ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวปล่อยชายรุ่ยร่ายออกมากองนอกกางเกงสแล็กส์สีดำเนื้อดีค่อยๆ เดินทอดน่องไปตามทางเดินในโรงพยาบาลอย่างสบายอารมณ์ บนท่อนแขนข้างซ้ายมีเสื้อสูทสีเดียวกับกางเกงพาดเอาไว้ลวกๆ บ่งบอกถึงนิสัยไร้ระเบียบและไม่ยึดถือกฎเกณฑ์ใดๆ ของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี เท้าหนาในรองเท้าหนังสีดำมันวับชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะเดินผ่านกระจกติดผนังบานโตที่อยู่ทางซ้ายมือ เขาหันกลับไปสำรวจตนเองครู่หนึ่งแล้วเสยเรือนผมดำขลับค่อนข้างยุ่งไม่เป็นทรงเหมือนเพิ่งตื่นนอนให้เข้าที่เข้าทางอย่างลวกๆ ริมฝีปากหยักลึกสีสดล้อมกรอบด้วยไรหนวดสีเขียวอ่อนจางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มขบขันเมื่อเห็นสภาพที่ดูมอมแมม ‘สมบทบาท’ อย่างที่อยากให้เป็น
“แกจะต้องไม่พลาดเด็ดขาด หวังหย่งเต๋อ...”
ชายหนุ่มพึมพำเสียงต่ำอยู่ในลำคอ นัยน์ตาคมกริบใต้ปีกคิ้วเข้มวูบไหวขณะมองเงาสะท้อนของผู้ชายในกระจกเบื้องหน้าซึ่งเขารู้สึกว่าไม่ใช่ตนเองในแบบที่เขารู้จักเอาเสียเลย จริงอยู่ว่าใบหน้าขาวจัดที่เคยอิ่มเต็มยังคงโดดเด่นชวนมองด้วยเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบเช่นเคย ทั้งจมูกโด่งคมเป็นสันตรงรับกับโหนกแก้มและแนวกรามได้รูปราวสลักเสลาซึ่งได้รับมาจากบิดา ประกอบกับเรียวปากหยักโค้งสีแดงปลั่งสวยเกินชายถอดแบบมาจากมารดา ทว่าแววตาของเทพบุตรหน้าหวานที่มองตอบกลับมานั้นกลับวาววับไปด้วยเปลวเพลิงสีนิลอย่างที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันสถิตอยู่ในกายตั้งแต่เมื่อใด เขารู้แต่เพียงว่า...เปลวไฟนี้จะไม่มีวันดับหากไม่ได้ชำระแค้นให้สาสม!
“พี่มาช้าไปครึ่งชั่วโมง”
เสียงห้าวต่ำดังขึ้นเรียบๆ พร้อมกับร่างที่สูงเทียมกันก้าวเข้ามาประชิดทางด้านหลัง หย่งเต๋อหันหน้ากลับมาหาเจ้าของเสียงแล้วตีหน้าซื่อ
“โทษทีอากุ้ย ฉันย้อมผมนานไปหน่อย” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือมาติดกระดุมคอเสื้อให้อย่างคุ้นชิน
“ใบป่าน” เฉินกุ้ยเน้นเสียงหนัก นัยน์ตายาวเรียวชั้นเดียวนิ่งสนิทพอๆ กับใบหน้าที่เรียบเฉยจนดูติดจะเย็นชาอยู่สักหน่อย เรียวคิ้วเข้มพาดเฉียงขมวดเข้าหากันนิดๆ อย่างที่เจ้าตัวชอบทำเป็นประจำ “ตอนนี้ผมชื่อใบป่าน เรียกเอาไว้ให้ชินด้วย จะได้ไม่หลุดต่อหน้าคนอื่น”
“รู้แล้วน่า”
หย่งเต๋อยิ้มขัน ขณะไล่สายตามองซี้รุ่นน้องที่แต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ผมเส้นเล็กที่ตัดสั้นเรียบร้อยนั้นเซตจนเรียบกริบพอๆ กับเสื้อเชิ้ตและชุดสูทสีดำเนื้อดีที่เจ้าตัวสวมใส่อยู่ เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าไอ้หนุ่มน้อยช่างจ้อเมื่อเจ็ดปีก่อนจะกลายเป็นผู้ชายมาดขรึมที่พูดน้อยต่อยหนักแถมเจ้าระเบียบแบบนี้ไปได้ ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าความสูญเสีย ‘ในครั้งนั้น’ จะทิ้งรอยแผลบาดลึกเอาไว้ในหัวใจของเฉินกุ้ยถึงเพียงนี้ บาดแผล...ที่ลบเลือนทั้งรอยยิ้มและความอ่อนโยนไปจากใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มน้อยวัยสิบแปดปีจนเหลือเพียงความหม่นเศร้าและเงียบขรึมเกินวัย หย่งเต๋อเคยคิดว่าความเจ็บปวดที่เฉินกุ้ยเผชิญคงจะค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลาที่ผันผ่าน แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งนานวันแม่พิมพ์แห่งความทุกข์ที่เกาะกินลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณได้หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนในแบบที่เป็นอยู่นี้...เลือดเย็นและสูญสิ้นศรัทธาในความรักไปโดยปริยาย
“ไม่ได้เห็นพี่ย้อมผมดำมานานแล้ว ดูดีเหมือนกันนี่”
เฉินกุ้ยดึงเนกไทสีเงินที่หย่งเต๋อขยุ้มเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมาสะบัดแล้วตวัดพันรอบคอของอีกฝ่ายก่อนจะขยับปลายนิ้วเรียวยาวผูกอย่างคล่องแคล่ว เท่าที่จำได้...หวังหย่งเต๋อที่เขารู้จักมักจะเปลี่ยนทรงผมและสีสันของมันอยู่ตลอดเวลาจนเขาแทบจำไม่ได้ เผลอๆ เกิดนึกเบื่อขึ้นมาพ่อคุณก็ลุกขึ้นมาโกนศีรษะเอาดื้อๆ แถมยังดูดีเหลือเชื่อเพราะมีทรงศีรษะทุยสวยได้รูป ที่น่าหมั่นไส้คือหย่งเต๋อรู้ตัวว่ารูปโฉมของตนชวนมองเพียงใดและไม่เคยรอช้าที่จะอวดอ้างสรรพคุณข้อนี้เสียด้วย
“ฉันดูดีตลอดอยู่แล้วโว้ย” หย่งเต๋อยักไหล่ ปล่อยให้เฉินกุ้ยรูดเนกไทให้เข้าที่ “แล้ว...ไอ้แก่นั่นมันฟื้นหรือยัง หรือว่าม่องเท่งลงนรกไปแล้ว”
“ยังไม่ตาย ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว นอนอยู่ในห้องไอซียู ได้ยินว่าถ้าคืนนี้ไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไรพรุ่งนี้คงจะย้ายขึ้นไปห้องพิเศษบนชั้นสิบสี่” เฉินกุ้ยนิ่งไปชั่วอึดใจ นัยน์ตาเล็กเรียวจ้องใบหน้าคมคายที่ดูอิดโรยจากการอดนอนเบื้องหน้านิ่งราวกับจะค้นหาคำตอบ “พี่แน่ใจนะว่าอยากทำแบบนี้จริงๆ”
“แน่ยิ่งกว่าแน่” เปลวเพลิงหลังแววตาสีนิลลุกวาบขึ้นอย่างน่าสะพรึง “แกคิดว่าฉันจะปล่อยให้คนที่ทำให้แม่ฉันต้องนอนเจ็บหนักลอยนวลไปได้ง่ายๆ หรือไง”
หย่งเต๋อยิ้มหวานราวกับไม่มีความโกรธเคืองใดๆ สถิตอยู่ในหัวใจ ทั้งที่แทบจะสำรอกความแค้นที่ทะลักทะล้นจนแน่นอกออกมาอยู่แล้วแท้ๆ ภาพของฟ้าใสผู้เป็นมารดาซึ่งนอนไร้สติอยู่ในห้องไอซียูโดยมีเครื่องช่วยหายใจและสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยางอยู่รอบด้านยังคงตามมาหลอกหลอนจนไม่อาจข่มตานอนหลับได้มาเกือบอาทิตย์
“อย่าเพิ่งด่วนสรุป เรายังไม่มีหลักฐานเลยนะพี่ว่าไอ้แก่ภามอยู่เบื้องหลังการลอบวางระเบิดเมื่ออาทิตย์ก่อนจริงๆ หรือเปล่า” เสียงห้าวต่ำของเฉินกุ้ยเบาลงนิดหนึ่งเมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญอยู่ เขาเองก็โกรธแค้นไม่น้อยที่ต้องเห็นฟ้าใสที่ตนรักดุจมารดาแท้ๆ ต้องมารับเคราะห์ในความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ทรงอิทธิพลในเมืองไทยกับแก๊งฮวงหลงเช่นนี้ แต่การด่วนตัดสินใจลงมือแก้แค้นโดยใช้อารมณ์นำหน้าสมองเช่นนั้นอาจนำมาซึ่งความเสียหายใหญ่หลวงได้ และเขาจะไม่มีวันยอมพลาดพลั้งจนต้องเป็นฝ่ายสูญเสียอีกเป็นอันขาด “อีกอย่างสภาพของไอ้ภามตอนนี้ก็ดูไม่จืดนักหรอก ถูกยิงเจาะกะโหลกแบบนั้นถ้าไม่พิการก็เลี้ยงไม่โต รอดมาได้ก็ถือว่าปาฏิหาริย์มากแล้ว”
เมื่อวานนี้ข่าวการถูกลอบสังหารของ ภาม พิมพ์สุริยา อดีตเจ้าพ่อคนดังของภาคกลางนั้นเป็นข่าวครึกโครมระดับประเทศที่ผู้คนต่างก็ให้ความสนใจ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเขาเคยพัวพันกับคดีค้ายาเสพติดในแถบสามเหลี่ยมทองคำที่มีคนใหญ่คนโตในแวดวงการเมืองรวมไปถึงคนมีสีทั้งหลายร่วมมีเอี่ยวด้วย ทางตำรวจเชื่อว่าปมการลอบสังหารนั้นเกิดจากความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกับกลุ่มผู้ทรงอิทธิพลหลายกลุ่มที่เจ้าตัวตั้งป้อมเป็นศัตรูด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แก๊งฮวงหลง มาเฟียข้ามชาติที่ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจและมักจะปะทะกันอยู่เนืองๆ มีข่าวลือด้วยว่าเหตุระเบิดที่ห้างโกลเด้นมอลล์ ธุรกิจหน้าฉากของแก๊งฮวงหลงเมื่ออาทิตย์ก่อนจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมากเป็นฝีมือของเจ้าพ่อคนดังคนนี้ ตำรวจจึงคาดเดาว่านี่อาจจะเป็นหนึ่งในประเด็นที่ทำให้เขาถูกลอบยิงจนอาการสาหัสด้วยก็เป็นได้
“ไอ้คนยิงมันไม่มีฝีมือ ถ้าเป็นฉันละก็ มันได้สมองไหลตายโหงไปตั้งแต่เมื่อวาน ไม่อยู่รอดนอนเป็นผักแบบนี้หรอก” หย่งเต๋อเหยียดปากออกเป็นรอยยิ้มหยัน “แกอยากจะหาหลักฐานปัญญาอ่อนอะไรก็หาไปเถอะอากุ้ย แต่สำหรับฉัน การที่ไอ้ภามตั้งตัวเป็นศัตรูกับฮวงหลงอย่างออกนอกหน้ามาตลอดก็ถือว่ามีเหตุผลเพียงพอที่ฉันจะเป่ากบาลมันแล้ว และฉันจะไม่ยอมให้แกมาขวางฉันเป็นอันขาด!”
“ก็เพราะพี่ใจร้อนแบบนี้นี่ละ บอสกับพ่อถึงต้องคอยกำชับให้ผมคอยดูพี่ให้ดี เดือนก่อนพี่ก็ก่อเรื่องยุ่งไปครั้งหนึ่งแล้ว กว่าจะเคลียร์ได้บอสแทบจะหักคอพี่ตาย พี่จำไม่ได้หรือไง”
เฉินกุ้ยถอนใจเมื่อนึกถึงสีหน้าถมึงทึงของแดเนียล หรือ หวังเสี้ยวเทียน ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแก๊งฮวงหลง แต่จะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ยังปราบพยศลูกชายคนโตไม่อยู่ แม้แท้ที่จริงแล้วสองพ่อลูกจะรักกันสุดหัวใจชนิดยอมตายแทนกันได้ แต่ด้วยเป็นคนที่มีทิฐิแรงกล้าไม่เคยยอมลงให้ใครทั้งคู่จึงทำให้มีปากเสียงและทุ่มเถียงกันอยู่บ่อยครั้งจนดูเหมือนไม่ค่อยลงรอยกันเท่าใดนัก
“แกนี่...ขี้บ่นเหมือนพ่อไม่มีผิด”
หย่งเต๋อขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดใจ เขาไม่ชอบที่บิดามักจะคอยกำกับชีวิตทุกย่างก้าวราวกับเขาเป็นเด็กอมมืออยู่เสมอประหนึ่งว่าไม่เคยไว้ใจเขาเลย เขารู้ดี...ว่าบิดาตั้งมาตรฐานของการเป็นผู้สืบทอดแก๊งฮวงหลงเอาไว้สูงลิ่วเพียงใด และเขา...ก็ยังไม่เคยดีพอในสายตาของคนเป็นพ่อเสียที...
“พี่ก็เลิกทำตัวไร้สาระเสียทีสิ ผมจะได้เลิกบ่น”
เฉินกุ้ยจัดปกเสื้อของคนที่ใครๆ เรียกกันว่าคุณชายน้อยแห่งตระกูลหวังให้เข้าที่เป็นการจบพิธีแต่งตัวที่เขามักทำให้อยู่เสมอตั้งแต่สมัยไปเรียนอยู่ที่อังกฤษด้วยกัน จนมักถูกเพื่อนฝูงล้อเลียนสนุกปากว่าเหมือนคู่เกย์ที่อยู่กินกันมานาน และที่ร้ายที่สุดก็คือ นอกจากคุณชายน้อยจะไม่ปฏิเสธแล้ว ยังแกล้งรับลูกหน้าตาเฉย ทำเอาสาวๆ หลายต่อหลายรายเข้าใจผิดไปว่าเฉินกุ้ยมีรสนิยมเบี่ยงเบนไปเสียนี่ แถมพอเขาหันมาควงสาวสวยไม่ซ้ำหน้าเอาอย่างลูกพี่ใหญ่บ้าง ก็หาว่าเขาแสร้งทำเป็นชอบเพศตรงข้ามเพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริงบ้างละ เป็นไบเซ็กชวลบ้างละ สุดท้ายเฉินกุ้ยจึงเลิกใส่ใจเสียงลอยลมไร้สาระพวกนั้นโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่เพราะชินชา หากเพราะเขารู้ดีว่าตนเองไม่ได้เป็นดังที่ใครๆ กล่าวหา ผู้หญิงหน้าไหนจะเข้าใจผิดคิดว่าเขานิยมชมชอบไม้ป่าเดียวกันก็ช่าง ในเมื่อทุกตารางนิ้วของหัวใจเขาอุทิศให้นางฟ้าผู้แสนอ่อนหวานมาเนิ่นนานกว่าสิบปีแล้ว แม้ว่าเธอจะไม่เคยเห็นค่าของมันเลยก็ตาม
“งานของเราในครั้งนี้คือแฝงตัวเข้ามาสืบหาความจริงว่าภามอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดหรือเปล่า แล้วคอยรายงานความเคลื่อนไหวให้บอสรู้เป็นระยะๆ ไม่ใช่เด็ดหัวพวกมัน ฉะนั้นพี่ห้ามลงมือโดยพลการเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นผมจะซวยไปด้วย”
คุณชายน้อยยักไหล่อย่างไม่ยี่หระต่อคำประกาศที่บ่งชัดว่าถ้าเขาจัดการงานนอกสั่งละก็คงต้องรับโทษสถานหนักจากท่านหัวหน้าแก๊งฮวงหลงผู้ยิ่งใหญ่เป็นแน่ คำถามก็คือ...เขาต้องสนใจด้วยหรือว่าจะถูกลงโทษขั้นรุนแรงเพียงใด ในเมื่อคิดจะเอาชีวิตของตนมาทิ้งในถิ่นศัตรูเพื่อล้างแค้นให้มารดาอยู่แล้ว เขาแอบได้ยินแดเนียลคุยกับแพทย์เจ้าของไข้ของนายหญิงแห่งฮวงหลงเมื่อสองสามวันก่อนว่าแม้อาการโดยรวมจะดีขึ้นมากแล้ว แต่การทำงานของสมองยังไม่ค่อยเป็นปกติเท่าใดนักและอาจจะนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใดก็ไม่อาจทราบได้ อาจจะอีกหนึ่งสัปดาห์ สองเดือน สามปีหรือตลอดไปก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น
และนั่น...หมายความว่าหย่งเต๋ออาจจะไม่ได้เห็นดวงตาที่ทอดมองมายังเขาอย่างอ่อนโยน ไม่ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนหวานที่เติมเต็มหัวใจอันอ่อนล้าให้ชุ่มฉ่ำ
และ...อาจจะไม่มีมือเล็กบางที่คอยลูบศีรษะของเขาทุกครั้งที่ทิ้งตัวลงนอนหนุนตักแสนนุ่มนั่นอีกแล้ว คิดได้เท่านั้นความหวาดกลัวระคนเคืองแค้นก็แล่นปราดเข้าจับหัวใจและผลักดันให้เขามายืนอยู่ ณ จุดนี้...
จุดที่เขารู้ดีว่าจะไม่มีวันหันหลังกลับจนกว่าจะได้ชำระแค้นให้สาสม!
หย่งเต๋อรู้ดีว่าแดเนียลเองก็คงเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าเขา แต่ด้วยภาระรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่มีต่อแก๊งฮวงหลงค้ำคออยู่ ทำให้ไม่สามารถพุ่งเข้าไปหักคอไอ้คนที่คาดว่าเป็นตัวการได้ดังใจคิด อีกทั้งยังมีอินเตอร์โพล องค์กรปราบปรามอาชญากรรมระดับโลกคอยจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าฮวงหลงจะอาละวาดจนเกินขอบเขตที่เคยตกลงกันไว้หรือไม่ บ่อยครั้งที่แก๊งฮวงหลงหรือแก๊งมังกรทองต้องทนฝืนกล้ำกลืนรับหน้าที่ตำรวจในคราบโจรออกปะทะกับแก๊งอิทธิพลต่างๆ ตามคำสั่งของอินเตอร์โพลเพื่อแลกกับการลบล้างความผิดร้ายแรงหลายกรณีที่เคยก่อไว้ในสมัยที่หวังเฟย ผู้เป็นบิดาของแดเนียลยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าแก๊งอยู่ แน่นอนว่าฮวงหลงยังคงอิทธิพลและความยิ่งใหญ่แทบทุกประการภายใต้การสนับสนุนของอินเตอร์โพลที่มักจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับธุรกิจในด้านมืดของแก๊งอยู่เสมอ แต่ก็ถือว่าเป็นความยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมปลอกคอและโซ่ล่ามแน่นหนาเพื่อใช้ควบคุมอยู่เบื้องหลังไม่ต่างอะไรกับ...สุนัขรับใช้!
เฉินกุ้ยเดินนำหน้าหย่งเต๋อไปยังชั้นสามที่มีการคุ้มกันค่อนข้างเข้มงวด ลูกมังกรหนุ่มเหลือบตามองไปรอบด้านแล้วรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบนับสิบนายยืนประจำอยู่ตามจุดต่างๆ ไล่มาตั้งแต่ทางเดิน ด้านหน้าลิฟต์ และเคาน์เตอร์ของแพทย์และพยาบาลไปจนถึงห้องรับรองสำหรับญาติที่มาเฝ้าอาการคนไข้ แต่กลับไม่มีวี่แววของเพื่อนฝูงร่วมวงการเดียวกันกับเจ้าพ่อคนดังเลยแม้แต่คนเดียว กระทั่งเหล่าลูกน้องที่น่าจะมาห้อมล้อมหน้าหลังคอยเฝ้าเจ้านายก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา
แปลก...
“สวัสดีครับ พวกเรามาจากหน่วยพิเศษของอินเตอร์โพล เมอสิเออร์ฌอง-ปอล กุสโต บอกให้มาพบคุณภัทรพลก่อนเริ่มงาน”
เฉินกุ้ยเอ่ยทักทายกลุ่มชายในชุดสูทกลุ่มใหญ่ที่นั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องรับรองข้างๆ ห้องไอซียู ชายหนุ่มหน้าตาหล่อคมที่นั่งอยู่กลางวงสนทนารีบขยับตัวลุกขึ้นยืน เขาดูจะสูงพอๆ กับหย่งเต๋อที่มีความสูงเกือบๆ ๑๙๐ เซนติเมตร และมีผิวสีแทนสวยชนิดที่ฝรั่งผิวขาวซีดแถบยุโรปต้องเหลียวมองด้วยความอิจฉา ดวงตาหวานฉ่ำที่อยู่ใต้เรียวคิ้วคมเข้มนั้นดูทรงเสน่ห์เหลือร้าย ยิ่งเข้าคู่กับจมูกโด่งที่ปลายงุ้มนิดๆ และเรียวปากหยักโค้งสีเข้มดุจคันศรด้วยแล้ว ผู้ชายคนนี้เรียกได้ว่ารูปหล่อราวกับเพิ่งหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นทีเดียว แม้ผมเผ้าจะยุ่งเหยิงและสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงสแล็กส์สีดำยับๆ ก็ยังดูดีเหลือเชื่อ
“ผมเอง...ภัทรพล...” เสียงห้าวที่ติดจะแหบนิดๆ จากความเหนื่อยล้าและการอดนอนแทบจะกลืนหายลงไปในลำคอทันทีที่เขากวาดตามองใบหน้าของชายหนุ่มที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ เฉินกุ้ย ภัทรพลเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง “มะ...ไม่จริง...ปะ...เปี้ยนเหลี่ยนหวัง...”
หย่งเต๋อยิ้มหวานรับฉายาที่คุ้นหูตนเองเป็นอย่างดีมาตลอดช่วงห้าปีที่ผ่านมานี้ ฉายาที่...น้อยคนนักที่เอ่ยมันต่อหน้าเขาแล้วจะมีโอกาสเดินจากไปแบบมีลมหายใจ!
“ขอตัวเดี๋ยวนะ”
ภัทรพลหันไปบอกกลุ่มชายฉกรรจ์ที่หย่งเต๋อและเฉินกุ้ยมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบที่ถูกส่งมาอารักขาภาม แล้วส่งสายตาให้สองหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่เดินตามออกมาด้านนอก เมื่อเดินมาจนถึงมุมตึกทางด้านหน้าห้องน้ำซึ่งค่อนข้างลับตาคนแล้วจึงหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนอีกครั้ง นัยน์ตาจับจ้องไปยังใบหน้าขาวจัดที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มหวานนั้นเต้นระริกอย่างหวาดหวั่น ใครบ้าง...จะไม่รู้สึกเช่นเดียวกับเขาหากได้เห็นมัจจุราชมายืนฉีกยิ้มอยู่เบื้องหน้าเช่นนี้!
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน...” ภัทรพลกดเสียงลงต่ำพอให้ได้ยินกันสามคน “อินเตอร์โพลบอกว่าจะส่งเจ้าหน้าที่มาช่วยอารักขาคุณภาม พิมพ์สุริยา กับลูกสาว แล้วทำไมถึงเป็นพวกแกไปได้ ในเมื่อแก๊งฮวงหลง...”
“กำลังมีเรื่องกับไอ้แก่นั่นอยู่ใช่ไหมล่ะ” หย่งเต๋อต่อประโยคให้เสร็จสรรพ “ไม่เจอกันนาน ยังชอบทำหน้าเครียดเหมือนเดิมไม่มีผิดเลยนะ รู้ไหมทำหน้าย่นแบบนี้น่ะแก่เร็วนะพี่”
ไม่พูดเปล่า ลูกมังกรหนุ่มยังจิ้มปลายนิ้วไปที่กึ่งกลางระหว่างเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นของภัทรพลอย่างยั่วเย้า หากอีกฝ่ายรีบปัดมือของเขาทิ้งราวเป็นของร้อน ดวงตาทอประกายกร้าวขึ้นมาในทันที
“นี่ไม่ใช่เวลามาล้อเล่นกันนะ พวกแกกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่นะโม”
“แหม น้อยใจจัง รู้จักกันมาตั้งนานไม่น่ามองกันในแง่ร้ายแบบนี้เลย ผมแค่มาทำหน้าที่ตามที่อินเตอร์โพลมอบหมายให้ ประสาสุนัขรับใช้ที่ดีก็เท่านั้นเอง”
“แล้วแกมีแง่อื่นให้ฉันมองด้วยหรือไง” ภัทรพลขบกรามแน่น รอยยิ้มหวานปานเทพบุตรของคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทำให้เขารู้สึกร้อนรนยิ่งนัก ใช่...เขารู้จักหวังหย่งเต๋อมานาน...นานพอที่จะรู้ดีว่าคนที่ยืนยิ้มหวานปานเทพบุตรจากสวรรค์คนนี้ แท้ที่จริงแล้วคือปิศาจบ้าเลือดจากนรกอเวจีดีๆ นี่เอง
ครั้งแรกที่พบหน้ากันที่อังกฤษสมัยที่ภัทรพลกำลังเรียนปริญญาโทด้านรัฐศาสตร์อยู่นั้น เขารู้เพียงว่าหนุ่มน้อยรูปงามที่อาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์หรูข้างหอพักของเขาชื่อ ‘นะโม ทิพยศาสตร์’ เป็นนักศึกษาของออกซ์ฟอร์ดที่มีผลการเรียนค่อนข้างโดดเด่นขัดกับพฤติกรรมเสเพลอย่างเหลือเชื่อ แม้ติดจะห่ามๆ และชอบกบฏต่อระเบียบกฎเกณฑ์อยู่บ้าง แต่นิสัยดีและถือว่าเป็นคนน่าคบหาคนหนึ่ง ชายหนุ่มสนิทสนมกับเพื่อนบ้านหน้าหยกอยู่เป็นแรมปีกว่าจะรู้ซึ้งถึงตัวตนอันน่าสะพรึงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนุ่มนวลและแววตาขี้เล่นคู่นั้น ใครจะไปคาดคิด...ว่าคนที่ดูเหมือนคุณชายผู้อ่อนต่อโลกอย่างนายนะโมจะยิงแสกหน้าคนได้อย่างไม่สะทกสะท้านสักนิด หากไม่เห็นกับตาภัทรพลคงไม่มีวันเชื่อเป็นแน่ว่าผู้ชายเบื้องหน้าจะสามารถฆ่าคนได้ทั้งรอยยิ้มแบบนั้น...
“ฉันขอร้องละนะโม ไม่ว่าแกคิดที่จะทำอะไรก็ตาม ฉันอยากให้ล้มเลิกเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถือว่า...เห็นแก่มิตรภาพในอดีตของเราก็ได้”
“มิตรภาพในอดีตของเราอย่างนั้นหรือ ฟังสวยหรูสมกับเป็นลูกชายของอดีตอธิบดีกรมตำรวจจริงจริ๊ง”
รอยยิ้มหยันที่ผุดพรายขึ้นบนริมฝีปากคู่สวยทำเอาภัทรพลหน้าชาวาบด้วยความละอาย...เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระหว่างเขากับผู้ชายตรงหน้านี้จะยังหลงเหลือมิตรภาพที่ว่านั่นต่อกันอีกหรือไม่ ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายเลือกที่จะตีตัวออกหากจากเพื่อนรุ่นน้องหลังจากรู้ว่าเขาเป็นทายาทของแก๊งฮวงหลง กลุ่มอิทธิพลมืดที่ทรงอำนาจที่สุดในแถบเอเชีย เขาเอง...ก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ต้องทำตัวเหินห่างกับเพื่อนซี้ที่เข้ากันได้แทบจะทุกเรื่อง แต่ในขณะนั้น ภัทรชัย บิดาของเขาเพิ่งรับตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจหมาดๆ และกำลังเป็นที่จับตามองของคนทั้งประเทศ คงไม่ดีนักที่ลูกชายเพียงคนเดียวอย่างเขาจะพัวพันกับแก๊งอิทธิพลซึ่งอยู่บนถนนสายที่เป็นเส้นขนานกับบิดาของตนเอง
“คุณเป็นแค่ลิเอซอง๑ของหน่วยอินเตอร์โพลที่ไทย หน้าที่ของคุณคือประสานงานและอำนวยความสะดวกในภารกิจของเรา คุณไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น ผมเชื่อว่าสำนักงานใหญ่ที่ฝรั่งเศสน่าจะแจ้งให้คุณทราบแล้วไม่ใช่หรือครับคุณภัทรพล”
เฉินกุ้ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบหลังจากยืนเงียบอยู่นาน ร่างสูงก้าวออกมายืนขวางกลางระหว่างลูกมังกรหนุ่มกับอดีตคนคุ้นเคย นัยน์ตายาวเรียวชั้นเดียวจับจ้องไปที่วงหน้าคมคายของอีกฝ่ายอย่างเย็นชาผิดจากหนุ่มน้อยที่เขาเคยรู้จักในอดีต เด็กหนุ่มคนนั้น...เงียบขรึมก็จริง หากแววตายังพอฉายชัดถึงความเป็นมนุษย์ที่มีหัวจิตหัวใจอยู่บ้าง ไม่ใช่...กร้าวกระด้างและชืดชาราวไร้วิญญาณเช่นนี้...
“พี่หย่งเต๋อ ผมว่าเราแจ้งไปทางคุณฌอง-ปอลขอเปลี่ยนตัวผู้ประสานงานดีกว่า เพราะดูแล้วท่าทางจะไว้ใจไม่ได้ คงต้องเร่งตรวจสอบด้วยว่ารับสินบนมาหรือเปล่าถึงได้ห่วงไอ้ภามจนออกนอกหน้าขนาดนี้”
“คนอย่างฉันไม่เคยขายศักดิ์ศรีแลกเงิน!” ภัทรพลคำรามเสียงต่ำอยู่ในลำคอ เขาพยายามข่มอารมณ์โกรธเกรี้ยวที่เริ่มพลุ่งพล่านกลับลงไปในอกอย่างยากเย็น ลิเอซองมือทองของหน่วยอินเตอร์โพลประจำประเทศไทยผู้แสนเยือกเย็นลอบผ่อนลมหายใจยาวขณะสงบสติอารมณ์ หากไม่เพราะภารกิจในครั้งนี้ ‘สำคัญ’ สำหรับเขามาก เขาคงขอถอนตัวไปตั้งแต่เห็นหน้าไอ้สองคนนี่แล้ว “ฉันยอมรับว่ารู้จักกับ ภาม พิมพ์สุริยา และเป็นห่วงเรื่องคดีของเขามาก แต่ไม่เคยมีเรื่องของสินบนสกปรกมาเกี่ยวข้องทั้งนั้น ที่จริงฉันก็ไม่อยากจะเข้ามาขวางกลางเรื่องบาดหมางครั้งนี้หรอกนะ แต่ฉันมีเหตุผลส่วนตัวที่ต้อง...”
ประโยคที่เหลือกลืนหายลงไปในลำคอทันทีที่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สวมเครื่องแบบเต็มยศกำลังเดินตรงมาหาเขาด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนไม่ต่างจากเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่ต้องอยู่เฝ้าหน้าห้องไอซียูกันมาทั้งคืนและกำลังรอเจ้าหน้าที่ผลัดต่อไปมาเปลี่ยนเวร
“คุณภัทรพลครับ คุณลูกแก้วอยากจะกลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว แต่ผมเห็นว่ามันยังไม่ปลอดภัยนักก็เลยขอมาปรึกษาคุณที่เป็นตัวแทนของอินเตอร์โพลก่อนว่าสมควรจะอนุญาตไหม”
“ผมว่าอย่าเพิ่งให้กลับไปที่บ้านจะดีกว่า มันอันตราย เดี๋ยวผมจะไปอธิบายให้น้องลูกแก้วฟังเอง” ภัทรพลระบายลมหายใจยาว สองขาที่ขยับก้าวเดินหนักอึ้งด้วยน้ำหนักของความกังวลระคนหวาดกลัวที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจ ชายหนุ่มรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินนำหน้าไปจนอยู่ในระยะที่ไกลเกินกว่าจะได้ยินบทสนทนา แล้วเอื้อมมือไปแตะท่อนแขนของอดีตเพื่อนรุ่นน้องด้วยกิริยาที่คล้ายจะวิงวอนอยู่ในที “ฉันขอร้องละนะ นะโม อย่าเพิ่งลงมืออะไรจนกว่าจะได้หลักฐานแน่ชัดเสียก่อน ถ้าถึงตอนนั้นแล้วมีหลักฐานว่า ภาม พิมพ์สุริยา มีส่วนในเรื่องการวางระเบิดที่ห้างโกลเด้นมอลล์จริงๆ ไม่ว่าแกจะทำอะไรฉันก็จะไม่ห้ามเลย”
“แหม...ท่าทาง ‘เหตุผลส่วนตัว’ ของพี่คงจะสวยไม่หยอก พี่ถึงลงทุนขอร้องผมถึงขนาดนี้”
หย่งเต๋อแบะปาก พอจะเดาถึงเหตุผลส่วนตัวที่ภัทรพลต้องยื่นมือเข้ามายุ่งได้ไม่ยาก เท่าที่รู้...ภามมีลูกสาวอยู่หนึ่งคนชื่อ ไอศิกา พิมพ์สุริยา เขาไม่เคยเห็นหรอกว่าแม่นั่นรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เดาจากท่าทางร้อนรนกระวนกระวายของเพื่อนรุ่นพี่แล้ว คงจะเป็นสาวสวยที่เจนจัดน่าดูชมถึงได้ปั่นหัวให้หนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่มีแต่ผู้หญิงพร่ำเพ้อหาอย่างภัทรพลยอมกลืนน้ำลายตนเอง เอาตัวเข้าไปพัวพันกับลูกสาวของผู้มีอิทธิพลทั้งๆ ที่เคยประกาศก้องว่าจะไม่คบค้าสมาคมกับคนประเภทนี้เป็นอันขาด
ร้ายไม่ใช่เล่นนะแม่คุณ...
“ลูกแก้วเป็นคนสำคัญของฉัน” ภัทรพลจ้องใบหน้าคมคายของหย่งเต๋อเขม็ง “เขาเป็นเด็กดี แล้วก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับความบาดหมางของพวกแกด้วย อย่าดึงเขาเข้าไปเกี่ยวเป็นอันขาด แต่ถ้าแกคิดจะทำร้ายเขาก็ขอให้รู้ไว้เลยว่าฉันจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่!”
“อู๊ย...น่ากลัวจัง” ทายาทแก๊งฮวงหลงแสร้งสูดปากแล้วห่อไหล่ ทำตัวสั่น “ผมไม่แตะคนสำคัญของพี่หรอก ถ้าไม่มาแตะผมก่อน ไอ้ผมมันเป็นคนใจบุญเสียด้วย สาวไหนเสนอผมต้องสนอง ทำให้สาวๆ ผิดหวังมันบาป”
“นะโม!”
ลิเอซองหนุ่มหน้าเครียดขึ้นมาทันตา เขารู้ดีว่าพ่อเทพบุตรจำแลงเบื้องหน้าเป็นนักรักตัวฉกาจผิดกับหน้าตาท่าทางใสซื่อมากมายนัก ผู้หญิงคนไหนอยู่ใกล้เป็นได้ตกบ่วงลวงรักของเขาทุกรายไป ก่อนจะต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าเมื่อถูกเขาสลัดทิ้งอย่างไม่ไยดีเพื่อไปหาของเล่นชิ้นใหม่ที่น่าสนใจกว่า นอกจากจะเป็นผู้ชายอันตรายที่ติดแบล็กลิสต์อันดับต้นๆ ในรายชื่อของอาชญากรรุ่นใหม่แล้ว เขายังเป็นคาสโนว่าตัวพ่อและเป็นผู้ชายคนสุดท้ายในโลกที่ภัทรพลจะปล่อยให้มีโอกาสใกล้ชิดกับไอศิกาอีกด้วย
“สบายใจเถอะ ผมจะไม่แตะต้องลูกศัตรูเด็ดขาด ต่อให้มาแก้ผ้าตรงหน้าผมก็ไม่สน!”
“ลูกแก้ว”
ภัทรพลทอดเสียงเรียกเจ้าของร่างบางที่นั่งรอเขาอยู่ในห้องรับรองอย่างอ่อนโยนเสียจนหย่งเต๋อที่เดินตามหลังมาต้องลอบเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้
หลายปีที่เคยคบหาสนิทสนมกันฉันมิตรกับหนุ่มรุ่นพี่มา ไม่เคยได้ยินเขาทำเสียงอ่อนเสียงหวานเช่นนี้กับผู้หญิงคนใดมาก่อน ถึงจะมีรูปร่างหน้าตาชวนฝันสำหรับสาวๆ แต่ภัทรพลกลับไม่เคยสนใจเรื่องเพศตรงข้ามเท่าใดนัก วันๆ เอาแต่มุ่งมั่นเรื่องการศึกษาเล่าเรียนจนเขาเคยกระเซ้าเอาด้วยซ้ำว่าจะถือพรหมจรรย์เป็นฤๅษีชีไพรหรืออย่างไรถึงได้ไม่เคยชายตาแลสาวสวยรอบกายสักนิด ส่วนตัวเขาน่ะหรือ ไอ้พรหมจรรย์ที่ว่าน่ะทิ้งไปตั้งแต่ริควงสาวรุ่นพี่ครั้งแรกเมื่ออายุสิบห้าโน่นแล้ว
“พี่ภัทรคะ ลูกแก้วอยากกลับบ้าน”
เสียงหวานที่ติดจะอ่อนระโหยโรยแรงอยู่นิดๆ ดังแว่วมาจากร่างน้อยที่ค่อยๆ ขยับกายขึ้นยืน หย่งเต๋อมองข้ามไหล่กว้างของภัทรพลไปยังเจ้าของเสียง แต่ดูเหมือนเธอจะค่อนข้างตัวเล็กจึงถูกร่างหนาหนั่นของลิเอซองหนุ่มบังจนมิดเม้น เขาจึงก้าวขาขยับไปด้านข้างอย่างเงียบเชียบเพื่อมองหน้าของคนที่ทำให้ฤๅษีจำศีลอย่างภัทรพลตบะแตกให้ชัดๆ ถนัดตา ทันทีที่เสี้ยวหน้ากระจ่างใสปรากฏชัดต่อสายตา หย่งเต๋อก็รู้สึกราวกับว่าลมหายใจสะดุดขาดช่วงไปเสียเฉยๆ รอยยิ้มเยาะหยันที่ประดับบนริมฝีปากสีสดค่อยๆ จางหายไปโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
ว้าว...นี่มันคนหรือตุ๊กตากันล่ะเนี่ย...
ถ้า...ยอมกลืนน้ำลาย...ถอนคำพูดตัวเองเสียตอนนี้จะยังทันไหมนะ...
ผู้หญิงตรงหน้าเขา...ขาวจัดและตัวเล็กบอบบางราวตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ เธอสูงไม่ถึงหัวไหล่เขาด้วยซ้ำ ดวงหน้าเล็กเรียวที่ล้อมกรอบด้วยเรือนผมดำขลับยาวจดกึ่งกลางหลังนั้นสวยจับตาจนหย่งเต๋อแทบลืมหายใจ แม้ดวงตากลมโตที่ประดับด้วยแพขนตายาวงอนจะแดงช้ำจากการร้องไห้และอดนอนมาแทบจะตลอดทั้งคืน แต่กลับไม่อาจลดทอนความงามของใบหน้านั้นไปได้เลย ชายหนุ่มไล่สายตาไปยังเรียวคิ้วโก่งตามธรรมชาติและจมูกเล็กโด่งที่ติดจะรั้นนิดๆ จนมาหยุดอยู่ที่เรียวปากบางเฉียบสีชมพูหวานที่เขาอยากจะพิสูจน์ใจจะขาดว่ามันจะฉ่ำหวานชวนลิ้มลองเหมือนอย่างที่เห็นหรือเปล่า...แล้ว...เธอจะหวานไปทั้งตัวไหม...
ไอศิกา พิมพ์สุริยา...
“อะแฮ่ม!”
เฉินกุ้ยแกล้งกระแอมเสียงดังเมื่อเห็นลูกพี่ใหญ่จ้องสาวน้อยตรงหน้าชนิดตาไม่กะพริบ ก็...น่าอยู่หรอก ตัวเล็กบอบบางแถมจิ้มลิ้มประเภทปากนิดจมูกหน่อยแบบนี้เรียกว่าตรงสเปกของทายาทฮวงหลงทุกกระเบียดนิ้วทีเดียว
หวังหย่งเต๋ออาจจะควงสาวสวยมากหน้าหลายตา แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาโปรดปรานสาวร่างเล็กแบบเดียวกับมารดาของตนเองเป็นพิเศษ ยิ่งสวยจัดแบบนี้ด้วยแล้วคงยิ่งถูกใจเข้าไปใหญ่
เอาแล้วไหมล่ะ...
“ไหนว่าต่อให้แก้ผ้าตรงหน้าก็ไม่สนไง นี่ขนาดยังไม่แก้ผ้าให้ทัศนาพี่ยังมองซะลิ้นห้อยเชียว”
เฉินกุ้ยกดเสียงต่ำพอให้ได้ยินกันแค่สองคน หย่งเต๋อปรายตามองคนหน้าตายที่ขยับตัวเข้ามายืนใกล้เขาแล้วทำเป็นขยับเนกไทแก้เก้อก่อนจะปรับสีหน้าของตนเองให้เป็นปกติ
เกลียดนัก...คนรู้ทัน!
“พี่ว่าอย่าเพิ่งกลับดีกว่านะจ๊ะ มันยังไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ ลูกแก้วอยากได้อะไรก็จดลิสต์มาก็แล้วกัน เดี๋ยวพี่จะให้ลูกน้องไปเอามาให้”
“ของบางอย่าง...เอ่อ...มันเป็นของใช้ส่วนตัวของผู้หญิงค่ะพี่ภัทร...คงไม่สะดวกที่จะให้ลูกน้องของพี่ภัทรไปจัดการให้ ลูกแก้วขอกลับไปที่บ้านเองจะดีกว่าค่ะ” หญิงสาวพูดเสียงเบา เธอกวาดตามองลูกน้องของภัทรพลที่นั่งกันหน้าสลอนอย่างอึดอัดใจ
ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆ เข้าใจความนัยที่เธอพูดทันที นั่นสิ...ของใช้ผู้หญิงจะให้ลูกน้องผู้ชายจัดการให้ก็คงไม่เหมาะนัก
“เอาอย่างนี้ดีไหม พี่จะให้ตำรวจหญิงไปจัดการให้ก็แล้วกัน รอให้เหตุการณ์สงบกว่านี้หน่อยดีกว่านะจ๊ะ อีกอย่างคุณลุงยังไม่ฟื้นเลย ลูกแก้วไม่ห่วงท่านเหรอ”
หย่งเต๋อมองตามมือหนาของภัทรพลที่ลูบลงบนเรือนผมยาวสลวยอย่างอ่อนโยน แล้วเลิกคิ้วซ้ายขึ้นสูงพร้อมกับหรี่ตาลงนิดๆ อันเป็นกิริยาที่เฉินกุ้ยรู้ดีว่าเจ้าตัวมักทำเสมอยามรู้สึกขัดใจ
“ก็เพราะห่วงนี่ละค่ะถึงต้องไป...” ไอศิกาหลุบตาลงมองพื้นครู่หนึ่งแล้วฝืนยิ้มเจื่อนๆ “คือ...ลูกแก้วหมายถึง...ลูกแก้วไม่รู้ว่าจะต้องเฝ้าคุณพ่อที่โรงพยาบาลอีกนานเท่าไหร่ ก็เลยอยากจะเตรียมข้าวของให้พร้อมจะได้ไม่ต้องกังวลน่ะค่ะ”
ท่าทางอึกอักอย่างมีพิรุธของหญิงสาวสะดุดใจหย่งเต๋อและเฉินกุ้ยอยู่ไม่น้อย ในขณะที่ภัทรพลกลับมองข้ามไปเพราะมัวแต่มองดวงหน้าใสกระจ่างของเธออย่างหลงใหล
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะครับคุณหนู ตอนนี้เจ้านายมีศัตรูรอบด้านไปหมด เราจะประมาทไม่ได้ ถ้าไอ้พวกที่ยิงเจ้านายมันคิดฉุดคุณหนูไปปู้ยี่ปู้ยำแก้แค้นเจ้านายขึ้นมาจะทำยังไง”
ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนโซฟาไม่ห่างออกไปนักลุกขึ้นยืน หย่งเต๋อเพิ่งสังเกตว่าเขานั่งอยู่ในห้องนี้ด้วยในวินาทีนั้นเอง เขาเป็นชายร่างเล็กเจ้าของใบหน้าเล็กแหลมและดวงตาแดงก่ำที่ฉายแววเคร่งเครียดระคนอ่อนล้า เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ก็ค่อนข้างยับย่นบ่งชัดว่าคงนั่งเฝ้ายามมาตั้งแต่เมื่อคืน ลูกมังกรหนุ่มอ่านจากสีหน้าและท่าทางของเขาออกในทันทีว่าเป็นคนจาก ‘โลกมืด’ เช่นเดียวกับเขาและเฉินกุ้ย และดูจะเป็นนักเลงคนเดียวที่มาเฝ้าเจ้านายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
แปลก...เจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่คับประเทศระดับภามทำไม่ถึงไม่มีลูกน้องคอยจัดเวรยามอารักขาความปลอดภัยแม้แต่คนเดียว เท่าที่เห็น...มีแต่เจ้าหน้าที่ของทางการทั้งนั้น...
“ลุงองอาจคะ พูดอะไรอย่างนั้น...”
“แล้วไหนจะไอ้พวกฮวงหลงอีกล่ะครับ คุณหนูคงไม่รู้หรอกพวกนั้นร้ายแค่ไหน” เขาพูดสวนขึ้นมาโดยไม่รอให้ไอศิกาพูดจบประโยค “โดยเฉพาะไอ้เปี้ยนเหลี่ยน๒หวัง ไอ้เลวนั่นน่ะร้ายที่สุด”
ภัทรพลหน้าซีด เขาเหลือบตามองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ยืนระบายยิ้มขันบนใบหน้าอยู่ทางด้านหลังตนเองแล้วเสียวสันหลังวูบ ลุงองอาจคงไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังนินทาแกมด่าทอเจ้าตัวชนิด ‘เผาขน’ เชียวละ
“เปี้ยน...เหลี่ยนอะไรนะคะ...” ไอศิกากะพริบดวงตากลมโตปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ “ใครเหรอคะ...”
“เปี้ยนเหลี่ยนหวังครับคุณหนู ลูกชายของหัวหน้าแก๊งฮวงหลงที่มีเรื่องใหญ่โตกับเจ้านายนี่ละ ใครๆ ก็เรียกเขาว่าเปี้ยนเหลี่ยนหวังเพราะไม่เคยมีใครรู้ว่าตัวจริงของมันมีหน้าตาแบบไหน เพราะชอบปลอมตัวอยู่ตลอดเวลา เขาเล่ากันว่าหน้าตามันอัปลักษณ์นักถึงต้องคอยปกปิดรูปโฉมเอาไว้ นิสัยใจคอก็เหี้ยมโหดผิดมนุษย์มนามาตั้งแต่เกิด เท่าที่รู้ ไอ้หวังเสี้ยวเทียนพ่อของมันเริ่มฝึกให้มันฆ่าคนตั้งแต่อายุยังไม่ครบสิบขวบด้วยซ้ำ”
“เว่อร์ฉิบ ฉันยิงคนครั้งแรกตอนยี่สิบต่างหาก” หย่งเต๋อกระซิบกับเฉินกุ้ย แล้วอมยิ้มกับกิตติศัพท์ร่ำลือที่องอาจพยายามเล่าด้วยสุ้มเสียงเหมือนละครวิทยุประหนึ่งเขาเป็นสัตว์ประหลาดในเทพนิยายก็ไม่ปาน “แล้วฉันก็โคตรหล่อเลยด้วย”
เฉินกุ้ยกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างระอาใจกับความหลงตัวเองของลูกพี่ นิสัยที่ชอบคิดว่าตนเองหล่อระดับมรดกโลกนี่แก้อย่างไรก็ไม่หายเสียที แถมยังเป็นมรดกโลกที่มีไว้ให้สาวๆ ทุกคนมีสิทธิ์เชยชมเท่าๆ กันเสียด้วย ใครได้คาสโนว่าตัวพ่อคนนี้เป็นสามีคงปวดหัวพิลึกละ
“เปี้ยนเหลี่ยนหวังเป็นภาษาจีน แปลว่าราชาเปลี่ยนหน้าจ้ะลูกแก้ว” ภัทรพลอธิบายเมื่อเห็นเรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นปมด้วยความงุนงง “เปี้ยนเหลี่ยนก็คืองิ้วเปลี่ยนหน้าของจีนไงจ๊ะ ที่น้องลูกแก้วเคยไปดูกับคุณลุงกับพี่ที่จีนไง จำได้ไหม ที่เปลี่ยนหน้าเสียเร็วจนเราดูไม่ออกว่าเขาทำได้ยังไงนั่นละ แล้วหวังก็แปลว่าราชา ที่ไปพ้องกับนามสกุลของตระกูลหวังของเขาพอดี”
ภัทรพลยิ้มเจื่อน ฉายาเปี้ยนเหลี่ยนหวังนั้นไม่ได้เรียกขานกันเพราะหวังหย่งเต๋อปลอมตัวเก่งเพียงอย่างเดียว แต่เพราะเขาซ่อนสีหน้าของตัวเองเก่งจนไม่เคยมีใครจับโกหกเขาได้ ผู้ชายที่เก็บซ่อนความอำมหิตไว้ใต้รูปลักษณ์ของเทพบุตรผู้แสนอ่อนหวาน ก่อนจะเลิกคบหากัน...เขาเคย...เห็นกับตามาแล้วว่าเจ้าของฉายายิงแสกหน้าคนทั้งๆ ที่ยังยิ้มอยู่ด้วยซ้ำ แม้ว่าเหตุในครั้งนั้นจะเกิดขึ้นเพราะหย่งเต๋อต้องการช่วยเพื่อนอย่างเขาจากพังก์อันธพาลก็เถอะ...
“เมื่อเดือนที่แล้ว ไอ้หมอนี่ก็บุกเข้าไปฆ่าแก๊งมาเฟียที่มีเรื่องกับฮวงหลงที่ฮ่องกงตายยกแก๊ง เป็นข่าวใหญ่ทุกช่องเลยนะครับ คุณหนูจำได้หรือเปล่า”
ไอศิกาเม้มริมฝีปากแน่น ทำไมเธอจะจำข่าวนั่นไม่ได้ในเมื่อทั้งหนังสือพิมพ์ ทั้งโทรทัศน์ทั้งไทยและเทศประโคมข่าวการสังหารหมู่แก๊งมาเฟียที่ฮ่องกงนั่นจนกระฉ่อนไปค่อนโลก แม้จะสงสัยว่าเจ้าของฉายาพิลึกเป็นผู้ลงมือ ทว่ากลับไม่มีหลักฐานใดที่จะเอาผิดเขาได้เลย ไม่มีรอยนิ้วมือของคนร้าย ไร้พยานรู้เห็น ภาพในกล้องวงจรปิดก็ถูกลบทิ้งหายไป ถ้าบอกว่าคนร้ายเป็นปิศาจล่องหนเธอก็เชื่อ แต่...ถึงจะน่ากลัวอย่างไร เธอก็ต้องกลับไปที่บ้านให้ได้อยู่ดี...
“ลูกแก้วรู้ว่าลุงเป็นห่วง แต่...แต่ลูกแก้วไม่กลัวหรอกค่ะ ก็พี่ภัทรบอกว่าทางอินเตอร์โพลส่งบอดีการ์ดมือดีมาช่วยดูแลลูกแก้วกับคุณพ่อด้วยไม่ใช่เหรอคะ”
“เรื่องนั้น เอ่อ...”
คำพูดของหญิงสาวทำเอาภัทรพลทำหน้าปั้นยาก อยากจะบอกอยู่เหมือนกันนั่นละว่าอินเตอร์โพลไม่ได้ส่งบอดีการ์ดมาอย่างที่ไอศิกาเข้าใจ แต่ส่งมัจจุราชมาให้ต่างหาก แถมยังเป็นมัจจุราชระดับมือพระกาฬเสียด้วย กิตติศัพท์ของเปี้ยนเหลี่ยนหวังนั้นใครๆ ก็รู้ดีทั้งนั้นว่าเป็นอย่างไร แถมอีกหนึ่งหนุ่มที่คอยติดตามอารักขาราวเงาตามตัวนั้นก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ เป็นถึงลูกชายคนเดียวของรองหัวหน้าแก๊งไป๋หู่ แก๊งมาเฟียข้ามชาติที่ครอบครองพื้นที่ในยุโรปโดยเฉพาะฝรั่งเศสและอังกฤษ คงไม่ต้องสาธยายถึงความร้ายกาจและเหี้ยมโหดที่ฝังลึกอยู่ในสายเลือดให้เสียเวลา
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก จะขับไสไล่ส่งสองคนนี้ให้กลับไปและเปลี่ยนเป็นเจ้าหน้าที่ตัวจริงมาอารักขาไอศิกาเขาก็ไม่มีอำนาจที่จะสั่งการ แต่จะเปิดเผยสถานะและตัวตนอันแท้จริงของสองทายาทมาเฟียก็ผิดกฎของอินเตอร์โพลที่ระบุชัดว่าห้ามแพร่งพรายสถานะทางครอบครัวหรือชื่อจริงของเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติภารกิจลับที่มีความเสี่ยงอันตรายสูงเช่นนี้เป็นอันขาด เพื่อป้องกันการตามล่าแก้แค้นของฝ่ายตรงข้าม และเพื่อความปลอดภัยของครอบครัวและคนใกล้ชิดของเจ้าหน้าที่นายนั้นๆ ด้วย ฉะนั้นไม่ว่าทางสำนักงานใหญ่จะส่งใครมาก็ตาม เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะปริปากแม้แต่คำเดียว
อีกประการหนึ่ง...ถ้าเขาพลั้งปากแพร่งพรายให้ไอศิการู้ ย่อมหมายความว่าองอาจที่เป็นคนสนิทและจงรักภักดีต่อภามเป็นที่สุดก็ต้องรู้ด้วย และนั่นอาจก่อให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อกันขึ้นมาได้ งานนี้ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษ ฌอง-ปอล กุสโต นั่นละที่ส่งสองหนุ่มมาเฟียคู่นี้มาทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าฮวงหลงกำลังมีเรื่องกับภามอยู่แท้ๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
เคยได้ยินข่าวลือมาบ้างเหมือนกันว่าแก๊งฮวงหลงมีสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับเจ้าหน้าที่อินเตอร์โพลระดับสูงผู้นี้มายาวนานจึงทำให้ได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ มากมาย ซึ่งบางครั้งก็ถูกมองว่าเกินพอดี ที่หวังหย่งเต๋อและเฉินกุ้ยแทรกซึมเข้ามาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ก็คงเพราะจ่ายเงินเบิกทางกับเมอสิเออร์กุสโตคนนั้นเป็นแน่
“ถ้าเป็นเรื่องการรักษาความปลอดภัยของคุณไอศิกาละก็สบายใจได้ พวกผมจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่” เฉินกุ้ยเอ่ยแทรกขึ้นมาทันควันเมื่อเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของภัทรพล เขารู้ดีว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าลิเอซองหนุ่มจะต้องหาเรื่องบ่ายเบี่ยงไม่ให้ไอศิกาตกอยู่ในความดูแลของเขาและหย่งเต๋ออย่างที่ควรจะเป็น และนั่นจะทำให้ภารกิจที่ได้รับมอบหมายในครั้งนี้พังไม่เป็นท่า “และถ้าคุณอยากจะกลับบ้านละก็พวกผมจะพาคุณไปเอง”
“พี่ภัทรคะ...คนนี้...” ไอศิกามองชายหนุ่มแปลกหน้าเจ้าของเรือนกายสูงใหญ่ผิดจากคนไทยทั่วไป แล้วหันกลับไปหาภัทรพลด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
“พี่ขอโทษที่ไม่ได้แนะนำให้รู้จักกัน เอ่อ...นี่...คือบอดีการ์ดที่ทางอินเตอร์โพลส่งมาดูแลลูกแก้วกับคุณลุงจ้ะ” ภัทรพลยิ้มเจื่อนขณะจำใจเอ่ยแนะนำสองหนุ่ม “คนนี้ชื่อใบป่าน ส่วนคนนั้น...”
“ผมชื่อนะโม” หย่งเต๋อพาร่างสูงใหญ่ของตนเองมายืนเบื้องหน้าหญิงสาว นัยน์ตาวิบวับแพรวพราวรับกับรอยยิ้มหวานที่ฉาบบนเรียวปากหยักโค้งสวยได้รูป “นะโม ทิพยศาสตร์ จะมาเป็นบอดีการ์ดของคุณ”
ไอศิกาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวโตราวยักษ์ปักหลั่นช้าๆ วูบหนึ่ง...เธอรู้สึกคล้ายกับเห็นปีกสีดำทะมึนกางอยู่ทางด้านหลังของผู้ชายตรงหน้า...
ปีก...ของพญามัจจุราช!
ความคิดเห็น |
---|