๑๐

๑๐

 

เหมือนแพรกลับขึ้นมาบนห้องอย่างเงียบๆ พร้อมคำถามที่ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า ในเมื่อกัณฑ์ไม่ได้รักเธอ เขาจะมาทำดีด้วยทำไม มาทำเรื่องพวกนี้ให้เธอด้วยเหตุผลอะไรอีก เธอพยายามคิดหาคำตอบของคำถามนั้น ก่อนจะนึกถึงลูก ถ้าจะมีผู้ชายสักคนที่ไม่ได้รักผู้หญิงที่ต้องทนอยู่ด้วย เขาคงเฝ้ารอโอกาสที่จะไป แต่เมื่อโอกาสนั้นมาถึง กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนั้นท้อง 

เพราะแพรท้องใช่มั้ย พี่กัณฑ์ถึงทำอย่างนี้...

ถ้าแพรไม่ได้ท้องลูกของพี่อยู่ พี่ก็คงพร้อมจะไปอย่างไม่ลังเล...

ถ้าไม่ใช่เพราะแพรอุ้มท้องลูกของพี่อยู่ พี่ก็คงไม่อยากมาทำดีกับแพร...

นั่นคือสิ่งที่หญิงสาวหาคำตอบได้ ซึ่งเป็นคำตอบที่หาทางออกไม่ได้ เธอไม่สามารถหาเหตุผลอะไรมาลบล้างความเป็นพ่อของลูกไปจากกัณฑ์ได้ เขาอาจไล่เธอไปตาย แต่เวลานี้เขาแสดงออกว่าต้องการลูก เขาอาจไม่ได้อยากเป็นสามีที่ดีของเธอ แต่เขาก็อยากเป็นพ่อที่ดีของลูก จึงเป็นเหตุผลให้เขาต้องมาทำดีกับเธอที่เป็นแม่ของลูก 

“เพราะเราเป็นแม่ของลูกเขา เขาก็เลยมาทำดีด้วย” 

หญิงสาวพึมพำกับตัวเองขณะนั่งพิงหัวเตียง ทอดสายตามองไปทางโซฟาที่เธอเอาผ้าห่มกับหมอนไปวางไว้ให้ ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาหัวเตียงที่บอกเวลาตีสามกว่าแล้ว 

“เขาก็แค่ทำตามหน้าที่ ไม่ต้องไปรู้สึกดีหรอกแพร...เพราะถ้าเขาเลือกแม่ของลูกได้ เขาก็คงเลือกคนที่ชื่อดาริน ไม่ต้องไปรู้สึกดี เธอควรจำไว้ว่าเธอไม่ใช่ที่รักของเขา แต่เป็นมารในชีวิตเขาต่างหาก เป็นมารที่ทำให้เขาไม่ได้ไปอยู่กับคนรัก ไม่ต้องไปสนใจเขา นอนเถอะ เขาอยากมานอนเมื่อไหร่ก็มา ไม่อยากนอนก็ช่าง” 

บอกตัวเองอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน แต่สุดท้ายเมื่อนาฬิกาหัวเตียงบอกเวลาจะตีสี่เธอก็ยังนอนไม่หลับ ตอนแรกยอมรับว่าห่วง เกือบจะลุกขึ้นไปตามให้กลับมานอนพัก แต่อีกใจก็บอกว่าไม่ต้องไปยุ่งมาก การที่สองความคิดเถียงกันไปเถียงกันมา เธอจึงต้องลุกขึ้นแล้วกลับไปนอนอยู่หลายครั้ง 

“คนอะไร ไม่รู้จักเวล่ำเวลา มันใช่เวลามาทำแบบนี้มั้ย!” บ่นอย่างเหลืออดเมื่อนาฬิกาบอกเวลาตีสี่กว่าแล้ว “ไปตามก็ได้ เดี๋ยวจะมาอ้างว่า เพราะทำให้ลูกเรา...แค่โดนว่าคนเดียวพอละ จะให้มาว่าลูกเราอีกไม่ได้”

เมื่อหาทางลงให้ตัวเองได้เหมือนแพรจึงลงไปข้างล่าง เข้าไปในครัวจึงได้เห็นว่ากัณฑ์ฟุบคว่ำหน้าอยู่ที่โต๊ะ ในสภาพที่นั่งเก้าอี้หมิ่นๆ หวั่นจะตก ทำเอาเหมือนแพรถลาเข้าไปหาอย่างตกใจ แต่กลับได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอซึ่งบ่งบอกว่าเขาหลับอยู่ 

“ทำไมมานอนตรงนี้ล่ะ” หญิงสาวพึมพำอย่างตำหนิ ก่อนจะหันไปเห็นโถแก้วบรรจุผลไม้ดองที่วางเรียงราย โถหนึ่งกัณฑ์กอดไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถือผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ไว้ “อย่าบอกนะว่าเช็ดโถอยู่แล้วผล็อยหลับ” 

เธอพึมพำก่อนจะแตะไหล่คนหลับเขย่าเบาๆ แต่ก็ทำเอาคนถูกปลุกสะดุ้ง แต่ด้วยความที่หญิงสาวยืนอยู่ข้างๆ เฉียงไปทางด้านหลังเขาจึงมองไม่เห็น บวกกับจำได้ว่าทำงานค้างอยู่ก็เลยทำต่อ นั่นคือเช็ดโถให้สะอาดเพื่อจะเอาเข้าตู้เก็บ แล้วโถมะยมดองในมือก็เป็นโถสุดท้าย

“เสร็จแล้ว ต่อไปน้องแพรก็จะมีผลไม้ดองกินแล้ว ไม่ต้องกลัวท้องเสีย เพราะมั่นใจว่าสะอาดชัวร์” 

เหมือนแพรมองคนที่ใช้ผ้าในมือเช็ดโถแก้ว พร้อมกับอ้าปากหาวแล้วก็ทั้งสงสารปนเอ็นดู แต่กระนั้นชายหนุ่มก็มีรอยยิ้ม เธอสังเกตเห็นจากกระจกหน้าต่าง แล้วกระจกบานเดียวกันนั้นเองที่ก็ทำให้ชายหนุ่มเห็นว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลัง ชายหนุ่มสะดุ้ง ก่อนจะรีบลุกหันหน้าไปหา

“น้องแพรลงมาทำไมคะ หรือว่าน้ำหมด มาเอาน้ำเหรอคะ”

เหมือนแพรอ้ำอึ้งก่อนจะพยักหน้า “ค่ะ แพรหิวน้ำ” 

“พี่เอาน้ำไปไว้ให้ข้างบนแล้วนะคะ อยู่ที่โต๊ะถัดข้างเตียงไปหน่อย สงสัยเอาไว้ตรงนั้นน้องแพรจะมองไม่เห็น เมื่อก่อนวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง แล้วเราเคย...”   กัณฑ์ยั้งปากได้ทัน ไม่ได้บอกไปว่าเพราะทำการบ้านกัน แล้วไปโดนเข้าจนเหยือกน้ำตกลงมาแตก ตั้งแต่นั้นมาน้องก็เลยให้เอาเหยือกน้ำไปวางที่โต๊ะไกลกว่าหน่อย 

“เคยอะไรคะ” อาการชะงักงันของกัณฑ์ทำให้เหมือนแพรสงสัย ยิ่งเขาทำเป็นหันไปเทน้ำใส่แก้วให้ยิ่งอยากรู้ เมื่อชายหนุ่มหันมาพร้อมแก้วน้ำที่ยื่นให้ เธอจึงถามออกไป “เราเคยอะไรคะ”

“พี่เคยชนตกค่ะ เพราะซุ่มซ่ามน่ะ” ทั้งที่อยากจะหยอกน้อง แต่คิดว่าสถานการณ์นี้ไม่น่าจะเหมาะ เป็นการเสี่ยงที่จะทำให้น้องอึดอัด และเสี่ยงที่แก้วน้ำในมือเธอจะเหวี่ยงมาใส่หัวเขา “เอาเพิ่มมั้ยคะ” 

“พอแล้วค่ะ...ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวบอกขณะคืนแก้วให้คนเป็นพี่ที่ดูกระตือรือร้นเอาใจเธอ ไม่มีท่าทางสะลึมสะลือเหมือนก่อนหน้านี้สักนิด “ที่พี่กัณฑ์ไม่ขึ้นไปนอน เพราะมัวแต่ทำของพวกนี้อยู่เหรอคะ”

“ครับ มีหลายอย่างเลย น้องแพรรออีกสามสี่วันก็เริ่มกินได้แล้วละ” เมื่อเห็นเหมือนแพรทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เขาจึงรู้สึกเก้อๆ จึงเสก้มลงทำเป็นพูดกับลูกในท้องเธอ 

“ลูกคร้าบ พ่อทำให้หนูแล้วนะ ต่อไปถ้าหนูอยากกิน แม่แพรก็ไม่ต้องเสี่ยงท้องเสียแล้วนะ มีทุกอย่างเลย มะม่วง มะขาม มะปราง มะยม องุ่นก็มีนะ พุทราก็มี แล้วก็กระท้อนด้วย กินได้สบายเลย ถ้าหมดก็จะทำให้ใหม่ แต่ป้าหมอบอกว่ากินได้ แต่อย่ากินเยอะนะ ยังไงของดองก็ไม่ดี” 

พูดออกไปแล้วก็รู้สึกเก้อ เมื่อเหมือนแพรไม่ยอมพูดอะไรกลับมานอกจากมองเขานิ่งๆ จึงได้แต่ยิ้มเขินๆ แล้วหันไปเก็บโถผลไม้เข้าตู้เก็บ 

ตอนแรกเหมือนแพรว่าจะเดินขึ้นห้องไปเลย แต่สุดท้ายเธอกลัวว่ากัณฑ์จะทำอะไรต่ออีกจึงยืนรอ แล้วก็จริง ชายหนุ่มทำท่าจะไปเก็บกวาดห้องครัวที่ทำเลอะไว้

“พี่กัณฑ์ไม่ต้องเก็บก็ได้มั้งคะ ไว้ให้เด็กมาเก็บพรุ่งนี้ พี่ควรไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้พี่ไม่ไปทำงานเหรอคะ...ต่อให้เป็นประธานบริษัท ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรหยุดงานนานๆ นะคะ”

กัณฑ์สะอึกเมื่อน้องดักคอ “พี่อยากอยู่เป็นเพื่อนน้องแพรอีกวัน”

“ไม่จำเป็นค่ะ พรุ่งนี้แพรจะไปทำงานแล้ว”

“ทำงาน?”

“แพรเป็นเจ้าของร้านดอกไม้ไม่ใช่เหรอคะ พรุ่งนี้แพรจะไปทำงานที่ร้านดอกไม้ของแพร” หญิงสาวบอกสิ่งที่เธอจะทำ “หรือถ้าพี่กัณฑ์จะหยุดก็ตามสบายเลยนะคะ แต่พรุ่งนี้แพรจะไปทำงาน” 

“น้องแพรยังไปทำงานไม่ได้” คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวทำหน้ายุ่งขึ้นทันที “น้องแพรจำไม่ได้เหรอที่พี่เล่าเรื่องพ่อของน้องแพรให้ฟัง ตอนนี้ทั้งตำรวจ ทั้งนักข่าวตามหาพ่อของน้องแพรอยู่ น้องแพรไปร้านตอนนี้ไม่เหมาะหรอก”

“พวกเขาจะทำอะไรแพรเหรอคะ...ถ้าแค่มาขอข้อมูล แพรก็ไม่กลัวค่ะ ถ้าเหตุผลของพี่กัณฑ์มีแค่นี้ พรุ่งนี้แพรจะไป...ถ้านั่นคือความจริงเกี่ยวกับตัวแพร แพรก็จะไปเผชิญหน้ากับมัน” 

พูดจบก็เดินออกไป ถึงตอนนี้กัณฑ์จำต้องเดินตามน้องกลับขึ้นห้องไปด้วยท่าทางหนักใจ ความจริงเขาดีใจที่น้องเป็นคนกล้า แต่กังวลว่าที่เธอกล้าเพราะจำความน่ากลัวของโลกภายนอกไม่ได้มากกว่า ซึ่งตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าจะอ้างเหตุผลอะไรที่จะไม่ให้น้องไปที่ร้าน 

เฮ้อ...ไว้ค่อยไปแก้ปัญหาที่หน้างานเอาละกัน 

เมื่อคิดได้อย่างนั้นชายหนุ่มส่งข้อความหาปราณี ซึ่งเป็นผู้จัดการร้านดอกไม้ แจ้งข้อความสำคัญว่า 

พรุ่งนี้น้องแพรบอกจะไปที่ร้าน ผมห้ามก็ไม่ฟัง เตรียมรับมือกันให้ดีด้วย’ 

ส่งข้อความพลางเดินเข้าห้องมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปเห็นสิ่งที่น้องเตรียมให้ ผ้าห่มและหมอน เห็นแบบนั้นแล้วทำให้เขายิ้มออกมาอย่างดีใจ ก่อนจะอ้าปากหาว 

“ยิ้มอะไรคะ...ง่วงก็นอนสิคะ” เหมือนแพรที่อยู่บนเตียงหันมาถามเสียงเขียว   “ปิดไฟด้วยนะคะ”

“ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับน้องแพร” 

เหมือนแพรไม่พูดอะไรกลับมา เธอทิ้งตัวลงนอนแล้วพลิกตัวหันหลังให้คนที่เธอไม่อยากเห็นหน้า ส่งผลให้กัณฑ์ยิ้มค้าง เดินไปปิดไฟในห้องก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาเบดแล้วถอนหายใจ พร้อมหลับทันทีที่หัวถึงหมอน ได้กลิ่นกายหอมๆ ของน้องก็ทำให้รู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยเขาก็ยังมีโอกาสได้อยู่ใกล้น้อง นี่ต่างหากที่สำคัญ เมื่อได้โอกาสเขาก็จะใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่วันนี้...

“เหนื่อยจัง...ขอพักก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันนะ...ฝันดีครับน้องแพร” 

แสงแดดอ่อนยามเช้าทอลำแสงเข้ามาผ่านประตูกระจกที่เชื่อมไปทางระเบียง เผยให้ห้องนอนดูสว่างแม้ไม่ได้เปิดไฟ กัณฑ์ที่หลับอยู่บนโซฟาทำเพียงพลิกตัวหนีแสงสว่างแล้วหลับต่อเพราะเพิ่งได้นอน ในขณะที่เหมือนแพรรู้สึกตัวตื่นอย่างสดใส เพราะได้นอนเต็มอิ่ม 

คราแรกหญิงสาวตั้งใจจะลุกขึ้นนั่งทันที แต่นึกขึ้นได้ว่าการลุกขึ้นนั่งไวๆ จะมีอาการหน้ามืด จึงปรายตาไปทางสามีที่ตอนนี้มีสถานะเพียงเพื่อนร่วมห้อง เห็นว่าเขายังคงหลับ หันหน้าเข้าหาพนักโซฟาเบดตัวใหญ่ นอนกอดอกตัวงออย่างคนที่ต้องการหนีความหนาว เพราะผ้านวมลงไปกองอยู่ที่พื้น 

“ไม่ยอมห่มผ้า เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” หญิงสาวพึมพำพลางค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ขยับลงจากเตียง สวมรองเท้าผ้าแล้วรีบเดินไปหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มคนที่ยังหลับ ทำตามสัญชาตญาณที่เธอเคยทำโดยไม่รู้ตัว กระทั่งตอนนี้รู้ว่าเธอไม่ควรทำอย่างนี้ ไม่ควรแสดงความอาทรห่วงใยให้ผู้ชายที่ไม่ไยดีเธอ แต่เมื่อทำลงไปแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จะให้ดึงผ้าห่มทิ้งอีกก็ดูจะเสี่ยงเกินไปที่จะก้มลงไปหาคนที่หลับอยู่ เกิดเขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเห็นคงปั้นหน้าไม่ถูก จึงตัดสินใจย่องออกมา 

ตายแล้ว!  

โชคไม่เข้าข้างเมื่อมือเจ้ากรรมปัดไปโดนแจกันร่วงจากโต๊ะกลางโซฟา ความตกใจทำให้รีบก้มลงไปคว้า โชคยังดีที่คว้าไว้ได้ทัน แต่เข่าทั้งสองข้างก็กระแทกพื้น แม้ไม่แรงมาก แต่ก็เจ็บจนต้องลงไปนั่งพับเพียบอยู่ข้างๆ โต๊ะข้างโซฟา คลำเข่าป้อยๆ ก่อนจะดีขึ้นแล้วหยิบแจกันไปวางที่เดิม 

เกือบแย่แล้วแพร รีบออกไปจากที่นี่ดีกว่า...

บอกตัวเองอย่างนั้น แต่ในจังหวะที่กำลังจะลุก กัณฑ์ก็พลิกตัวกลับมา คนที่ตกใจไม่อยากให้ชายหนุ่มเห็นว่าเธอมาอยู่ตรงนี้ถึงกับตัวแข็งไปชั่วขณะ ภาวนาอย่าให้เขาลืมตาขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ กระเถิบตัวเองถอยหลังเพื่อจะออกไปจากตรงนี้ เหมือนแพรย่อตัวลง ตัดสินใจมุดเข้าไปที่ใต้โต๊ะกลาง คิดว่าโต๊ะกลางโซฟาจะช่วยบังตัวเธอจากสายตาคนที่ดูเหมือนกำลังจะตื่น  

“น้องแพร...” 

คนที่คุดคู้อยู่หัวใจจะวาย ยิ่งเห็นสภาพตัวเองในเวลานี้ยิ่งรู้สึกอยากหายไปจากตรงนี้ กลัวคำถามที่จะตามมา ถ้าถูกถามว่ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ทำไมไปซุกอยู่ใต้โต๊ะกลางอย่างนั้นเธอจะตอบเขาว่าอย่างไร จะบอกว่ามาห่มผ้าให้ก็ไม่ได้ เหมือนแพรไม่มีทางบอกให้ผู้ชายคนนี้รู้ว่าเธอห่วง กลัวว่าเขาจะหนาว จะเป็นไข้ 

“น้องแพรคร้าบ--บบบ...” 

เหมือนแพรแทบจะกลั้นหายใจ แต่สุดท้ายก็ต้องบอกตัวเองว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด หนีไม่ได้ก็ต้องเผชิญหน้า คิดได้ดังนั้นจึงค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นมาจากโต๊ะกลางโซฟา หันมองไปทางโซฟาเบด แล้วก็ต้องประหลาดใจปนดีใจ ดูเหมือนว่ากัณฑ์จะยังไม่ตื่น เขาแค่ละเมอแล้วยิ้มเหมือนดีใจอะไรนักหนา 

“พี่กัณฑ์ทำผลไม้ดองแล้วนะ...ชิมดูนะคะ...อร่อยมั้ย พี่ทำพริกเกลือให้ด้วย...อร่อยเหรอครับ ดีใจจัง พี่ทำครั้งแรกเลยนะ ดีใจจังที่น้องแพรยอมกิน” 

คราวนี้คนละเมอยิ้มแฉ่ง ส่งผลให้คนที่เงิบกับความเข้าใจผิดของตัวเองอยู่ถึงกับหลุดขำทั้งตัวเองทั้งคนละเมอ โดยเฉพาะคนละเมอที่ยิ้มหน้าบานสุดๆ 

จะดีใจอะไรขนาดนั้น...แค่เราบอกว่าอร่อย

แถมยังฝันเป็นตุเป็นตะว่าเราชม...

ยังไม่ได้บอกว่าจะกินให้ซะหน่อย...

คิดไปอย่างนั้น แต่พอนึกภาพที่ผู้ชายคนนี้ลงทุนทำผลไม้ดองให้อยู่ครึ่งค่อนคืนก็ดูจะเปลี่ยนใจ 

จะชิมให้ก็ได้...เห็นแก่ลูกหรอกนะ 

“แต่ถ้าไม่อร่อยก็จะไม่กินต่อนะ แพรบอกไว้เลย” หลุดพูดออกมาก่อนจะรีบปิดปากตัวเอง โชคดีที่คนหลับยังคงไม่รู้สึกตัว จากนั้นเธอค่อยๆ คลานออกไปจากตรงนั้น หันหลังให้โซฟาเบด เป็นจังหวะเดียวกับที่กัณฑ์รู้สึกตัวตื่น แต่ยังงัวเงีย จึงไม่ทันเห็นว่ามีใครบางคนกำลังคลานเข่าออกไปให้พ้นจากจุดที่สายตาเขามองเห็น 

“กี่โมงแล้วเนี่ย...” ชายหนุ่มพึมพำพลางเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือมาดู “หกโมงสิบนาที...เช้าแล้ว ยังเหนื่อยอยู่เลย” 

ต่อให้บอกว่ายังเหนื่อย แต่เขาก็ดีดตัวเองลุกขึ้นนั่ง ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไรก็มีเสียงของตกดังมาจากทางเตียงนอน เขาหันขวับไปทางต้นเสียง เห็นเหมือนแพรนั่งอยู่กับพื้นในสภาพที่มือข้างหนึ่งยกขึ้นปิดตาตัวเอง ในขณะที่มืออีกข้างค้ำยันตัวไว้ไม่ให้ล้ม สิ่งที่ตกอยู่บนพื้นคือแก้วน้ำที่น้องน่าจะเพิ่งรินน้ำจากเหยือกบนโต๊ะ 

“น้องแพร...” กัณฑ์เข้าถึงตัวน้องจากด้านหลัง ใช้สองมือจับต้นแขนเธอแล้วยกตัวขึ้น ดึงเข้ามาหาตัว กึ่งกอดกึ่งประคอง ท่าทางที่เหมือนแพรเอามือปิดตาบ่งบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ คงไม่ใช่แค่เผลอทำแก้วน้ำหลุดมือ “น้องแพรเป็นอะไรครับ”

“แพรเวียนหัวค่ะ” 

นั่นคงเป็นสาเหตุที่เธอปิดตาตัวเองไว้ เพราะถ้าลืมตาคงยิ่งรู้สึกมึนหัวเข้าไปใหญ่ แต่ยังไม่ทันที่กัณฑ์จะว่าอะไร มือที่เหมือนแพรใช้ปิดตาก็เลื่อนลงมาปิดปาก 

“แพรอยากอ้วก...แพรอยากไปห้องน้ำ...พี่กัณฑ์ แพรจะอ้วก!”

ถึงตอนนี้กัณฑ์ก็รวบขาน้องขึ้นอุ้มท่าเจ้าสาว แต่ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวไปพ้นห้องน้องก็อาเจียนออกมา...น้ำที่เธอเพิ่งดื่มไปหนึ่งแก้วราดรดตั้งแต่ปลายคางเขาไหลลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกทันที ในขณะที่คนทำเรื่องก็ตกใจ รีบยกมือไหว้อย่างลืมตัวและรู้สึกผิด 

“โอเค...ไม่เป็นไร...พี่ไม่เป็นไร สงสัยลูกจะรับน้องพ่อ” 

คำพูดนั้นทำให้เหมือนแพรหลุดยิ้ม และทำให้กัณฑ์ขมวดคิ้ว 

“หวังว่าไม่ใช่ความตั้งใจของน้องแพรนะ...ไม่ได้แกล้งพี่อยู่...ใช่มั้ยคะ”

น้องไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่ยกมือปิดปากตัวเอง...ทั้งยังอุตส่าห์ส่ายหน้า ก่อนจะชี้มือไปที่ห้องน้ำ...

ถึงตอนนี้กัณฑ์ก็จำต้องรีบอุ้มน้องไปก่อนที่จะโดนน้องอาเจียนใส่อีกรอบ...

เหมือนแพรมองภาพที่กัณฑ์เก็บเศษแก้วและเช็ดพื้นด้วยความรู้สึกผิด ก่อนหน้านี้เธอก็อาเจียนรดตัวเขา แม้ในกระเพาะจะไม่มีอะไรนอกจากน้ำแก้วเดียวที่ดื่มไป ก่อนจะเติมแก้วสอง เธอรู้สึกหน้ามืดจนทำแก้วน้ำหลุดมือตกแตก เป็นเหตุให้คนที่เพิ่งได้นอนสะดุ้งตื่นมาดูแลเธอ ทั้งพาไปห้องน้ำ คอยดูแลลูบหลังให้ตอนที่รู้สึกคลื่นไส้ รอให้เธอทำธุระส่วนตัวจนเสร็จแล้วจึงพยุงกลับมาที่เตียง เพราะดูเหมือนอาการแพ้ท้องของเธอวันนี้จะยังไม่หายไปง่ายๆ แม้เธอจะทำปากเก่ง จะเดินเอง ไม่ให้อุ้ม แล้วยังยืนกรานว่าจะไปทำงานที่ร้านดอกไม้ 

‘โอเค ไปที่ร้านดอกไม้ก็ไป แต่ตอนนี้แค่น้องแพรจะยืนให้ตรงก็ยังไม่รอด รอให้ยืนตรงๆ ได้ก่อนแล้วพี่สัญญาว่าจะพาน้องแพรไปร้านดอกไม้...ไหนบอกว่าจะคุยกันด้วยเหตุผล นี่ไงคะเหตุผล ถ้าน้องแพรอยู่ในสภาพนี้ คงไม่แคล้วทำให้คนที่ร้านวุ่นวายต้องมาช่วยดูแลต้องห่วง อย่าเพิ่งพูดถึงการไปทำงานเลย’

คำพูดนั้นแม้จะดูมีเหตุผล แต่ก็ดูจะขัดหูคนฟังอยู่ไม่น้อย นั่นส่งผลให้เธอหน้าคว่ำจะเดินกลับห้องเอง แต่ก็ยังเซซ้ายขวา พี่จะอุ้มมาส่งก็ไม่ยอม สุดท้ายก็ทำได้แค่ช่วยประคองให้มานอนพักต่อบนเตียง เมื่อเห็นเศษแก้วที่ตัวเองทำแตกไว้ก็ยังอวดเก่งจะเก็บ แต่เพียงพี่ปล่อยแขนเธอก็เซจนเกือบล้ม สุดท้ายพี่ก็ต้องอุ้มมาวางบนเตียง ซึ่งเธอยังจะบอกว่าทิ้งไว้อย่างนั้น เดี๋ยวเธอหายจะไปเก็บเอง

‘ถ้าน้องแพรทำไหว พี่จะให้ทำนะ แต่ตอนนี้ขอพี่ทำให้ ทิ้งไว้อย่างนี้ไม่ดี เกิดพี่ลงไปข้างล่าง น้องแพรลืม เผลอลุกขึ้นมาเหยียบเศษแก้ว หรือเหยียบน้ำลื่นล้มจะทำยังไง...ขอร้องละ...นะครับ อย่าดื้อเรื่องที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของน้องแพรกับลูก’

น้ำเสียงกัณฑ์ดูอ่อนโยน แววตาบ่งบอกว่าไม่ได้ประชด ตาแดงและใต้ตาคล้ำอย่างคนที่นอนไม่พอ เพราะไปทำของกินให้เธอ เขาควรได้พักมากกว่านี้ แต่เธอก็ทำเขาตื่น เท่านั้นไม่พอยังจะให้เขามาเหนื่อยกับความพยศอยากเอาชนะของเธออีก ถ้าไม่อยากเป็นภาระจริงๆ ก็ไม่ควรเพิ่มงานให้ ไม่ควรให้พี่ต้องมาให้เหตุผลที่เธอก็ควรรู้ได้เองไม่ใช่หรือ   

“ขอโทษที่เพิ่มงานให้ค่ะ” หญิงสาวบอกเมื่อพี่เสร็จจากการเอาเศษแก้วไปทิ้ง พร้อมกับเปลี่ยนเสื้อพร้อมจะลงไปข้างล่างเพื่อหาอะไรมาให้เธอกิน “ขอบคุณที่ช่วยแพรค่ะ” 

กัณฑ์เอื้อมมือแตะศีรษะคนที่ยกมือไหว้เขาซึ่งนั่งอยู่บนเตียง เขายิ้มให้อย่างอ่อนโยน เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองรู้สึกว่าเขายินดีทำให้เธอ 

“เดี๋ยวพี่จะลงไปทำอะไรมาให้กินนะ ป้าหมอบอกว่าถ้าน้องแพรตื่นมาแล้วมีอาการแพ้ก็ให้พัก แล้วก็หาอะไรมาให้กินแล้วจะดีขึ้น...ถ้าดีขึ้นพี่จะพาน้องแพรไปที่ร้านดอกไม้” 

เหมือนแพรมองคนที่ออกไปจากห้องด้วยแววตาเศร้าอย่างประหลาด รู้สึกสับสนกับการจะแสดงความรู้สึกต่อกัณฑ์ 

ผู้ชายคนนี้ทำดีกับเธอมากๆ แสดงออกอย่างอ่อนโยน ถึงแม้เธอจะทำตัวน่าเบื่อ น่าหงุดหงิดอย่างไร เขาก็ไม่ได้แสดงออกว่าการอยู่กับเธอต้องใช้ความอดทน บ่อยครั้งที่เขาแสดงออกให้เธอเห็นว่า เขาก็แค่ขำ อาจมีส่ายหน้าระอาเบาๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกให้เธอรู้สึกแย่ 

“ทำไมพี่กัณฑ์คนนี้กับคนนั้นเหมือนไม่ใช่คนเดียวกัน ทั้งที่พี่อ่อนโยนกับแพรขนาดนี้ ทำไมวันนั้นพี่กัณฑ์ถึงได้พูดอย่างนั้นกับแพร ทำไมพี่ต้องไล่ให้แพรไปตายด้วย” 

เหมือนแพรเหมือนติดกับดัก เธอชอบความอ่อนโยนและใจดีที่กัณฑ์ทำให้ แต่เพราะเธอจำความเป็นเขาในอดีตไม่ได้ จำได้แต่เหตุการณ์ร้ายๆ ในวันนั้น จึงทำให้เธอไม่ไว้ใจ หวาดกลัวว่าสักวันเขาจะแสดงออกอย่างนั้นอีก เธอไม่อยากเสียใจอีกแล้ว จึงไม่อยากยอมรับ ไม่อยากปล่อยตัวปล่อยใจให้ผู้ชายคนนี้อีก 

มันคงมีเหตุผลว่าทำไมอยู่ๆ เธอจึงสูญเสียความทรงจำ เหตุผลนั้นอาจเป็นเพราะเธอเจ็บเพราะผู้ชายคนนี้จนอยากลืมเขา เมื่อลืมไปแล้ว สิ่งที่จำได้เป็นอย่างแรกคือคำพูดของเขาที่ทำร้ายเธอ 

‘คนของพวกคุณมาแล้ว...เชิญเอาคนของคุณไปเลย...เอากลับไปเลย แล้วอย่ามายุ่งกับแพรอีก เอาเขาไปให้พ้นจากชีวิตแพรได้เลย...แพรไม่ต้องการ!’

‘ดี! พูดแล้วทำให้ได้ล่ะ อย่ามาใช้มารยาล่อลวงลูกฉันอีกล่ะ…ต่อไปนี้แกก็หมดทุกข์หมดโศกแล้วนะลูก กลับบ้านเรากันเถอะ แม่จะทำบุญล้างซวยให้ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่...เจ้ากัณฑ์แกฟังแม่อยู่มั้ย แล้วนั่นแกจะไปไหน แกจะตามมันไปทำไม อย่าไปนะ โอ๊ย!...กลับมานะ! เจ้ากัณฑ์!’

“ก่อนหน้านี้เราเป็นคนอย่างนั้นเหรอ ใช้มารยาล่อลวงพี่กัณฑ์ให้สงสารเหรอ” 

ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอก็คงไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีนัก คนเราควรอยู่ด้วยกันด้วยความรักและตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน เธอคงไปแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่ปัจจุบันเธอจะเป็นคนที่เธออยากเป็น จะไม่เสแสร้ง ไม่ใช้มารยาล่อลวงใคร ไม่หลอกใช้ความสงสารของใคร ไม่ทำตัวให้น่าสงสาร เพราะถ้าต้องให้ใครคนหนึ่งมาอยู่ด้วยเพราะความสงสาร สุดท้ายเธอก็จะเป็นคนที่น่าสมเพช 

“เราจะไม่เป็นคนที่น่าสมเพช...” เหมือนแพรบอกตัวเองด้วยแววตากล้า ก่อนจะก้มมองท้องที่มือของเธอลูบอยู่ “ลูกจ๋า...เราสองคนแม่ลูกจะไม่ทำตัวน่าสมเพช ถ้าพ่อเขาไม่อยากอยู่กับเรา ไม่ได้อยากอยู่เพราะรัก เราก็จะไม่รั้งเขาไว้นะ หนูอย่าทำให้แม่แพ้ท้องเลยนะ ถ้าแม่ยังเป็นแบบนี้ แม่ก็จะดูแลตัวเองไม่ได้ แม่จะพิสูจน์ให้พ่อของหนูเห็นว่าแม่พึ่งพาตัวเองได้...เพราะงั้นอย่างอแงกับแม่นะ” 

ต่อให้ขออย่างนั้นกับลูกไป แต่สุดท้ายเหมือนแพรก็ยังคงลุกจากเตียงไม่ไหว เพียงแค่ขยับตัวก็รู้สึกเหมือนพื้นหมุนจึงต้องลงนั่งที่เดิม พร้อมกับพึมพำกับตัวเองว่า ‘วันนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่วันพรุ่งนี้ต้องไม่เป็น’ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอน ก่อนจะเผลอหลับไป กระทั่งถูกเรียกให้ตื่นด้วยกลิ่นอาหารหอมฉุยอย่างสลัดผลไม้ ขนมปังปิ้ง น้ำส้มคั้น แล้วสิ่งที่ไม่เคยขาดคือดอกไม้ช่อเล็กๆ ที่ถูกจัดวางอยู่ใกล้ๆ ทำให้อาหารดูน่ากินมากขึ้น

“น่ากินจังค่ะ” เหมือนแพรบอกหลังจากไล่ดูอาหารตรงหน้าตาแป๋ว น้ำลายสอจนต้องกลืนน้ำลาย นั่นทำให้คนที่จัดอาหารมาให้เธอยิ้มอย่างมีความสุข 

“น่ากินก็กินเลยสิคะ” กัณฑ์บอกพลางหยิบช้อนและส้อมส่งให้ถึงมือน้อง “พี่เชื่อว่าถ้าน้องแพรกินเยอะๆ ท้องไม่ว่าง อาการแพ้ท้องของน้องแพรจะหาย แล้วถ้าหายพี่สัญญาว่าจะพาน้องแพรไปร้านดอกไม้ พี่บอกพี่ณีไว้แล้วว่าวันนี้เจ้าของร้านจะไป ให้คุณผู้จัดการเตรียมต้อนรับด้วย”

“ผู้จัดการ? พี่ณีคือผู้จัดการร้านดอกไม้ของแพรเหรอคะ” นั่นคือสิ่งที่ทำให้เหมือนแพรประหลาดใจ “ดีจังค่ะ แพรจะได้อยู่กับพี่ณี พี่กัณฑ์ไปส่งแพรแล้วไปทำงานได้เลยนะคะ แพรอยู่กับพี่ณีได้”

“ไล่จริงเชียว...ก็บอกแล้วไงว่าอาทิตย์นี้พี่อยู่ดูแลมะ...” เกือบจะหลุดปากว่าเมีย แต่รู้ว่าน้องคงไม่ชอบใจจึงเลี่ยง “พี่อยู่ดูแม่ของลูกพี่ให้แน่ใจว่าปรับตัวได้แล้ว พี่ถึงจะไปทำงาน...เอาน่า นานๆ พี่หยุดที ถือว่าพี่ได้พักผ่อน กินต่อได้แล้ว อยากหายไวๆ ไม่ใช่เหรอคะ”

เหมือนแพรชอบน้ำเสียงเวลาที่กัณฑ์พูด ‘คะขา’ กับเธอ ให้ความรู้สึกคุ้นเคยและเป็นกันเอง ทำให้เธอใจอ่อนและเผลอพยักหน้าให้เขาอย่างง่ายๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขาจึงรู้ตัวว่าพลาดไป แต่ครั้นจะกลับคำก็คงไม่ดี จึงแก้เก้อโดยการตักสลัดเข้าปาก ขณะที่กัณฑ์ทำท่าจะขยับออกไปนั่งมองห่างๆ เพราะรู้ว่าน้องคงสะดวกใจกว่า แต่เขาก็ต้องประหลาดใจในสิ่งที่น้องทำ 

“มากินด้วยกันสิคะ ของตั้งเยอะแพรกินไม่หมดหรอกค่ะ แล้วอีกอย่างแพรจะได้ไปร้านดอกไม้ไวๆ ไม่ต้องเสียเวลารอพี่กัณฑ์กินข้าวเช้าอีกไงคะ” คราวนี้คนน้องแบ่งช้อนในมือที่เธอใช้อยู่ให้พี่ “คราวหน้าต้องจัดช้อนส้อมมาสองชุดนะคะ วันนี้ก็ใช้แบบนี้ไปก่อนค่ะ รับไปสิคะ...เร็วๆ เข้า แพรจะได้กินต่อ หิวแล้วเนี่ย” 

“รถติดจังนะคะ” เหมือนแพรอดบ่นไม่ได้เมื่อรถที่กัณฑ์ขับพาเธอออกมาจากบ้านติดไฟแดงมาสามรอบแล้ว ก็ยังไม่พ้นไฟแดงสักที 

“ทำไมไฟเขียวฝั่งเราถึงสั้นจังคะ รถวิ่งไปยังไม่ทันห้าคันก็เปลี่ยนละ แล้วเราจะต้องติดไฟแดงแบบนี้อีกกี่แยกคะกว่าจะถึงร้านดอกไม้ของแพร แล้วทำไมร้านดอกไม้ถึงได้มาตั้งกลางเมืองแบบนี้จะเสียค่าเช่าไหวเหรอคะ หรือว่าขายดีมากๆ”

กัณฑ์ไม่ตอบในทันที เหลือบมองคนที่บ่นเป็นหมีกินผึ้งมาตั้งแต่เลี้ยวรถออกจากหมู่บ้านเข้ามาในเขตเมือง ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ถนนเส้นนี้รถติดมากโดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ 

“พี่กัณฑ์ไฟเขียวแล้วไปเลยค่ะ ไปเลยสิคะ” 

“จะไปได้ไง ต้องรอรถคันหน้าก่อน ใจเย็นคราวนี้พ้นแน่ เลี้ยวพ้นแยกผ่านอาคารสูงนั่นก็ถึงแล้วละ”  

ต่อให้พูดอย่างนั้น แต่สุดท้ายไฟแดงก็มาก่อนที่รถจะพ้นแยก กลายเป็นว่าต้องติดไฟแดงเป็นคันแรก ทำให้คนเบื่อรถติดหน้าคว่ำอย่างหงุดหงิด บ่นพึมพำกับตัวเอง

“ถ้ารู้ว่าร้านอยู่ไหน แพรจะลงเดินซะให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าเป็นแบบนี้แพรจะไปทำงานทันได้ยังไงคะ”

“ก็พี่บอกน้องแพรแล้วไงว่าถ้ามาช่วงนี้รถจะติด บอกให้รอออกช่วงเก้าโมงก็ไม่เชื่อพี่” คนพี่บ่นไม่ได้จริงจังนัก ก่อนจะชวนคุย “ปกติน้องแพรจะออกไปทำงานพร้อมพี่ตอนเจ็ดโมงไปถึงร้านก่อนรถติด ถนนเส้นนี้ถ้าออกหลังเจ็ดโมงครึ่งจะติดยาว แล้วจะโล่งอีกทีก็ตอนเก้าโมงครึ่งถึงสิบเอ็ดโมงครึ่ง จากนั้นก็จะติดยาวอีกเพราะเป็นเขตออฟฟิศน่ะ” 

“แล้วแพรจ่ายค่าเช่าตึกพวกนี้ไหวเหรอคะ”

“แพรไม่ต้องจ่ายค่าเช่า เพราะตึกนั้นเป็นตึกของน้องแพร ความจริงคือถ้าให้เช่าตึก รายได้อาจจะดีกว่าเปิดร้านดอกไม้นะ มีคนมาติดต่อขอเช่าตึกกับน้องแพรตลอดเลย แต่น้องแพรบอกว่าจะทำร้านเพราะใจรัก อีกทั้งคนงานในร้านก็จะได้ไม่ตกงานด้วย”

“ในร้านมีคนทำงานกี่คนคะ นอกจากพี่ณีแล้วมีใครอีก”

“ถ้าอยู่ประจำก็ห้าคน ผู้ใหญ่สี่และเด็กผู้ชายสี่ขวบคนหนึ่ง”

“เด็กผู้ชาย?” เหมือนแพรดูสนใจ “ลูกคนงานในร้านเหรอคะ”

“ครับ แต่น้องไม่ปกตินะ น้องเป็นเด็กพิการ...” กัณฑ์พูดได้เพียงเท่านั้นก็ต้องหยุดเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยน เขารีบออกรถพาเหมือนแพรไปให้พ้นแยกนี้ก่อนที่จะโดนบ่นอีก เมื่อรถพ้นแยกมาได้ก็ผ่านอาคารสำนักงานใหญ่ พ้นจากตรงนั้นไปก็เป็นซอยและเห็นอาคารแบบโฮมออฟฟิศสี่ชั้นสไตล์โมเดิร์นตั้งโดดเด่น มีรั้วเตี้ยๆ เป็นสัดเป็นส่วน ด้านหน้าอาคารเป็นลานกว้างจอดรถได้มากกว่าสิบคัน 

เหมือนแพรเกาะกระจกรถมองป้ายร้าน ‘Muean Phrae Flower House’ ในขณะที่กัณฑ์เลี้ยวรถเข้าไปในอาณาเขตของร้านที่แยกเป็นสัดส่วนจากความวุ่นวายภายนอก 

“สวยจัง น่ารักจัง...นอกจากเป็นร้านดอกไม้แล้วก็เป็นร้านกาแฟด้วยเหรอคะ” นั่นคือสิ่งที่เหมือนแพรเห็นเมื่อรถเลี้ยวเข้ามาด้านใน “พอเข้ามาในนี้เหมือนตัดออกจากโลกภายนอกเลย เมื่อกี้ดูวุ่นวาย แต่ในนี้ดูร่มรื่นน่าอยู่จังค่ะ” 

หญิงสาวมองสิ่งรอบตัวราวกับเพิ่งเห็นครั้งแรก ทั้งที่เธอเคยเห็นจากรูปถ่ายมาแล้ว ในรูปก็ดูสวยน่าอยู่ แต่พอมาเห็นสถานที่จริงก็ยิ่งว้าว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอจึงรักสถานที่แห่งนี้ ที่ที่เธอรู้ว่าคงเต็มไปด้วยความทรงจำที่ดี ความดีใจทำให้รีบจะเปิดประตูลงจากรถ แต่ถูกกัณฑ์รั้งแขนไว้ก่อน 

“ทำไมคะ”

“จำที่พี่บอกไว้ได้มั้ยคะ น้องแพรต้องพรางตัวก่อน ใส่หมวกกับแว่นก่อนค่ะ” กัณฑ์บอกพลางส่งหมวกปีกกว้างกับแว่นดำให้น้องที่ไม่ยอมทำตามในตอนแรก “คนที่อยากเจอตัวน้องแพร ไม่ใช่แค่ตำรวจ หรือนักข่าวนะ ยังมีคนอย่างแม่พี่หรือว่าปิ่นปักอีก พวกเขาอยากเอาคืนสิ่งที่พ่อแพรทำ ถ้าแพรไม่ห่วงตัวเอง ก็ควรห่วงลูกนะ” 

กัณฑ์เรียนรู้ว่าถ้าจะให้น้องว่าง่ายก็ให้อ้างลูก 

“ใครนะช่างคิดได้ว่าใส่หมวกปีกกว้างแบบนี้แล้วใส่แว่นกันแดดจะทำให้คนอื่นไม่สนใจ ของพวกนี้ใส่แล้วยิ่งทำให้คนมอง” 

บ่นแต่ก็ทำตาม ถึงตอนนี้กัณฑ์จึงก้าวลงจากรถแล้วไปเปิดประตูให้น้อง ทำท่าจะไปจูงมือเธอ แต่เธอดึงมือหนี แล้วเดินนำไปทางประตูเข้าร้านที่เป็นกระจก 

แล้วประตูบานนั้นก็ถูกปราณีเปิดออก หญิงสาวได้รับข้อความจากกัณฑ์แล้วจึงรีบออกมาต้อนรับ แล้วตั้งใจจะรีบพาเหมือนแพรเข้าไปทางหลังร้าน หรือโซนห้องทำงานด้านใน 

ท่าทางที่รีบร้อนของปราณีส่งผลให้กัณฑ์รีบก้าวเดินให้ทันเหมือนแพรที่มัวแต่ดีใจ จึงไม่ทันสังเกตว่าที่โซนร้านกาแฟติดกันนั้น มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังพุ่งเป้ามาที่เธอ ผู้หญิงคนนั้นหยิบขวดบางอย่างออกมาจากกระเป๋า รีบเปิดฝาขวดแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาหาเหมือนแพร

“สวัสดีค่ะพี่ณี...” 

“สวัสดีค่ะน้องแพร” 

ปราณีแทบจะไม่ยกมือรับไหว้ เธอรีบเข้าหาตัวเหมือนแพร มองไปทางกัณฑ์จึงไม่เห็นว่ามีคนวิ่งมาจากข้างหลัง หล่อนผลักปราณีจนล้ม “โอ๊ย--ยยย! น้องแพรระวัง!”

คำเตือนของปราณีดังขึ้น หลังจากที่เหมือนแพรเห็นว่ามีคนสาดน้ำบางอย่างใส่เธอ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เกินกว่าที่เธอจะหลบหรือถอยหนี มั่นใจว่าสิ่งที่ถูกสาดมานั้นจะต้องโดนหน้าเธอแน่ๆ ความตกใจทำให้หลับตาลงตามสัญชาตญาณ 

“กรี๊ด--ดดด!” เสียงกรีดร้องอย่างคนขวัญผวาดังขึ้น…

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น