดีแน่...

“บางทีถ้าเราร่วมมือกัน อะไรๆ อาจจะง่ายขึ้นก็ได้”

หย่งเต๋อเดาะลิ้น ดวงตาจับจ้องใบหน้าของหนุ่มรุ่นพี่นิ่ง ในขณะที่ปลายนิ้วยึดปลายผมของหญิงสาวแน่นเข้า

เฉินกุ้ยเหลือบมองท่าทางเหมือนเด็กเกเรที่กำลังจะถูกแย่งของเล่นชิ้นใหม่ทั้งที่ยังเล่นไม่หนำใจของลูกพี่แล้วลอบถอนใจเบาๆ...นิสัยเสียไม่เคยเปลี่ยนเล้ย โยนเศษขนมปังล่อเหยื่อแล้วค่อยตลบหลังเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว

“ร่วมมือ?” ภัทรพลรู้สึกเหมือนหูฝาดไป “กับพวกแกสองคนน่ะเหรอ รอให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกก่อนเถอะ”

“ก็แค่ชั่วคราวน่า อย่างน้อยก็จนกว่าจะรู้ตัวคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องคืนนี้เสียก่อน จบเรื่องแล้วค่อยกลับมาฉะกันให้ยับไปข้างหนึ่งก็ไม่สาย” ชายหนุ่มลอบหลุบตามองดวงหน้าใสกระจ่างที่แนบอยู่กับตักของตนแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “พี่เองก็น่าจะรู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางเลือกมากนักหรอกจริงไหม ถ้าอินเตอร์โพลสำนักงานใหญ่รู้ว่าคุณหนูลูกแก้วของพี่ออกไปรนหาที่จนเป็นเรื่อง พี่คิดว่าเบื้องบนจะว่ายังไง จริงอยู่ว่าพวกนั้นมีข้อตกลงกับภามเพื่อแลกกับบางอย่าง แต่ไม่ได้สนใจความเป็นความตายของลูกแก้วนักหรอก ยิ่งภามนอนเป็นผักไม่รู้จะฟื้นหรือเปล่าแบบนี้ จะมีอำนาจอะไรไปต่อรองกันเล่า เผลอๆ พรุ่งนี้เธออาจถูกส่งไปอยู่ในห้องรูหนูที่ไหนสักที่ ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันก็ได้”

การนิ่งเงียบของภัทรพลเป็นการยืนยันแทนคำตอบของเรื่องที่เขาสงสัยเป็นอย่างดี ภาม ‘มีข้อแลกเปลี่ยน’ กับทางอินเตอร์โพลจริงๆ และต้องสำคัญพอตัว ไม่อย่างนั้นมีหรือที่อินเตอร์โพลจะยอมออกค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดให้เจ้าพ่อคนดัง

ตอนที่เขาให้ไอศิกาโทรศัพท์คุยกับฌอง-ปอลเรื่องช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลนั้น เขาไม่ได้คิดช่วยเธออย่างจริงใจแต่อย่างใด เขาเพียงอยากลองหยั่งเชิงดูว่าทางอินเตอร์โพลจะตอบตกลงหรือไม่ และดูเหมือน ภาม พิมพ์สุริยา จะยังมีประโยชน์ต่ออินเตอร์โพลอยู่มากทีเดียว หรือไม่ก็คงกุมความลับบางอย่างที่ทำให้พวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงต้องเสียวสันหลังกันเป็นแถบ

“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ฉันต้องขอคิดดูก่อน” ภัทรพลช้อนร่างอ่อนปวกเปียกของไอศิกาขึ้นอุ้มแนบอกโดยไม่สนใจประกายตาวับวาวอย่างไม่ใคร่พอใจนักของทายาทฮวงหลง “บอกตรงๆ นะ ฉันไม่ไว้ใจพวกแก”

“แหม น่าดีใจที่อย่างน้อยเราก็คิดตรงกันหนึ่งเรื่อง พี่ไม่ไว้ใจผม ผมเองก็ไม่ไว้ใจพี่เหมือนกันนั่นละ” หย่งเต๋อมองแขนที่โอบรอบร่างบอบบางของไอศิกาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “แต่งานนี้ถ้าเราไม่ร่วมมือกันคงล่อคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาไม่ได้ง่ายๆ แน่ ชีวิตของลูกแก้วเองก็ต้องเจอเรื่องอันตรายแบบนี้อีกไม่รู้เท่าไหร่”

“ฉันไม่เชื่อว่าแกหวังดีกับลูกแก้วขนาดนั้น คนอย่างแกไม่เคยทำอะไรให้ใครฟรีๆ โดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ ไม่สิ...ที่แกเป็นฝ่ายได้ประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย”

“แหม น่าดีใจนะเนี่ย รู้จักผมดีขนาดนี้ แสดงว่าพี่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของผมจริงๆ” หย่งเต๋อหัวเราะเสียงเหี้ยม “ผมไม่ต้องการข้อแลกเปลี่ยนยากเย็นอะไรหรอก เอาเป็นว่าถ้ารู้ตัวคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งเรื่องคืนนี้และคนที่ทำร้ายแม่ผมเมื่อไหร่ พี่ห้ามมาขวางเป็นอันขาด และต้องปล่อยให้ผมเชือดมันตามแบบวิธีของฮวงหลง!”

 

‘ลูกแก้ว หนีไปลูก!’

เสียงกรีดร้องดังกึกก้อง ไอศิกายืนหมุนคว้างอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอันหนาวเหน็บ เนื้อตัวของเธอสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวขณะมองหาเจ้าของเสียงอันแสนคุ้นเคย

“มะ...แม่คะ แม่อยู่ที่ไหน...” หญิงสาวครางเสียงโหย สองมือยื่นสะเปะสะปะ พยายามไขว่คว้าหาบางสิ่งในอากาศ วาดหวังว่าจะได้รับสัมผัสของใครสักคนตอบกลับมา ทว่าพบเพียงความว่างเปล่าชวนให้ใจหาย

‘ลูกแก้ว...หนีไปลูก...หนีไป! อย่าหันกลับมา อย่ามอง! อย่ามอง!’

“มะ...แม่...แม่ขา...”

ทันทีที่เธอรู้ว่าต้นเสียงอยู่ด้านหลัง ก็หันกลับไปหาโดยไม่ฟังคำทัดทานใดๆ เพียงเพื่อจะพบกับร่างผอมบางนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น ใบหน้าที่มีส่วนละม้ายคล้ายเธอมากราวพิมพ์เดียวกันนั้นฉาบไปด้วยสีแดงคล้ำของโลหิตและบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดทรมานอย่างสุดแสน ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาเบิกค้างประหนึ่งจะถลนออกมานอกเบ้า หัวใจของไอศิกาแทบหยุดเต้นไปในจังหวะที่เห็นร่างสีดำเคลื่อนมายืนเบื้องหลังมารดา ในมือของเงาร่างที่มองไม่ออกว่าเป็นใครนั้นมีปืนสีเงินวับวาวกระบอกโตอยู่

“ไม่นะ!” ไอศิกากรีดร้องเมื่อเห็นอีกฝ่ายกดปากกระบอกปืนแนบศีรษะด้านหลังของมารดา “ไม่นะ! อย่า!”

ปัง!

“ไม่!”

หญิงสาวเบิกตาโพลง เนื้อตัวแข็งเกร็งในขณะที่หยาดน้ำตาพรั่งพรูอาบแก้ม รู้สึกเหมือนกลิ่นเขม่าปืนเมื่อครู่ยังคงลอยอวลติดปลายจมูก

“ลูกแก้ว” เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมๆ กับวงแขนแข็งแรงสอดเข้ามาใต้แผ่นหลังบอบบาง แล้วยกร่างของเธอให้พิงกับแผงอกกว้าง “ไม่เป็นไรแล้วนะ คุณแค่ฝันร้าย”

“คุณ...นะโม...” ไอศิกากะพริบตาไล่หยาดน้ำจากดวงตาอันพร่ามัวเพื่อให้มองเห็นสิ่งรอบกายชัดขึ้น ทว่ายิ่งภาพใบหน้าของเจ้าของอ้อมแขนเริ่มแจ่มชัดขึ้นเท่าใด ภาพความทรงจำของเหตุการณ์อันน่าสะพรึงริมชายหาดก็ไหลบ่ากลับเข้าสู่สมองราวน้ำป่าถาโถมเข้าหาฝั่ง

“ผมอยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัวนะลูกแก้ว”

ร่างของเธอสั่นเทาอย่างน่าเวทนาจนหย่งเต๋อเผลอกระชับวงแขนรัดร่างนุ่มนิ่มแน่นขึ้นอีก เขากดริมฝีปากหยักหนาจูบซับน้ำตาบนแก้มขาวซีดและปลายคางกลมมนอย่างอ่อนหวาน

ไอศิกาหลับตา ความรู้สึกหวาดกลัวถูกสัมผัสของเขาขับไล่จนปลาสนาการไปสิ้น ไอร้อนระอุจากริมฝีปากที่แตะไปบนผิวแก้มแผดเผาหยาดน้ำตาจนเหือดหายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์

“นี่ฉัน...ฉัน...ฉันกลับมานอนที่ห้องได้ยังไงคะ”

เมื่อสติสัมปชัญญะกลับคืนสู่ร่าง หญิงสาวก็เบือนหน้าหลบริมฝีปากหยักหนาที่ลากไล้จากแก้มมายังกลีบปากของตนอย่างเคอะเขิน พยายามไม่นึกถึงจุมพิตเจือกลิ่นคาวเลือดที่เขาประทับไว้เมื่อคืน แต่น่าประหลาดนักที่ร่างกายของเธอกลับจดจำรอยจารจากริมฝีปากของเขาอย่างแม่นยำ และย้ำเตือนว่าระหว่างเธอกับเขา...มีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป

“ไอ้พี่ภัทรของคุณอุ้มมา”

น้ำเสียงยามพูดถึงชายหนุ่มอีกคนฟังแข็งกระด้าง แต่ไอศิกามัวแต่จดจ่ออยู่กับปลายนิ้วสากที่ปาดคราบน้ำตาให้จนไม่ทันสังเกต

“พี่ภัทร? ทำ...ทำไมฉันจำไม่ได้...” แม้ฤทธิ์ยาที่ยังคงหลงเหลืออยู่จะมีผลทำให้แทบไม่มีเรี่ยวแรง แต่เธอก็พยายามดันตัวออกห่างจากแผงอกหนาหนั่นจนได้ ทว่าวงแขนของเขายังคงรัดแน่นไม่ยอมปล่อยให้เป็นอิสระโดยง่าย “นี่...นี่พี่ภัทรไปไหนคะ แล้วทำไมคุณถึงได้...มาอยู่ในห้องฉัน...”

“ถามเยอะจัง” หย่งเต๋อทำเสียงขึ้นจมูก เขาผ่อนร่างของหญิงสาวลงนอนตามเดิม แล้วถือวิสาสะทิ้งตัวลงนอนตะแคงเท้าแขนเคียงข้างกัน เขายื่นมือไปเกลี่ยไรผมออกจากหน้าผากชื้นเหงื่อของเธออย่างนุ่มนวล “ไอ้พี่ภัทรของคุณน่ะกลับไปกับเจ้าหน้าที่อีกคนตั้งแต่ตอนเจ็ดโมงเช้าแล้ว มีเรื่องต้องเคลียร์ยาวเชียวละ ค่ำๆ คงกลับมา”

จะไม่ ‘ยาว’ ได้อย่างไรกันเล่า รายชื่อเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตจากการ ‘เก็บกวาด’ ของเฉินกุ้ยเมื่อคืนยาวเหยียดเป็นหางว่าวขนาดนั้น แถมภาพจากกล้องวงจรปิดยังถูกลบทิ้งทั้งหมดจึงไม่มีทางรู้ว่าใครเป็นคนลงมือ ทำให้ภัทรพลต้องหาข้ออ้างนับพันเพื่อโกหกว่าเป็นฝีมือของกลุ่มที่โจมตีไอศิกากับเขาที่งานเทศกาลเมื่อคืน ซึ่งอินเตอร์โพลไม่มีวันหาพวกมันเจอเพราะเขาจัดการทำให้เป็นศพไปหมดแล้ว ต่อให้อีกล้านปีแสงก็สาวมาไม่ถึงตัวเขากับเฉินกุ้ยเป็นอันขาด

“เจ็ดโมงเช้าเหรอคะ แล้วตอนนี้กี่โมงแล้ว...”

เสียงของหญิงสาวสั่น รู้อยู่แก่ใจว่าการนอนร่วมเตียงกับนะโมสองต่อสองเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างที่สุด แต่ความรู้สึกอบอุ่นยามที่เขาไล้ข้อนิ้วไปตามกรอบหน้าของเธอแผ่วๆ กลับทำให้ทุกเสียงร้องเตือนในสมองเบาลงจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์

“เกือบเที่ยงแล้ว หิวหรือเปล่า”

หย่งเต๋อกวาดตามองดวงหน้าหวานที่ซีดขาวไร้สีเลือดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโน้มศีรษะจุมพิตหน้าผากกลมมนของเธอเบาๆ ทว่ามีผลต่อหัวใจของคนรับสัมผัสอย่างรุนแรง

“ไม่...” ไอศิกาส่ายหน้า เหงื่อโซมกายจนรู้สึกเหมือนนอนจมอยู่ในแอ่งน้ำทั้งที่เครื่องปรับอากาศภายในห้องแสนเย็นฉ่ำ เธอเบือนหน้าหลบปลายนิ้วร้อนผ่าวของชายหนุ่ม แล้วค่อยๆ กระถดตัวออกห่างเพื่อรักษาระยะระหว่างกันเอาไว้ “ฉัน...ไม่ค่อยหิว...”

“ไม่หิวก็ต้องกิน จะได้มีแรงเก็บของ” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยิน “ไม่แน่ว่าค่ำนี้เราอาจต้องย้ายเซฟเฮาส์กันก็ได้”

“ย้ายเซฟเฮาส์...” หญิงสาวทวนคำเสียงแผ่ว หน้าม่อยลงทันตา “เพราะเรื่องเมื่อคืนใช่ไหมคะ”

เสียงกระสุนและกลิ่นคาวเลือดในความทรงจำยังไม่น่ากลัวเท่ากับการที่เธอนึกขึ้นมาได้ว่าผู้ชายที่นอนอยู่ตรงหน้าคนนี้สังหารศัตรูอย่างโหดเหี้ยมเพียงใด และพาให้ร่างเล็กบางสั่นสะท้านราวตกลงไปในธารน้ำแข็ง

“ก็คงใช่ เพราะเรื่องนั้น ที่นี่จึงถือว่าไม่ปลอดภัยสำหรับคุณอีกต่อไปแล้ว”

ทั้งเรื่องที่ชายหาดเมื่อคืน และเรื่องที่เจ้าหน้าที่ในบ้านหลังนี้ถูกสังหารจนเกือบหมด เว้นไอ้แหยชัยวัฒน์คนเดียวด้วย...รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมผุดขึ้นมาบนริมฝีปากของชายหนุ่มครู่หนึ่ง ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

“แล้วฉันต้องย้ายไปที่ไหนเหรอคะ”

“ซนเป็นลิงเป็นค่าง ปีนป่ายเก่งระดับคุณก็คงต้องย้ายไปอยู่ในกรงที่ไหนสักที่มั้ง”

“ไม่ต้องย้ำนักก็ได้ ฉันรู้ตัวแล้วว่าผิดที่ทำให้เกิดเรื่อง” ไอศิกาทำหน้าไม่ถูก หากเธอไม่ทำอะไรตามใจตนเอง เรื่องก็คงไม่บานปลายใหญ่โตมาจนถึงขนาดนี้ “ฉันขอโทษนะ”

“ขอโทษทำไม มันเป็นความผิดของไอ้พวกบ้าที่ไล่ยิงเราต่างหาก คุณก็แค่ซนประสาเด็กไม่รู้จักโตเท่านั้นเอง” เสียงหัวเราะเยาะหยันของเขาทำเอาคนฟังค้อนตาแทบกลับ “ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ถึงคุณไม่ออกไปข้างนอก พวกมันก็ต้องหาทางบุกเข้ามาจัดการคุณในบ้านนี้อยู่ดี”

“บุกเข้ามา...” หญิงสาวตัวสั่นเมื่อนึกถึงสัมผัสเย็นเฉียบของปากกระบอกปืนที่คนร้ายกดกระแทกบนผิวกาย “ทั้งที่รู้ว่าที่นี่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วก็อินเตอร์โพลอยู่ด้วยเหรอคะ”

“คุณคงต้องไปถามพ่อคุณแล้วละว่าไปทำอะไรให้ใครแค้นนักหนา ถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาจองล้างจองผลาญชนิดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมขนาดนี้”

เขาจงใจเลี่ยงไม่พูดถึงรายละเอียดเรื่อง ‘หนอนบ่อนไส้’ ให้ไอศิการับรู้ เพราะไม่อยากให้เธอถามถึงเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่เฉินกุ้ยส่งไปพบยมบาลเมื่อคืน เขาทลายกำแพงที่แม่ลูกคุณหนูกางกั้นเอาไว้เกือบสำเร็จแล้ว หากเธอรู้ว่าไม่อาจไว้ใจใครได้เลยแม้แต่เจ้าหน้าที่ที่ภัทรพลส่งมาดูแลตนเองละก็ เธออาจพลอยระแวงเขาขึ้นมาด้วยก็ได้ และถ้าเป็นอย่างนั้น ‘แผน’ ของเขาก็ล่มกันพอดี!

“ศัตรูของพ่อมีเยอะ ฉันคงเดาไม่ถูกหรอก” ไอศิกาปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนเพลีย “ว่ากันตามจริง ฉันแทบไม่รู้เรื่องอะไรของพ่อเลยสักอย่าง”

“พูดเป็นเล่น คุณเป็นลูกสาวของเขานะ จะไม่รู้เรื่องของพ่อตัวเองได้ยังไง” หย่งเต๋อแค่นหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ

“ก็ฉันไม่ได้โตมากับพ่อนี่ เมื่อก่อนฉันอยู่กับแม่ที่บ้านเก่าของคุณตาคุณยายที่ต่างจังหวัด พอแม่เสีย พ่อก็รับตัวฉันมาอยู่ด้วย กว่าจะปรับตัวได้ก็นานพอดู ตอนเด็กๆ ฉันเกเรมาก คอยแต่อาละวาดจนพ่อปวดหัวเลยละ”

เสียงของหญิงสาวแผ่วลงอย่างเศร้าสร้อย ภาพใบหน้าของมารดาในความทรงจำของเธอนั้นโศกเศร้าจนน่าใจหาย ต่อให้มีรอยยิ้มประดับอยู่ก็ยังดูหม่นหมองเหมือนถูกความทุกข์แสนสาหัสกัดกินในเบื้องลึกของวิญญาณจนไม่อาจมีความสุขได้อีกเลยในชีวิตนี้

“คุณเกเรที่ไหนกันเล่า ถ้าเกเรจริง เมื่อคืนคงไม่กลัวปืนจนตัวสั่นขนาดนั้นหรอก จนตอนนี้ก็ยังสั่นอยู่เลย” กระแสแห่งความหมองหม่นที่ไหลวนอยู่รอบกายบอบบางเรียกให้มือของชายหนุ่มเอื้อมไปปัดลูกผมออกจากหน้าผากชื้นเหงื่อของเธออย่างลืมตัว “เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นลูกสาวเจ้าพ่อกลัวปืนเป็นครั้งแรกนี่แหละ”

“พูดอย่างกับคุณรู้จักลูกสาวเจ้าพ่อเยอะแยะอย่างนั้นละ”

ไอศิกาเสเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบสัมผัสที่ทำให้รู้สึกใจเต้นแปลกๆ ของชายหนุ่ม แล้วค่อยๆ รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มียันกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างทุลักทุเล ถึงจะไม่ใช่สาวหัวโบราณอะไรนักหนา แต่การนอนคุยกับผู้ชายบนเตียงสองต่อสองเช่นนี้คงไม่เหมาะสมเท่าใดนัก 

“ก็...รู้จักอยู่บ้างคนสองคน” รอบตัวเขามีแต่หญิงสาวผู้คุ้นเคยกับปืนผาหน้าไม้เป็นอย่างดีทั้งนั้น โดยเฉพาะเฉินเพ่ยเพ่ย แม่ลูกแมวดำตัวแสบและจันทร์เจ้า น้องสาวของเขาที่ยิงปืนแม่นราวจับวาง “ผมหมายถึง...ผมเคยทำหน้าที่อารักขาพวกลูกหลานเจ้าพ่อมาบ้าง ไม่เคยเห็นใครกลัวปืนแบบคุณสักคน คนรอบตัวคุณก็พกปืนกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ ว่ากันตามจริง...พ่อคุณน่ะเคยค้าอาวุธด้วยซ้ำ”

เขาโกหกหน้าตายเมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วนิดๆ ด้วยความสงสัย

“ฉันน่ะกลัวปืนมาก ทั้งเกลียดทั้งกลัวเลยละ” หญิงสาวระบายลมหายยาว เธอนิ่งไปครู่หนึ่งคล้ายลังเลว่าจะพูดต่อไปดีหรือไม่ แต่เมื่อหันกลับมาประสานสายตากับดวงตาสีดำสนิทราวท้องฟ้ายามราตรีของเขา ปากก็ขยับเอื้อนเอ่ยโดยอัตโนมัติ “อย่างที่ฉันบอกนั่นละว่าฉันอยู่กับแม่ที่ต่างจังหวัดมาตลอด พ่อมักจะขับรถมาหาพวกเราอาทิตย์ละครั้ง ถ้าไม่ยุ่งมากก็อาจจะมาหาอาทิตย์ละสองสามครั้ง ตอนนั้นฉันยังเด็กมาก ไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่อยู่ด้วยกันทั้งที่รักกันขนาดนั้น ฉันไม่เคยรู้ว่าพ่อเป็นใคร ทำมาหากินอะไร แม่เองก็ไม่เคยเล่า จนกระทั่ง...วันหนึ่งรถคันที่ฉันกับแม่นั่งกลับบ้านถูกดักยิงระหว่างทาง...”

เสียงของไอศิกาสั่น ยามภาพความโกลาหลของวันนั้น...วันที่เธอสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปตลอดกาลปรากฏขึ้นในสมองอีกครั้ง

“ปกติเวลาไปไหนมาไหนด้วยกัน พ่อกับแม่มักแยกกันนั่งรถคนละคันเสมอ พวกท่านให้เหตุผลว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับใครคนใดคนหนึ่ง ก็ยังเหลืออีกคนไว้คอยดูแลฉัน ฉันเองก็แทบไม่เคยได้นั่งรถคันเดียวกันกับพวกท่านเลย...

“แต่วันที่เกิดเรื่อง...ฉันเป็นไข้ไม่สบาย ร้องงอแงจะนอนหนุนตักแม่ พ่อก็เลยต้องยอม ไม่นึกเลยว่าจะมีคนรอดักทำร้ายพวกเรา รถถูกยิงเจาะยางจนเสียหลัก ไถลตกจากไหล่ทาง ฉันได้ยินเสียงปืนดังมาจากทุกทิศทุกทาง ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน แม่รีบพาฉันหนีออกจากรถ แต่แม่ก็ถูกยิง ท่านบอกให้ฉันวิ่ง...ฉันก็วิ่งไม่หยุด จากนั้นทุกอย่างก็มืดไปหมด

“ฉันมารู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่ที่โรงพยาบาลหลังผ่านไปแล้วเกือบอาทิตย์ ที่น่าสมเพชที่สุดก็คือ...ฉันไม่มีแม้แต่โอกาสไปร่วมงานศพแม่ของตัวเองด้วยซ้ำ...

หย่งเต๋อนิ่งฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาที่เคยสงบดุจผืนน้ำอันมืดดำกลับกระเพื่อมไหวคล้ายมีใครสักคนโยนก้อนหินลงไปในห้วงใจอันลึกสุดหยั่ง ขนาดของหินนั้นเล็กมากเสียจนน่าขัน ทว่าทรงอานุภาพยิ่ง สร้างระลอกคลื่นที่มีชื่อเรียกว่า ‘ความหวั่นไหว’ ให้เกิดขึ้นในใจเขาเป็นครั้งแรก

“ลูกแก้ว” ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ พลางเอื้อมมือไปกุมมือเธอเอาไว้หลวมๆ ซึ่งเธอไม่ได้ขัดขืนเลยแม้แต่นิด

“ตอนแรกที่มาอยู่กับพ่อ สภาพฉันย่ำแย่มาก นอกจากเห็นปืนแล้วจะสติแตก ฉันยังเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ไม่ยอมให้ใครถูกตัวเพราะกลัวว่าจะมีใครมาฆ่า ต้องพบจิตแพทย์อยู่เป็นปีกว่าจะใช้ชีวิตแบบมนุษย์ปกติได้ ถ้าไม่มีพ่อคอยอดทนดูแลอยู่เคียงข้าง ก็คงไม่มีฉันในวันนี้ เพราะมีท่าน...ฉันถึงอยู่มาได้จนป่านนี้” เสียงของหญิงสาวสั่นเครือ “ฉันกลัวเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมากนะ กลัวตายก็กลัว แต่ที่กลัวที่สุดก็คือตายไปแล้วจะไม่มีใครคอยดูแลพ่อมากกว่า ยิ่งตอนนี้พ่อต้องมานอนโคม่าไม่ได้สติแบบนี้ ฉันก็ไม่กล้าตาย ไม่สิ...ต้องพูดว่าตายไม่ได้จะถูกกว่า”

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ผมไม่มีวันยอมให้ใครแตะต้องคุณแน่” หย่งเต๋อยกมือของไอศิกาขึ้นจุมพิตเบาๆ ไอร้อนระอุจากริมฝีปากของเขาพาให้กายสาวสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้ “ผมจะปกป้องคุณเอง ขอแค่คุณเชื่อใจผม”

ชายหนุ่มลากริมฝีปากจากหลังมือไล่ขึ้นไปตามท่อนแขนเรียว หัวไหล่ พวงแก้มนุ่มนิ่มและทำท่าจะจบลงที่กลีบปากบางเฉียบ แต่หญิงสาวก็รีบดันใบหน้าของเขาให้ออกห่างทันควัน

“ไม่...ไม่ได้ นี่มัน...ไม่ถูกต้อง...” ดวงตาคู่งามเต้นระริก แก้มเผือดสีในคราแรกพลันซับสีเลือดจนแดงระเรื่อ “เราทำแบบนี้ไม่ได้ ถ้าพี่ใบป่านรู้เข้า...”

“ถ้ามันรู้แล้วจะทำไม คุณแคร์มันมากขนาดนั้นเลยเหรอ”

หย่งเต๋อกดเสียงลงต่ำจนฟังคล้ายเสียงคำราม นี่เขาลืมไปได้อย่างไรกันว่าเธอสนิทสนมกับไอ้ตี๋เล็กมากถึงขนาดเรียกมันว่าพี่! ทีกับเขาละแยกเขี้ยวใส่ ทำท่าเหมือนจะกินหัวอย่างไรอย่างนั้น!

“หรือคุณไม่แคร์ ก็คุณกับพี่ใบป่านเป็น...เป็นอะไรกัน คุณก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ...”

ไอศิกาอึกๆ อักๆ พูดไม่เต็มเสียง รู้สึกละอายยิ่งนักที่เผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับไออุ่นและสัมผัสของเขา ความห้าวหาญดุดันของนะโมพาให้เธอเคลิบเคลิ้มและจมดิ่งลงสู่โลกของเทพนิยายที่มีเจ้าชายรูปงามเสี่ยงชีวิตปกป้องเจ้าหญิง แต่เมื่อกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง เจ้าชายของเธอกลับเป็นของเจ้าชายอีกองค์เสียนี่

“คุณนี่...น่ารักจริงจริ๊ง” หย่งเต๋อแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่...ยายเด็กบ๊องเอ๊ย นี่เธอคิดว่าเขามีรสนิยมชื่นชอบการเข้ารกเข้าพงในป่าเดียวกันจริงๆ น่ะหรือ ทั้งๆ ที่เขาเคยจูบเธอเสียจนปากบวมเจ่อเนี่ยนะ “ก็ช่างไอ้หมอนั่นปะไร เขาก็อยู่ส่วนเขา เราก็อยู่ส่วนเรา”

ชายหนุ่มแกะมือเล็กที่เกาะแน่นราวตีนตุ๊กแกออกจากใบหน้า แล้วรวบร่างอ้อนแอ้นเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะกดริมฝีปากจุมพิตกระหม่อมบางอย่างมันเขี้ยวเต็มแก่ ให้ตาย...แม่คุณน่ารักเสียจนเขาแทบอดใจไม่อยู่

“มะ...หมายความว่ายังไง” ไอศิกาพยายามจะดิ้น แต่ร่างกายอ่อนแรงเสียจนไม่อาจสู้คนที่ตัวโตกว่าเกือบสองเท่าได้ “หรือ...หรือว่าคุณเป็น...ไบ...ไบเซ็กชวล...”

“คิดไปได้นะคุณ” หย่งเต๋อดันหญิงสาวให้ออกห่างนิดหนึ่ง แล้วกวาดตามองสีหน้าเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเธอแล้วหัวเราะร่วน “จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ แต่ผมน่ะชอบผู้หญิง ชอบมากด้วย โดยเฉพาะ...คุณ”

ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มยังแตะริมฝีปากบนปลายจมูกเล็กโด่งของเธอเบาๆ อย่างยั่วเย้า ทำเอาหัวใจเต้นแรงแทบกระดอนออกมานอกอก

นี่เขา...กำลังล้อเล่นใช่ไหม...

“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะพี่ แต่อาหารเที่ยงเสร็จแล้ว จะกินเลยไหม หรือว่ากิน ‘อย่างอื่น’ กันอิ่มแล้ว”

ไอศิกาสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ดังมาจากทางประตูห้อง เมื่อหันกลับไปมองจึงเห็นร่างสูงของชายหนุ่มอีกคนยืนกอดอกพิงกรอบประตูอยู่ ใบหน้าของเขานิ่งสนิทไม่ต่างจากน้ำเสียง ทว่าดวงตาฉายชัดถึงความไม่พอใจบางอย่าง

“พี่...ใบป่าน...”

หญิงสาวพยายามดันตัวออกจากอ้อมแขนที่โอบรัดอยู่รอบกาย แต่เขากลับกระชับอ้อมกอดแน่นเข้าประหนึ่งจงใจท้าทายบุคคลที่สาม

“จะเข้าห้องคนอื่นทำไมถึงไม่เคาะประตูก่อนครับไอ้คุณใบป่าน”

หย่งเต๋อเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างยียวน ในขณะที่อีกฝ่ายกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มเย็นชา ยิ้มก็เหมือนไม่ยิ้ม

“ขอโทษที่ไร้มารยาท เผอิญประตูมันแง้มอยู่แล้ว ผมก็เลยผลักเข้ามาเลย ไม่ทันคิดว่าจะมี ‘อะไรๆ’ ส่วนตัวที่ผมไม่ควรเห็น”

“ไม่...ไม่ใช่นะคะพี่ใบป่าน” ไอศิกาหน้าเสีย นี่เธอทำร้ายจิตใจเขาหรือเปล่านะ “ลูกแก้ว...”

“ถ้าลุกไหวแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตา แล้วลงไปกินอะไรเสียหน่อยเถอะครับ ผมทำข้าวต้มไว้ให้ คุณดูเพลียๆ กินอาหารอ่อนๆ ดีที่สุด” เฉินกุ้ยไม่สนใจรอฟังคำแก้ตัวของหญิงสาวสักนิด สีหน้าของเธอจึงจืดเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด “คุณเพิ่งสร่างไข้ อย่าเพิ่งอาบน้ำเย็นๆ นะครับ เช็ดเนื้อเช็ดตัวพอให้สบายตัวก่อนก็พอ เดี๋ยวผมกับพี่นะโมจะลงไปรอข้างล่างระหว่างที่คุณทำธุระส่วนตัว ดีไหม”

“ก็คงดีมั้ง ว่าไงก็ว่าตามกัน” หย่งเต๋อเดาะลิ้น เขายอมคลายวงแขนปล่อยสาวน้อยให้เป็นอิสระอย่างเสียไม่ได้ หากเป็นยามปกติคงไล่ตะเพิดไอ้ตัวดีที่กล้ามาขัดจังหวะให้ไปไกลๆ นานแล้ว แต่เขาเติบโตมากับเฉินกุ้ย แค่มองตากันก็รู้แล้วว่า อีกฝ่ายมีเรื่องสำคัญจะพูดด้วย “เจอกันที่ห้องครัวนะ คุณหนูลูกแก้ว”

ชายหนุ่มลูบแก้มของไอศิกาเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เธอจมอยู่กับความกังวลและสับสนวุ่นวายใจเพียงลำพัง

 

“พี่กำลังล้ำเส้น”

เฉินกุ้ยพูดพลางก้าวเท้าลงจากบันไดช้าๆ อย่างมั่นคง วันนี้เขาสวมเพียงเสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีขาวที่พับแขนขึ้นเหนือข้อศอกและกางเกงสแล็กส์สีดำ จึงดูไม่เป็นทางการเช่นทุกวัน

“แล้วไง” หย่งเต๋อยักไหล่ขณะก้าวเท้าตามคนข้างหน้าไปติดๆ “ก็รายงานพ่อไปสิว่าฉันทำเรื่องระยำอะไรบ้าง อ้อ...ไม่สิ พ่อคงเห็นหมดแล้วมั้ง ผ่านกล้องสามตัวที่แกติดไว้ในห้องของลูกแก้ว”

“รู้ทั้งรู้ก็ยังหาเหาใส่หัวว่าอย่างนั้นเถอะ” เฉินกุ้ยถอนใจ ไม่แปลกใจสักนิดที่หย่งเต๋อสังเกตเห็นกล้องที่เขาซ่อนเอาไว้อย่างแนบเนียนได้ ประสบการณ์อันโหดร้ายในโลกมืดลับเขี้ยวเล็บของเปี้ยนเหลี่ยนหวังจนคมกริบ และเยือกเย็นพอที่จะไม่กระโตกกระตากเพื่อรอจังหวะสวนกลับไม่ให้ศัตรูได้ทันตั้งตัว “พ่อโทร. มาสั่งให้ผมติดไว้เพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของลูกแก้ว”

ซ่อนเอาไว้อย่างดีชนิดที่เจ้าของห้องและเจ้าหน้าที่อินเตอร์โพลไม่เคยระแคะระคายสักนิด แต่ลูกพี่ใหญ่ของเขาเข้าไปนอนกกสาวครึ่งวันก็เห็นเข้าเสียแล้ว เผลอๆ จะรู้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ย่างเท้าเข้าไปในห้องนั้นแล้วกระมัง

“จับตาดูฉันมากกว่ามั้ง” หย่งเต๋อแค่นหัวเราะ เขาหยิบซองบุหรี่ยับย่นออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง แล้วดึงบุหรี่มวนหนึ่งออกมาคาบไว้ในปาก “ลุงเฉินเปียวโทร. สั่งแกตามคำสั่งของพ่อฉันใช่ไหมเล่า ไม่เคยไว้ใจกันเล้ย ให้ตายเถอะ”

นึกแล้วก็หงุดหงิดนัก จนป่านนี้แล้วหวังเสี้ยวเทียนผู้ยิ่งใหญ่ยังชอบคุมประพฤติเขาประหนึ่งเป็นนักโทษในหอคอยลอนดอนเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน แต่จะว่าไปพ่อก็รู้จักเขาเป็นอย่างดีจริงๆ นั่นละ รู้ว่าไม่ช้าก็เร็ว เขาต้องหาทางเข้าไปในห้องนอนของสาวสวยประจำบ้านเป็นแน่

“แล้วพี่คิดว่าตัวเองไว้ใจได้ไหมเล่า” เฉินกุ้ยส่ายหน้าอย่างระอาใจ ก่อนจะหยิบไฟแช็กออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วหันกลับไปจุดบุหรี่ให้ชายหนุ่มอีกคนอย่างคล่องแคล่วตามความเคยชิน “บอสไม่พอใจมากนะที่พี่เอาตัวไปพัวพันกับลูกสาวของภามมากเกินความจำเป็น”

“แล้วฉันต้องแคร์ไหม” ชายหนุ่มอัดควันเข้าปอดแล้วพ่นควันใส่คนตรงหน้าที่ยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยจากนั้นจึงเหยียดยิ้มหยัน “ไม่ว่าฉันจะทำอะไรพ่อก็ไม่พอใจอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ฉะนั้นฉันจะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ”

“เพราะรู้ว่าบอสอาจดูอยู่ พี่ก็เลยแกล้งอี๋อ๋อกับลูกสาวของศัตรูยั่วโมโหบอสเพื่อความบันเทิงส่วนตัวใช่ไหม ให้ตายเถอะ พี่นี่มันไม่รู้จักโตจริงๆ พับผ่า”

“ว่าแต่ฉันไม่รู้จักโต แล้วแกเล่า โตสักแค่ไหนกันเชียว ดูจากรอยเล็บของนางแมวป่าบนเนื้อตัวแกแล้ว แกมันก็ตะเภาเดียวกับฉันนั่นละว้าอากุ้ย เผลอๆ แกจะแย่กว่าฉันอีก ทิ้งหน้าที่หายไปฟัดสาวเป็นวัน ไร้ความรับผิดชอบจริงจริ๊ง ให้ตายเถอะ พับผ่า” ท้ายประโยคลูกมังกรหนุ่มจงใจล้อเลียนคำพูดของเฉินกุ้ย “ถามจริงๆ เหอะ เด็กแกนี่ใครวะ สวยมากไหมถึงทำให้แกแล่นไปหาเหมือนคนบ้าได้ขนาดนั้น หรือว่า...จะเป็นคนที่ฉันรู้จักอยู่แล้ววะ”

เป็นคำถามที่ทั้งผู้ถามและคนที่ไม่ยอมตอบเหมือนจะรู้คำตอบอยู่แล้วเป็นนัยๆ เพียงแต่ไม่แน่ใจจึงต้องลองหยั่งเชิงดูก่อน

“จะใครก็ช่าง พี่ควรห่วงเงาหัวของตัวเองมากกว่าผม พี่ก็รู้ว่าถ้าบอสโกรธขึ้นมาจริงๆ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหน”

สีหน้าของเฉินกุ้ยนิ่งสนิทไร้พิรุธใดๆ หย่งเต๋อจึงได้แต่หรี่ตามองแล้วทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคออย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก

“ไม่ปฏิเสธซะด้วย เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับพี่กับเชื้อเหรอวะ อากุ้ย”

“ก็เหมือนที่พี่มีความลับกับผมนั่นละ” เฉินกุ้ยมองคนที่อยู่ด้านหลังม่านหมอกควันสีเทานิ่ง “ถามจริงๆ พี่ชอบเด็กคนนี้เหรอ”

“ฉันชอบผู้หญิงสวยทุกคนนั่นละ แกก็รู้” ชายหนุ่มระบายควันบุหรี่ออกทางจมูก ดวงตาเรืองโรจน์เป็นประกายวูบวาบแปลกๆ

“เฉไฉแบบนี้แปลว่าชอบ ถูกไหม” เฉินกุ้ยกอดอก “พี่ก็รู้ว่า...”

“นั่นเป็นลูกสาวของศัตรู แกย้ำเป็นร้อยรอบแล้วมั้ง น่ารำคาญฉิบ” หย่งเต๋อต่อประโยคให้เสร็จสรรพด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“ให้มันรู้จริงเถอะ” จริงอยู่ว่าเขาไม่เคยเห็นหย่งเต๋อทะนุถนอมผู้หญิงคนไหนเหมือนที่ทำกับไอศิกา แต่ในกิริยาหวานชื่นลืมตายนั้น เขากลับได้กลิ่นอายอันตรายบางอย่างแฝงอยู่ “ขอถามตรงๆ พี่ไม่ได้คิดอะไรชั่วๆ อยู่ใช่ไหม”

“ฉันมันชั่ว ก็คิดเป็นแต่เรื่องชั่วๆ นั่นละ” หย่งเต๋อแสยะยิ้ม เขาอัดควันเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขยี้ก้นกรองบนผนังบ้านที่ภัทรพลตั้งใจเลือกให้เป็นเซฟเฮาส์ของไอศิกาอย่างหมั่นไส้เต็มทน เขาอยากทำแบบนี้มาตั้งแต่วันแรกแล้ว! “อย่าซีเรียสนักเลยน่าอากุ้ย มันก็แค่เกมฆ่าเวลา เบื่อก็เลิก”

“เบื่อให้เร็วหน่อยก็ดี ทิ้งไว้ให้คาราคาซังนานๆ คนที่ต้องมานั่งปวดหัว ตามล้างตามเช็ดให้พี่ก็ต้องเป็นผมทุกที”

“ขี้บ่นจริ๊ง” ชายหนุ่มแบะปากแล้วก้าวฉับๆ ผ่านหน้าอีกฝ่ายไปด้วยท่าทางสบายอารมณ์เป็นที่สุด “เอาไว้เบื่อแล้วจะบอกก็แล้วกัน”

แต่ตอนนี้ยังไม่เบื่อ แล้วก็คงยังไม่เบื่อง่ายๆ ด้วย เกมจะจบก็ต่อเมื่อเขาบอกว่าจบเท่านั้น!

“ผมไม่อยากให้พี่วู่วาม” คำพูดของเฉินกุ้ยเรียกให้หย่งเต๋อชะงักฝีเท้า “ถ้าเรื่องที่คุณเหม่ยอิงได้ยินมาเป็นเรื่องจริง ทั้งพวกเรากับไอ้ภามอาจกำลังถูกปั่นหัวทั้งคู่ ถ้าลงมือทำอะไรโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี พี่อาจต้องเสียใจภายหลังนะพี่หย่งเต๋อ”

แน่นอนว่าเขาหมายถึงเรื่องของไอศิกา...

“ไม่มีเรื่องไหนทำให้ฉันเสียใจมากไปกว่าเรื่องที่ฉันไม่ได้อยู่ปกป้องแม่ตอนที่เกิดระเบิดอีกแล้วอากุ้ย”

น้ำเสียงของลูกมังกรหนุ่มเยียบเย็น แม้ไม่ได้หันหน้ามาสบตากัน เฉินกุ้ยก็รู้ดีว่าแววตาของหวังหย่งเต๋อนั้นชวนให้หนาวเยือกเพียงไหน นับตั้งแต่นายหญิงของแก๊งฮวงหลงเข้าโรงพยาบาล คนเป็นลูกแทบไม่โทรศัพท์สอบถามอาการมารดาเท่าใดนัก เขาบอกกับหวังหลิงหลิงผู้เป็นอาว่าหากเกิดเหตุร้ายแรงถึงขั้นไม่อาจรั้งลมหายใจของมารดาเอาไว้ได้ค่อยโทรศัพท์มาแจ้ง และโทรศัพท์สายนั้นจะถือเป็นใบสั่งตายของ ภาม พิมพ์สุริยา และทุกคนในครอบครัว!

ตราบใดที่ฟ้าใสยังมีลมหายใจ ภามและไอศิกาก็ยังไม่ถึงฆาต!

เฉินกุ้ยถอนใจ อาจดูเหมือนหย่งเต๋อไม่ใส่ใจความเป็นความตายของมารดา แต่แท้จริงแล้วเขารักท่านสุดหัวใจ ทว่าวิถีของคนในโลกมืดบังคับให้เขาต้องซ่อนความรู้สึกอ่อนไหวไว้เบื้องหลังหน้ากากนับร้อยนับพันชั้นที่สวมทับอยู่บนหน้า แสร้งทำเป็นแข็งแกร่งไร้เทียมทาน เหี้ยมโหด...จนเกือบเรียกได้ว่าไร้หัวใจ

ใครเลยจะรู้...ว่าพวกเขาเองก็รู้จักเจ็บปวดไม่ต่างจากคนทั่วไป

“ผมเตือนด้วยความหวังดีนะพี่หย่งเต๋อ อย่าล้อเล่นกับความรู้สึกคน โดยเฉพาะกับความรู้สึกของตัวเอง”

“ความรู้สึกของฉัน?” หย่งเต๋อหัวเราะเสียงเหี้ยมเกรียม “ไม่ต้องห่วงหรอก คนที่จะต้องเจ็บไม่ใช่ฉันแน่ แต่เป็นไอ้ภามต่างหาก!”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น