บทที่ ๕

สัมพันธ์ทางกาย

เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน เมื่อถูกจู่โจมแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ตรัยคุณก็นิ่งค้าง เห็นได้ชัดว่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูก และเมื่อตั้งสติได้ เขาก็รวบร่างน้อยให้ถอยห่างจากเขาเหมือนว่าเธอเป็นเชื้อโรคอันตราย 

“นี่เธอรู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป!”

แทนที่จะตอบ วันเวลากลับยื่นมือไปแตะบ่าคนไข้อีกรายที่นั่งหน้าแดงแปร๊ดอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้อยากเสียมารยาทหรอก แต่จำเป็นต้องทำ โชคดีที่เด็กสาวไม่ว่าอะไร คงเพราะมัวแต่ตะลึงงันกับเลิฟซีนที่เกิดขึ้น เลยทำให้ฝ่ายนั้นไม่สนใจด้วยซ้ำว่าวันเวลาจะแตะบ่าหล่อนทำไม

“ทำไมไม่ตอบพี่ล่ะ พี่ถามว่าเธอยังมีสติอยู่หรือเปล่า!” เมื่อเห็นสาวเจ้ามัวแต่เงียบและหันไปทำอะไรไม่ทราบกับคนไข้ของเขา ตรัยคุณก็ดึงมือเธอกลับอย่างห้ามปราม ก่อนถามย้ำอีก หนนี้ด้วยแรงอารมณ์ที่กรุ่นมากกว่าเดิม 

ท่าทางจะหัวเสียน่าดู แต่เธอไม่โทษเขาหรอก จู่ๆ ก็ถูกดึงมาจูบต่อหน้าต่อตาคนไข้แบบนั้น เป็นใครใครก็ต้องคิดว่าหญิงสาวเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ แม้แต่ตัวเธอเองยังคิดเช่นนั้นเลย เพราะความใจร้อนอยากพิสูจน์ทฤษฎี จึงทำให้เธอตัดสินใจจู่โจมตรัยคุณ ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ต่อให้ต้องแลกด้วยการถูกด่าก็คุ้ม เพราะตอนนี้เธอได้ทดสอบแน่ชัด

ใช่...ทฤษฎีของเธอถูกต้อง

ในตอนที่เธอจูบตรัยคุณ เธอเห็นภาพอดีตของเขา ต้องยอมรับว่ามันอาจไม่ใช่ภาพที่น่าปลื้ม เพราะมันเป็นภาพที่ตรัยคุณเรียนปริญญาเอกอยู่ที่อังกฤษ และพบกับสาวลูกครึ่งขายาวหุ่นดี นามว่า เอเลน่า หรือแอลลี่เป็นครั้งแรก ก่อนที่ทั้งสองจะพัฒนาความสัมพันธ์จากเพื่อนร่วมคลาสเป็นคนรัก และลงเอยที่เขาโดนบอกเลิก แต่หากไม่นับภาพเหล่านี้ ก็ถือว่าเธอประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการอยู่ดี ที่เธอรู้ก็เพราะได้ลองพิสูจน์กับเด็กสาวคนเมื่อครู่แล้ว และทราบว่าหล่อนมีปัญหากับครอบครัว บางทีครอบครัวก็ไม่ใช่เซฟโซนสำหรับทุกคนเสมอไป แต่เรื่องนั้นไว้ก่อน ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าสัมผัสพิเศษกลับมาคมชัดยาวนานกว่าเดิมนี่สิ ตอนนี้เธอจึงได้ข้อสรุปแล้วว่าสัมผัสพิเศษจะดีขึ้น ต่อเมื่อเธอเป็นฝ่ายแตะต้องปัจจัยกระตุ้นอย่างตรัยคุณแน่นอน

รู้แบบนี้แล้วเธอจะรอช้าอยู่ทำไม ขืนปล่อยไปก็ควายเรียกพี่แล้วจ้า!

“ถ้าถามว่าวิวมีสติหรือเปล่า ใช่ค่ะ วิวมีสติและรู้ตัวดีทุกอย่าง และเพราะมีสติดีนี่ละ วิวเลยอยากขอร้องพี่คุณเรื่องหนึ่ง” หญิงสาวสบตาชายหนุ่มนิ่งจริงจัง ก่อนจะเปล่งเสียงช้าชัดโดยไม่สนใจว่าในห้องจะมีใครอื่นอยู่ด้วย หรือพลอยได้ยินหรือไม่ ไม่มีอะไรต้องสนใจอีกแล้ว เพราะเธอเพิ่งตัดสินใจเรื่องใหญ่ที่สุด

“พี่ช่วยมีความสัมพันธ์ทางกายกับวิวหน่อยได้ไหมคะ”

ในวินาทีที่ชายหนุ่มได้ฟังคำร้องขอ ดวงตาสีเหล็กของเขาก็มีแต่ความประหลาดใจ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นวาบหวาม ซึ่งทำให้คนถูกมองสั่นสะท้าน ร้อนวูบวาบในท้องน้อย

“คิดดีแล้วหรือ ที่ขอพี่แบบนี้”

“ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ แกจะเอาไงต่อล่ะทีนี้” 

“หมายความว่ายังไงที่ว่าเอาไงต่อ” วันเวลากระซิบถามเพื่อนทางโทรศัพท์ หลังจากส่งมารดาเข้านอนเรียบร้อย เธอก็มานั่งกอดเข่าที่ปลายเตียงเพื่อสนทนากับเพื่อน ตั้งแต่ที่แววดาวป่วยเป็นอัลไซเมอร์ หญิงสาวก็ทิ้งห้องนอนของตนแล้วมานอนรวมกับมารดา มันอาจจะไม่เป็นส่วนตัวและไม่สะดวกสบายในหลายๆ อย่างก็จริง แต่ข้อดีก็คือเธอจะได้ดูแลมารดาอย่างเต็มที่โดยไม่คลาดสายตาในเวลาที่ผู้ดูแลอย่างกระถินเลิกงาน เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่าการปล่อยให้ผู้ป่วยอัลไซเมอร์อยู่ตามลำพังมักจะมีปัญหาตามมาเสมอ 

“อ้าว ก็แกได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วไม่ใช่หรือ พลังวิเศษของแกก็กลับมาดีแล้วไง ในเมื่อดีแล้ว แกจะทำไงต่อ จะเลิกยุ่งกับพี่คุณของแกหรือเปล่า”

“ทำไมต้องเลิกยุ่ง นี่มันเพิ่งจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง”

“ยังไงอะแก ฉันไม่เก็ต”

“คืออย่างนี้ ฉันยังได้ความสามารถกลับมาไม่เต็มร้อยเหมือนเดิมน่ะสิ เวลาที่ฉันโดนตัวพี่คุณ มันทำให้ความสามารถดีขึ้นก็จริงนะ แต่ถ้าตีเป็นเปอร์เซ็นต์ก็แค่ราวๆ สามสิบเปอร์เซ็นต์เองมั้ง แล้วอีกเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ที่ขาดหายไปล่ะ แกไม่คิดว่าฉันอยากจะได้มันคืนหรือ”

“คือแกอยากจะได้ทุกอย่างกลับมาเต็มร้อยว่างั้น?”

“ใช่น่ะสิ ความสามารถแค่นี้ไม่เพียงพอจะใช้ทำมาหากินหรอก ดูอย่างคู่อริของแก จนป่านนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่านางเคยหลอกลวงคนจริงหรือเปล่า เพราะความสามารถของฉันไม่เสถียรพอจะขุดคุ้ยอดีตได้เยอะเหมือนเดิมไง ฉะนั้นในเมื่อพี่คุณคือปัจจัยกระตุ้นที่ว่า ฉันก็จำเป็นต้องยุ่งกับเขาต่อไป”

“เออ ฉันเริ่มสงสารพี่คุณของแกแล้วสิ” กังสดาลพ่นลมหายใจพรืด “แล้วยังไงต่อ แกจูบเขาแล้วได้ผลดี ทีนี้จะขอจูบเขาอีกเรื่อยๆ หรือไง”

“ก็ว่าอย่างนั้นแหละ และเพื่อให้ความสามารถของฉันฟื้นฟูเต็มร้อย ฉันเลยขอพี่เขาไปแล้วด้วย”

“ขออะไร”

“ขอมีความสัมพันธ์ทางกาย”

“หา!” แม่เพื่อนสาวได้ฟังก็ถึงกับร้องเสียงหลง “เอาจริงเรอะ!”

“จริงสิ ฉันเสียความสามารถนี้ไปไม่ได้ ให้ทำยังไงก็ยอมล่ะ”

 “ยอมแม้กระทั่งให้ผู้ชายเยเนี่ยนะ”

“ฮิๆ แกนี่พูดจาน่าเกลียดจัง ไม่ใช่ผู้ชายเยเย่ฉัน ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายเยเย่ผู้ชาย” วันเวลาแก้คำเพื่อนเสียใหม่ ทำเอาคนถูกหาว่าพูดน่าเกลียดต้องเหลือบตามองบน “อย่าลืมสิว่า ฉันต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไม่งั้นมันไม่ได้ผล”

“เออๆ ฉันพูดผิดเอง แล้วไงต่อ แกคิดว่าถ้าได้นอนกับเขาแล้ว พลังวิเศษจะกลับมาร้อยเปอร์เซ็นต์ใช่ไหม”

“คิดว่าใช่นะ ก็ขนาดจูบยังได้ผลดีเลยอะ ฉันเลยอยากยกระดับการสัมผัสมากขึ้นไปอีก ถ้าจูบทำให้ความสามารถฉันกลับมาสามสิบเปอร์เซ็นต์ งั้นถ้าฉันได้นอนกับเขา ความสามารถของฉันก็ควรจะกลับมารวดเดียวแบบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ คิดตามหลักความน่าจะเป็น”

“หลักความน่าจะเป็นอะไรนั่น ฉันไม่เถียง แต่ถามหน่อย พี่คุณเขายอมตกลงมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับแกเรอะ”

พอกังสดาลโยนคำถามนี้มา วันเวลาก็ขำพรวด นึกถึงเหตุการณ์ในศูนย์บำบัดวันนั้นขึ้นมา

“ไม่อะ เขาไม่ชอบหน้าฉัน ถ้าเขายอมตกลงก็บ้าแล้ว”

ไม่ใช่แค่ไม่ตกลง แต่ตรัยคุณยังตำหนิเธอเสียหูชา แม้ไม่ใช่ด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่ก็เจ็บแสบพอควรในแบบตรัยคุณที่เป็นตรัยคุณ และตรัยคุณที่เป็นนักจิตวิทยา

 ‘จู่ๆ ก็มาทำอะไรรุ่มร่ามกับพี่ นอกจากไม่คิดจะขอโทษกัน ยังมีหน้ามาขออะไรก็ไม่รู้จากพี่อีกหรือ ทำเพื่ออะไรถามหน่อย ที่ว่ามีสติพอน่ะ อย่าพูดดีกว่า เธอไม่มีสติหรอก วิว เพราะถ้าเธอมีสติ เธอคงไม่คิดทำแบบนั้นกับพี่ตั้งแต่แรก!’

‘พี่คุณ’ 

‘พี่ว่าพี่พบปัญหาใหม่แล้วละ รีบไปบอกป้าดวงให้เลื่อนนัดครั้งหน้าของเราให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเลย ต่อไปนี้เธอมีเรื่องที่ต้องบำบัดกับพี่เพิ่มอีกหนึ่งอย่างแล้วละ”

เอากับเขาสิ นอกจากจะไม่รับคำขอร้องแล้ว ตรัยคุณยังจะพาเธอไปบำบัดเพิ่มอีก ครั้นเธอเล่าเรื่องนี้ให้กังสดาลฟัง แม่เพื่อนตัวดีก็หัวเราะก๊าก 

“โถ น่าเอ็นดูอะพ่อคุณ โดนแกขโมยจูบไปแล้วแท้ๆ ยังอุตส่าห์จะพาแกไปบำบัดด้วย”

 “ไม่เห็นจะน่าเอ็นดู หัวจะปวดมากกว่า แกก็รู้ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาบำบัดอะไรนี่ตั้งแต่แรก”

“ฉันรู้ แล้วทีนี้ทำไงต่อ เขาไม่ยอมตกลงด้วย แล้วแกจะไปมีความสัมพันธ์ทางกายกับเขาได้ยังไง”

“นั่นละปัญหา ในเมื่อเขาไม่ยอม ฉันก็คงต้องใช้วิธีตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก ‘เก็บเล็กผสมน้อย’ แบบนี้ไปก่อน ถ้ามีโอกาสเหมาะๆ หรือเขาใจอ่อนเมื่อไร...” วันเวลาเปิดยิ้มกับโทรศัพท์อย่างคนไม่ยอมแพ้ “ค่อยรวบหัวรวบหางกินอร่อยทีเดียวก็ยังไม่สาย”

เมื่อวางแผนกลยุทธ์เรียบร้อย วันเวลาจึงไม่รอช้าเริ่มกลยุทธ์ใจกล้าหน้าด้านที่ว่าทันที ประเดิมด้วยการโผล่หน้าไปที่ศูนย์บำบัดทุกวัน ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงวันนัดครั้งต่อไปด้วยซ้ำ แต่หญิงสาวพยายามจะหาเรื่องมาก่อนเวลานัดบำบัดตลอด ไม่ว่าจะเป็นทำของหายไว้ในศูนย์บ้างละ ขอมาหลบฝนบ้างละ แวะมาคุยกับดวงพรบ้างละ บังเอิญมาทำธุระแถวนี้เลยนำขนมมาฝากตรัยคุณบ้างละ ทว่าพักหลังมานี้ตรัยคุณเริ่มจับทางเธอได้ เธอจึงต้องสรรหาข้ออ้างใหม่ๆ เพื่อจะเนียนเข้ามาที่ศูนย์บำบัดโดยไม่เป็นที่น่ารำคาญของผู้อื่นจนเกินไป อาจจะยกเว้นตรัยคุณไว้สักคนละนะ เพราะรายนั้นคงเห็นว่าเธอน่ารำคาญยิ่งกว่าแมลงหวี่แมลงวันอยู่แล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเขาเป็นที่ชาร์จแบต เธอก็ต้องคอยตามวอแวเขาไปเช่นนี้จนกว่าเขาจะยอม ‘เสียบชาร์จ’ ให้เธอจนหนำใจ เอ๊ย จนเต็มร้อยนั่นละ

“นี่เธอมาอีกแล้วหรือ วิว”

ในช่วงเย็นก่อนเลิกงาน ดอกเตอร์หนุ่มที่ได้ยินเสียงคุยกันเซ็งแซ่ในห้องล็อบบีของศูนย์จึงแวะตรวจสอบ และเมื่อเห็นว่าต้นเหตุของเสียงคือใคร เขาจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่

“คราวนี้มาทำอะไรอีก พี่จำได้ว่ายังไม่ถึงวันนัดครั้งต่อไปของเราเลยนะ”

“วันนัดของเราคือวันมะรืนค่ะ” หญิงสาวจงใจเน้นย้ำคำว่า ‘ของเรา’ เป็นพิเศษ “วันนี้วิวแค่จะมาขายของ”

“ขายอะไร” ตรัยคุณถามอย่างสงสัย มองดูวันเวลาที่กำลังถูกห้อมล้อมด้วยเจ้าหน้าที่หญิงของศูนย์ ในมือของสาวเจ้าหิ้วตะกร้าใบหนึ่งมาด้วย แต่เขามองไม่เห็นว่ามันคืออะไร จนกระทั่งแม่ค้าสาวเป็นผู้เฉลยเอง

“สบู่หมีหวานค่ะ”

“สบู่อะไรนะ”

“สบู่หมีหวานไงคะ ใช้แล้วหมีว้านหวาน ห้อมหอม หอมฟุ้งไกลไปถึงดาวอังคาร~” ไม่เพียงบรรยายสรรพคุณ วันเวลายังยิ้มตาหยี และหยิบขวดสบู่มีโลโก้รูปหมีสีขาววิ่งลัลล้าอยู่ในทุ่งดอกไม้ออกมานำเสนอตรัยคุณอย่างน่าตีอีก “พี่คุณสนใจรับสักขวด สองขวดไหมคะ ถ้าซื้อวันนี้ วิวมีของแถมให้ด้วย”

“ไม่ละ”

“ไม่ลองคิดดูก่อนหรือคะ”

“แล้วทำไมพี่ต้องคิดอีก พี่จะเอาสบู่ของเธอไปทำไม ในเมื่อพี่ไม่มี...”

“ไม่มีอะไรคะ”

“ไม่มี...” ตรัยคุณหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะกระแอมแก้เขิน “ก็ไม่มี นั่นแหละ”

“ถึงไม่มีก็อุดหนุนได้ ซื้อเป็นของฝากให้คนใกล้ชิดไง รับไหมคะ น้า~ของดีเลยบอกต่อนะเนี่ย” 

คนใกล้ชิดงั้นหรือ มารดาก็เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนแฟนสาวก็เลิกรากันไปแล้ว ถ้าจะมี ก็คงมีแค่พี่สาวของเขานั่นละ แต่เขาไม่แน่ใจว่าตุลยาจะชอบของพรรค์นี้หรือเปล่า ในเมื่อเขาไม่อยากเสี่ยงถูกพี่สาวด่า ท้ายที่สุดชายหนุ่มจึงตอบปฏิเสธ แต่วันเวลาก็ตื๊อไม่เลิก พยายามจะขายของให้ได้ พอเขาบอกว่าไม่ซื้อ เธอก็ยัดเยียดผลิตภัณฑ์รุ่นทดลองมาให้ใช้แบบฟรีๆ แต่จะฟรีจริงดังปากว่าหรือไม่ เขาก็ไม่แน่ใจ เพราะเธอถือโอกาสจับมือจับไม้เขาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนแล้ว และไม่ใช่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว แต่ทุกครั้งที่แวะมาเลยก็ว่าได้ เธอจะคอยแตะนั่นนิด แตะนี่หน่อย ยุ่มย่ามกับเนื้อตัวเขาตลอด ถึงเธอจะทำท่าเหมือนว่าไม่ได้เจตนา แต่เขาก็อดระแวงไม่ได้ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ

“พี่ไม่ซื้อ และไม่อยากได้ผลิตภัณฑ์ทดลองอะไรนี่ด้วย เก็บไว้ให้คนที่สนใจเถอะ ทีนี้ปล่อยมือพี่ได้หรือยัง” ตรัยคุณเตือน ดวงตาสีเหล็กของเขาจ้องเขม็งอย่างอันตราย ทำให้แม่ค้าสาวที่กำลังรวบมือของชายหนุ่มมากุมแบบเว้าวอนต้องปล่อยมือเขาอย่างช่วยไม่ได้

“น่าเสียดาย ถ้าเปลี่ยนใจ บอกวิวได้ทุกเมื่อนะคะ”

ดอกเตอร์หนุ่มทำหน้าเมื่อย เป็นทำนองว่าเขาไม่คิดเปลี่ยนใจ ซึ่งต่อให้เขาไม่ซื้อสักคน วันเวลาก็ไม่น่าเดือดร้อน เพราะเท่าที่ดูสินค้าของเธอก็ขายดี มีเจ้าหน้าที่หญิงสนใจอุดหนุนสบู่ไปหลายราย กระนั้นเขาก็อดเตือนไม่ได้ ต่อให้ศูนย์บำบัดไม่มีกฎห้ามคนเข้ามาขายของ แต่หากวันเวลามาขายของบ่อยเกินควรก็จะเป็นการรบกวนคนอื่น

“วิวก็ไม่ได้บอกสักคำว่าจะมาขอรบกวนขายของบ่อยๆ วิวรู้จักกาลเทศะค่ะพี่คุณ”

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ที่ผ่านมาเธอทำให้เขาไม่แน่ใจเลยว่าเธอรู้จักคำคำนั้นดีจริงดังปากว่า ทว่ายังไม่ทันได้ตอบอะไร เพื่อนร่วมงานสาวที่เพิ่งเดินออกมาสมทบก็กล่าวแทรก

“ในเมื่อแม่ค้าเขายืนยันแล้ว พี่คุณก็อย่าใจร้ายนักเลย ให้เธอขายของหน่อยจะเป็นอะไรไป คนเราก็ต้องทำมาหากินใช่มะ”

วันเวลาหันตามเสียง และเห็นว่าผู้พูดเป็นหญิงสาวตัวเล็กคนหนึ่ง หล่อนไว้ผมสั้นยาวประบ่าสีน้ำตาลคาราเมลแซมขาว สวมเสื้อคอเต่าแขนยาวมิดชิดซึ่งดูไม่เข้ากันเลยกับอากาศร้อนจัดแทบบรรลัยของเมืองไทย

“ที”

คนถูกเรียกว่า ‘ที’ ยิ้มกว้าง ก่อนจะขอทางตรัยคุณผ่านเข้ามาในวงเพื่อเลือกชมสินค้าบ้าง

“ขายดีเชียว ขายอะไรอยู่คะ ขอดูบ้างสิ”

แทนที่จะตอบ วันเวลากลับจ้องหน้าผู้มาใหม่นิ่ง 

‘ที’ ที่ตรัยคุณเรียก คงจะเป็น ‘ล้านนาที’ เพื่อนนักจิตวิทยาที่อยู่ห้องติดกันกับเขาแน่ คราวก่อนตรัยคุณพยายามจะยัดเยียดเธอให้เป็นคนไข้เคสพิเศษของนักจิตวิทยารายนี้ด้วย แต่เธอปฏิเสธ เพิ่งมาเห็นตัวจริงก็คราวนี้ ก็สะสวยดีอยู่หรอก แต่ใบหน้าของหล่อนคุ้นๆ ชอบกล เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่นึกไม่ออก

“ขายสบู่ค่ะ สบู่หมีหวาน ใช้แล้วหมีห้อมหอม ว้านหวาน เป็นสินค้าออร์แกนิกนะคะ ใช้แล้วไม่แพ้ มีสามกลิ่นให้เลือก สนใจรับไหมคะ” แม้จะยังนึกไม่ออกว่าเคยพบกันที่ไหน แต่แม่ค้าสาวก็ตั้งสติและนำเสนอสินค้าทันที ในขณะที่ฝ่ายนั้นเมื่อได้ฟังสรรพคุณสินค้าก็อึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา

“งั้นเอาทุกกลิ่นเลยค่ะ กลิ่นละขวด” นักจิตวิทยาสาวที่กำลังทดลองดมกลิ่นสบู่ในขวดพูดยิ้มๆ และในยามที่หล่อนเงยหน้าขึ้นมองหน้าวันเวลาชัดๆ หล่อนก็เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

“อ้าว คุณนี่เอง”

“คะ?”

“เมื่อประมาณสามสี่เดือนก่อน เราเคยเจอกันที่วัดไงคะ ตอนนั้นเราเดินชนกันด้วย”

วันเวลาใช้เวลานึกทบทวนครู่หนึ่งก็ถึงบางอ้อ ผงกศีรษะตอบรับพร้อมรอยยิ้มเป็นเชิงว่าเธอจำได้ เธอเคยพบหญิงสาวคนนี้มาก่อนจริงๆ ก่อนประสบอุบัติเหตุใหญ่ เธอไปเป็นเพื่อนกังสดาลเพื่อทำบุญสะเดาะเคราะห์ที่วัดแห่งหนึ่ง 

คิดย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์นั้นแล้วก็ประหลาดดี...

‘หมู่นี้ฉันดวงไม่ค่อยขึ้นเลยว่ะ ทำอะไรก็แป้ก ทำอะไรก็ซวย แกไปเป็นเพื่อนฉันทำบุญสะเดาะเคราะห์หน่อยสิ’

วันเวลาเป็นคนไม่ค่อยอินกับเรื่องโชคลางเท่าไร ถึงจะไม่ปฏิเสธแบบเด็ดขาด แต่ก็ไม่ได้เชื่อแบบสุดลิ่มทิ่มประตูแบบกังสดาล เข้าทำนองเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเพื่อนอยากไปวัดเพื่อความสบายใจ เธอก็ยอมไปด้วย ทว่าทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายนัดแท้ๆ แต่วันนั้นกังสดาลกลับมาสายเสียอย่างนั้น ก็อยากจะด่าอยู่หรอกนะ แต่เห็นแก่ที่เพื่อนคงจะมัววุ่นวายกับคนไข้อีกตามเคย เธอก็เลยพยายามทำใจเย็นและหาอะไรทำในวัดรอไปพลางๆ ไม่ว่าจะเป็นการไหว้พระหรือเสี่ยงเซียมซี  ถึงเธอจะไม่ค่อยเชื่อถืออะไรพวกนี้มากนัก แต่ก็ถือเสียว่าหาอะไรทำแก้เบื่อและฆ่าเวลา

‘ขอโทษนะคะ ใช้เสร็จหรือยังคะ’ วันเวลาเอ่ยถาม เนื่องจากในอุโบสถแห่งนี้มีกระบอกเซียมซีแค่กระบอกเดียว ครั้นเห็นหญิงสาวร่างผอมบางที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำท่าเหมือนเพิ่งเสี่ยงเซียมซีเสร็จ เธอเลยลองขอมาใช้ต่อ

‘เสร็จแล้วค่ะ’ อีกฝ่ายกล่าวพลางยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรเหมาะกับใบหน้าพริ้มเพราล้อมกรอบเรือนผมสีน้ำตาลทองของหล่อนเป็นอย่างดี

ติ้วไม้กระเด็นหล่นออกมาหนึ่งอัน ปรากฏเป็นตัวเลข ๔๔

วันเวลาตั้งท่าจะลุกไปรับคำทำนาย แต่ในช่องเลข ๔๔ กลับว่างเปล่า ไม่เหลือคำทำนายสักใบ

‘หาใบที่สี่สิบสี่อยู่หรือเปล่าคะ’ หญิงสาวคนเดิมกล่าวถาม และก็ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรืออะไรที่ทั้งวันเวลาและหญิงคนนั้นเสี่ยงเซียมซีได้ใบเดียวกันเสียอย่างนั้น

‘ฉันขอยืมอ่านหน่อยได้ไหมคะ’ เธอถามอย่างเกรงใจ ซึ่งฝ่ายนั้นก็ดูจะไม่ได้หวง เพียงแต่เตือนเธอว่าคำทำนายมันไม่ดีและไม่น่าอ่านนัก แต่อย่างว่าเธอก็ไม่ได้กังวลเรื่องนี้อยู่แล้ว ‘ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรับได้ เชื่อไม่เชื่อสุดท้ายก็อยู่ที่เรานี่คะ’

‘ได้ใบนี้ ท่านว่า จักมีเคราะห์

ประจวบเหมาะ เพราะชะตา ต้องอาสัญ

หากพบคู่ ที่ลิขิตมา เกื้อหนุนกัน

บุญญาพลัน บันดาลให้ พ้นภัยพาล

สุดท้ายวันเวลาก็ได้รับคำทำนายใบสุดท้ายนั้นมา ซึ่งหญิงสาวคนนั้นก็น่ารัก ก่อนจะไป ยังอุตส่าห์เตือนทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า หากได้คำทำนายไม่ดีให้ทิ้งไว้ที่วัด อย่านำติดตัวกลับไป แต่ก็นั่นละ เธอก็ไม่แน่ใจอยู่ดีว่าคำทำนายใบที่ได้มีความหมายในเชิงร้ายหรือดี อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ เพราะในใบเดียวมีทั้งคำว่า ‘มีเคราะห์’ แต่ในขณะเดียวกันก็มีคำว่า ‘พ้นภัยพาล’ ด้วย แล้วแบบนี้ให้ตีความว่าอย่างไร ในที่สุดวันเวลาก็ตัดสินใจที่จะนำใบทำนายกลับไป อย่างน้อยก็นำไปให้กังสดาล เจ้าแม่สายมู ช่วยดูก่อนว่าดีหรือร้ายและควรทำอย่างไรต่อ 

วันเวลาเดินออกมาจากอุโบสถ และมุ่งตรงไปสมทบกับกังสดาลที่หน้าวัด เพราะเพื่อนเพิ่งโทรศัพท์มาบอกว่าเดินทางมาถึงแล้ว แต่เพราะความรีบร้อนเลยทำให้หญิงสาวเผลอเดินชนคนอื่นเข้าอย่างจังที่ระหว่างทาง จนเกือบจะล้มกันลงไปทั้งคู่ 

‘อ๊ะ! ขอโทษค่ะ!’

คนที่เธอเดินชนเป็นหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ที่เธอสะดุดตาในตอนนั้น เพราะหล่อนสวมเสื้อผ้าที่แปลกไปจากคนทั่วไป เพราะแทนที่จะสวมเสื้อผ้าบางเบาเหมาะกับสภาพอากาศร้อนอบอ้าว หล่อนกลับสวมเสื้อแขนยาวคอเต่าราวกับว่าตนอยู่ประเทศเมืองหนาวเสียอย่างนั้น และนอกจากนี้ยังมีภาพบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในความคิดดึงความสนใจของเธออีก เธอเห็นหญิงสาวที่เธอเพิ่งเดินชนในวัยหนึ่งขวบครึ่งกำลังอยู่ในวัดกับหลวงตาพร้อมกับพ่อแม่ ดูท่าจะมาทำพิธีแก้เคล็ดอะไรสักอย่าง

‘เด็กคนนี้จะอยู่กับโยมทั้งสองไม่นาน โยมทั้งสองทำใจเสียเถอะ’

ภาพและเสียงในอดีตของหญิงสาวคนนั้นหลั่งไหลท่วมท้นในมโนความคิด ดูท่าหล่อนจะมีชะตากรรมที่ไม่ค่อยดี ก็น่าสงสารอยู่หรอก เธอก็อยากช่วย แต่จะทำอะไรได้ ในเมื่อเธอหยุดยั้งอนาคตไม่ได้ ทำได้แค่มองอดีต จึงทำได้แค่ปล่อยผ่านเหมือนที่เคยทำมาก็เท่านั้น

‘ขอโทษจริงๆ นะคะ ฉันรีบร้อนไม่ระวังเอง คุณเจ็บตรงไหนไหมคะ’ วันเวลาช่วยพยุงอีกฝ่ายพลางถามอย่างเป็นห่วง เพราะเห็นว่าหล่อนเอาแต่นิ่งงัน เม้มริมฝีปากแน่น ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ ซ้ำยังจ้องมองมาที่เธอแบบตาไม่กะพริบอีก นั่นทำให้วันเวลายิ่งคิดว่าหล่อนอาจบาดเจ็บตรงไหน แต่สุดท้ายก็เปล่า เพราะในที่สุดหญิงสาวคนนั้นก็ตอบกลับมา

‘ไม่เป็นไร ฉันไม่เจ็บตรงไหนหรอกค่ะ’

วันเวลายิ้มแบบโล่งใจ เมื่อแน่ใจว่าคนถูกชนไม่เป็นอะไรแล้ว เธอก็ก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงบอกลา

‘งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ’

‘เดี๋ยวค่ะ คุณ...’

วันเวลาเลิกคิ้วอย่างงุนงง เมื่อจู่ๆ หญิงคนนั้นก็เอื้อมมือมารั้งแขนเธอไว้ คล้ายมีเรื่องอยากจะคุยด้วย แต่เมื่อเธอถามว่ามีเรื่องอะไรหรือไม่ อีกฝ่ายก็เหมือนจะเปลี่ยนใจ เพียงส่ายหน้าไปมา

‘ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่อยากจะดูให้แน่ใจว่าคุณก็ไม่เจ็บตรงไหนเหมือนกัน’

‘อ้อ ฉันโอเค ไม่เจ็บตรงไหนเหมือนกัน ขอบคุณนะคะที่ถาม’ วันเวลายิ้มตอบอย่างสดใส ก่อนจะขอตัวจากมา 

หลังจากนั้นเธอก็ตามไปสมทบกับกังสดาล แต่แทนที่เธอจะเป็นฝ่ายบ่นที่เพื่อนมาช้า ฝ่ายเพื่อนตัวดีกลับเป็นฝ่ายบ่นเธอเสียนี่ พอรู้ว่าวันเวลาไปเสี่ยงเซียมซีได้คำทำนายอะไรมา กังสดาลก็กรี๊ดลั่น เต้นเหย็งๆ ด่าว่าเธอจนหูชา

‘แกโง่หรือบ้าวะ คำทำนายซวยๆ แบบเนี้ย ใครเขาให้เก็บติดตัวเอามาด้วยกัน ทำไมไม่ทิ้งไว้ที่เดิม เดี๋ยวชีวิตก็ซวยตามคำทำนายจริงๆ หรอก!’

‘เอ้า ก็ฉันไม่แน่ใจนี่นาว่าใบนี้มันดีหรือไม่ดี ตีความไม่ออกอะ ก็เลยเก็บมาให้แกช่วยดูนี่ไง สรุปว่าไม่ดีใช่ปะ’

‘แหงสิ ไม่ดีอยู่แล้ว ดูจากคำทำนาย แกจะมีเคราะห์ถึงตายได้เลยนะนั่น บรรลัยแล้วไง แกเกิดวันสุริยุปราคาด้วยไม่ใช่หรือ อีกอย่างปีนี้ก็ปีชงของแกด้วยนะ ซวยซ้ำซวยซ้อน’

‘เหลวไหลน่า ยายกั้ง ไม่มีใครตายเพียงเพราะวันที่เกิด หรือเพราะกระดาษใบเดียวหรอก’

‘แปลว่าแกไม่เชื่อ?’

‘ไม่ใช่ไม่เชื่อ แค่ฟังหูไว้หู ฉันจะระวังตัวให้มากขึ้น แต่ฉันจะไม่ประสาทแด๊กกับคำทำนายนั่นจนไม่เป็นอันทำอะไร โอเค้’ 

‘เออๆ ไงก็เถอะ ยังไงแกก็เก็บคำทำนายกลับบ้านไม่ได้เด็ดขาด ทิ้งมันไว้ที่นี่เลย!’

ในเมื่อเพื่อนยืนยันอย่างนั้น และเธอก็เกียจคร้านเกินกว่าจะย้อนกลับไปหย่อนคำทำนายทิ้งไว้ที่อุโบสถ หญิงสาวจึงเลือกที่จะโยนกระดาษคำทำนายทิ้งในถังขยะของวัด 

วันเวลาจำได้ว่า ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่เธอจะละสายตาจากถังขยะ มีลมวูบใหญ่พัดมาก่อนจะหอบเอากระดาษที่เธอเพิ่งโยนทิ้งลอยหวือออกไปจากถังขยะที่ไม่มีฝาปิด แต่ลอยไปที่ไหนเธอก็ไม่มีเวลาสังเกตการณ์ เพราะถูกกังสดาลทั้งดึงทั้งลากออกไปจากบริเวณนั้นเพื่อไปเป็นเพื่อนช่วยทำบุญสะเดาะเคราะห์ตามเรื่องตามราว 

หลังจากวันนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้นึกถึงเหตุการณ์ที่วัดอีกเลย เหมือนมันเป็นแค่วันหนึ่งที่ผ่านเข้ามาแล้วผ่านออกไป แต่สิ่งที่ทำให้เธอนึกถึงมันขึ้นมาอีก ก็เพราะหลังจากเข้าวัดได้ไม่กี่วัน เธอก็ประสบอุบัติเหตุใหญ่ที่สี่แยก

ก็อยากจะคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่ก็เป็นเรื่องบังเอิญที่แปลกประหลาดอยู่ดี ความประหลาดแรกก็คือเธอพบเคราะห์ใหญ่จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดจริงตามคำทำนาย และความประหลาดที่สองก็คือ เธอบังเอิญพบหญิงสาวคนที่เคยเดินชนกันในวัดอีกครั้ง   ซึ่งคราวนี้ก็ได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการ ทราบว่าหล่อนชื่อ ‘ล้านนาที’ เป็นนักจิตวิทยาหญิงมือดีอีกคนของศูนย์บำบัดแห่งนี้ และแน่นอนเป็นเพื่อนร่วมงานของตรัยคุณด้วย

แต่...จะเป็นแค่นั้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะดูท่าทางทั้งสองคนจะสนิทสนมกันพอสมควร จากที่เธอแอบไปสืบข้อมูลมาจากป้าดวงพร ดูเหมือนว่าทั้งสองจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันมาตั้งแต่สมัยเรียนจิตวิทยา ทั้งยังเคยทำงานที่โรงพยาบาลรัฐมาก่อนเหมือนกัน เลยทำให้สนิทกัน ด้วยเหตุนี้เอง หากถามว่าแปลกไหม... 

ตอบเลยว่าแปลก ทว่าไม่ใช่ล้านนาทีและตรัยคุณหรอกที่แปลก แต่เป็นตัวเธอเองนี่ละที่แปลก! แปลกที่ไปใส่ใจและยุ่งกับเรื่องของสองคนนี้อยู่ได้ บ้าจริง!

วันเวลากลับมาบ้านด้วยความรู้สึกโกรธตัวเอง เธออยากจะเขกกะโหลกตัวเองสักสิบรอบโทษฐานสาระแนเรื่องชาวบ้าน อันที่จริงเธอไม่ควรอยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของตรัยคุณด้วยซ้ำ เขาจะมีเพื่อนร่วมงานกี่คน สนิทกับใครบ้าง เลิกกับแฟนเก่าแล้วคิดจะเริ่มความสัมพันธ์ใหม่เลยหรือไม่ กระทั่งแอบกิ๊กกั๊กใครเป็นพิเศษในที่ทำงานหรือเปล่าก็ไม่ใช่เรื่องของเธอเลย การที่เธอตัดสินใจมีความสัมพันธ์ทางกายกับเขาก็เป็นเรื่องของความจำเป็นเท่านั้น เพราะเขาเป็นที่ชาร์จแบตสัมผัสพิเศษของเธอ นั่นไม่ได้แปลว่าเธอมีสิทธิ์ยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขาด้วยเสียหน่อย

ต่อไปนี้เธอจะพยายามไม่อยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของเขาแล้ว ต่อให้ตอนนี้เขาโสด และเธอเองก็โสดสุดๆ และดวงตาสีเหล็กคู่นั้นจะเซ็กซี่จนใจเจ็บแค่ไหนก็เถอะ แต่เธอต้องใจแข็งเข้าไว้ จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อต่อให้ตรัยคุณจะโสดจริงตามที่ดวงพรบอก เขาก็ไม่ชอบขี้หน้าเธออยู่ดี ดังนั้นเธอควรอยู่ในที่ของตัวเอง และจำกัดความสัมพันธ์นี้ไว้ให้อยู่ในกรอบเป้าหมายที่เธอต้องการน่าจะดีกว่า

เป้าหมายที่ว่าสัมผัสแค่ร่างกาย...แต่ไม่หมายรวมถึงหัวใจ


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น