5

เรื่องลับแต่ไม่ลับ 2



 เตรียมตัวเอาไว้ให้ดี!

“อากุ้ย!”

แรงกระทุ้งตรงสีข้างทำเอาเฉินกุ้ยนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด เขาหันขวับกลับไปมองคนกระทุ้งตาขวาง

“เบาๆ หน่อยสิพี่ ผมเจ็บนะ แล้วตอนนี้ผมชื่อใบป่าน อย่าลืมสิ ท่องเอาไว้เลย ใบป่าน ใบป่าน!”

“น้อยๆ หน่อยเถอะครับไอ้คุณใบป่าน โดนมีดแทงแกยังวิ่งต่อได้หน้าตาเฉย ศอกนิดศอกหน่อยแค่นี้ทำเป็นดัดจริตแหกปากร้องไปได้” หย่งเต๋อแบะปาก “ฉันตะโกนเรียกชื่อนรกของแกอยู่ตั้งนาน แกก็ไม่ขาน มัวแต่ยืนเหม่อหาสวรรค์วิมานอะไรก็ไม่รู้ แล้วนั่นหมากัดปากมาหรือไง ลูบอยู่ได้”

“พูดอะไรของพี่” เฉินกุ้ยเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าตนเองเผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากขณะที่สมองล่องลอยไปกับภาพดวงหน้าหวานของคนที่ประทับรอยเอาไว้ “โกรธใครก็ไปลงกับคนนั้นสิพี่ มาพาลผมทำไม”

“พาลที่ไหนกันเล่า ระดับฉันแล้ว ไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมไร้สาระหรอกน่า”

แม้น้ำเสียงจะราบเรียบ แต่นัยน์ตาสีนิลกลับลุกวาบตามแรงอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในอก หย่งเต๋อลอบมองไปยังร่างเล็กบางของหญิงสาวที่เดินเคียงคู่อยู่กับภัทรพลแล้วทำเสียงจึ๊กจั๊กอยู่ในปาก นึกหงุดหงิดไอศิกานักที่ร้องขอไปนั่งรถคันเดียวกับลิเอซองหนุ่ม ทำให้เขาต้องนั่งรถมากับสารถีหน้ามึนอย่างไอ้เฉินกุ้ยตามลำพัง แถมยังต้องคอยขับรถตามก้นแม่เจ้าประคุณเพื่อคอยคุ้มกันอีกต่างหาก

“บอกว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกยังน่าเชื่อเสียกว่า”

เฉินกุ้ยส่ายหน้าพลางมองเลยไปยัง ‘ตัวต้นเหตุ’ ที่ทำให้อารมณ์ของลูกพี่ไม่โสภา แล้วระบายลมหายใจยาว ก็...น่าอยู่หรอก ฝ่ายชายเดินพาฝ่ายหญิงเดินชมรอบบ้านประหนึ่งเป็นคู่รักที่จูงมือกันมาเลือกเรือนหอไม่มีผิด ขนาดเขาไม่สนใจไยดีเรื่องของผู้คนนอกเหนือจากสมาชิกแก๊งนัก ยังอดหมั่นไส้ท่าทางกระดี๊กระด๊าเหมือนปลากระดี่ได้น้ำของภัทรพลไม่ได้

“ระบบรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านนี้เข้มงวดมาก มีเวรยามคอยเดินตรวจตราทุกจุดตลอด 24 ชั่วโมง คนภายนอกต่อให้แลกบัตรประชาชนเพื่อเข้าออกแล้วก็มาป้วนเปี้ยนในส่วนนี้ของหมู่บ้านไม่ได้ ทางเราได้เตรียมการวางเวรยามไว้เพิ่มเติมล่วงหน้าแล้ว ลูกแก้วอาจจะอึดอัดสักนิดที่ต้องมีคนคอยประกบตลอดเวลา แต่ก็เพื่อความปลอดภัยของลูกแก้วเอง...” ภัทรพลชะงักเมื่อเห็นสีหน้าหมองหม่นของหญิงสาว “เป็นอะไรไปจ๊ะ หรือว่าลูกแก้วไม่ชอบบ้านหลังนี้”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ บ้านหลังนี้สวยมากเลย” ไอศิกาเงยหน้าขึ้นมองบ้านทรงยุโรปขนาดสองชั้นเบื้องหน้าด้วยแววตาหม่นเศร้า แม้จะไม่ใหญ่โตกว้างขวางเท่าคฤหาสน์ของตระกูลพิมพ์สุริยา แต่ก็ดูโอ่โถงและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี สมกับเป็นบ้านพักตากอากาศในหมู่บ้านคนมีเงิน เผลอๆ จะดูดีกว่า ‘บ้าน’ ของเธอในยามนี้เสียอีก “แต่...ลูกแก้วเป็นห่วงคุณพ่อ ป่านนี้ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง...”

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวพอคุณลุงภามอาการทรงตัวกว่านี้ เราจะย้ายคุณลุงมาที่หัวหินทันที ระหว่างนี้ลูกแก้วก็อ่านหนังสือเตรียมตัวสอบไฟนอลให้เต็มที่ เดี๋ยวพี่จะคอยโทร. รายงานเรื่องอาการคุณลุงให้ฟังทุกวันเลย ดีไหมจ๊ะ”

“เอ๊ะ...โทร. มา? นี่...พี่ภัทรจะไม่ได้อยู่กับลูกแก้วที่นี่ด้วยเหรอคะ”

“คือพี่...” ชายหนุ่มพยายามซ่อนความรู้สึกลำบากใจไว้ใต้รอยยิ้มจืดเจื่อน “ต้องคอยอยู่ประสานงานกับทางตำรวจที่กรุงเทพฯ น่ะจ้ะ ช่วงนี้มีงานเอกสารต้องเคลียร์อีกหลายอย่างด้วย คงจะได้แวะมาหาลูกแก้วเฉพาะเสาร์หรืออาทิตย์ แต่ไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ เดี๋ยวพี่จะส่งแม่บ้านมาคอยดูแลเรื่องงานบ้านและอาหารการกินให้ลูกแก้วด้วย น่าจะประมาณปลายอาทิตย์นี่ละจ้ะ”

หลังจากเกิดเรื่องร้ายแรงกับไอศิกา ภัทรพลจำเป็นต้องตรวจสอบประวัติของคนที่จะส่งมาดูแลหญิงสาวอย่างเข้มงวด การดำเนินการคัดสรรคนจึงล่าช้าอย่างน่าหงุดหงิดใจ

“แล้ว...สองคนนั้นล่ะคะ เขาจะกลับไปกับพี่ภัทรด้วยหรือเปล่า”

ไอศิกาปรายตามองไปยังชายหนุ่มตัวโตเป็นตึกสองคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปเท่าใดนัก

“พวกเขาจะอยู่ดูแลความปลอดภัยที่นี่” ภัทรพลรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้กลืนก้อนเลือดที่ทั้งคาวและขมลงคอ ตามคำสั่งของ ฌอง-ปอล กุสโต เขาไม่มีสิทธิ์แทรกแซงเรื่องระหว่างภามกับฮวงหลง มิเช่นนั้นเขาจะถูกปลดจากภารกิจครั้งนี้ทันที และนั่น...หมายความว่า เขาจะไม่มีโอกาสปกป้องไอศิกาจากเปี้ยนเหลี่ยนหวังอีก “มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ หรือว่าพวกเขาทำอะไรให้ลูกแก้วไม่สะดวกใจหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นให้พี่เปลี่ยนเจ้าหน้าที่คนอื่นมาแทนดีไหม”

ลึกๆ แล้วชายหนุ่มหวังว่าหญิงสาวจะตอบตกลง ในเมื่อเขาไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่คนอื่นมาแทนที่หย่งเต๋อและเฉินกุ้ย แต่ถ้าเธอเป็นคนเอ่ยปากเอง แม้แต่ฌอง-ปอลก็ไม่มีสิทธิ์ค้านความประสงค์นี้ได้

“เอ่อ...เปล่าหรอกค่ะ...พวกเขาไม่ได้ทำอะไรลูกแก้วเลย อีกอย่าง...ถ้าไม่ได้สองคนนั้น ลูกแก้วอาจจะตายไปแล้วก็ได้...” ไอศิกาลอบมองชายหนุ่มทั้งสองคนแล้วรีบหลุบตาลงต่ำ จึงไม่ทันได้เห็นสีหน้าผิดหวังของภัทรพล “ลูกแก้วแค่อยากรู้ว่าจะมีใครอยู่ที่นี่กับลูกแก้วบ้างน่ะค่ะ เพราะบางคน...ลูกแก้วก็ไม่คุ้นหน้าเลย”

ตอนที่รู้ว่าเปี้ยนเหลี่ยนหวังกับไอ้ลูกคู่หน้านิ่งถูกฌอง-ปอลส่งมาดูแลไอศิกาที่เซฟเฮาส์ ภัทรพลถึงกับตกใจจนเก็บสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่ แต่เมื่อได้ฟังเหตุผลของผู้ใหญ่ว่าต้องการแยกทายาทฮวงหลงให้ออกห่างจากภามชั่วคราวเพื่อความปลอดภัยของพยานคนสำคัญ จึงไม่กล้าอ้าปากค้าน ด้วยรู้ดีว่าเมื่อเทียบกับผู้เป็นบิดาแล้ว ชีวิตของหญิงสาวแทบไม่มีความสำคัญใดๆ ในสายตาของอินเตอร์โพลแม้แต่นิด

“เดี๋ยวก็คุ้นไปเองละจ้ะ นอกจากสองคนนั้นแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือเป็นคนรู้จักของพี่ทั้งนั้น ลูกแก้วอยากได้อะไรก็บอกพวกเขาได้ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ไม่เกรงใจไม่ได้หรอกค่ะ แค่ทางคุณฌอง-ปอลรับปากจะช่วย...เรื่องคุณพ่อ ลูกแก้วก็เกรงใจจะแย่แล้ว ไม่กล้าเรียกร้องอะไรมากไปกว่านี้หรอกค่ะพี่ภัทร”

หญิงสาวลอบมองเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนักอีกครั้ง เธอนึกขอบคุณเขานักที่แนะนำให้เธอคุยกับฌอง-ปอล ทำให้ภาระที่ต้องแบกรับเบาลงไปถึงสามในสี่ อย่างน้อย...เธอก็ไม่ต้องห่วงเรื่องค่ารักษาพยาบาลราคาแพงระยับนั้นอีก ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะมีอำนาจต่อรองอย่างที่นายนะโมคนนั้นบอกจริงๆ เสียด้วย

“เรื่องนั้น...พี่แอบน้อยใจอยู่นิดๆ นะ” ภัทรพลยิ้มขื่น “ทำไมลูกแก้วถึงไม่บอกพี่ ลูกแก้วก็รู้ว่าพี่กับคุณพ่อเต็มใจช่วยคุณลุงกับลูกแก้วเต็มที่...”

“ยกเว้นเรื่องนี้ค่ะพี่ภัทร” ไอศิกาเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มตรงๆ “ถ้ามีคนรู้ว่าคุณลุงชัยให้เงินช่วยเหลือพวกเราคงไม่ดีนัก ถึงคุณลุงจะไม่คิดลงเล่นการเมือง แต่ก็ไม่ควรต้องมาเป็นข่าวพัวพันกับครอบครัวเรามากไปกว่านี้ ลำพังแค่ออกหน้าเรื่องคดีคุณพ่อ นักข่าวก็พากันตีข่าวใหญ่โตว่าคุณลุงชัยมีใจฝักใฝ่ผู้มีอิทธิพลแล้ว”

“พูดแบบนี้พี่ไม่ชอบเลย เราไม่ใช่คนอื่นไกลกันเสียหน่อย” ลิเอซองหนุ่มคว้ามือของหญิงสาวมากุมไว้หลวมๆ “พี่กับคุณพ่อไม่สนใจเรื่องข่าวบ้าบอนั่นเลยสักนิด พวกเราพร้อมช่วยลูกแก้วกับคุณลุงภามทุกเรื่อง”

“กระเป๋าพวกนี้จะให้ยกไปไว้ที่ไหนไม่ทราบครับ คุณหนู”

หย่งเต๋อโพล่งเสียงดังขณะชี้ไปยังกระเป๋าเดินทางสองสามใบที่วางกองอยู่บนทางเดินข้างสนามหญ้าขนาดย่อม เฉินกุ้ยหันไปมองสีหน้าเฉยชาค่อนไปทางบึ้งตึงของลูกพี่ใหญ่แล้วส่ายหน้าอย่างระอาใจ กระเป๋าพวกนั้นตั้งอยู่ตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งจะสนใจพวกมันตอนที่ลิเอซองหนุ่มจับมือไอศิกาเนี่ยนะ

...แบบนี้ไม่ดีแน่...

“อะ...เอ่อ...” ไอศิกาถือโอกาสดึงมือออกจากการเกาะกุมของภัทรพลอย่างเคอะเขิน “ฉันยังไม่รู้เลยว่าห้องฉันอยู่ตรงไหน เดี๋ยวฉันขนเองก็ได้ค่ะ มีแต่เสื้อผ้ากับตำราเรียน ไม่ได้หนักอะไรนักหนา”

“ไม่ได้” หย่งเต๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “คุณเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวดี จะให้ออกแรงทำโน่นทำนี่ได้ยังไงกันเล่า คุณก็ลองเดินเข้าไปดูแล้วกันว่าจะพักห้องไหน เดี๋ยวผมกับใบป่านจะยกกระเป๋าขึ้นไปให้”

เฉินกุ้ยได้ฟังก็กลอกตาขึ้นมองฟ้า ด้วยรู้ดีว่าลูกพี่ใหญ่หมายความว่าเขาต้องเป็นเบ๊ยกกระเป๋าเหล่านั้นแต่เพียงผู้เดียวนั่นละ มีหรือที่คุณชายน้อยแห่งตระกูลหวังจะยอมลดตัวลงไปบริการคนอื่น รอชาติหน้าตอนบ่ายๆ เถอะ!

“ห้องอยู่ชั้นสองทางซ้ายมือ”

ภัทรพลพูดเสียงห้วน เขากัดฟันอย่างพยายามข่มอารมณ์เต็มที่ หย่งเต๋อเห็นดังนั้นจึงฉีกยิ้มยียวน

“แหม พี่คงลืมไปมั้ง พวกผมเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก จะรู้ได้ยังไงว่าห้องไหนเป็นห้องไหน คงต้องรบกวนพี่ภัทรช่วยนำทางแล้วละครับ”

ไม่พูดเปล่า คุณชายน้อยแห่งตระกูลหวังยังโค้งศีรษะแล้วผายมือประหนึ่งกำลังแสดงละครเวทีอยู่อย่างไรอย่างนั้น ส่งผลให้ใบหน้าที่บึ้งตึงอยู่แล้วของภัทรพลยิ่งขึ้งเคียด พร้อมจะฆ่าหั่นศพคนกวนโอ๊ยตรงหน้าเต็มแก่ ลิเอซองหนุ่มต้องนับหนึ่งถึงสิบในใจช้าๆ แล้วคว้าข้อมือดึงไอศิกาเดินเข้าไปด้านในตัวบ้านด้วยกัน

“แล้วแกจะยืนเฉยอยู่ทำไมเล่าอากุ้ย ขนกระเป๋าตามขึ้นไปสิวะ” หย่งเต๋อหันมาสั่งหน้าตาเฉย แล้วสาวเท้าเดินตัวปลิวตามสองหนุ่มสาวไปหน้าตาเฉย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขบขันเมื่อได้ยินเสียงเฉินกุ้ยสบถไล่หลังมาติดๆ “บ่นเป็นคนแก่ไปได้ ฉันได้ยินนะโว้ย”

“ก็ตั้งใจให้ได้ยินนั่นละ!”

เฉินกุ้ยเค้นเสียงลอดไรฟันขณะหอบกระเป๋าเดินตามหลังลูกพี่เข้าไปในบ้าน หย่งเต๋อกวาดตามองไปรอบตัวแล้วเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ เมื่อเห็นว่าห้องรับแขกที่พวกตนกำลังเดินผ่านนั้นตกแต่งอย่างเรียบง่ายสบายตาด้วยเครื่องเรือนโทนสีขาวเป็นหลัก อีกทั้งยังมีแจกันดอกไม้สดตั้งประดับเอาไว้เพื่อเพิ่มความสดชื่นอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าภัทรพลคิดเอาใจไอศิกาอย่างเต็มที่ประหนึ่งเจ้าบ่าวจัดเตรียมเรือนหอไว้รอเจ้าสาว

...ห้าห้องนอน...หนึ่งห้องรับแขก...อ้อ...มีห้องนั่งเล่นด้วย...ถือว่าไม่เลวนัก ถึงจะเทียบไม่ได้กับเศษเสี้ยวของคฤหาสน์ตระกูลหวังก็เถอะ...

“มันค่อนข้างกะทันหัน พี่ก็เลยไม่มีเวลาจัดเตรียมห้องให้ดีกว่านี้ ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเติมก็บอกมาได้เลยนะจ๊ะ พี่จะรีบจัดการให้เร็วที่สุด”

หย่งเต๋อชะงักเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง เมื่อได้ยินเสียงอ่อนโยนของภัทรพลดังแว่วมาจากด้านบน ชายหนุ่มแบะปาก นึกหมั่นไส้ลิเอซองรูปงามเต็มแก่

“ลูกแก้วไม่กล้าขออะไรมากกว่านี้แล้วละค่ะ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่ พี่ภัทรเป็นธุระให้ลูกแก้วทุกอย่าง ตั้งแต่วันที่...เกิดเรื่องกับคุณพ่อมาจนถึงตอนนี้ ลูกแก้ว...”

“เราไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันเสียหน่อย อะไรที่ช่วยได้พี่ก็พร้อมทำให้ลูกแก้วเสมอ แค่ลูกแก้วเอ่ยปากมาคำเดียว พี่ทำได้ทุกอย่างนั่นละจ้ะ บุกน้ำลุยไฟก็ทำได้”

“แล้วถ้าให้ไปตายจะไปไหม” หย่งเต๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะเดินเข้ามาในห้อง “โอ๊ะ ขอโทษที ผมคิดดังไปหน่อย พี่คงไม่ถือใช่ไหม”

ชายหนุ่มตีหน้าใสซื่อ เขาเกือบหลุดขำออกมาเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนอยากจะพุ่งเข้ามาหักคอเขาเต็มแก่ของภัทรพล

“ฉันไม่ถือเรื่องไร้สาระแบบนี้หรอก” ภัทรพลเค้นเสียงลอดไรฟัน ร่างสูงใหญ่ของคนที่กำลังเดินสำรวจตรวจตราห้องอย่างสบายอารมณ์นั้นทำเอาเขาต้องเปลี่ยนจากนับหนึ่งถึงสิบในใจมาเป็นนับหนึ่งถึงร้อยด้วยความเร็วประหนึ่งรถไฟเตเชเวของฝรั่งเศส “แต่ฉันถือเรื่องที่แกถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องของลูกแก้วโดยไม่ได้รับอนุญาต”

“แหม ความจำสั้นจริงจริ๊ง พี่อนุญาตให้พวกผมขนกระเป๋าของคุณหนูลูกแก้วขึ้นมาเองไม่ใช่หรือไง”

หย่งเต๋อเบี่ยงตัวหลบเฉินกุ้ยที่เดินหอบกระเป๋าเดินทางหลายใบเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง

หน็อย...‘พวกเรา’ อย่างนั้นหรือ ช่างกล้าพูดจริงๆ นะลูกพี่ ไอ้เฉินกุ้ยขนคนเดียวต่างหากเล่า!

“อีกอย่าง หน้าที่ของผมคืออารักขาคุณหนูของพี่ ฉะนั้นผมจำเป็นต้องรู้จักบ้านหลังนี้ทุกซอกทุกมุม ต้องรู้ว่ามีหน้าต่างกี่บาน มีทางหนีทีไล่ตรงไหนบ้าง ถ้าเกิดเรื่องฉุกเฉินจะได้รับมือได้ทันท่วงทีไง”

“ฉันส่งผังบ้านทั้งหมดให้เจ้าหน้าที่ทุกคนแล้วไม่ใช่เหรอ ดูแค่ผังก็น่าจะรู้แล้วว่าห้องไหนเป็นห้องไหน มีรายละเอียดอะไรบ้าง ไม่จำเป็นต้องเข้ามาวุ่นวายในห้องนี้”

นี่คือสิ่งที่ภัทรพลกลัวที่สุด กลัว...ว่าหวังหย่งเต๋อจะฉวยโอกาสทำเรื่องต่ำช้ากับไอศิกาโดยที่เขาไม่มีโอกาสปกป้องเธอได้เลย!

“ไอ้ผมมันหัวช้า ดูแผนผังยากๆ ของพี่ไม่เข้าใจหรอก ลงสนามดูของจริงง่ายกว่าเยอะ”

หย่งเต๋อลากเสียงยาวก่อนจะแสร้งกวาดตามองไปยังเตียงขนาดควีนไซซ์อย่างจงใจให้อีกฝ่ายเห็นชัดถนัดตา ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าภัทรพลคิดกันเขาให้ออกห่างจากแม่ลูกคุณหนูทุกวิถีทาง ถึงขนาดกำชับเจ้าหน้าที่อินเตอร์โพลทุกคนไม่ให้ขึ้นมาบนชั้นสองโดยไม่จำเป็นเป็นอันขาด แม้จะอ้างว่าเพื่อให้หญิงสาวมีพื้นที่ส่วนตัวบ้างจะได้ไม่อึดอัด แต่ความหมายโดยนัยก็คือห้ามไม่ให้เขาเข้าใกล้เธอนั่นละ

...โธ่เอ๋ย...คิดเหรอว่าลูกไม้ตื้นๆ แค่นี้จะหยุดคนอย่างหวังหย่งเต๋อได้ ถ้าเขาคิดจะหักคอไอศิกาจริงๆ ต่อให้สร้างกำแพงเหล็กล้อมรอบตัวเธอ เขาก็หาหนทางทำจนได้นั่นละน่า...

“แล้วดูพอหรือยัง”

ภัทรพลกำหมัดแน่นจนปลายเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ เขาจำไม่ได้แล้วว่านับเลขในใจเกินหลักร้อยไปตั้งแต่เมื่อใด

“แหม ตาขวางเชียว สำหรับตอนนี้...พอก่อนก็ได้” หย่งเต๋อยักไหล่อย่างยียวน “พวกผมขอตัวก่อนละกันนะ ไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอพี่นานไปกว่านี้”

เฉินกุ้ยที่ยืนอยู่ด้านหลังฟังแล้วลอบเบ้ปาก แล้วไอ้ที่เดินอาดๆ ตามสาวขึ้นมาบนนี้ไม่ใช่เพราะตั้งใจจะมาเป็นก้างชิ้นโตหรือไง!

“คุณนะโม เดี๋ยวก่อน...” ไอศิกาเรียกเจ้าของร่างสูงที่กำลังหันหลังเดินออกจากประตู ก่อนจะสาวเท้าตรงเข้าไปหาเขาด้วยสีหน้าลังเลใจ ชายหนุ่มหันกลับมามองหญิงสาว คิ้วซ้ายเลิกขึ้นนิดๆ คล้ายจะถามว่ามีอะไร เป็นกิริยาไร้มารยาทที่ขัดใจคนมองอย่างยิ่ง “ฉันยังไม่ได้ขอบคุณเรื่องคุณฌอง-ปอลเลย...”

“ขอบคุณผมทำไม ผมไม่ได้ทำอะไรสักนิด ผมแค่ให้เบอร์เมอสิเออร์กุสโตแก่คุณ ถ้าคุณไม่กล้าโทร. ไม่กล้าเจรจา ก็คงไม่ได้รับความช่วยเหลือหรอก ถ้าอยากจะขอบคุณใครสักคนก็ขอบคุณตัวเองจะดีกว่า”

หย่งเต๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบติดจะเย็นชานิดๆ จนไอศิการู้สึกได้ ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไรต่อ ชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกับเฉินกุ้ยเสียแล้ว

“ลูกแก้ว เขาพูดเรื่องอะไร แล้ว ฌอง-ปอล กุสโต มาเกี่ยวอะไรด้วย”

ภัทรพลถามเสียงเครียด ยามใดที่ได้ยินชื่อ ฌอง-ปอล กุสโต จากปากหวังหย่งเต๋อ หัวใจของเขาจะดิ่งวูบคล้ายถูกถ่วงด้วยก้อนหินแห่งความกังวล ใครๆ ก็รู้ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงชาวฝรั่งเศสผู้นั้นเลือกยืนอยู่ข้างไหน...ข้างเดียวกับอาชญากรอย่างไรเล่า!

“เขา...เป็นคนแนะนำลูกแก้วให้โทร. หาคุณฌอง-ปอลเรื่องค่ารักษาพยาบาลคุณพ่อค่ะ”

ไอศิกาตอบไม่เต็มเสียง เพราะกลัวว่าหนุ่มรุ่นพี่จะน้อยใจที่เธอปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขาและครอบครัว แต่กลับเลือกเจรจากับทางอินเตอร์โพลแทน

“เอ๊ะ...ไอ้หมอนั่น เอ่อ...นายนะโมน่ะเหรอ แนะนำให้โทร. หาเมอสิเออร์กุสโต...”

ภัทรพลรู้สึกเหมือนหูฝาดไป หย่งเต๋อน่ะหรือเป็นคนแนะนำ จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อฮวงหลงเองก็อยากบดขยี้ภามให้จมดิน หรือว่า...ไอ้หมอนี่จะมีแผนร้ายอะไรอยู่ในใจ

“ค่ะ...ตอนแรกลูกแก้วก็ลังเลอยู่เหมือนกัน แต่คิดว่าลองดูสักหน่อยก็น่าไม่เสียหายอะไร ไม่นึกเลยว่าคุณฌอง-ปอลจะใจดีกว่าที่คิดเอาไว้มาก...”

“ลูกแก้ว ฟังพี่นะ” ภัทรพลเหลือบตามองไปทางประตูเพื่อดูลาดเลา แล้วลดเสียงลงต่ำพอให้ได้ยินกันแค่สองคน “เมอสิเออร์กุสโตคนนี้ไม่ได้ใจดีอย่างที่ลูกแก้วคิดหรอก อย่าไว้ใจเขานัก”

“เอ๊ะ...พี่ภัทรหมายความว่ายังไงคะ” ไอศิกากะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง

“เชื่อพี่ อย่าไว้ใจใคร ทั้งเมอสิเออร์กุสโต ทั้งผู้ชายที่ชื่อนะโมกับใบป่าน”

ชายหนุ่มหลุบตาลงต่ำ เรียวคิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างเป็นกังวล

“นี่...มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าคะ...ทำไม...”

“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ พี่แค่อยากเตือนลูกแก้วให้ระวังเอาไว้เท่านั้นเอง” ภัทรพลยิ้มเจื่อนๆ เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกว้าวุ่นในใจ “อยู่ให้ห่างจากสองคนนั้นเอาไว้นะลูกแก้ว สองคนนั้น...เชื่อใจไม่ได้ แล้วก็...อันตรายกว่าที่ลูกแก้วคิด”

 

...เชื่อใจไม่ได้...อันตราย...

เสียงพูดของภัทรพลที่ยังดังก้องอยู่ในโสตประสาททำให้ไอศิกาต้องยกหนังสือวิชาสัทศาสตร์ภาษาอังกฤษขึ้นปิดหน้าแล้วทิ้งตัวลงนอนหงายบนเตียง สมาธิที่เคยมั่นคงยามท่องตำราเรียนกระเจิดกระเจิงชนิดกู่ไม่กลับ ตามตารางแล้ว เธอควรจะอ่านหนังสือเล่มนี้จบไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ แต่ขณะนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เธอกลับยังอ่านบทแรกไม่จบเสียด้วยซ้ำไป

ก็...สถานการณ์มันปกติเสียที่ไหนกันเล่า...

หญิงสาวระบายลมหายใจยาว ช่วงหลายวันมานี้เกิดเรื่องขึ้นมากมายที่ทำให้ชีวิตของเธอพลิกผันโดยไม่ทันตั้งตัว เหมือนถูกกระชากให้ตกจากสวรรค์ลงมากระแทกพื้น เหมือน...ฝันร้ายที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสลืมตาตื่นวันไหน เธออยากจะโทรศัพท์หาเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยเพื่อระบายความอัดอั้น อยากโพสต์ข้อความลงโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างที่สาวๆ รุ่นเธอทำกันยามมีเรื่องอะไรในใจ แต่ไม่อาจทำได้ เพราะถูกห้ามใช้เครื่องมือสื่อสารทุกชนิด รวมไปถึงห้ามใช้อินเทอร์เน็ตอีกด้วย ภัทรพลให้เหตุผลว่าเพื่อความปลอดภัย หากมีข่าวหลุดรอดออกไปว่าเธออยู่ที่ใด คนร้ายที่ยังไม่รู้ฝ่ายแน่ชัดอาจตามมาทำร้ายเธอได้ จากการลงมืออย่างอุกอาจกลางกรุงในวันนั้นบ่งชัดว่าพวกมันบ้าระห่ำเพียงใด

จะว่าไป...คนที่ระห่ำเกินมนุษย์ก็ไม่ได้มีแค่คนพวกนั้นหรอก...

ภาพของชายหนุ่มตัวโตที่โหนตัวออกไปนอกหน้าต่างรถแล้วสาดกระสุนใส่รถด้านหลังอย่างไม่กลัวตายยังคงประทับอยู่ในความทรงจำ...นะโมกับใบป่าน...ผู้ชายสองคนนั้นไม่รักชีวิตหรืออย่างไรหนอ ถึงได้กล้าเสี่ยงทำเรื่องบ้าๆ อย่างนั้นได้หน้าตาเฉย แถมยังรู้ใจกันและกันอย่างเหลือเชื่อ เมื่อคนหนึ่งออกคำสั่ง อีกคนก็พร้อมทำตามทันทีโดยไม่แม้แต่จะลังเลสักนิด

‘อยู่ให้ห่างจากสองคนนั้นเอาไว้นะลูกแก้ว สองคนนั้น...เชื่อใจไม่ได้ แล้วก็...อันตรายกว่าที่ลูกแก้วคิด’

เสียงของภัทรพลดังขึ้นในโสตประสาทอีกครั้ง ไอศิกาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่ภัทรของเธอจึงพูดเช่นนั้น หากในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เชื่อใจเจ้าหน้าที่จากอินเตอร์โพลไม่ได้แล้วจะให้เชื่อใจใครได้อีกเล่า อีกอย่างหากไม่ได้สองคนนั้นช่วยเอาไว้ เธอก็อาจ...ตายไปแล้ว...

ความคิดอันสับสนวุ่นวายของไอศิกาสะดุดลงทันทีที่ได้ยินเสียงดนตรีดังแว่วมาจากนอกหน้าต่าง หญิงสาวเลื่อนหนังสือออกจากใบหน้าแล้วผุดลุกขึ้นนั่ง ในตอนแรกเธอคิดว่าหูแว่วไปเอง แต่เมื่อยังคงได้ยินเสียงอยู่ จึงก้าวลงจากเตียงแล้วเดินตรงไปยังหน้าต่าง เสียงนั้นเบาผะแผ่ว ทว่าแว่วหวานจับใจ คล้าย...เสียงเครื่องดนตรีจำพวกเครื่องเป่า...เสียงแบบนี้...ฮาร์โมนิกาอย่างนั้นหรือ

มือเล็กเรียวเลื่อนเปิดบานหน้าต่างออกทีละนิด สายลมอุ่นๆ จากด้านนอกพัดวูบเข้ามาในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำ แสงสลัวรางจากถนนด้านนอกส่องให้เห็นเงาร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่ยืนพิงกำแพงอยู่ เขาจดริมฝีปากแนบกับเครื่องดนตรีทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ สีเงินวาววับในมือพลางบรรเลงเป็นเพลงคุ้นหู

...“The way you look at me” เพลงเก่าของนักร้องชาวฟิลิปปินส์ คริสเตียน เบาทิสตา...

 

No one ever saw me like you do

ไม่เคยมีใครมองฉันด้วยสายตาแบบเธอ

All the things that I could add up too

เป็นหนึ่งในหลายสิ่งที่เธอแสดงออกแล้วฉันเก็บประทับไว้ในหัวใจ

I never knew just what a smile was worth

ไม่เคยนึกเลยว่าเพียงรอยยิ้มเดียวจะมีค่ามากมายเพียงนี้

But your eyes say everything without a single word

แม้จะไม่เอ่ยคำใด แต่ดวงตาของเธอได้พูดแทนไปหมดแล้ว

 

'Cause there's somethin' in the way you look at me

มีบางสิ่งในสายตาของเธอยามมองฉัน

It's as if my heart knows you're the missing piece

คล้ายหัวใจฉันรับรู้ได้ว่าเธอคือเศษเสี้ยวที่หายไป

You make me believe that there's nothing in this world I can't be

เธอทำให้ฉันเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ฉันเป็นไม่ได้

I never know what you see

ฉันไม่เคยรู้ว่าเธอมองเห็นอะไร

But there's somethin' in the way you look at me

แต่มีบางอย่างในสายตาของเธอยามมองมาที่ฉัน

 

If I could freeze a moment in my mind

หากฉันหยุดช่วงเวลาในหัวใจไว้ได้

It'll be the second that you touch your lips to mine

คงเป็นวินาทีที่ริมฝีปากของเธอสัมผัสกับริมฝีปากของฉัน

I'd like to stop the clock, make time stands still

ฉันจะหยุดเข็มนาฬิกาและทำให้ห้วงเวลานั้นหยุดนิ่ง

'Cause, baby, this is just the way I always wanna feel

เพราะปรารถนาจะรักษาความรู้สึกนั้นไว้ตลอดไป

 

'Cause there's somethin' in the way you look at me

มีบางสิ่งในสายตาของเธอยามมองฉัน

It's as if my heart knows you're the missing piece

คล้ายหัวใจฉันรับรู้ได้ว่าเธอคือเศษเสี้ยวที่หายไป

You make me believe that there's nothing in this world I can't be

เธอทำให้ฉันเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เป็นไปไม่ได้สำหรับฉัน

I never know what you see

ฉันไม่เคยรู้ว่าเธอมองเห็นอะไรในตัวฉัน

But there's somethin' in the way you look at me

แต่มีบางอย่างในสายตาของเธอยามมองมา

 

I don't know how or why I feel different in your eyes

ฉันไม่รู้ว่าอย่างไรหรือทำไมถึงได้รู้สึกแปลกไปยามอยู่ในสายของเธอ

All I know is it happens every time

เท่าที่รู้คือความรู้สึกนี้เกิดขึ้นแทบทุกครั้งไป

 

'Cause there's somethin' in the way you look at me

มีบางสิ่งในสายตาของเธอยามมองฉัน

It's as if my heart knows you're the missing piece

คล้ายหัวใจฉันรับรู้ได้ว่าเธอคือเศษเสี้ยวที่หายไป

You make me believe that there's nothing in this world I can't be

เธอทำให้ฉันเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เป็นไปไม่ได้สำหรับฉัน

I never know what you see

ฉันไม่เคยรู้ว่าเธอมองเห็นอะไรในตัวฉัน

But there's somethin' in the way you look at me

แต่มีบางอย่างในสายตาของเธอยามมองมาที่ฉัน

The way you look at me

ในสายตายามเธอมองมา...ที่ฉัน

 

“อยากจะรีเควสต์เพลงเหรอครับคุณหนู”

น้ำเสียงยั่วเย้าของนักดนตรีทำเอาคนที่กำลังหลงเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงสะดุ้งโหยง แสงไฟสลัวส่องให้เห็นใบหน้าคมคายในเงามืดอย่างเลือนราง แต่ถึงไม่เห็น ก็พอเดาจากเสียงกวนประสาทได้ไม่ยากนักว่าเขาเป็นใคร...นายนะโม!

“ปละ...เปล่า...ฉันก็แค่อยากรู้ว่าเสียงอะไรที่...ที่มากวนใจตอนฉันท่องหนังสือต่างหากล่ะคะ”

แม้จะรู้ว่ากำลังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แต่ก็ยังดีกว่ายอมรับโต้งๆ ว่าเสียงฮาร์โมนิกาของเขาทำให้จิตใจของเธอสงบอย่างน่าประหลาดนั่นละน่า

“อ้าว กลายเป็นว่าผมรบกวนคุณเสียอย่างนั้น ผมนึกว่าจะช่วยให้ท่องหนังสือง่ายขึ้นเสียอีก” หย่งเต๋อฉีกยิ้มกว้าง “เวลาใกล้สอบปลายภาคทีไร น้องสาวผมจะเครียดมาก ชอบมาขอให้ผมเป่าฮาร์โมนิกาให้ฟังอยู่เรื่อย บอกว่าช่วยให้นอนหลับสบาย”

“คุณ...มีน้องสาวด้วยเหรอคะ”

หัวใจของไอศิกาเต้นรัวแรง นี่เขา...ตั้งใจมาเล่นฮาร์โมนิกาให้เธอฟังคลายเครียดอย่างนั้นหรือ

“มีอยู่หนึ่งคน” ภาพใบหน้าสวยจัดของหยูเยว่หรือจันทร์เจ้าผุดวาบขึ้นมาในหัวใจ แม่น้องสาวตัวแสบที่ชอบดุเขา จนบางครั้งเขาก็สงสัยว่าใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันแน่ “น้องสาวผมเรียนเก่งมากด้วยนะ ที่จริงก็เก่งไปทุกอย่างนั่นละ เทียบกันแล้ว...เก่งจนผมดูเป็นหมาขี้เรื้อนไปเลย”

“ฟังพูดเข้า” ไอศิกาเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “ดึกป่านนี้แล้ว คุณไม่หลับไม่นอนอีกเหรอคะ”

“ก็พวกผมมีหน้าที่ต้องผลัดเวรยามกันเฝ้าคุณนี่ครับ จะนอนได้ยังไงกันเล่า ต่อให้คุณนอนไปแล้ว ผมก็ต้องยืนอยู่โยงเฝ้ายามจนกว่าจะหมดกะอยู่ดี”

ชายหนุ่มพูดพลางยกฮาร์โมนิกาขึ้นแนบริมฝีปากแล้วเป่าออกมาอีกสองสามโน้ต

“ขอโทษที่ทำให้คุณกับทุกๆ คนต้องพลอยลำบากไปด้วยนะคะ”

ไอศิการู้สึกผิดนิดๆ ที่ตนเป็นสาเหตุให้ชายหนุ่มต้องมายืนตากยุงเช่นนี้

“ที่จริงก็ไม่ลำบากอะไรหรอก บ้านหลังนี้ติดกล้องวงจรปิดไว้แทบทุกมุม เราแค่เฝ้าอยู่หน้าจอมอนิเตอร์แล้วเดินตรวจตรารอบๆ ทุกๆ ชั่วโมงก็พอ แต่ผมเลือกที่จะมายืนตรงนี้เอง”

“เอ๊ะ...” เรียวคิ้วโก่งงามเลิกขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

“ผมเห็นไฟในห้องคุณยังเปิดอยู่ ก็เลย...อยากเป่าฮาร์โมนิกาให้ฟัง เผื่อว่าคุณจะโผล่หน้ามาคุยกับผมแก้เบื่อสักคำสองคำ แล้วคุณก็มาจริงๆ” หย่งเต๋อยิ้มหวานในขณะที่คนฟังเขินจนวางหน้าไม่ถูก “ว่ายังไงครับ อยากรีเควสต์เพลงอะไรเป็นพิเศษไหม”

“มะ...ไม่ ฉันไม่ได้อยากฟังเสียหน่อย ฉันบอกไปแล้วนี่ว่า ฉันแค่อยากรู้ว่าเสียงอะไรที่รบกวนฉันตอนท่องหนังสือเท่านั้นเอง”

หญิงสาวหลุบตาลงต่ำ มือเรียวเผลอกำขอบหน้าต่างแน่นอย่างลืมตัว

“ถ้ารบกวนคุณหนูขนาดนั้น ผมเลิกเล่นก็ได้”

หย่งเต๋อยักไหล่ ตั้งท่าจะเก็บฮาร์โมนิกาลงกระเป๋า

“จะเล่นก็เล่นไปสิ ฉันไม่ได้ว่าอะไรนี่”

ไอศิกาพูดไม่เต็มเสียงนัก ก่อนจะปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็วเพื่อซ่อนพวงแก้มแดงก่ำของตนเอง หย่งเต๋ออมยิ้มเมื่อเห็นช่องว่างเล็กๆ ที่เจ้าตัวแง้มไว้พอให้เสียงดนตรีลอดเข้าไปได้ ชายหนุ่มแนบริมฝีปากไปบนเครื่องดนตรีแล้วเริ่มบรรเลงเพลงเสนาะหูอีกครั้ง ดวงตาคมกริบหรี่ลงนิดๆ อย่างพึงใจ

...นอนหลับฝันดีนะหนูน้อย เพราะต่อจากนี้...เราคงมีเรื่องสนุกทำร่วมกันอีกเยอะเชียวละ...



 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น