16

หัวใจทรยศ (๑)


หัวใจทรยศ (๑)

 

On ne badine pas avec l’amour.

เราไม่ล้อเล่นกับความรัก...อย่างนั้นเหรอ

หย่งเต๋อแสยะยิ้มขณะมองควันบุหรี่สีเทาหม่นล่องลอยขึ้นสู่เพดานเบื้องบน เป็นครั้งแรกที่ได้ยินท่านหวังเสี้ยวเทียนผู้ยิ่งใหญ่พูดจาเหมือนไอ้หนุ่มคลั่งรัก ว่ากันตามจริงแล้ว พ่อของเขาน่าจะเป็นคนสุดท้ายในโลกที่จะเปิดอกพูดเรื่องความรู้สึกประหนึ่งพวกบูชาความรักแบบนี้ด้วยซ้ำ

รัก...

ช่างเป็นหนึ่งคำแสนสั้น แต่สร้างความยุ่งยากให้แก่ชีวิตมนุษย์เสียจริงหนอ คำเดียวสามารถกอบกู้หรือทำลายชีวิตของคนคนหนึ่งได้อย่างง่ายดายโดยไม่อาจคาดเดาใดๆ ได้เลย และเพราะแบบนี้นี่ละ เขาถึงไม่เคยเอาใจไปจับกับไอ้เรื่องหวานแหววพวกนี้นัก ส่วนมากคำว่ารักที่หลุดจากปากก็เป็นเพียงแค่ใบเบิกทางในการลากสาวขึ้นเตียงเท่านั้น หากจะถามหาความจริงใจจากเขาก็เหมือนถามว่าเมื่อใดพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกนั่นละ...เป็นไปไม่ได้ และไม่มีวันได้เห็นในชาตินี้เป็นแน่

ชายหนุ่มอัดควันเข้าปอดแล้วพ่นออกมาอีกครั้งผ่านจมูก...ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจเรื่องที่บิดาพูด เพียงแต่มันไร้สาระเกินกว่าจะใส่ใจ ความรักเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไปสำหรับคนที่ไม่คุ้นชินการผูกมัดเช่นเขา การที่ได้รับความรักจากทุกคนในตระกูลหวังอย่างล้นเหลือทำให้เขาไม่เคยรู้สึกขาด จึงไม่เคยคิดว่าจำเป็นต้องเป็นผู้ให้ ไม่ว่าจะโผบินออกไปหัวหกก้นขวิดที่ไหน เมื่อใดที่กลับมาบ้านก็จะมีอ้อมแขนของทุกคนรออยู่เสมอ และมีรอยยิ้มอ่อนหวานของมารดาเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจ แม้ไม่อาจชะล้างคราบเลือดโสมมที่แปดเปื้อนมือของเขาได้ แต่ก็ย้ำเตือนให้เขาไม่ลืมว่าตนเองยังเป็นมนุษย์ มีเลือด มีเนื้อ ไม่ได้กลายเป็นปีศาจร้ายไปทั้งตัวและหัวใจ

ดังนั้นเขาจะไม่มีวันให้อภัยคนที่ทำร้ายโอเอซิสพักใจของเขาเป็นอันขาด!

“ป้านงคะ เห็นกล่องตุ้มหูของลูกแก้วไหม ลูกแก้วหาไม่เจอ...”

ไอศิกาชะงัก เมื่อก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้วเห็นชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงใหญ่ยืนพิงกรอบหน้าต่างพลางพ่นควันบุหรี่ปุ๋ยๆ ราวโรงสีอยู่ เสี้ยวหน้าที่เห็นอย่างเลือนรางหลังม่านควันดูดุดันแบบเดียวกับคืนนั้น...คืนที่เขาสังหารคนตายเกลื่อนหาดเพื่อปกป้องเธอ

“ป้านงออกไปซื้อของ อีกสักพักคงกลับ” รอยยิ้มของหย่งเต๋อลบเลือนความกร้าวกระด้างให้เลือนหายไปในพริบตา และกลับมาเป็นชายหนุ่มขี้เล่นคนเดิมที่หญิงสาวรู้จัก “วันนี้คุณสวยจัง”

คำชมที่เพิ่งได้ยินทำเอาคนฟังหน้าร้อนวูบวาบ ต้องเสทำเป็นหลุบตาลง ไม่กล้าสบประสานสายตากับดวงตาพราวระยับของเขาตรงๆ

“ก็แค่เสื้อผ้าชุดเก่า ไม่ได้มีอะไรพิเศษ” ไอศิกาพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงด้วยความประหม่า

หย่งเต๋อกวาดตามองร่างเพรียวบางที่อยู่ในชุดเปิดไหล่สีงาช้างช้าๆ ด้วยแววตาคล้ายกับจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัว เดรสตัวนี้มีความยาวเลยเข่านิดหน่อย ส่วนที่เป็นกระโปรงนั้นพองเล็กน้อยเน้นให้ช่วงเอวที่เล็กอยู่แล้วยิ่งดูบอบบางเหมือนตุ๊กตาบาร์บีมากขึ้นไปอีก แม้จะเป็นชุดที่เรียบง่าย มีเพียงการฉลุลายดอกไม้เป็นเครือเถาบริเวณชายกระโปรง แต่เห็นได้ชัดว่าตัดเย็บมาอย่างประณีตจึงดูเรียบหรูมีรสนิยม ยิ่งไอศิกาแต่งหน้าอ่อนๆ ด้วยโทนสีชมพูและรวบผมเก็บขึ้นเป็นหางม้าเรียบกริบเช่นนี้ด้วยแล้ว ยิ่งขับให้ความงามตามธรรมชาติของเธอดูโดดเด่นจนแทบไม่อยากละสายตาไปไหน รับรองว่าเธอจะต้องเป็นหนึ่งในดาวเด่นของคืนนี้เป็นแน่

และเขาไม่ชอบใจเอาเสียเลย ให้ตายเถอะ! ไม่ชอบให้คนอื่นมองเธอด้วยสายตาแบบเดียวกับที่เขามอง

“มันพิเศษก็เพราะอยู่บนตัวคุณนี่ละ คุณหนูลูกแก้ว” ชายหนุ่มเดินตรงมาขยี้ก้นกรองในจานรองที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ทรงกลมข้างโซฟา จากนั้นจึงสาวเท้ามาประชิดตัวเธอ “แต่ดูเหมือนยังขาดอะไรไปสักอย่าง”

“เอ๊ะ...”

เอ่ยได้เพียงเท่านั้น ประโยคที่เหลือก็ถูกกลืนหายไปทันทีที่เขาคว้าข้อมือของเธอขึ้นมาแล้วสวมกำไลที่ล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงให้อย่างเบามือ ดวงตากลมโตเบิกกว้างและเต้นระริกเมื่อเห็นกำไลวงนั้นชัดถนัดตา ขนาดที่พอดีข้อมือและเพชรน้ำงามเม็ดจิ๋วที่เรียงซ้อนกันหกแถวจนเต็มพื้นที่แบบนี้...นี่มันกำไลวงที่เธอเอาไปขายคืนพิไลวันนั้นนี่!

“คุณ...คุณนะโม นี่มัน...นี่มัน...อะไรกันคะ...”

“กำไลไง ดูไม่ออกเหรอ” หย่งเต๋อฉีกยิ้มกว้างแล้วกดจูบบนหลังมือขาวเนียนเร็วๆ

“ฉันรู้ว่ามันคืออะไร แต่ฉันหมายถึงคุณไปเอามันมาจากไหน” ไอศิกาชักมือกลับ สัมผัสร้อนผ่าวที่ริมฝีปากของเขาทิ้งไว้ทำเอาเธอหน้าแดงก่ำ “อย่าบอกนะว่าคุณไปบังคับเอามาจากคุณป้าพิไล”

“นี่คุณเห็นผมเป็นโจรหรือไงครับคุณผู้หญิง ผมเป็นเจ้าหน้าที่อินเตอร์โพลนะ จะทำอย่างนั้นได้ยังไงกันเล่า” หย่งเต๋อหัวเราะ...ที่จริงก็ทำได้อยู่หรอก แต่ไม่ได้ทำ เพราะไม่อยากได้ชื่อว่ารังแกยายป้าหน้าเลือดนั่น “ผมซื้อคืนมาให้คุณต่างหาก โดนยายป้าพิไลของคุณโขกราคาขูดเลือดขูดเนื้อน่าดู”

ซื้อมาราคาแค่แสนสอง แต่เอามาขายต่อในราคาเหยียบห้าแสนเท่ามูลค่าเดิมของมัน ค้ากำไรเกินควรจริงจริ๊ง ยายแก่ตัวแสบ!

“ซื้อคืนมาให้ฉัน...” หญิงสาวมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกเหมือนหูฝาดไป “ราคาของมันไม่ใช่น้อยๆ เลย ไม่ได้หรอกค่ะ...ฉันรับไว้ไม่ได้ คุณเอาไปคืนคุณป้าพิไลเถอะนะคะ”

ไอศิกาตั้งท่าจะถอดกำไลออกจากข้อมือ แต่หย่งเต๋อก็รีบคว้ามือของเธอมากุมเอาไว้หลวมๆ

“ถ้าผมเอาไปคืน คุณคิดว่าจะได้ราคาเท่าที่ซื้อมาหรือไง ยายป้านั่นร้ายแค่ไหนคุณก็รู้ดี รับไว้เถอะน่า ถึงเงินเดือนของผมจะน้อยนิด แต่ผมก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ถ้าคุณไม่รับผมจะถือว่าดูถูกน้ำใจผมนะ”

คนเดียวที่บ่นตอนที่เขาให้ไปซื้อกำไลวงนี้คืนมาก็คือไอ้เฉินกุ้ยนั่นละ มันหาว่าเขาใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แต่สำหรับเขาแล้ว ก็เป็นเพียงแค่เศษเงิน ถ้าใช้มันซื้อใจคนได้ ก็นับว่าคุ้มค่าไม่ใช่หรือ

“ฉัน...ขอรับไว้แค่น้ำใจดีกว่าค่ะ” ดวงตาคู่งามหลุบมองกำไลแสนรักด้วยความรู้สึกโหยหาอยู่ลึกๆ แต่ในเมื่อเธอตัดใจขายมันเพื่อนำเงินมาจ่ายค่ารักษาบิดาแล้ว ก็ควรปล่อยวางและทำใจให้ได้ไม่ใช่หรือ “คุณไม่จำเป็นต้องทำดีกับฉันขนาดนี้ก็ได้ แค่นี้ฉันก็เป็นหนี้บุญคุณคุณมากแล้ว”

“ผมตั้งใจจะให้คุณเป็นของขวัญวันรับปริญญา แต่คุณงอนไม่ยอมพูดกับผม ผมก็เลยจำเป็นต้องงัดมันออกมาใช้ง้อคุณก่อน”

ชายหนุ่มเชยคางกลมมนของไอศิกาขึ้นมาสบตากันตรงๆ ประโยคแสนนุ่มนวลของเขาทำให้ดวงหน้าหวานละมุนของเธอสว่างวาบขึ้นทันตา แก้มทั้งสองข้างซับสีแดงระเรื่อราวบ่มแดด ในขณะที่ประกายตาของเธอพริบพราวราวมีดาวนับล้านดวงสุกสกาวอยู่ภายใน เป็นความงามที่เชิญชวนให้หย่งเต๋อต้องโน้มใบหน้าแนบริมฝีปากจุมพิตเธออย่างอดใจไม่อยู่

“คุณนะโม!” ไอศิการีบดันหน้าเขาให้ออกห่างแล้วเหลียวซ้ายแลขวาเลิ่กลั่ก “ทำ...ทำแบบนี้ไม่ได้ เดี๋ยว...เดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้า...”

บ้านหลังนี้ไม่ได้ติดกล้องวงจรปิดตามห้องต่างๆ เหมือนหลังที่เคยอยู่มาก่อนหน้านี้ ด้วยมีอาณาบริเวณแคบกว่ามาก แถมยังอยู่ในมุมอับไม่อาจส่องกล้องสอดแนมได้โดยง่าย ภัทรพลจึงตัดสินใจติดกล้องเฉพาะตามทางเดินและห้องหลักๆ เช่นห้องรับแขก รวมไปถึงทางเข้าออก ทำให้ไอศิกาไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไปนัก แต่กลับกลายเป็นการเปิดช่องว่างให้คนมือไวชอบทำรุ่มร่ามกับเธอง่ายขึ้นเสียนี่

“งั้นแสดงว่าทำในที่ที่คนไม่เห็นได้ใช่ไหม”

ไม่พูดเปล่า เขายังก้มลงมาหอมแก้มนุ่มนิ่มฟอดใหญ่ ให้ตาย...ชอบกลิ่นครีมทาผิวผสมแป้งเด็กอ่อนๆ ที่ติดอยู่บนผิวกายของแม่เด็กคนนี้เป็นบ้า หอมชื่นใจเสียจริง

“ไม่ได้!” ไอศิกาเอ็ดเสียงเบา เธอรีบดันตัวให้ออกห่างจากเขาอีกครั้ง แต่เพียงพริบตาเดียวก็ถูกรวบเอวแล้วดึงเข้าไปกอดเอาไว้แนบแน่น ไอร้อนระอุจากกายเขาพาให้หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ “เลิกเล่นบ้าๆ แบบนี้ได้แล้ว ฉันไม่ชอบ”

“เลิกงอนก่อนสิ แล้วผมจะหยุด” หย่งเต๋อยื่นหน้าไปจูบปลายจมูกเล็กโด่งอย่างยั่วเย้า “นี่ผมทุ่มหมดตัวเลยนะ ไม่เห็นใจกันบ้างสักนิดเหรอครับคุณหนู”

“คนเราทำผิดก็ควรขอโทษ แต่คุณไม่เคยพูดให้ได้ยินสักแอะ”

ตั้งแต่กลับมาจากโรงพยาบาลเมื่อวาน เธอก็ตรงเข้าไปหมกตัวอยู่แต่ในห้องนอน ไม่มองหน้า ไม่พูดกับชายหนุ่มแม้แต่คำเดียว แต่เขาก็ดูไม่มีทีท่าเดือดร้อนสักนิด เอาแต่พูดจาหยอกเย้าเล่นหัวอยู่กับคู่หูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สะกดคำว่าสำนึกผิดเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้!

“ผมก็ง้อคุณแล้วนี่ไง” หย่งเต๋อเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ อย่างยียวน “หรือต้องให้นั่งลงกอดเข่าเขย่าขา กราบเบญจางคประดิษฐ์ด้วย?”

ตั้งแต่เล็กจนโต พูดคำว่า ‘ขอโทษ’ แทบนับคำได้ ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้น คุณชายน้อยตระกูลหวัง ต่อให้ผิดจริงก็ไม่เคยเอ่ยขออภัยแม้แต่ครึ่งคำ

“พูดจาเหมือนคนไม่รู้จักโต” ไอศิกาดิ้นรนจนหลุดออกจากวงแขนแข็งแรงได้ในที่สุด “ถามจริงๆ เถอะ คุณรู้ไหมว่าฉันโกรธคุณเรื่องอะไร”

“ทุกเรื่องนั่นละ ผมหมายถึงผมทำแต่เรื่องที่ทำให้คุณโกรธตั้งหลายเรื่อง” หย่งเต๋อยักไหล่ ผู้หญิงก็เป็นแบบนี้กันทุกคน ขี้งอน นิดก็โกรธหน่อยก็งอน แค่เออออตามน้ำไปก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ “ครั้งนี้ถือเป็นการง้อแบบครอบจักรวาลไปเลยก็แล้วกัน เผื่อผมทำให้คุณโกรธครั้งหน้าด้วย”

“ยังจะมีครั้งหน้าอีกเหรอ” หญิงสาวมองจอมกวนประสาทตรงหน้าด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จะโกรธก็ไม่เต็มร้อย เพราะสิ่งที่เขาลงทุนทำเพื่อ...เธอ “คุณนี่มัน...”

“หายงอนได้แล้ว รู้ไหม ผมไม่เคยง้อใครนอกจากคุณแบบนี้เลย” หย่งเต๋อเดินเข้ามาประชิด เกี่ยวนิ้วก้อยของตนเข้ากับนิ้วก้อยที่มีขนาดเล็กกว่าเกือบครึ่งของเธอแล้วยิ้มกว้าง “จากนี้ไปผมคงต้องให้คุณรับเลี้ยงผมแล้วละ เงินเก็บของผมหายไปกับกำไลวงนี้หมดแล้ว”

“ก็...ฉันบอกแล้วว่าให้คุณเอามันไปคืน” ไอศิกาก้มหน้างุด ไม่ได้ชักมือหนีทั้งที่นิ้วเกี่ยวกระหวัดกันไว้เพียงหลวมๆ ทว่ากลับให้ความรู้สึกแนบแน่นอย่างน่าพิศวง

“ผมรู้ว่ากำไลวงนี้มีความหมายกับคุณมาก ผมถึงอยากให้คุณได้มันคืนมา” ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างเชยคางหญิงสาวขึ้นสบตาอย่างอ่อนหวาน “เก็บเอาไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้หลุดมือไปอีกล่ะ ผมไม่มีปัญญาซื้อให้คุณใหม่อีกรอบแล้วนะคุณหนู”

“แต่...”

“ไม่มีแต่” หย่งเต๋อไล้ข้อนิ้วไปตามกรอบหน้าของไอศิกาอย่างนุ่มนวล “ไม่ดีใจเหรอที่ได้ของรักของหวงคืนมา”

“ไม่ดีใจ ถ้ามันทำให้คุณเดือดร้อน” เธอส่ายหน้า “ฉันไม่อยากให้คุณลำบาก”

“น่ารักจริงจริ๊ง แต่ถ้าจะให้น่ารักกว่านี้ ช่วยหอมแก้มขอบคุณให้ผมชื่นใจสักทีได้ไหม”

ไม่พูดเปล่า หย่งเต๋อยังเอียงแก้มยื่นหน้ามาหาอย่างรอคอย หญิงสาวหน้าแดงก่ำ เธอหยิกต้นแขนของเขาหมับแล้วพึมพำเสียงแผ่ว

“ฝันไปเถอะ”

“ก็ฝันมาทุกคืนจนไม่อยากฝันแล้ว น่านะ ถ้าคุณเขินจะให้ผมสาธิตให้ดูก่อนก็ได้นะ”

“คน...คนบ้า พูดอะไรบ้าๆ” ไอศิกาหยิกเขาซ้ำอีกครั้ง “ไม่เอาแล้ว ฉันไม่พูดกับคุณแล้ว อุ๊ย คุณนะโม!”

คนตัวเล็กว่าสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายขโมยหอมแก้มฟอดใหญ่ เธออ้าปากคล้ายจะเถียง แต่เสียงไม่ออกมา จึงกลายเป็นว่าได้แต่อ้าปากพะงาบๆ อยู่อย่างนั้นราวสิบวินาทีก่อนจะเผ่นแผล็วหนีไปทั้งที่ใบหน้าและลำคอแดงแจ๋เป็นกุ้งต้ม เธอเงยหน้าขึ้นมองเฉินกุ้ยที่เดินสวนมาพอดีแล้วรีบก้มหน้างุด ซ่อนทุกอารมณ์ที่ฉายชัดในแววตาไว้อย่างมิดชิดพร้อมกับก้าวฉับๆ ตรงกลับไปที่ห้องโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

“ถ้าแกจะด่าว่าฉันเลวละก็ ไม่ต้องพูดเลยนะ ฉันรู้ตัวอยู่แล้ว” หย่งเต๋อเอ่ยทันทีที่เห็นร่างในชุดสูทสีดำเดินผ่านกรอบประตูเข้ามาในห้องนั่งเล่น

“ผมยังไม่ได้พูดเรื่องความระยำของพี่สักคำ อย่าเพิ่งร้อนตัวสิ”

เฉินกุ้ยพูดหน้าตายในขณะที่ทายาทฮวงหลงแสยะยิ้ม แหม...พี่แกเพิ่งพูดออกมาน่ะ หลอกด่าฉันเต็มๆ ไอ้ตี๋เล็ก!

“ผมแค่จะมาบอกว่าเตรียมรถพร้อมแล้ว วันนี้วันศุกร์ รถติด ควรออกเดินทางกันตั้งแต่ตอนนี้ จะได้ไปถึงงานเลี้ยงไม่เลตนัก” เขาพูดพลางก้มมองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ

“รอเจ้าหญิงแต่งตัวเสร็จก็เสด็จได้” หย่งเต๋อคว้าเสื้อสูทที่พาดอยู่บนพนักโซฟามาคล้องแขนไว้ จากนั้นจึงสาวเท้าตรงมาหาลูกไล่คนสนิท

“พี่ก็อย่าทำให้เจ้าหญิงเสียเวลาต้องแต่งหน้าใหม่สิ จะได้ไม่เลต” เฉินกุ้ยปาดคราบลิปสติกสีชมพูออกจากริมฝีปากลูกพี่ด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทำไมไอศิกาถึงรีบเผ่นออกจากห้องนี้ไปด้วยสีหน้าแบบนั้น เรื่องหลอกหาเศษหาเลยผู้หญิงต้องยกให้หวังหย่งเต๋อจริงๆ “เล่นสนุกน่ะได้ แต่อย่าลืมว่าไอ้ภามมันฟื้นแล้วนะพี่ ถ้ามันรู้ว่าพี่ทำชั่วอะไรไว้ ระวังจะถูกเหยียบยอดหน้าเอานะ”

“แกไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า ถ้ามันมีปัญญาลุกขึ้นจากเตียงได้ค่อยว่ากัน” หย่งเต๋อยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “แล้วเรื่องที่ให้ไปตรวจสอบได้ความว่ายังไงบ้าง”

“ก็มีทั้งน่าแปลกใจและไม่น่าแปลกใจ” เฉินกุ้ยดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากด้านในกระเป๋าเสื้อสูท แล้วย่อตัวลงเช็ดฝุ่นออกจากรองเท้าหนังสีดำทรงออกซ์ฟอร์ดแคปโทของหย่งเต๋ออย่างเคยชินโดยที่เจ้าตัวก็ยืนเฉยด้วยเห็นเป็นเรื่องปกติไปแล้วเช่นกัน “อย่างที่พี่คิดนั่นละ ไอ้พิบูลย์ไม่ได้ประวัติขาวสะอาดอะไรนักหนา มันมีสายสัมพันธ์กับทั้งภามและพวกผู้มีอิทธิพลมากหน้าหลายตา แล้วก็สนิทสนมกับพวกตัวเอ้ในอินเตอร์โพลไม่น้อย เส้นใหญ่เอาเรื่อง เบื้องหลังก็ไม่เบานักหรอก มีชื่อเอี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมายหลายอย่าง แต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดให้สาวไปถึงตัวมันได้ มันเคยดีลธุรกิจใต้ดินกับพี่เจี๋ยด้วยนะพี่ ถ้าอยากรู้รายละเอียดผมจะถามเพิ่มเติมให้”

“อา...ถึงว่าทำไมคุ้นชื่อมันนัก พวกปีศาจสวมหน้ากากนักบุญนี่เอง” หย่งเต๋อเดาะลิ้น “อย่างว่าละ ถ้าคบไอ้ภามได้ ก็น่าจะไส้เน่าเอาเรื่อง แล้วอีกเรื่องที่แกว่าน่าแปลกใจคืออะไรวะอากุ้ย”

“ก็เรื่องของลุงองอาจของลูกแก้วนั่นละพี่”

เฉินกุ้ยเช็ดรองเท้าของคุณชายน้อยจนมันปลาบ...สมัยยังรุ่นกว่านี้ หย่งเต๋อเป็นพวกบ้ารองเท้า ไล่ล่าตามสะสมรุ่นลิมิเต็ดอิดิชันจนมีเก็บไว้เป็นคลังแสง แต่หลังจากก้าวเข้าสู่โลกมืดเต็มตัวเมื่อเจ็ดปีก่อน ชีวิตที่เคยสุขสบายหรูหราของทายาทฮวงหลงก็เปลี่ยนไป การที่ต้องแฝงตัวไปสืบเรื่องศัตรูและบุกตะลุยอยู่ในดงมีดดงกระสุนทำให้หย่งเต๋อไม่มีเวลาพิถีพิถันกับการแต่งตัวเท่าใดนัก รองเท้าที่เขาใช้หากไม่ใช่รองเท้าผ้าใบคู่เก่งก็มักจะเป็นรองเท้าหนังทรงออกซ์ฟอร์ดแคปโทที่เรียบง่ายและเหมาะกับงานกึ่งทางการไปจนถึงงานพิธีการทุกประเภทเป็นที่สุด แน่นอนว่าคนที่ต้องดูแลรักษาข้าวของให้อยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานทุกเมื่อก็มีแต่ทาสในเรือนเบี้ยอย่างไอ้เฉินกุ้ยนี่ละ

“มันเป็นคนเลวเหมือนหน้าตาใช่ไหมเล่า”

“ตรงกันข้ามเลยพี่” เฉินกุ้ยส่ายหน้าอย่างระอาใจ ลงไม่ชอบหน้าใครแล้ว ลูกพี่ใหญ่ก็จ้องจะกินหัวคนนั้นทุกทีสิน่า “ลุงองอาจของลูกแก้วเป็นคนใช้ได้ทีเดียว ที่แปลกก็คือเป็นคนเก่าคนแก่ก็จริง แต่ไม่ใช่คนจากทางฝั่งของภามหรอกนะ เป็นคนจากทางฝั่งแม่ของลูกแก้วต่างหาก”

“ฝั่งแม่? หมายความว่าเป็นลูกน้องของแม่ของลูกแก้วเหรอ” หย่งเต๋อเลิกคิ้วขณะก้มลงมองคนพูดด้วยแววตาเต็มไปด้วยคำถาม “แต่แม่ของลูกแก้วก็เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่พวกลูกหลานผู้มีอิทธิพลไม่ใช่หรือไง”

“ก็เป็นลูกหลานข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดนั่นละพี่ องอาจเป็นหลานของคนรับใช้ในบ้านนั่นละ พอไอลดา แม่ของลูกแก้วแต่งงานกับภามก็ตามมารับใช้ใกล้ชิด แล้วก็กลายเป็นมือขวาของภาม เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอะไร เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครรู้ก็เท่านั้น ที่น่าแปลกก็คือมันจงรักภักดีกับภามชนิดยอมถวายหัว ตอนที่การเงินของภามล้มพังพาบไม่เป็นท่าใหม่ๆ มันถึงกับช่วยออกเงินค่าใช้จ่ายบางส่วนให้ด้วยซ้ำ”

เฉินกุ้ยเงยหน้าขึ้นปัดฝุ่นและจัดเข็มขัดของคุณชายน้อยให้เข้าที่ คนอื่นอาจมองเป็นเรื่องค่อนข้างพิลึกพิลั่นเหมือนหลุดมาจากยุคเจ้าขุนมูลนาย แต่สำหรับพวกเขาแล้วเป็นเรื่องธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง

“ออกค่าใช้จ่าย?” หย่งเต๋อนึกว่าตนเองหูฝาดไปเสียอีก “เช่นอะไรบ้างวะ”

“ก็พวกค่าน้ำค่าไฟอะไรทำนองนั้นละพี่ แต่ก็ออกแค่ไม่กี่ครั้งหรอกนะ เพราะหลังจากนั้นคุณหนูลูกแก้วของพี่ก็หาเงินมาจ่ายเอง เห็นบ้านโล่งๆ แบบนั้นพี่คงเดาได้ว่าเอาเงินมาจากไหนใช่ไหม”

“ก็ไม่ได้ยากอะไรนี่” สภาพความเป็นอยู่ของไอศิกาก่อนหน้าภามจะถูกยิงคงไม่ได้ดีไปกว่าตอนนี้สักเท่าใดนัก แต่ก็นับว่าเธอแกร่งพอตัวทีเดียวที่ผ่านเรื่องทั้งหมดมาได้ แล้วยังมีแก่ใจมุ่งมั่นอ่านหนังสือสอบจนเสร็จได้

“แต่อีกหน่อยผมว่าเธอคงไม่ลำบากเท่าไหร่แล้วมั้ง มีพ่อบุญทุ่มคอยซื้อของตามมาคืนให้แบบนี้” แม้จะเพียงแวบเดียว แต่เฉินกุ้ยมั่นใจว่ากำไลเพชรระยิบระยับบนข้อมือของไอศิกาต้องเป็นวงเดียวกับที่หย่งเต๋อสั่งให้เขาไปตามซื้อมาจากพิไลเป็นแน่

“โถๆๆ หึงอีกแล้วเหรอวะไอ้ตี๋เล็ก ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันไม่ใช่พวกได้หน้าแล้วลืมหลังหรอก” หย่งเต๋อหัวเราะร่วน มือหนาแสร้งดึงศีรษะของเฉินกุ้ยให้แนบซบกับต้นขาของตนอย่างจงใจแกล้ง

“เล่นอะไรของพี่วะ ขนลุกฉิบ” เฉินกุ้ยเบี่ยงศีรษะออกห่างด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย “เล่นพิเรนทร์แบบนี้บ่อยๆ ผีคงผลักเข้าสักวัน”

“อุ๊ย!” ไอศิกาที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาอุทานเสียงดังเมื่อเห็นภาพของสองหนุ่มตรงหน้า “ขะ...ขอโทษค่ะ เดี๋ยว...เดี๋ยวฉัน...จะไปรอที่ด้านหน้าก็แล้วกันนะคะ”

พูดจบก็รีบเผ่นแผล็วหายไปด้วยความเร็วราวติดปีก ทิ้งให้สองหนุ่มมองหน้ากันด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก หย่งเต๋อรีบปล่อยมือจากคนสนิทแทบไม่ทันก่อนจะระบายลมหายใจยาว

ให้ตายเถอะวะ จังหวะนรกจริงจริ๊ง!

 

“มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดนะ”

หย่งเต๋อพูดขณะเปิดประตูรถโฟร์วีลด้านหลังให้ไอศิกาที่เอาแต่นั่งทำหน้ากระอักกระอ่วนมาตลอดทาง ถามคำก็ตอบคำจนเขาเริ่มหงุดหงิด แต่ที่น่าหงุดหงิดที่สุดก็คือไอ้ตี๋เล็ก ไอ้สารถีเฮงซวยที่เอาแต่ตีหน้านิ่ง ขับรถไปผิวปากไปอย่างสาแก่ใจโดยไม่คิดช่วยเขาอธิบายอะไรแม้แต่คำเดียว โอเค...ภาพของเขากับเฉินกุ้ยที่เห็นอาจดูล่อแหลมและชวนให้คิดอกุศลเต็มร้อย แต่แม่เจ้าประคุณก็ถูกเขาจูบจนปากแทบเปื่อยมาแล้วตั้งหลายครั้ง ยังจะคิดได้อย่างไรว่าเขาพิศวาสไอ้เฉินกุ้ยมากกว่าเธอ!

“คุณไม่ต้องอธิบายอะไรหรอกค่ะ ฉัน...ฉันเข้าใจ” หญิงสาวก้าวลงจากรถด้วยสีหน้าซีดสลับแดง ภาพที่พี่ใบป่านของเธอนั่งคุกเข่าแล้วซบศีรษะกับต้นขาของนะโมยังติดตาอยู่ไม่รู้หาย

“ไอ้ที่ว่าเข้าใจน่ะเข้าใจว่ายังไง ฮึ” หย่งเต๋อถอนใจ ไม่ต้องบอกก็พอรู้ได้รางๆ นั่นละว่าคำตอบจะออกมาอีหรอบไหน

“ก็เข้าใจอย่างที่ควรเข้าใจ”

รู้ว่าเขามือไว แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะมือไวแม้แต่กับผู้ชาย!

ไอศิกาหลุบตาลงมองรองเท้าส้นสูงที่สวมอยู่ ส้นขนาดสามนิ้วทำให้เธอสูงขึ้นมาเกือบสิบเซนติเมตร แต่กระนั้นก็ยังสูงไม่พ้นติ่งหูของชายหนุ่มอยู่ดี จะคาดหวังอะไรกับความสัมพันธ์ครึ่งๆ กลางๆ ระหว่างเธอกับเขากันเล่า ความสัมพันธ์ที่ไม่มีอะไรชัดเจนสักอย่าง...ว่ากันตามตรง เขาชอบผู้ชายหรือผู้หญิง เธอยังไม่กล้าฟันธงด้วยซ้ำ

“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าคุณไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด” หย่งเต๋อคว้ามือของหญิงสาวมากุมไว้ แล้วดึงให้ออกเดินตรงไปยังทางเข้าโรงแรม โดยไม่สนใจสายตาของผู้คนที่มองตรงมายังพวกตนแม้แต่น้อย

“เดี๋ยวสิ คุณนะโม ปล่อยนะ คุณจะจับมือฉันทำไมกันเล่า”

“ก็ผมเป็นบอดีการ์ด มีหน้าที่ดูแลคุณอย่างใกล้ชิด” เขาพูดพลางกระชับอุ้งมือแน่นเข้า “คุณบอกผมเองนะว่าวันนี้จะมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนแบบไม่เป็นทางการ ไม่อยากให้ผมทำท่าเหมือนตามมาคุม ก็นี่ไง ผมก็อุตส่าห์ทำตัวให้เป็นธรรมชาติแล้ว จะงอแงอะไรอีก”

“ธรรมชาติของผู้ชายเจ้าชู้ละไม่ว่า” ไอศิกาพึมพำ “ไม่ต้องใกล้ชิดขนาดนี้ก็ได้ ถอยออกไปหน่อยได้ไหม ฉันอึดอัด”

“อึดอัดก็ต้องทน ผมยอมให้คุณอยู่ห่างหัวใจผมได้เท่านี้ละครับคุณหนู”

คำพูดที่เล่นทีจริงของเขาทำเอาหญิงสาวแดงแจ๋ไปทั้งหน้าทั้งตัว แต่ไม่ได้ชักมือหนีอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก

“เฮ้อ คลื่นไส้จริงจริ๊ง เหม็นกลิ่นน้ำเน่า โรงแรมนี้ก็หรูดี แต่ระบบการจัดการเรื่องกลิ่นนี่แย่ชะมัดยาด” เฉินกุ้ยพูดแขวะด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย พลางส่งกุญแจรถให้พนักงานรับรถ

ไอศิกาหันกลับไปมองเขาแล้วอดรู้สึกสะกิดใจอยู่ลึกๆ ไม่ได้...เธอรู้สึกอยู่ลึกๆ ในใจตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้ชายสองคนนี้มีราศีบางอย่างที่ดูผิดแผกจากบอดีการ์ดที่เคยพบเจอ เขาดูคุ้นเคยกับของกินของใช้มีราคาและสถานที่หรูหราในแบบที่เหมือนเคยเป็นผู้ใช้บริการเสียมากกว่าจะเป็นเพียงผู้ติดตามธรรมดา ท่วงท่าการเดินเหินหรือก็งามสง่าจนพนักงานที่อยู่รอบด้านต้องโค้งคำนับโดยอัตโนมัติ เธอเสียอีกที่ไม่ได้มางานเลี้ยงนานจนเป็นฝ่ายตกประหม่า แลดูเงอะงะงุ่มง่ามไปหมด

“ลูกแก้ว!”

เสียงร้องทักดังขึ้นทันทีที่ไอศิกาเดินเข้ามาในล็อบบีโรงแรม พร้อมกับหญิงสาวในชุดราตรีสวยงามสองคนวิ่งกรูตรงมาหา ก่อนจะต้องชะงักไปเมื่อเห็นมือใหญ่โตของชายหนุ่มข้างกายกุมมือของเธอไว้แน่นหนา

“กุ้งแก้ว อร นี่...นี่เธอสองคนมาทำอะไรที่นี่”

สายตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นของอีกฝ่ายทำให้ไอศิกาได้จังหวะ รีบสลัดมือจากการเกาะกุมของชายหนุ่มราวเป็นถ่านร้อนๆ...ร้อนจนแม้เมื่อมือหลุดออกจากกันแล้วก็ยังรับรู้ถึงไออุ่นที่เขาทิ้งเอาไว้ได้อยู่ แน่นอนว่าเขาทำหน้าตึงใส่ทันที แต่มีหรือเธอจะสน

“ก็มางานเลี้ยงฉลองรางวัลบุคคลดีเด่นแห่งปีของท่านพิบูลย์ไง ฉันไม่ได้อยากมาหรอก แต่พ่อกับแม่ลากฉันมาด้วย ยายอรก็ถูกคุณอาลากมาเหมือนกัน” กุ้งแก้วหรือกชกรลดเสียงเบาลงจนเหลือเพียงเสียงกระซิบ “งานนี้คุณสงคราม ลุงของยายปริมเป็นคนจัด ฉันไม่คิดว่าเธอจะมา”

ถ้าจะพูดให้ตรงกว่านั้นคือ...ไม่คิดว่าจะได้รับเชิญ เพราะอย่างที่รู้กันอยู่ว่าปริมลชังน้ำหน้าไอศิกาเพียงใด

“เอ่อ...ฉัน...ก็ไม่ได้คิดจะมาแต่แรกหรอก”

แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่างานนี้ลุงของปริมลเป็นคนจัด องอาจไม่ได้บอกรายละเอียดใดๆ ให้เธอรู้มากนัก

ไอศิกาหัวเราะเสียงแห้ง เธอไม่กล้าหันไปมองหน้าชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ข้างกาย ด้วยรู้ดีว่าตนเองถูกจับได้เสียแล้วว่าโกหกเรื่องมางานวันเกิดเพื่อน โดยไม่รู้เลยว่าทั้งคู่รู้แต่แรกแล้วว่าเธอมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด

หย่งเต๋อลอบหัวเราะอยู่ในใจ คนเดียวที่เชื่อคำโกหกไร้ความน่าเชื่อถือของเธอก็มีแต่ไอ้ภัทรพลคนเดียวเท่านั้นละ หากเป็นเขาละก็ไม่มีทางปล่อยให้คนที่ถูกปองร้ายจากกลุ่มคนไม่ทราบฝ่ายออกมาร่อนกลางเมืองเช่นนี้แน่ มีแต่จะพาไปกบดานในที่ซึ่งไม่มีใครหาพบ แต่อย่างว่า...อินเตอร์โพลคิดจะใช้เธอเป็นเหยื่อล่อพวกที่คิดร้ายต่อภามแต่แรก ไม่สนอยู่แล้วว่าเธอจะเป็นหรือตาย และหากพวกเขาถูกลูกหลงไปด้วยก็เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

เฮอะ! ฝันไปเถอะ ตราบใดที่แม่เด็กคนนี้อยู่กับเขา เธอจะต้องปลอดภัย ไร้รอยขีดข่วน ถือเป็นการฉีกหน้าพวกมันไปด้วยในตัว!

“แล้วพี่ภัทรล่ะ ไม่ได้มาด้วยเหรอ” นิราอรแสร้งทำเป็นมองหาชายหนุ่มหน้าตาคมหวานอีกคนทั้งที่รู้แต่แรกแล้วว่าเขาไม่ได้มาด้วย จะได้ไม่ต้องถามเรื่องผู้ชายรูปหล่อตัวโตที่ยืนคุมเชิงเพื่อนอยู่ไม่ห่างออกไปตรงๆ ให้ไอศิการู้สึกอึดอัดใจ

“อะ...อ๋อ พี่ภัทรไม่ได้มาหรอก ฉันมากับบอดีการ์ดน่ะ” ไอศิการีบผายมือไปยังชายหนุ่มข้างกายเร็วๆ “นี่คุณนะโม กับพี่ใบป่าน เป็นเจ้าหน้าที่อินเตอร์โพลที่คอยดูแลฉันอยู่ตอนนี้ พวกเธอก็รู้ว่าสถานการณ์ที่บ้านฉันตอนนี้ไม่ค่อย...”

“ฉันรู้ พวกฉันถึงดีใจที่ได้เห็นหน้าเธอไง” กชกรคว้ามือเพื่อนมากุมเอาไว้โดยไม่รอให้เจ้าตัวพูดจนจบ “พวกเราติดต่อเธอไม่ได้เลยตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง จะไปเยี่ยมคุณลุงภามก็ไม่ได้ เพราะเขาห้ามเยี่ยม แถมวิชาสุดท้ายที่เธอมาสอบ ฉันก็ไม่ได้ลงเรียนด้วย ก็เลยไม่ได้เจอกัน นี่เราไม่เห็นหน้ากันมาหลายเดือนแล้วนะ ฉันคิดถึงเธอมากเลย”

เมื่อคนพูดน้ำตาคลอ คนฟังก็พลอยรู้สึกสะเทือนใจจนตาแดงก่ำไปด้วย

“เธอซูบไปหน่อยนะ ได้กินอะไรบ้างหรือเปล่า พี่ภัทรดูแลเพื่อนฉันยังไงเนี่ย น่าตีนักเชียว” นิราอรระบายลมหายใจยาว “แต่เอาเถอะ เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกัน วันนี้ฉันจะพาเธอกินให้เยอะๆ เลย ถือว่าถล่มลุงของยายปริมลแก้แค้นที่หลานเขาชอบมาหาเรื่องเรา”

“แต่ฉัน...มีธุระต้องคุยกับผู้ใหญ่ก่อน...” ไอศิกาทำท่าอึกอัก ตามที่องอาจบอกไว้ เมื่อมาถึงแล้วเธอจะต้องตรงไปหาเลขานุการของพิบูลย์ก่อนตามที่นัดกันเอาไว้ “ถ้ายังไง...”

“ไปเถอะ นานๆ จะได้เจอเพื่อนเสียทีหนึ่ง” หย่งเต๋อเอ่ยแทรกด้วยรอยยิ้ม “มีอะไรก็เรียกผมได้ ผมจะคอยดูแลคุณไม่ให้คลาดสายตา”

“แหม...เป็นบอดีการ์ดที่ดูแลเจ้านายดีเสียจริงๆ ดีเกินหน้าที่เชียวละ”

หญิงสาวสวยเจ้าของเรือนร่างสูงระหงในชุดกางเกงขายาวสีขาว คลุมทับด้วยเสื้อสูทสีเดียวกันเดินเยื้องย่างตรงมาทางไอศิกาและเพื่อนๆ ช้าๆ อย่างงามสง่า เธอมีใบหน้าสวยเฉี่ยวสะดุดตา แม้จะซอยผมสั้นกุดประสาสาวเปรี้ยว แต่ความเยือกเย็นที่ฉายชัดอยู่ในแววตาคมกริบกลับเพิ่มเสน่ห์ความเป็นหญิงให้เธออย่างน่าพิศวง

“พี่จันทร์เจ้า!” ไอศิกาเบิกตากว้าง เธอรีบโผเข้าสู่อ้อมกอดของผู้มาใหม่ด้วยความดีใจ “พี่จันทร์เจ้าจริงๆ ด้วย”

“ก็พี่จริงๆ น่ะสิจ๊ะ คิดถึงจัง ไม่เจอกันนานเชียว”

จันทร์เจ้าหัวเราะพลางกดจูบบนกระหม่อมบาง แต่ดวงตากลับมองเลยไปยังหย่งเต๋อและเฉินกุ้ยที่ยืนทำหน้าเหมือนถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ

ไม่สิ สำหรับหย่งเต๋อแล้วต้องเรียกว่าถูกผี ‘น้องสาว’ หลอกเอากลางวันแสกๆ เสียมากกว่า

นี่มันจันทร์เจ้า หรือหยูเยว่ น้องสาวของเขาเอง!

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น