๑๔
ยิ่งใกล้กัน ยิ่งหวั่นไหว (๒)
“คุณ...ไปนั่งรอตรงอื่นได้ไหม รบกวนสมาธิ”
ไอศิกาตวัดตามองคนที่นั่งอยู่บนม้าหินฝั่งตรงข้ามอย่างอึดอัดใจ แต่เขากลับนั่งเท้าคางมองเธอแล้วฉีกยิ้มกว้าง ไม่แม้แต่จะขยับตัวสักนิด ดวงตาคมกล้าของเขาพราวระยับราวฟ้าพร่างดาวจนเธอต้องเสหลุบตาลง ไม่กล้าสบตากับเขาตรงๆ ให้ใจสั่น
“หน้าที่ผมคืออารักขาคุณ ถ้าผมละสายตาแล้วเกิดอะไรขึ้นกับคุณขึ้นมาจะทำยังไงเล่า อยู่ใกล้ๆ กันแบบนี้แหละ อุ่นใจดี” หย่งเต๋อขยิบตายั่วเย้า
“ที่นี่มันมหาวิทยาลัยนะ ไม่มีใครบุกมาฆ่าปาดคอฉันกลางคณะแบบนี้หรอก ฉะนั้นไม่ต้องมานั่งจ้องหน้าฉันเขม็งแบบนี้ก็ได้ ฉันขนลุกจนอ่านหนังสือสอบไม่รู้เรื่องแล้ว”
สายตาสอดรู้สอดเห็นของผู้คนที่เดินผ่านไปมาทำให้หญิงสาวแทบอยากจะหายตัวไปเสียเดี๋ยวนั้น ลำพังเรื่องที่เธอมาปรากฏตัวที่มหาวิทยาลัยหลังจากบิดาถูกลอบยิงจนเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วประเทศก็ทำให้เธอตกเป็นเป้าความสนใจพอแรงอยู่แล้ว แต่การที่มีบอดีการ์ดรูปงามมานั่งประกบถึงสองคนในวันสอบไฟนัลก็ยิ่งกลายเป็นหัวข้อซุบซิบของเพื่อนร่วมสถาบันมากขึ้นไปอีก
“ก็ไม่ต้องอ่านสิ” ไม่พูดเปล่า หย่งเต๋อยังเอื้อมมือไปคว้าตำราเรียนที่กางอยู่ตรงหน้าของไอศิกามาโยนไว้บนเก้าอี้ข้างตัวหน้าตาเฉย “อีกชั่วโมงครึ่งคุณต้องขึ้นไปสอบแล้ว ตอนนี้อ่านไปก็ไม่เข้าหัวหรอก เอาเวลามาผ่อนคลายดีกว่า สมองจะได้ปลอดโปร่ง ทำข้อสอบไม่ติดขัด”
“อย่ามากวนประสาทฉันตอนนี้ได้ไหม คนยิ่งเครียดๆ อยู่” ไอศิกาทำหน้าง้ำ “วันนี้เป็นวิชาสุดท้าย แล้วก็เป็นวิชาที่ยากที่สุดด้วย”
มือเล็กเรียวที่ทาบอยู่บนโต๊ะสั่นน้อยๆ ด้วยความเครียดผสมปนเปกับความกังวลใจ หย่งเต๋อมองอาการนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วโน้มตัวไปดึงมือของหญิงสาวขึ้นมาแนบจุมพิตบนหลังมือขาวเนียนเร็วๆ
“คุณนะโม!” ไอศิการ้องเสียงดังแทบเป็นตะโกน เธอรีบกระตุกมือกลับราวถูกถ่านร้อนๆ นาบ
“จูบนำโชค” หย่งเต๋อหัวเราะพลางทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม “รับรอง มือข้างนั้นเขียนตอบข้อสอบไหลลื่นเหลือเชื่อ”
“ที่...ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัย คุณจะทำรุ่มร่ามแบบนี้ไม่ได้!”
เสียงพูดในประโยคหลังเบาลงจนเหลือเพียงเสียงกระซิบ เพราะกลัวว่าจะตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้างมากไปกว่านี้
“ช่วยอย่าทำเหมือนผมไม่มีตัวตนหน่อยได้ไหมพี่” เฉินกุ้ยที่นั่งกอดอกมองลูกพี่ใหญ่อย่างเงียบเชียบอยู่นานเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “หรืออย่างน้อยก็ให้เกียรติสถานศึกษาบ้างเถอะ”
หลังเหตุฆ่าล้างบางในคืนนั้นจบลง ไอศิกาก็ถูกย้ายกลับมาอยู่ที่เซฟเฮาส์ในกรุงเทพมหานครซึ่งมีขนาดเล็กกว่าทว่ามีการคุ้มกันหนาแน่นกว่าที่เดิมมากเกือบสองเท่า และแทบไม่ได้ย่างเท้าออกไปนอกเขตอาคารเลยตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่รู้สึกกดดันมากเท่าที่เคย อาจเพราะเจ้าหน้าที่ชุดใหม่ที่ทางภัทรพลจัดมาให้เกียรติเธอมากกว่าชุดแรกหลายเท่า พวกเขาสุภาพและไม่ข้องแวะกับเธอมากเกินความจำเป็น อีกทั้งยังมีแม่บ้านคอยหุงหาอาหารและจัดการเรื่องงานบ้านให้ เธอจึงมีเวลาได้ดูหนังสือสอบเต็มที่
นับว่าภัทรพลตั้งใจวางแผนยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัวมาเป็นอย่างดี อย่างแรก ไม่ต้องห่วงว่าไอศิกาจะถูกเขาวางยาพิษในอาหาร ซึ่งจริงๆ ก็เป็นเรื่องต่ำช้าเกินกว่าที่คนอย่างเฉินกุ้ยจะคิดทำอยู่แล้ว และอย่างที่สอง การที่แม่บ้านเป็นหญิงสูงอายุผู้แสนใจดี ทำให้ไอศิกาสนิทสนมกับนางอย่างรวดเร็ว เท่ากับเป็นการเพิ่มคนจับตาดูเธออย่างใกล้ชิดขึ้นอีกหนึ่งคนโดยที่เธอไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไปนัก พร้อมกันนั้นยังค่อยๆ ลดบทบาทของบุคคลไม่พึงประสงค์อย่างเขากับหย่งเต๋อไปด้วยในตัว
แต่...ช่างเป็นความพยายามอันสูญเปล่าเสียนี่กระไร
ภัทรพลคงลืมไปเสียแล้วกระมังว่าชายที่ตนพยายามต่อกรด้วยนั้นคือเปี้ยนเหลี่ยนหวัง ผู้เป็นทั้งอาชญากรจอมเจ้าเล่ห์และนักรักใจบาป ยามต้องการหลอกใช้ใครเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ต่อให้เป็นเด็กน้อยวัยสิบขวบหรือสาวทึนทึกวัยดึก หวังหย่งเต๋อก็พร้อมหว่านเสน่ห์หลอกล่อเพื่อให้บรรลุเป้าหมายโดยไม่สนใจศีลธรรมจรรยาใดๆ ทั้งสิ้น แล้วมีหรือที่สาวน้อยที่อยู่ในช่วงเวลาอ่อนไหวที่สุดในชีวิตอย่างไอศิกาจะรอดเงื้อมมือลูกพี่ใหญ่ของไอ้เฉินกุ้ยไปได้โดยง่าย กว่าลิเอซองหนุ่มจะคิดได้ว่าควรปกป้องหญิงสาวอย่างไร หย่งเต๋อก็ก้าวนำหน้าไปหลายช่วงตัวแล้ว มิหนำซ้ำยังทำปะเหลาะปากหวานใส่ป้านงเยาว์ แม่บ้านวัยหกสิบห้าปีของภัทรพลจนกลายเป็นที่รักใคร่เอ็นดูภายในระยะเวลาไม่กี่วัน ในเมื่อเป็นที่นิยมชมชอบเสียแล้ว เรื่องจะให้จับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นคงไม่มีประโยชน์อันใดเสียละกระมัง มีแต่จะช่วยเข้าข้างกันเสียมากกว่า
คิดๆ ไปเฉินกุ้ยก็เวทนาภัทรพลไม่น้อย ลำพังเรื่องที่ต้องอาศัยเส้นสายของบิดาช่วยวิ่งเต้นสร้างเรื่องโกหกเพื่อให้ยุติการสอบสวนเหตุใหญ่ในคืนนั้นก็คงแทบกระอักเต็มทน แม้จะอ้างว่ามีคนร้ายไม่ทราบฝ่ายบุกเข้ามาทำร้ายไอศิกาถึงในบ้าน แต่การที่ทั้งเจ้าหน้าที่อินเตอร์โพลหลายนายและคนร้ายที่กล่าวอ้างถึงอันตรธานหายไปเหมือนไม่เคยมีตัวตนมาก่อน กลับเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี ต่อให้ไอศิกาช่วยยืนยันว่ามีคนร้ายบุกมาจริงๆ ก็ฟังไม่มีน้ำหนักเท่าใดนัก เหมือนที่เธอแทบไม่มีความหมายใดๆ ต่ออินเตอร์โพลเลยนั่นละ
แต่เธอมีความหมายต่อหวังหย่งเต๋อ...
ถ้าจะพูดให้ตรงกว่านั้นก็คือ เธอมีความหมายต่อแผนของคุณชายน้อยตระกูลหวัง ถึงไม่รู้ว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ก็พอเดาจากนิสัยร้ายกาจของเขาได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีงามนักหรอก และนั่นทำให้เฉินกุ้ยหนักใจ ยิ่งแผนชั่วปริศนาของหย่งเต๋อดำเนินไปเท่าใด ความสนิทสนมระหว่างลูกพี่ใหญ่กับไอศิกาก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น ในระดับที่น่าเป็นห่วงเสียด้วย
“แหม อยากมีตัวตนในสายตาฉันว่าอย่างนั้นเถอะไอ้ตี๋เล็ก แกรักฉันขนาดนั้นเชียว”
“จริงๆ แล้วผมโคตรเกลียดพี่เลย ถ้าผมมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ ผมเผ่นนานแล้ว” เฉินกุ้ยหน้าตึง เขาหันไปหาไอศิกาที่นั่งทำหน้าไม่ถูก แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลงนิดหนึ่ง “ใกล้เวลาสอบแล้ว ขึ้นไปรอที่หน้าห้องสอบกันเถอะครับ ลูกแก้ว,,, ส่วนพี่ก็แก้ไขปัญหาของตัวเองให้เรียบร้อย อย่าให้ค้างคาก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มลดเสียงประโยคหลังลงจนเหลือเพียงเสียงกระซิบ ขณะพยักพเยิดให้ลูกพี่ใหญ่มองไปยังกลุ่มของหญิงสาวในชุดนิสิตที่กำลังเดินตรงมาทางพวกตน หย่งเต๋อมองตามสายตาของลูกไล่คนสนิทไปแล้วทำหน้าเบ้
ให้ตาย...ลืมไปเสียสนิทเลยว่าแม่นั่นเรียนคณะเดียวกันกับไอศิกาด้วย ที่จริงเขาลืมหน้าของเจ้าหล่อนไปแล้วด้วยซ้ำ!
“อุ๊ย! คุณนะโมจริงๆ ด้วย สวัสดีค่ะ” ปริมลส่งเสียงหวานนำหน้ามาแต่ไกล
เฉินกุ้ยหยิบหนังสือเรียนและกระเป๋าสะพายของไอศิกามาถือไว้แล้วส่งสัญญาณให้เธอรีบลุกขึ้นยืน
ไอศิกาหันไปมองหน้าหย่งเต๋อครู่หนึ่งด้วยแววตาเต็มไปด้วยความสับสนระคนขุ่นเคือง เธอลืมเรื่องรอยลิปสติกของปริมลบนเสื้อของเขาไปนานมากแล้ว จนกระทั่งเห็นหน้าเจ้าตัวอีกครั้งพร้อมลิปสติกสีเดิมบนริมฝีปากนี่ละ!
“สวัสดีครับ”
หย่งเต๋อตอบสั้นๆ พลางยิ้มแล้วค้อมศีรษะทักทายเพื่อนๆ ของปริมลตามมารยาท น้ำเสียงของเขาฟังเหินห่างเสียจนคนฟังหน้าเจื่อน แต่ยังฝืนฉีกยิ้มหวานหยดด้วยหวังว่าเขาอาจระลึกถึงความหลังระหว่างกันได้บ้าง
“คุณหายไปเลย ไหนบอกว่าจะโทร. หาปริมไงคะ”
หางเสียงกระเง้ากระงอดและแววตาเว้าวอนคือไม้ตายที่ปริมลเคยใช้ได้ผลกับหนุ่มๆ เสมอ ทว่าแทบไม่มีผลใดๆ ต่อชายหนุ่มตรงหน้าเลยสักนิด
“งานผมยุ่งน่ะครับ” คำตอบไร้เยื่อใยของหย่งเต๋อยิ่งเพิ่มช่องว่างระหว่างกันมากขึ้นไปอีก “นี่พวกคุณสอบวิชาเดียวกันกับคุณลูกแก้วใช่ไหมครับ”
“ฉันขึ้นไปห้องสอบก่อนนะคะ” ไอศิกาพูดแทรกเสียงเบา เธอตัดสินใจดึงตนเองออกจากสถาการณ์น่าอึดอัดใจเบื้องหน้า ก่อนที่มันจะกลายเป็นฉากไร้รสนิยมในละครน้ำเน่าที่บรรดาตัวละครหญิงทะเลาะกันเพื่อแย่งผู้ชาย ผู้ชาย...ที่เข้าใจยากที่สุดในโลก แม้จะเคยฝากฝังจุมพิตและอ้อมกอดไว้ราวเป็นคู่รัก แต่เขาก็ไม่เคยเอ่ยปากหรือพูดออกมาให้ชัดเจนว่าสถานะระหว่างกันคืออะไร ฉะนั้นเธอถึงพยายามเว้นระยะห่างระหว่างใจเอาไว้บ้าง จะได้ไม่ต้องกลายเป็นตัวตลกของใครต่อใครในภายหลัง
“อ้าว...เธอก็อยู่ด้วยเหรอลูกแก้ว” ปริมลและเพื่อนๆ แสร้งตีสีหน้าประหลาดใจเหมือนเพิ่งเห็นว่าไอศิกาอยู่ตรงนั้นด้วย “หน้าตาดูซีดๆ นะจ๊ะ อ่านหนังสือหนักละสิท่า”
“เธอเห็นพวกเขาตรงไหน ก็น่าจะเห็นฉันตรงนั้นนั่นละ” ไอศิกาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ แต่ทำให้อีกฝ่ายแทบเต้นเร่า เพราะเข้าใจว่าเจ้าตัวจงใจประกาศความเป็นเจ้าของชายหนุ่ม “ไปกันเถอะค่ะพี่ใบป่าน”
“ผมไปด้วย” หย่งเต๋อลุกขึ้นยืนแล้วดึงข้าวของจากเฉินกุ้ยมาถือไว้เสียเองด้วยมือข้างเดียว “ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับคุณปริม แต่ผมยังอยู่ในเวลางาน ไม่มีเวลาเจ๊าะแจ๊ะเท่าไหร่ เอาไว้คราวหน้าค่อยคุยกันนะครับ”
ปริมลหน้าเสีย ในขณะที่เพื่อนๆ ของเธอหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ทุกคนเคยเห็นฉากจูบดูดดื่มระหว่างเขากับเพื่อนของตนมาแล้ว จึงประหลาดใจยิ่งนักที่เขาทำเหมือนไม่รู้จักมักจี่กันเช่นนี้
“เดี๋ยวสิคะ คุณนะโม”
ปริมลยิ่งรู้สึกเสียศักดิ์ศรีมากขึ้นไปอีก เมื่อเห็นชายหนุ่มคว้าข้อมือของไอศิกาแล้วออกเดินตรงไปขึ้นบันไดอาคารเรียน โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองกลุ่มของเธอที่อยู่ทางด้านหลังสักนิด
เฉินกุ้ยระบายลมหายใจยาว...นี่ละ หวังหย่งเต๋อตัวจริงเสียงจริง ไม่เคยถนอมน้ำใจใครทั้งนั้นหากไม่ใช่ ‘คนสำคัญ’ นอกจากสมาชิกครอบครัวและคนใกล้ชิดแล้ว ดูเหมือนคนที่ใกล้เคียงกับคำนั้นก็น่าจะเป็นคนที่เจ้าตัวกึ่งจูงกึ่งลากขึ้นอาคารเรียนไปนั่นกระมัง...และนั่นยิ่งทำให้เฉินกุ้ยรู้สึกเป็นกังวลมากขึ้นไปอีก ทายาทฮวงหลงกำลังหาเรื่องผูกห่วงรัดคอตนเองให้แน่นขึ้นจนน่ากลัวว่าเมื่อถึงเวลาสิ้นสุด ปมนั้นอาจแน่นหนาจนยากจะคลายออก แล้วคนที่ต้องเจ็บปวดที่สุดก็คือหย่งเต๋อเองนั่นละ
“ทำแบบนี้จะดีเหรอคะ” ไอศิกาหันกลับไปมองปริมลที่ทำหน้าเหมือนอยากพุ่งเข้ามากระชากผมเธอเต็มแก่ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจนัก “ปริมอาจมีเรื่องอยากคุยกับคุณก็ได้”
“พูดจาให้ปากตรงกับใจหน่อย คุณหนูลูกแก้ว” หย่งเต๋อกระชับนิ้วรอบข้อมือเล็กแน่นเข้าเพื่อไม่ให้หญิงสาวดึงหนี “คุณไม่อยากให้ผมคุยกับเพื่อนคุณคนนั้นจริงๆ หรอก”
“ทำไมฉันจะต้องคิดอย่างนั้นด้วย คุณอยากคุยหรือไม่อยากคุยกับใครมันก็เป็นสิทธิ์ของคุณ ไม่เกี่ยวกับฉันสักนิด ฉันไม่ได้เป็นเจ้าข้าวเจ้าของคุณเสียหน่อย”
ไอศิกาหลุบตาลง ก็จริงอยู่สักสิบเปอร์เซ็นต์นั่นละว่าเธอไม่อยากเห็นเขาทำท่าอี๋อ๋อกับปริมลเหมือนวันนั้นอีก แต่อย่างที่เพิ่งลอบคิดในใจเมื่อครู่ เธอจะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเขากันเล่า
“แล้วอยากเป็นไหมเล่า” ชายหนุ่มหยุดยืนที่ชานพักบันไดแล้วหันมามองสาวน้อยในชุดนิสิตตรงๆ ด้วยแววตาหวานเชื่อม “เจ้าของผมน่ะ”
“ไม่อยาก” ไอศิกาตวัดตาค้อนคนพูดแล้วกระตุกมือหนี หัวใจเต้นรัวไม่เป็นส่ำ “เลิกพูดเล่นบ้าๆ กวนสมาธิฉันได้แล้ว ฉันมีสอบนะ”
“เอ้า พูดจริงก็หาว่าบ้า” หย่งต๋อหัวเราะ เขาเอื้อมมือไปขยี้ผมของสาวน้อยที่ตอนนี้แก้มแดงแจ๋เหมือนลูกตำลึงสุกจนยุ่งเหยิง “ตั้งใจสอบดีๆ นะครับคุณหนูไอศิกา ถ้าได้คะแนนดี ผมมีรางวัลพิเศษให้”
“ผมก็มี” เฉินกุ้ยก้าวขึ้นบันไดตามมาช้าๆ สีหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เด่นชัดนัก แต่แววตาวูบไหวแปลกๆ จนหย่งเต๋อจับสังเกตได้ “ไม่ต้องรอจนคะแนนสอบออกแบบรางวัลของพี่นะโมด้วย”
“ไอ้ขี้โม้เอ๊ย จะเกทับกันว่างั้น” หย่งเต๋อทำเสียงจึ๊กจั๊กอยู่ในลำคอ “อย่างมากก็พาไปกินขนมฉลองสอบเสร็จละว้า”
“ดีกว่านั้นอีก สอบเสร็จแล้วผมจะพาลูกแก้วไปโรงพยาบาล”
“โรงพยาบาล?” ไอศิกากะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบิกตากว้าง “หรือ...หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อ...”
“คุณพ่อของคุณฟื้นแล้วครับ” เฉินกุ้ยยิ้มเย็นในขณะที่สีหน้าของหย่งเต๋อเปลี่ยนเป็นกร้าวกระด้างในพริบตา “คุณภัทรพลโทรศัพท์มาแจ้งเมื่อครู่ แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมากนัก ถ้าอยากรู้ต้องไปดูด้วยตาตัวเอง ฉะนั้นตั้งใจทำข้อสอบให้ดีที่สุด อย่าเพิ่งสติแตกล่ะ อีกเดี๋ยวคุณจะได้พบคุณพ่อแล้ว”
“ลูกแก้วดีใจที่สุดเลยค่ะพี่ใบป่าน”
รอยยิ้มสดใสไล่ความหมองหม่นไปจากดวงตาคู่งามแทบจะในทันที และแทนที่ด้วยประกายสุกใสที่เรียกว่า ‘ความหวัง’ โดยไม่รู้เลยว่าคนที่พร้อมจะดับประกายวับวาวนั้นยืนอยู่เคียงข้างตนนั่นเอง
“ไปสอบได้แล้ว” หย่งเต๋อยิ้มกว้าง เขารุนหลังหญิงสาวให้เดินนำหน้าขึ้นบันไดไปก่อน “อย่าเพิ่งดีใจมากจนทำข้อสอบผิดๆ ถูกๆ ล่ะคุณหนู”
ไอศิกายกมือขึ้นตบแก้มตนเองสองสามครั้งเพื่อตั้งสติ แล้วประสานมือแน่นจนปลายนิ้วแดงก่ำ รอยยิ้มแห่งความยินดีไม่จางหายไปจากใบหน้า แม้ว่าจะบอกตนเองซ้ำๆ ว่าต้องตั้งสมาธิกับการสอบที่รออยู่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นส่ำเสียจนไม่แน่ใจว่าจะรวบรวมสติได้มากน้อยเพียงไหน เพียงแค่นึกถึงหน้าของบิดา น้ำตาแห่งความปีติก็พานจะไหลออกมาแล้ว
“รอยยิ้มของพี่โคตรจอมปลอมเลย รู้ตัวหรือเปล่า” เฉินกุ้ยกระซิบขณะก้าวเท้าขึ้นบันไดไปยืนเคียงข้างลูกพี่ใหญ่
“แล้วจะให้ปรบมือ โห่ร้องที่ไอ้ภามมันไม่ได้นอนเป็นผักแล้วหรือไง”
“พี่ควรจะปรบมือโห่ร้องให้แก่ข่าวดีที่ผมจะบอกพี่ต่อจากนี้ดีกว่า” เฉินกุ้ยโน้มตัวเข้าไปชิดหย่งเต๋อมากขึ้น แล้วเอ่ยสิ่งที่ทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้นไปเสียเดี๋ยวนั้น “พ่อส่งข้อความมาบอกว่าคุณฟ้าใสรู้สึกตัวแล้ว”
แม่...ฟื้นแล้ว!
“คุณพ่อ!”
ไอศิกาโถมตัวเข้ากอดร่างที่เอนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้ แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายสายตาคนที่ยืนรายล้อมอยู่รอบด้านแม้แต่นิด คล้ายทุกความรู้สึกที่สะสมมานานหลายเดือนปะทุออกมาพร้อมน้ำตาอย่างสุดกลั้น เป็นภาพที่ภัทรพลและเจ้าหน้าที่อินเตอร์โพลที่อยู่ในห้องนั้นเห็นแล้วอดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้ ถึงเธอจะเป็นลูกสาวของอดีตเจ้าพ่อ แต่เธอก็อายุยังน้อยเหลือเกิน และแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของบิดาสักนิด อดทนอดกลั้นมาได้จนป่านนี้โดยไม่เสียสติไปเสียก่อนก็ถือว่าเก่งมากแล้ว
“อะไรกันฮึ ลูกแก้ว มาถึงก็เอาแต่ร้องไห้ จะไม่คุยกับพ่อสักคำเลยหรือเรา” ภามเอื้อมมือข้างที่ยังมีสายน้ำเกลือห้อยติดอยู่มาลูบศีรษะของลูกสาว เสียงของเขาแหบโหยและสั่นเครือทว่ายังคงทรงอำนาจอยู่ในที
หย่งเต๋อกับเฉินกุ้ยที่เดินตามเข้ามามองไปยังคนที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างพินิจพิจารณา...ภาม พิม์สุริยา ที่พวกเขาเห็นในยามนี้แตกต่างจากที่เคยเห็นในสื่อต่างๆ ค่อนข้างมาก เดิมทีเขาเป็นคนโครงร่างใหญ่ สง่างาม และมีเส้นผมย้อมดำ ตัดเป็นทรงเนี้ยบอยู่เสมอ แต่คนตรงหน้านี้นอกจากจะมีเส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะแล้ว ยังผ่ายผอมอย่างน่าใจหาย มีเพียงดวงตาสีสนิมเหล็กเท่านั้นที่ยังฉายแววคมกล้าฟ้องชัดว่าเสือก็คือเสือ แม้จะเฒ่าก็ยังไม่ทิ้งเขี้ยวเล็บ
“ก็คุณพ่อนอนหลับไปนาน ลูกแก้วใจหาย” ไอศิกาเงยหน้าขึ้นมองบิดาทั้งน้ำตา ไออุ่นและกลิ่นยาฆ่าเชื้อที่ลอยกรุ่นมาจากร่างของคนเป็นพ่อพาให้หัวใจบีบรัดจนปวดแปลบ
“ใจเย็นๆ ก่อนเถอะจ้ะลูกแก้ว คุณลุงเพิ่งฟื้น แผลก็ยังไม่หายดี กอดแน่นขนาดนั้นเดี๋ยวแผลก็เปิดพอดี”
ภัทรพลเดินเข้าไปประคองหญิงสาวในชุดนิสิตให้ยืนขึ้น ใบหน้าของเขาฉาบไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นดูแสนดีราวกับเทพบุตร จนหย่งเต๋อที่มองอยู่เงียบๆ ต้องลอบแบะปากด้วยรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด
“ตายจริง...” ไอศิกาปาดน้ำตาลวกๆ แล้วยิ้มเจื่อนๆ “ลูกแก้วมัวแต่ดีใจ เลยไม่ทันคิด ลูกแก้วทำคุณพ่อเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ”
“ไม่หรอกลูก แผลแค่นี้ไม่ถึงตายหรอกน่า มาเถอะ มาให้พ่อกอดให้ชื่นใจอีกที”
หย่งเต๋อมองคนบนเตียงคนไข้เพื่อเก็บรายละเอียดเร็วๆ แขนข้างหนึ่งของภามยังคล้องผ้าอยู่ เนื่องจากกระสุนหนึ่งในสองนัดพุ่งเข้าเจาะต้นแขนจนกระดูกส่วนบนแตกละเอียดต้องผ่าตัดดามเหล็กไว้ และทะลุออกทางหน้าอกเฉียดหัวใจไปนิดเดียว ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางกลับมาใช้งานได้เหมือนปกติร้อยเปอร์เซ็นต์อีกแล้ว ส่วนอีกนัดเจาะเข้าขมับซ้ายพุ่งลงไปกระแทกกับกระดูกโหนกแก้มจนแตก แล้วมาทะลุออกที่สันจมูกด้านข้างแทน ซึ่งถือว่าโชคดีเหลือเชื่อ ตามปกติแล้ววิถีกระสุนแบบนี้ถ้าไม่ฝังในสมองส่วนหน้าก็จะน่าดันลูกนัยน์ตาทะเล็ดด้วยซ้ำ
ดวงแข็งเป็นบ้า...
“คุณพ่อ...”
ไอศิกาโผเข้าไปกอดบิดาอีกครั้ง คราวนี้พยายามไม่ทิ้งน้ำหนักตัวมากนัก ภามกดจุมพิตบนกระหม่อมของลูกสาวอย่างแสนรัก ในห้วงเวลาระหว่างความเป็นความตาย ใบหน้าของลูกคือสิ่งเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวใจ ลูกแก้ว...แก้วตาดวงใจของพ่อ...
“นั่นคงเป็นอินเตอร์โพลสองคนที่องอาจพูดถึงใช่ไหม”
ดวงตาคมกริบตวัดมองสองหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้าประตู แม้ร่างกายจะอ่อนแรง ทว่าไอสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างกลับยังคงแกร่งกล้าชวนให้เสียวสันหลังไม่น้อย ทุกคนที่ยืนอยู่ในห้องพากันขยับตัวอย่างอึดอัด มีเพียงชายหนุ่มที่เป็นเป้าสายตาเท่านั้นที่ยังคงยืนนิ่งด้วยท่าทางสบายๆ เหมือนไม่รู้สึกรู้สมใดๆ ต่อสายตาดุกร้าวของภามทั้งสิ้น
“ครับ” ภัทรพลพยักหน้ารับอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองหน้าอินเตอร์โพลตัวปลอมที่อยู่ด้านหลังสักนิด ลึกๆ แล้ว...ให้ตายเถอะวะ! เขาไม่อยากร่วมมือกับสองคนนี้เลย แต่เขามีทางเลือกเสียที่ไหนกันเล่า “คนนั้นชื่อนะโม ส่วนอีกคนชื่อใบป่านครับคุณลุง”
“ชื่อแปลกดีนี่” ภามเลิกคิ้วนิดๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าของชื่อทั้งสองหน่อยังคงยืนนิ่ง ไม่แม้แต่จะกระพุ่มมือขึ้นไหว้เขาซึ่งสูงวัยกว่าตามมารยาท แถมยังมองกลับมาด้วยแววตานิ่งสนิทไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ทว่าแฝงประกายบางชนิดที่แสนคุ้นเคยและชวนให้นึกถึงตนเองสมัยยังหนุ่ม มืดมน...ยากคาดเดา ซึ่งไม่น่าเป็นแววตาของเจ้าหน้าที่อินเตอร์โพล ผู้พิทักษ์คุณธรรมได้เลย “เธอใช่ไหมที่ชื่อนะโม มานี่หน่อยซิ”
ทันทีที่ได้ยินบิดาเรียกชื่อของชายหนุ่ม ไอศิกาก็รีบดันตัวขึ้นนั่งตัวตรงโดยอัตโนมัติ นึกกังวลเรื่อง ‘ความสัมพันธ์’ อันไม่ชัดเจนระหว่างเธอกับเขาขึ้นมาทันใด แม้จะแน่ใจว่าบิดาไม่มีทางรู้ แต่อดร้อนตัวขึ้นมาไม่ได้ หากท่านระแคะระคายว่ามีบางอย่างไม่งามเกิดขึ้น นะโมจะต้องเดือดร้อนมากทีเดียว พร้อมๆ กันนั้นเธอก็รู้สึกผิดอย่างยิ่งที่ทำตัวออกนอกลู่นอกทาง ปล่อยตัวปล่อยใจให้ชายหนุ่มสัมผัสแตะต้องตามอำเภอใจอยู่บ่อยครั้ง
“องอาจบอกว่าเธอช่วยชีวิตลูกสาวของฉันเอาไว้หลายครั้ง ต้องขอบใจมาก”
ภามกวาดตามองเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่เดินตรงมายืนข้างเตียงช้าๆ ไอ้หนุ่มคนนี้ตัวโตเอาเรื่อง ท่วงท่าการเดินเหินงามสง่า แต่ท่าทางเย่อหยิ่งจองหองเสียจนน่าหมั่นไส้ แถมเครื่องหน้าหล่อเหลาสะดุดตานั่น...ชวนให้นึกถึงคนที่เขาชิงชังเป็นที่สุดขึ้นมาตงิดๆ
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอกครับ ผมแค่ทำตามหน้าที่” มุมปากของหย่งเต๋อกดเป็นรอยยิ้มเย็นชาในแบบที่ไอศิกาแทบจะไม่เคยเห็นมาก่อน “อีกอย่างผมเองก็ต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยเหมือนกัน”
“ยังไงก็ต้องขอบคุณพวกเธอทั้งสองคนอยู่ดี ถ้าไม่ได้พวกเธอ ลูกสาวฉันคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้” ภามปรายตาไปทางเฉินกุ้ยที่ยืนนิ่งเหมือนหุ่นขี้ผึ้ง มองดูแล้วหน้าตาท่าทางไม่เลว แต่ดูเยือกเย็นจนเกือบจะเรียกได้ว่าเย็นชาเกินวัย คนรุ่นนี้ควรมีประกายตาสดใสเปี่ยมชีวิตชีวา ไม่น่าชืดชาและกร้านโลกเพียงนี้ได้ “ฉันสัญญาว่าสักวันจะต้องตอบแทนพวกเธออย่างสมน้ำสมเนื้อที่สุดแน่”
“นี่คุณลุงองอาจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คุณพ่อฟังด้วยเหรอคะ”
ไอศิกาหันกลับไปมองมือขวาของบิดาที่ยืนกอดอกพิงผนังห้องอย่างเงียบเชียบ องอาจเป็นคนเก่าคนแก่ที่อยู่กับภามมานานจนหญิงสาวรู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนญาติคนหนึ่ง แม้บางครั้งเขาจะเจ้ากี้เจ้าการ คอยสอดส่องเรื่องของเธอแล้วนำไปรายงานให้บิดารู้มากเกินความจำเป็นสักหน่อย เธอก็ไม่เคยถือสาด้วยรู้ว่าเขาเป็นห่วง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกขุ่นเคืองใจอยู่นิดๆ ที่เขารายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านฟังทั้งที่ท่านเพิ่งฟื้นขึ้นมาได้ไม่กี่ชั่วโมง แทนที่จะรอให้ท่านได้พักผ่อนจนอาการคงที่เสียก่อน
“พี่เป็นคนบอกคุณลุงองอาจเองว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ภัทรพลรีบออกรับแทนคนสนิทของภามเมื่อเห็นสายตากึ่งตัดพ้อต่อว่าของหญิงสาวที่มองไปยังองอาจ “แค่เล่าคร่าวๆ พอให้คุณลุงองอาจรับรู้สถานการณ์เท่านั้นจ้ะ รอให้ลูกแก้วมาเล่ารายละเอียดที่เหลือเอง”
เขาเอ่ยเป็นนัยว่ายังไม่ได้เล่าเรื่อง ‘ทั้งหมด’ ให้มือขวาของภามรู้มากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะ...เรื่องของไอ้ตัวแสบสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังนั่น!
“เอาน่า...เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์เลย” ภามตัดบทพร้อมกับเอื้อมมือไปแตะแก้มลูกสาวคล้ายปลอบขวัญอยู่ตลอด “เราน่ะผอมไปนะ ลำบากมากใช่ไหม พ่อ...ขอโทษนะลูก...”
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะคะคุณพ่อ หนูไม่ลำบากเลยสักนิด พี่ภัทรกับทุกคนดูแลหนูดีมาก ช่วงนี้ที่หนูผอมเพราะหนูท่องหนังสือสอบหนักไปหน่อยต่างหาก สอบเสร็จแล้ว เดี๋ยวหนูก็อ้วนให้คุณพ่อล้อเหมือนเดิมนั่นละค่ะ”
ไอศิกาฝืนยิ้ม เธอไม่รู้เลยว่าการเอ่ยชื่อภัทรพลเป็นเชิงชื่นชมนั้นทำให้ใบหน้าของลูกมังกรหนุ่มบึ้งตึงขึ้นทันตา เฉินกุ้ยลอบมองอาการของลูกพี่อย่างเงียบๆ
“ยังโกหกไม่เก่งเหมือนเคย” ภามลูบศีรษะของหญิงสาวเบาๆ “ต่อจากนี้ไม่ต้องกลัวแล้วนะลูก พ่ออยู่นี่แล้ว จะไม่มีใครหน้าไหนรังแกลูกได้อีก”
นั่นเป็นคำพูดที่คนเป็นพ่อพูดกับไอศิกามาตั้งแต่เล็กจนโต และเป็นถ้อยคำที่ทำให้หัวใจของหญิงสาวเต็มตื้นขึ้นมาได้ทุกครั้ง แม้จะรู้ว่าสภาพของท่านในยามนี้ไม่อาจแม้แต่จะช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ก็ทำให้รู้สึกอุ่นใจเป็นที่สุด
“เราควรคิดหาทางเอาคืนไอ้พวกฮวงหลงได้แล้ว ยิ่งปล่อยไว้นานวัน พวกมันยิ่งเหิมเกริม นี่ถึงขนาดบุกมาเล่นงานคุณหนูแบบนี้ เรายอมไม่ได้นะครับนาย”
องอาจพูดด้วยสีหน้าแสดงความแค้นเคืองอย่างที่สุด ดวงตาของเขาลุกวาวอย่างน่าสะพรึง
“เราอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเป็นฝีมือของฮวงหลงเลยครับ” ภัทรพลรีบปรามก่อนที่ ‘ฮวงหลงตัวเอ้’ ที่ยืนอยู่ในห้องจะบันดาลโทสะสังหารโหดทุกคน “รอให้มีหลักฐานแน่ชัดอีกหน่อยดีกว่า”
“แล้วจะมีใครหน้าไหนที่คอยจองล้างจองผลาญพวกเรานอกจากไอ้หวังเสี้ยวเทียนอีกเล่า เด็กอนุบาลยังเดาได้เลยว่าเป็นฝีมือใคร ไม่ต้องมีหลักฐานบ้าบออะไรมายืนยันหรอก”
“จะกล่าวหาใครก็ต้องมีหลักฐาน ไม่ใช่พูดลอยๆ” เฉินกุ้ยพูดแทรกองอาจอย่างไม่เกรงใจ แม้ใบหน้าจะเรียบเฉย แต่ดวงตาดุดันเอาเรื่อง “ทางฮวงหลงก็บอกว่าพวกคุณวางระเบิดจนภรรยาของหัวหน้าแก๊งได้รับบาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน”
“อย่าคิดว่าเป็นอินเตอร์โพลแล้วจะพูดอะไรพล่อยๆ ได้นะไอ้หนู!” องอาจถลึงตา “ทำไมพวกเราต้องใช้วิธีต่ำช้าแบบเดียวกับพวกหมาลอบกัดอย่างฮวงหลงด้วย ที่นายต้องบาดเจ็บปางตายนี่ก็เป็นฝีมือของพวกมันเหมือนกันนั่นละ!”
“พอแล้วองอาจ” ภามถอนใจ “ฮวงหลงจะคิดอย่างนั้นก็ไม่แปลกเพราะเราเป็นศัตรูกัน ความจริงคืออะไร รู้กันแค่ในหมู่พวกเราก็พอแล้ว”
“คุณจะบอกว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย ว่าอย่างนั้นเถอะ” หย่งเต๋อมองผู้สูงวัยกว่าตรงๆ ด้วยแววตาสงบนิ่ง ทว่าจ้องจับผิดอยู่ในที
“นี่ฉันกำลังถูกอินเตอร์โพลสอบสวนอยู่อย่างนั้นเหรอ” ภามเลิกคิ้วนิดๆ เขาจ้องหนุ่มรุ่นลูกกลับอย่างพินิจพิจารณา “ไฟแรงจริงนะพ่อหนุ่ม ฉันเพิ่งฟื้นไม่ทันข้ามวันก็จะสอบปากคำกันเสียแล้ว”
“คุณนะโม คุณพ่อฉันเพิ่งฟื้นนะคะ คุณจะรอให้ท่านแข็งแรงอีกหน่อยไม่ได้เหรอคะ”
ไอศิกาท้วงเสียงเขียว ไม่เข้าใจเลยว่าคนรอบตัวเป็นอะไรกันไปหมด คนหนึ่งก็พยายามเอาเรื่องน่ากลุ้มใจมายัดใส่สมองพ่อของเธอ ส่วนอีกคนก็ทำท่าเหมือนอยากจะส่องไฟใส่หน้าท่านแล้วเค้นสอบปากคำแบบภาพยนตร์ตำรวจยุคโบราณอย่างไรอย่างนั้น
“หน้าที่ของพวกแกคือดูแลความปลอดภัย ไม่ใช่สอบสวน อย่าทำงานเกินหน้าที่ของตัวเอง” ภัทรพลพูดขึ้นอย่างเหลืออด “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับคุณลุงที่คนของอินเตอร์โพลเสียมารยาทแบบนี้”
“ไม่เป็นไร ลุงเข้าใจ ไม่ว่าใครก็อยากรู้ทั้งนั้นนั่นละว่าลุงเป็นคนทำหรือเปล่า และคำตอบก็คือเปล่า” ภามหันไปมองหน้าบุตรสาวแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ได้ทำ ไม่มีส่วนรู้เห็น นักเลงแท้ๆ ไม่ทำผู้หญิงแน่ ถ้าจะต้องฆ่าใครสักคนในแก๊งฮวงหลง คนคนนั้นก็คือไอ้หวังเสี้ยวเทียนเท่านั้น!”
ความคิดเห็น |
---|