หลังจากช็อกหยุดหายใจไปทีมแพทย์สามารถกู้ชีพเหมือนแพรกลับมาได้เร็ว ไม่ส่งผลกระทบต่อเด็กในครรภ์ ซึ่งมันทำให้กัณฑ์โล่งใจ เขาจัดการย้ายหญิงสาวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ซึ่งมีแพทย์เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคทางจิตใจ แล้วแพทย์ที่ว่าก็เป็นเพื่อนสนิทของเขา ที่สามารถไว้ใจได้ว่าจะดูแลเหมือนแพรเป็นอย่างดี และสามารถอธิบายความข้องใจของเขาได้เต็มที่

‘น่าจะเป็นการเสียความจำระยะสั้น เป็นกลไกป้องกันตัวเอง เป็นกระบวนการทางจิตใจที่ซับซ้อนที่สอดคล้องกับสัญชาตญาณของมนุษย์ เพื่อทำให้ตัวเองสามารถอยู่รอดได้ อย่างในกรณีของน้องแพร ฟังจากที่แกเล่า เธอน่าจะได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง คนเราถ้าเจอสภาวะแบบนี้ อาจจะฆ่าตัวตายให้พ้นความทรมาน ซึ่งนั่นอาจจะง่ายและเห็นได้บ่อยกว่าการเกิดสภาวะสูญเสียความจำเหมือนที่น้องแพรเป็น’

คำพูดของวศินทำให้กัณฑ์ยิ่งนึกรังเกียจตัวเอง เห็นภาพสิ่งที่เหมือนแพรเป็นชัดเจนขึ้น ตั้งแต่ย้ายมาโรงพยาบาลนี้ได้สองวัน น้องยังคงสื่อสารอะไรไม่ได้ ตื่นขึ้นมาก็เหม่อลอย เพื่อนเขาบอกว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ช่วยให้คนไข้ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เพื่อให้สารในสมองได้ปรับตัว ซึ่งเป็นผลดีกับน้องมากกว่าการให้เธอตื่นขึ้นมารับรู้เรื่องที่เธอยังรับมือไม่ได้

‘ถ้าให้ฉันเดา สิ่งที่ทำให้น้องแพรไม่ฆ่าตัวตาย อาจเป็นเพราะเธอท้อง เธออาจจะนึกถึงลูก แต่เรื่องที่เจอก็สาหัสเกินไป มันก็เลยลงเอยแบบนี้ เธอป้องกันตัวเองโดยการปฏิเสธความจริง ไม่ยอมรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น สภาวะแบบนี้บอกไม่ได้ว่าจะเป็นอยู่นานแค่ไหน อาจจะแค่วันสองวัน เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน แต่คิดว่าไม่น่าจะเป็นแบบถาวร’

‘ถ้าเป็นถาวรได้ก็คงดี มีวิธีที่จะทำให้น้องแพรลืมเรื่องที่ฉันทำร้ายจิตใจน้องตลอดไปมั้ยไอ้หมอ’ นั่นไม่ใช่คำถามเพื่อจะเอาความจริง ก็แค่คิดว่ามันคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับน้อง น้องถูกเขาทำร้ายจิตใจจนต้องเป็นแบบนี้

‘ฉันว่าแกมีคำตอบอยู่แล้ว’ วศินรู้ว่าเพื่อนเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เข้าใจว่ามนุษย์เราเวลาถูกกดดันมากๆ ก็เผลอพูดในสิ่งที่เลวร้ายออกไป ‘ฉันไม่ได้อยากซ้ำเติมแกนะกัณฑ์ แต่นี่คือสิ่งที่แกต้องอยู่กับมัน มันคือโทษของแก แกต้องอยู่กับความกลัวที่ว่าเมื่อไหร่น้องแพรจะจำได้ว่าแกพูดอะไรกับน้อง กลัวว่าน้องจะจำได้ว่าแกไล่ให้ผู้หญิงที่แกก็รู้ว่าบอบบางที่สุดไปตาย’

‘ตอนนั้นฉันคิดว่าน้องเห็นแก่ตัว ไม่ยอมช่วยชีวิตคน ใช้คำพูดกับน้องแรงๆ ทั้งที่สุดท้ายที่น้องไม่ทำอย่างที่ฉันขอก็เพราะปกป้องฉัน เพราะกลัวว่าฉันจะตาย’ 

ความจริงเรื่องนี้กัณฑ์และวศินได้รู้ตอนที่เหมือนแพรละเมอ แม้เธอจะถูกให้ยานอนหลับ แต่จิตใต้สำนึกทำให้เธอฝันและพูดมันออกมาให้แพทย์ประจำตัวเธอและสามีรู้ว่าทำไมในวันนั้นเธอเลือกที่จะปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือกัณฑ์ 

‘ไม่ได้...แพรคุยกับพ่อไม่ได้...พ่อจะฆ่าพี่กัณฑ์...ถ้ายังทำยุ่งยาก...พ่อจะฆ่าพี่กัณฑ์...แพรไม่อยาก...ไม่อยากให้พี่กัณฑ์ตาย...พ่อบอกจะฆ่า ถ้าแพรพูด...พ่อไม่ให้แพรยุ่ง...เรื่อง...เรื่องที่พ่อจัดการ...’

แม้ไม่ได้ยินสิ่งที่พ่อของเหมือนแพรขู่เธอ แต่การได้รู้ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกทำให้เขาพอเดาได้ว่า เธอคงเคยไปคุยกับพ่อเรื่องที่พ่อของเธอบังคับกัณฑ์และคุกคามครอบครัวของเขา แต่อาจจะถูกตวาดกลับมา ขู่ว่าถ้ามันยุ่งยากนัก ก็จะจัดการกับกัณฑ์ให้มันจบๆ ซึ่งมันก็จริง เหมือนแพรถูกพ่อของเธอขู่เรื่องนี้จริง เธอจึงไม่กล้าไปคุยกับพ่อของเธอ เพราะถ้าเธอทำอีก พ่อจะตัดปัญหาโดยการทำให้กัณฑ์หายไปจากชีวิตเธอ 

‘ทั้งที่ฉันก็รู้ว่าน้องแพรไม่ใช่คนที่จะคุยกับพ่อได้ ฉันก็ยังเลือกที่จะบีบให้น้องไปทำ’ กัณฑ์ยังคงโทษตัวเอง ‘พอน้องไม่ทำให้ ฉันก็พูดในสิ่งที่...’

‘มันก็ช่วยไม่ได้ แกถูกกดดัน ชีวิตของปิ่นกับดารินตกอยู่ในอันตราย แล้วแกก็ไม่รู้ว่าน้องแพรถูกพ่อขู่ไว้’ วศินยกมือบีบไหล่ให้กำลังใจเพื่อนที่นั่งเฝ้าภรรยาของเขาไม่ยอมห่างไปไหน ‘โทษตัวเองได้นะกัณฑ์ แล้วจำเป็นบทเรียน แต่แกรู้ใช่มั้ยว่าคนเราย้อนกลับไปแก้คำพูดตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่ยังมีสิ่งที่แกทำได้ ถ้าแกบอกว่ารักน้องแพร ก็ทำให้เธอเห็น เพราะยังไงการกระทำมันก็สำคัญกว่าคำพูด ถ้าแกทำให้น้องแพรเห็นว่าแกรักเธอ คำพูดหลุดปากเพราะความโกรธของแกในวันนั้น มันจะไม่สามารถทำร้ายน้องแพรได้อีก’ 

นั่นคือคำแนะนำจากแพทย์เจ้าของไข้ในฐานะเพื่อน คำพูดที่ทำให้กัณฑ์มองเห็นทางออก เขาจะเอาเหมือนแพรคนเดิมกลับมาให้ได้ ถ้าเขาสามารถทำให้เหมือนแพรที่อยู่ตรงหน้ารับรู้ว่าเขารักเธอ ไม่ว่าอดีตจะเลวร้ายแค่ไหนก็จะไม่สำคัญอีกต่อไป ในเมื่อปัจจุบันน้องมีเขา ผู้ชายที่ตระหนักได้แล้วว่าเธอสำคัญแค่ไหน

...

“ไง...” กัณฑ์ขยับเข้าหาคนที่เพิ่งรู้สึกตัวและลืมตาตื่น “อรุณสวัสดิ์ครับน้องแพร” 

ทักทายออกไปแล้วก็เฝ้าลุ้นปฏิกิริยาของคนที่เขายกมือลูบศีรษะ สายตากำลังโฟกัสใบหน้าของเขา เธอยังคงลืมตาไม่เต็มที่ ยังมึนงง จึงหลับตาไปอีกครั้ง ก่อนจะลืมตาขึ้นมาใหม่ ในขณะที่กัณฑ์ยังคงแสดงความอ่อนโยนให้น้องได้เห็นผ่านรอยยิ้มของเขา เขาลุ้นจนไม่รู้ตัวว่าเผลอกลั้นหายใจ

“พี่กัณฑ์...” คำเรียกชื่อที่เหมือนช่วยยกภูเขาออกจากอกผู้ชายที่ดีใจจนขยับเข้าไปจูบหน้าผากเธอ ทำให้มือเผลอไปโดนแผลตรงหัวคิ้วที่แตกและติดปลาสเตอร์ไว้ ส่งผลให้เธอทำหน้าเหยเกเพราะเจ็บ 

“ขอโทษ...ขอโทษ น้องแพรเจ็บเหรอครับ”

เธอส่ายหน้า แล้วมองไปรอบๆ ห้อง มีความงงเล็กน้อย “พี่กัณฑ์ขอคุณหมอรึยังคะ คุณหมอตรวจแพรเสร็จรึยัง แพรอยากไปไหว้แม่แล้ว อยากบอกข่าวดีแม่แล้วค่ะ แพรอยากไปเจอแม่ แพรอยากจำแม่ให้ได้ ระหว่างทางพี่กัณฑ์ก็ช่วยเล่าเรื่องของแพรด้วยนะคะ แพรอยากจำตัวเองได้ด้วย แล้วก็อยากจำความรักของเราได้”

คำพูดนั้นของเหมือนแพรบอกกัณฑ์ว่าน้องตื่นมาด้วยความทรงจำใหม่ 

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นคะ” แบบนั้นที่เหมือนแพรว่าคือสีหน้าตกใจปนงุนงง พอถูกทักกัณฑ์ก็ปรับสีหน้าใหม่เป็นยิ้ม ยิ้มที่ทำให้หญิงสาวยิ้มตาม “ไม่ต้องเครียดนะคะพี่กัณฑ์ ไม่ต้องทำหน้ายุ่งนะ แพรสัญญาว่าจะพยายามจำพี่กัณฑ์ให้ได้ไวๆ ค่ะ”

กัณฑ์ไม่ได้พูดอะไรนอกจากดึงตัวหญิงสาวขึ้นมากอดไว้นิ่งๆ ขณะก้มจูบที่หัวไหล่เธอ ท่าทางนั้นของเขาเกิดขึ้นเพราะรู้สึกโล่งใจ ไม่ได้มีความหมายอะไรมากมาย แต่ทำให้คนที่โดนกอดทำหน้างง พยายามตีความหมายของการกอดแบบนี้  

กอดที่เธอรู้สึกว่าพี่กำลังอ้อนเธอ ต้องการให้เธอปลอบจึงกอดตอบแล้วลูบหลังพี่เบาๆ แล้วเผลอพูดสิ่งที่ในอดีตเธอมักจะพูดเสมอเวลาถูกพี่กอดแบบนี้

“ไม่เป็นไรนะคะพี่กัณฑ์ ไม่เป็นไรค่ะ...แพรเข้าใจ...น้องแพรเข้าใจนะคะ” 

คำพูดนั้นทำให้กัณฑ์กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น เขาจดจำคำพูดประจำของน้องได้ 

“พี่กัณฑ์รักน้องแพรนะคะ ขอบคุณที่น้องแพรกลับมา...กลับมาให้พี่ได้แก้ไข ขอบคุณนะคะ...ขอบคุณนะคะที่รักของพี่กัณฑ์” 

เหมือนแพรอึ้งไปกับคำพูดนั้น น้ำตาไหลอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกว่ามันคือสิ่งที่เธอรอคอย เธอมีคำพูดมากมายที่จะบอกเขา แต่ก็เลือกเงียบไป กอดพี่ตอบแล้วยิ้ม...ยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนที่ท้องของเธอจะร้องจ๊อกๆ เสียงร้องทำให้เธอยิ้มเขินๆ เมื่อกัณฑ์คลายอ้อมกอดมามองเธอด้วยสีหน้าเย้าแหย่ แววตาเอ็นดู เป็นแววตาที่ทำให้เหมือนแพรคุ้นเคย ทำให้เธอสบายใจและค่อยๆ เผยความเป็นตัวเองออกมา

“ขอโทษค่ะ ทำไมแพรหิวจัง...” หนีอาการเขินโดยการทำเป็นมองท้องตัวเอง “สงสัยลูกจะหิวค่ะ ก่อนที่พ่อกัณฑ์จะพาแม่แพรไปเจอคุณยาย แม่แพรว่าพ่อกัณฑ์ต้องหาอะไรให้แม่แพรกินก่อนนะคะ”

“ได้เลยครับ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จ พ่อกัณฑ์จะพาหนูกับแม่ไปเจอคุณยายนะ” กัณฑ์ดูผ่อนคลายลงกับคำพูดนั้น เขาดึงน้องเข้ามาจูบที่กลางกระหม่อม ก่อนจะนึกอะไรได้ “แต่ก่อนอื่น คงต้องถามไอ้หมอก่อนว่าจะอนุญาตให้คนไข้ออกไปข้างนอกได้รึยัง” 

“ไอ้หมอ?” เหมือนแพรทำหน้างง “ทำไมพี่กัณฑ์เรียกคุณหมออย่างนั้นคะ ไม่สุภาพเลย”

“จ้า...” กัณฑ์ดูสบายใจขึ้น ต่อให้ยังจำไม่ได้ แต่เหมือนแพรก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลย เมื่อก่อนน้องก็เคยว่าเขาที่เรียกวศินแบบนี้ “รู้แล้วครับคุณหนูเหมือนแพร แต่คนนี้ขอไว้คน ขอเรียกไอ้หมอนะ เพราะไอ้หมอคือเพื่อนสนิทพี่...อยากรู้จักมั้ยคะ ไว้พี่แนะนำให้รู้จักนะ”

“ไอ้หมอ...เอ่อ แพรหมายถึงพี่หมอเป็นคนยังไงคะ ใจดีมั้ยคะ”

“ไม่เลย ทั้งปากร้าย ปากเสีย พูดแรง” คำอธิบายทำให้คนไข้ของคุณหมอหน้าเสีย ก่อนที่กัณฑ์จะหันไปเห็นรีบปลอบ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว ไอ้หมอเป็นแบบนั้นกับคนอื่น แต่กับน้องแพร ไอ้หมอใจดีด้วยมากๆ ไม่ต้องกลัวนะคะ” 

 

“ไม่เอาค่ะ พี่กัณฑ์ต้องออกไปค่ะ” 

วศินที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องพักฟื้นของเหมือนแพร หันไปทางโซนห้องน้ำตามเสียงโวยวายของหญิงสาว ทันได้เห็นภาพชวนยิ้ม 

นั่นคือกัณฑ์กำลังถูกภรรยารุนหลังออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มมีอาการฝืนตัวไว้ แต่เมื่อเห็นคนน้องออกแรงดันก็กลัวเธอจะล้มจึงยอมขยับออกมาจนพ้นประตูห้องน้ำ ถึงตอนนี้เธอก็กลับเข้าไป ทำท่าจะปิดประตู เขาก็รีบสอดขาเข้าไปขวาง กันไม่ให้น้องปิดประตู พร้อมกับเจรจา 

“ออกไปได้แล้วค่ะ แพรดูแลตัวเองได้ พี่กัณฑ์อย่าเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องสิคะ” 

“พี่ไม่ใช่คนพูดไม่รู้เรื่อง น้องแพรต่างหากพูดไม่รู้ฟัง พี่ปล่อยให้น้องแพรอยู่คนเดียวไม่ได้ เกิดเป็นลมเหมือนเมื่อเช้าอีกจะทำไง ไม่รู้ละ ยังไงพี่ก็ไม่ให้น้องแพรเข้าห้องน้ำคนเดียว” 

“แพรบอกว่าหายแล้วไงคะ แพรไม่เวียนหัวแล้ว พี่กัณฑ์อย่าทำเหมือนแพรเป็นคนป่วยสิคะ” หญิงสาวว่า แต่อีกคนก็ไม่ยอมฟัง ยังคงไม่ยอมให้เธอปิดประตูง่ายๆ เธอจำต้องออกมาเจรจา แต่สายตาหันมาเห็นคนช่วย “พี่หมอคะ ช่วยคุยกับพี่กัณฑ์หน่อยสิคะ บอกหน่อยว่าแพรไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆ”

“มาก็ดีเลยไอ้หมอ มาจัดการคนไข้ของแกหน่อย ดื้อไม่ยอมฟัง ฉันบอกว่าจะเข้าไปช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ก็ไม่ยอม ไม่รู้รึไงว่าตัวเองป่วยอยู่ เมื่อกี้เข้าห้องน้ำก็ล็อกห้อง ฉันเรียกตั้งนานกว่าจะเปิด นี่ยังจะเข้าไปล็อกอีกรอบ จัดการเลยไอ้หมอ จัดการคนไข้จอมดื้อของแกเลย”

“เป็นเอามาก” วศินพึมพำ “พูดยากพูดเย็นจริงๆ”  

กัณฑ์พยักหน้าเหมือนจะให้เน้นย้ำว่าเขาพูดถูก “เห็นมั้ย ไอ้หมอบอกว่าน้องแพรน่ะเป็นเอามาก ไหนเมื่อกี้บอกไอ้หมอว่า ขอบคุณนะคะพี่หมอที่ช่วยดูแลแพร แพรจะเชื่อฟังพี่หมอ จะได้หาย จะได้จำทุกอย่างได้ไวๆ ยังไม่ทันไร เป็นไงล่ะ ดื้อกับพี่ โดนไอ้หมอว่าเลย”

“แกน่ะ!” วศินเน้นย้ำ “ฉันหมายถึงแกน่ะ เป็นเอามาก พูดยากพูดเย็นจริงๆ” 

 ถึงตอนนี้เหมือนแพรหัวเราะคิก คนเพิ่งรู้ตัวว่าถูกเพื่อนว่ากำลังจะอ้าปากแย้ง แต่นายแพทย์หนุ่มปากไวกว่า พูดสวนไปก่อน  

“น้องแพรพูดถูกแล้ว คนท้องไม่ใช่คนป่วย มานี่เลยมา ให้ฉันอบรมอีกรอบ ที่พูดกรอกหูไปก่อนหน้านี้ ไม่ได้เข้าใจเลยใช่มั้ย” เมื่อกำราบเพื่อนได้วศินก็หันไปหาหญิงสาวที่อมยิ้มขำสามีตัวเอง “น้องแพรไปทำธุระเถอะจ้ะ เดี๋ยวพี่จัดการปรับทัศนคติไอ้คุณพ่อมือใหม่นี่ให้” 

“งั้นฝากด้วยนะคะ” เหมือนแพรบอกนายแพทย์หนุ่ม ก่อนจะหันมายิ้มให้สามีที่ยืนอึ้ง ไม่กล้าห้ามเธอ แต่ก็ยังห่วง “แพรขอเวลาไม่เกินสิบนาทีนะคะ” 

“ไม่ต้องรีบนะน้องแพร ถ้ามีอะไรก็เรียกพี่ ห้ามล็อกประตูนะ” บอกออกไปอย่างนั้น แต่ก็ได้ยินเสียงล็อกประตู “น้องแพร บอกว่าอย่าล็อกประตูไงครับ”

“ถ้าไม่ล็อกพี่กัณฑ์ก็เปิดเข้ามาได้สิคะ พี่กัณฑ์ไปรอแพรที่โซฟาได้แล้ว ไม่ต้องมานั่งอยู่หน้าห้องน้ำนะ”

“ไม่ได้ ถ้าพี่ไปไกลขนาดนั้น เกิดแพรเป็นอะไร พี่ก็ช่วยไม่ทันสิ อย่าดื้อนะแพร มาเปิดประตูเลย” ไม่มีท่าทีว่าคนในห้องน้ำจะทำอย่างที่บอก ชายหนุ่มก็ยิ่งโวยวาย “น้องแพร พี่บอกให้มาเปิดประตูให้พี่”

“ไม่ค่ะ!” 

“จะมาองมาอายทำไมเนี่ย เราเป็นสามีภรรยากันนะ มันใช่เรื่องที่จะมาอายพี่มั้ย ระหว่างเราไม่มีอะไรต้องอายแล้ว พี่เห็นแพรทุกซอกทุกมุมแล้ว”

“พี่กัณฑ์! พูดอะไรคะ” ว่าเสียงดังอย่างตกใจ “เอาเป็นว่ายังไงแพรก็ไม่ให้พี่กัณฑ์เข้ามา ไปคอยกับพี่หมอเลย” 

กัณฑ์ทำท่าจะแย้ง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อหันมาเห็นวศินทำท่าจะเขกหัวเขา ขณะมองด้วยสายตาว่าถ้าเขาไม่หยุดเป็นได้โดนเขกหัวเรียกสติแน่ ถึงตอนนี้ชายหนุ่มก็จำต้องยอมลงให้ เดินตามเพื่อนไปนั่งคุยกันที่โซฟาอย่างเสียไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงชะเง้อไปมองไปที่หน้าประตู นั่งยังไม่ทันจะถึงครึ่งนาทีก็ทำท่าจะลุกไปใหม่

“ไม่ต้องเลย นั่งลง”

“ขอฉันไปดูน้องก่อน แกก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าเมื่อเช้าน้องวูบตอนเจาะเลือด แล้วตอนกินข้าวก็อ้วกใหญ่เลย แล้วคุณหมอก็บอกว่าให้ฉันดูแลน้องแพรให้ดี ช่วงนี้ท้องอ่อน ถ้าเกิดน้องมีอาการเหมือนวันก่อนอีกล่ะ ถ้าอยู่ๆ น้องช็อกแล้วหยุดหายใจไปอีกล่ะ...ทำไม แกอย่าใช้สายตาแบบนั้นมองฉันนะโว้ย มีอะไรก็ว่ามา” 

“รู้ตัวมั้ยว่าแกเป็นเอามาก” วศินว่า ปล่อยให้เพื่อนคิดตาม “อะไรที่มากไปก็ไม่ดี ฉันให้แกดูแลน้องแพร แต่ก็ไม่ได้ให้แกทำขนาดนี้” 

วศินได้คุยเรื่องนี้กับกัณฑ์ไปรอบหนึ่งแล้วเมื่อช่วงเช้า ตอนที่เหมือนแพรเริ่มมีอาการแพ้ท้อง หญิงสาวมีอาการวูบหลังถูกเจาะเลือดเกือบล้มหัวกระแทกพื้น ดีที่เขาคว้าตัวเธอได้ทัน แต่กระนั้นมันก็ทำให้คนกลัวเสียภรรยาถึงกับหลอน เขาแทบไม่อยู่ห่างเธอ คอยประคอง มองตลอดเวลา และปรึกษาเขาให้เช็กละเอียดอีกที ไม่อยากเชื่อว่าจะแค่อาการแพ้ท้อง 

“เมื่อเช้าก็ด่าไปรอบแล้ว นึกว่าจะเข้าใจ”

“ฉันเข้าใจ แต่ฉันบังคับตัวเองไม่ได้...” ถึงตอนนี้กัณฑ์ยอมผ่อนลมหายใจ “ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองจะบ้า   ฉันทำไปโดยที่ไม่รู้ตัว ยังใจหายแรงอยู่เลยนะโว้ยที่อยู่ๆ น้องแพรก็วูบอย่างเมื่อเช้า ดีที่ฉันมองน้องอยู่ ถ้าฉันไม่มอง คว้าตัวน้องไม่ได้ล่ะ ถ้าเกิดน้อง...” 

วศินไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย แต่เขารับรู้ได้ว่าเพื่อนหวาดกลัว

“ตอนแรกฉันคิดว่าจะตามใจน้องพาออกไปข้างนอก แต่พอมาเห็นน้องวูบ ฉันก็กลัว...ถ้าเกิดอยู่ข้างนอกแล้วน้องเป็นอะไร ถ้าน้องไปเจอแม่แล้วเกิดจำอะไรได้ เกิดน้องช็อกอีกล่ะ เกิดน้องหยุดหายใจอีกล่ะ...แค่คิดว่าน้องจะเป็นอะไร ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองจะรับไม่ไหว ไม่ใช่รู้สึกผิดนะโว้ยไอ้หมอ ฉันแค่ไม่อยากเสียน้องแพร” 

วศินที่นั่งฟังเพื่อนอยู่เงียบๆ รอจนเพื่อนเงยหน้าขึ้นมาสบตา

“ฉันเข้าใจว่าแกกลัวอะไร แต่แกจะเอาความกลัวมาตีกรอบการใช้ชีวิตของน้องแพรไม่ได้ ก่อนหน้านี้ฉันก็กังวลบ้างนะ แต่หลังจากที่ฉันได้พูดคุยกับน้องแพร ฉันว่าน้องจะไม่เป็นไร” 

ต่อให้เพื่อนพูดอย่างนั้น แต่กัณฑ์ก็ยังห่วง 

“ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ พาน้องไปรู้จักตัวเองแล้วก็รู้จักแกด้วย เพราะตอนนี้ฉันว่าน้องยังไม่รู้จักสามีตัวเองเท่าไหร่ เรียกว่าไม่ยอมรับเลยถูกกว่า”

“แกหมายความว่าไง”

“แกบอกน้องว่าแกคือสามีใช่มะ” วศินถามสิ่งที่กัณฑ์เริ่มกังวล “ฉันว่าน้องไม่ได้คิดว่าแกคือสามีนะ น้องมองแกเป็นคนอื่น ไม่อย่างนั้นน้องก็คงไม่ไล่แกออกมาจากห้องน้ำหรอกว่ะ หรือว่าไม่จริง?” 

 คำถามนั้นทำให้กัณฑ์หงุดหงิดขึ้นมาทันที เพราะมันคือความจริง เหมือนแพรยอมให้เขากอด ยอมให้จูบหน้าผาก จูบเปลือกตา ให้สัมผัสตัวได้ก็จริง แต่เธอจะเบือนหน้าหนีถ้าเขาจะจูบที่ริมฝีปาก ไม่ยอมให้เขาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ให้เขาสัมผัสเธออย่างที่สามีควรได้ทำ 

“ฉันว่านี่ต่างหากคือสิ่งที่แกต้องกังวลมากกว่ากลัวน้องแพรจะช็อก” วศินป้องปากบอกเพื่อนในขณะที่เหมือนแพรที่เปลี่ยนชุดเสร็จเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ “ฉันว่าถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ คืนนี้ถ้ากลับบ้าน แกได้โดนไล่ให้ไปนอนอีกห้องแน่ๆ น้องแพรไม่ยอมให้แกนอนด้วยแน่ๆ ฉันกล้าฟันธงเลย” 

ใครบางคนหน้าซีด หันหน้าไปหาคนที่เดินเข้ามาทัก 

“เสร็จแล้วค่ะ ขอโทษที่ให้รอนาน ไปกันได้รึยังคะ” หญิงสาวพูดกับสองหนุ่ม ก่อนจะหันหน้ามาเจอใครบางคนที่เหมือนจะช็อกกับสิ่งที่เพื่อนหมอบอกเมื่อครู่ “พี่กัณฑ์เป็นอะไรคะ ทำไมหน้าซีดแบบนั้นคะ”

 

“แม่ขา...น้องแพรมาเยี่ยมค่ะ” 

นั่นเป็นคำพูดประโยคเดียวที่เหมือนแพรพูดกับป้ายหน้าหลุมศพที่ระบุชื่อ ‘เหมือนฝัน’ ตั้งแต่เมื่อสิบนาทีก่อน หลังจากที่เธอนั่งลงกับพื้นหญ้าแล้ววางช่อดอกไม้ให้แม่ ซึ่งกัณฑ์ที่อยู่ข้างๆ น้องไม่ห่างก็ไม่ได้แปลกใจ เพราะความที่ยังจำอะไรไม่ได้มากทำให้เธอไม่รู้จะพูดอะไร แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อน น้องจะมีเรื่องราวมาเล่าให้แม่ของเธอฟังอย่างไม่รู้เบื่อ แทบทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเดิมๆ 

‘ขอโทษที่ไม่ได้มาหาแม่เกือบเดือนเลยนะคะ แต่แม่คงไม่โกรธแพรเนอะ เพราะแม่รู้อยู่แล้วว่าร้านดอกไม้ของเราจะยุ่งช่วงเดือนแห่งความรัก พี่กัณฑ์จะพาแพรมาหาแม่ตั้งแต่อาทิตย์ก่อน แต่แพรขอเลื่อนมาอาทิตย์นี้เองค่ะ แม่อย่าโกรธพี่กัณฑ์นะคะ พี่กัณฑ์ไม่ได้ผิดสัญญากับแม่เรื่องที่จะพาแพรมาหาแม่บ่อยๆ แพรอยากช่วยพี่ๆ ที่ร้านจัดดอกไม้ส่งให้ลูกค้าเยอะๆ...

‘วันก่อนแพรเจอเคสน่ารักอีกแล้วค่ะ มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในร้านพร้อมกระปุกออมสินค่ะ บอกว่าให้เราจัดช่อดอกไม้ให้เขาหน่อย เขาจะเอาไปให้แม่ในวันครบรอบแต่งงานของพ่อกับแม่ ทุกปีพ่อจะเป็นคนซื้อดอกไม้ให้แม่ แต่ปีนี้ลูกชายมาซื้อเพราะอะไรแม่รู้มั้ย...เพราะพ่อเขาเพิ่งเสียค่ะ น้องบอกว่าแม่เศร้ามาก น้องอยากให้แม่ดีใจ น้องอยากได้เป็นดอกทานตะวันค่ะ แต่ดอกทานตะวันของเราก็หมด แล้วมาช่วงร้านกำลังจะปิด วันนั้นโชคดีที่พี่กัณฑ์มารับแพรพอดี พี่กัณฑ์เลยเป็นธุระไปหามาให้ค่ะ แม่รู้มั้ยว่าพี่กัณฑ์ไปเอามาจากไหน...พี่กัณฑ์เล่าให้แม่ฟังสิคะ แม่ต้องไม่เชื่อแน่ๆ’ 

’ไปเอาที่บ้านคุณแม่ผมครับ เป็นดอกทานตะวันที่ปิ่นปลูกไว้เลยไปขอแบ่งมาสามดอก’

‘อย่างที่พี่กัณฑ์ทำไม่เรียกขอแบ่งค่ะ เรียกขโมย แพรมารู้ทีหลังว่าพี่กัณฑ์ไม่บอกใคร ขับรถไปถึงก็ตัดดอกไม้มาให้แพรเลย ถ้าแพรรู้แต่แรกแพรคงไม่ให้พี่กัณฑ์ทำ ยิ่งมารู้ว่าดอกไม้นั่นมีคุณค่าทางจิตใจกับพี่ปิ่น แพรยิ่งรู้สึกแย่ ดอกทานตะวันพวกนี้พี่ปิ่นกับแฟนเขาช่วยกันปลูกค่ะ พอโดนตัดเขาเลยโกรธมาก โทร. มาเอ็ดพี่กัณฑ์ใหญ่เลย แพรกำลังจะขอโทษ แต่พี่กัณฑ์ห้ามไว้ไม่ให้บอกว่าเอามาให้แพร’

เหตุผลที่ไม่ให้บอก ต่อให้กัณฑ์ไม่พูดออกมา เหมือนแพรก็รู้ว่ามันจะทำให้เรื่องบานปลายไปกันใหญ่ เพราะคนที่บ้านกัณฑ์ส่วนใหญ่ไม่มีใครชอบเธอ ต่อให้พวกเขาไม่พูดออกมาแต่เหมือนแพรก็รู้สึกได้ เธอจึงค่อนข้างห่างกับครอบครัวของสามี นานครั้งจึงจะไปบ้านหลังนั้น 

‘แพรรู้สึกผิดเรื่องนี้ แต่พี่กัณฑ์บอกว่าไม่เป็นไร พี่กัณฑ์จะไปขอโทษพี่ปิ่นเอง เรื่องจัดดอกไม้ให้น้องคนนั้นสำหรับแพรเป็นเรื่องที่ดีค่ะ แพรไม่รับค่าดอกไม้ น้องขอบคุณ แพรเลยบอกน้องว่าถ้าจะขอบคุณก็ขอบคุณเจ้าของดอกทานตะวัน ขอให้น้องช่วยอวยพรให้พี่ปิ่นมีความสุข ขอให้สมหวังในรัก ขอให้ได้คนรักกลับมา เพราะมันคงจะทำให้พี่ปิ่นมีความสุข แต่พี่กัณฑ์บอกว่าถ้าจะอวยพรให้พี่ปิ่น ให้อวยพรขอพรให้พี่ปิ่นมูฟออนให้ได้ไวๆ จะดีกว่า มันจะดีกว่าได้ยังไง ต้องได้รักตอบสิถึงจะดีที่สุด คนสองคนรักกันควรได้อยู่ด้วยกัน แล้วพี่กัณฑ์บอกเองว่านั่นเป็นรักแรกของพี่ปิ่นนะ’ 

‘เด็กน้อย...ไม่ต้องทำหน้าเศร้าเลย จะเอาเรื่องปิ่นมาใส่หัวตัวเองทำไม’

‘ก็แพรเศร้า แพรอยากให้พี่ปิ่นมีความสุขเหมือนแพรที่ได้สมหวังกับรักแรก แพรได้อยู่กับพี่กัณฑ์ ได้แต่งงาน ถึงแม้แพรจะเข้ากับคนที่บ้านพี่กัณฑ์ไม่ได้ แต่แพรก็โชคดีที่พี่กัณฑ์สามารถจัดการดูแลให้เราได้อยู่ด้วยกันได้ แพรเลยเชื่อว่าพี่ปิ่นก็ควรได้โอกาสแบบนั้นด้วยค่ะ’

มีความแตกต่างที่กัณฑ์สัมผัสได้ระหว่างการอยู่กับเหมือนแพรกับคนในครอบครัวเขา ความแตกต่างที่ทำให้เขาที่เฝ้ามองค่อยๆ เปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้ภรรยา จุดเริ่มต้นของการแต่งงานอาจไม่ใช่ความรัก เขาไม่ได้รักผู้หญิงคนนี้ เขามีคนที่รักอยู่แล้วและตั้งใจจะแต่งงานกัน 

แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แต่ง ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากแต่ง ไม่ใช่เพราะเขาหมดรักเธอ ไม่ใช่ว่าเขามีความทะเยอทะยาน คิดจะเกาะชายกระโปรงลูกสาวนักการเมืองคนดัง คนที่สามารถซัปพอร์ตครอบครัวเขาได้ แม้ผู้ชายคนนั้นจะมีข่าวเสีย มีภาพลักษณ์ไม่ดี แต่สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็มีอำนาจ มีเงิน แล้วเขาก็ต้องการทำให้ภรรยาของเขาที่ป่วยหนักสมหวังจากไปอย่างหมดห่วง จึงได้เดินมายื่นข้อเสนอให้ครอบครัวเขา

‘เหมือนฝันมีเวลาไม่ถึงหกเดือน ทำให้เมียฉันมีความสุข ทำให้เมียฉันเห็นว่าลูกสาวของเธอสมหวังกับรักแรก ได้แต่งงานกับคนดี ทำแค่นั้น แล้วพวกคุณจะได้ทุกอย่างที่หวังจะได้จากผม’

กัณฑ์ปฏิเสธออกไปในทันที แต่ดูเหมือนผู้ชายคนนั้นจะไม่จบ เขาทำบางอย่างกับครอบครัวคนรักของเขา จนดารินเดินมาพูดสิ่งที่ทำให้เขาใจสลาย รู้สึกผิดหวังกับผู้หญิงที่เขาคิดว่ารู้จักเธอ 

‘รินจะรอกัณฑ์ รอวันที่กัณฑ์เป็นอิสระ รอวันที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน สร้างครอบครัว เป็นพ่อและแม่ให้ลูกของเรา ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ หรือต่อให้รินต้องเป็นเมียน้อย ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ รินก็ยินดี...กัณฑ์...อย่ามองรินแบบนั้น รินไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ แต่ถ้าเราไม่ทำแบบนี้ ถ้ากัณฑ์ไม่ยอม พ่อของเหมือนแพรก็บีบครอบครัวเรา เพื่อให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการ...กัณฑ์ก็รู้ว่าเขาทำได้ทุกอย่าง...ขอร้องนะกัณฑ์ ช่วยครอบครัวรินด้วย...ช่วยพูดอะไรออกมาหน่อยได้มั้ย กัณฑ์อย่าเอาแต่เงียบได้มั้ย อย่ามองรินอย่างผิดหวังแบบนี้’

‘แล้วรินเคยนึกถึงผู้หญิงคนนั้นมั้ย’

‘ทำไมรินต้องนึกถึงเธอด้วย เธอก็ไม่ได้เป็นคนดีนักหรอก ถึงปล่อยให้พ่อมาบังคับให้ผู้ชายที่ตัวเองแอบชอบมาแต่งงานด้วย รินไม่เชื่อว่าเด็กคนนั้นจะไม่รู้ รินรู้ว่าเหมือนแพรแอบชอบกัณฑ์มาตั้งนาน แต่ที่รินไม่รู้คือ เด็กคนนั้นเป็นลูกของผู้ชายสารเลวนั่น! มันก็เลวทั้งพ่อทั้งลูกนั่นแหละ’

‘เหมือนแพรไม่ได้เป็นแบบนั้น’ กัณฑ์บอกสิ่งที่เขารู้ แต่ดารินส่ายหน้าปฏิเสธ ‘ผมจะไม่ทำร้ายเหมือนแพร ถ้าผมตัดสินใจว่าแต่งงานกับใครสักคน ผมจะไม่มีวันทำเรื่องที่ผิดอย่างการสวมเขาให้เธอ ฟังอย่างนี้แล้วรินจะเอายังไง ยังจะให้ผมแต่งงานกับเหมือนแพรอีกมั้ย’

ดารินไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่แววตาของเธอได้ตอบคำถามของกัณฑ์

‘ได้...ถ้าการแต่งงานนี้จะช่วยสองครอบครัว ผมจะแต่งงานกับเหมือนแพร’ กัณฑ์พูดสิ่งที่เจ็บปวด แล้วเขาก็คิดว่าดารินคงรู้สึกเช่นเดียวกัน 

แต่กลายเป็นว่าหญิงสาวยิ้มออกมา ยิ้มที่ทำให้เขาใจสลาย แม้เธอจะเข้ามากอดเขาไว้ ดีใจที่เขายอมฟังคำขอของเธอ 

‘แต่ก่อนที่ผมจะทำอย่างนั้นได้ เราคงต้องจบกันแค่นี้...เราเลิกกันเถอะนะดาริน...เราต่างคืนอิสระให้กัน นับตั้งแต่วันนี้เราไม่ใช่คนรักกันอีกแล้ว...ลาก่อน ผมขอให้คุณโชคดี’

ในวันนั้นดารินคิดว่ากัณฑ์เพียงแค่พูดประชดเธอ นั่นอาจรวมถึงครอบครัวของกัณฑ์ด้วย ทุกคนต่างคิดกันว่าเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ไม่มีผู้ชายที่ไหนจะทนอยู่กับผู้หญิงที่ไม่รักได้ ต่อให้เป็นคนที่คิดดีอย่างกัณฑ์ก็ตาม แม้แต่ตัวดารินเองก็เชื่อมั่นว่ากัณฑ์รักเธอเกินกว่าจะมีชีวิตอยู่โดยไม่มีเธอได้ 

‘ไม่ต้องห่วงหรอกนะตากัณฑ์ลูก แม่เกริ่นกับผู้ชายคนนั้นแล้ว แม่บอกว่าลูกแม่ไม่ได้รักเด็กคนนั้น คนไม่รักกัน ก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะอยู่กันได้นานแค่ไหน ถ้าวันหนึ่งลูกกับนังเด็กเหมือนแพรนั่นไปกันไม่รอด ก็หวังว่าทางเขาจะเข้าใจ ไม่ถือว่าเป็นความผิด รู้มั้ยไอ้ชั่วนั่นพูดว่าไง มันบอกว่ามันไม่ได้มองไกลขนาดนั้น มันขอแค่ช่วงที่เมียมันยังอยู่ ทำให้เมียมันมีความสุข เมียมันคิดว่าลูกเป็นคนดี ลูกสาวมันจะได้สามีดี มันเชื่ออย่างสนิทใจว่าลูกจะไม่ทิ้งลูกสาวมัน...ตัวพ่อมันก็คงไม่ได้รักลูก กรรมของมัน แต่ก็สมน้ำหน้าแล้วละ’

กัณฑ์เหนื่อยที่จะฟังและอธิบายสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำ เขาตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่กับเหมือนแพรจริงๆ ไม่ได้มีแผนอย่างที่ครอบครัวเขามี เขาตั้งใจจะรักเหมือนแพร เพราะเขารู้จักเธอและแม่ของเธอดี รู้ว่าสองแม่ลูกคือคนที่จิตใจดี สิ่งที่รัฐมนตรีสุรเชษฐ์ทำไม่เกี่ยวข้องกับพวกเธอ ผู้ชายคนนั้นแค่อยากให้ผู้หญิงที่เขารักสมหวัง แต่ความเป็นคนหยาบกระด้าง จึงคิดได้เท่านี้ คิดแต่จะให้ภรรยาจากไปอย่างหมดห่วง อาจลืมคิดถึงลูกสาวที่หวาดกลัวพ่อมาก ไม่ว่าพ่อสั่งให้ทำอะไรก็พร้อมจะทำ 

“แม่ขา...” เสียงพูดของเหมือนแพรเรียกสติกัณฑ์ออกมาจากภวังค์ความคิด “ขอโทษนะคะที่แพรจำแม่ไม่ได้ แพรพยายามคิดแล้ว แต่แพรก็คิดอะไรไม่ออกเลย แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ พี่หมอวศินบอกว่าแพรมีโอกาสหาย สมองแพรไม่ได้รับการกระทบกระเทือนอะไรมาก อาจต้องใช้เวลาหน่อย แล้วพี่กัณฑ์ก็จะค่อยๆ เล่าเรื่องของแพรกับแม่ให้ฟัง”

พูดถึงตรงนี้เหมือนแพรเหมือนนึกอะไรได้ หันมาหากัณฑ์

“แล้วพ่อล่ะคะพี่กัณฑ์ พ่อของแพรยังอยู่ใช่มั้ยคะ ไม่มีป้ายหลุมศพพ่อที่นี่ข้างๆ แม่” เหมือนแพรถามอย่างกระตือรือร้น แต่เมื่อเห็นแววตาของกัณฑ์เธอก็ยิ้มค้าง “พ่อแพรตายแล้วเหรอคะ” 

“ยังจ้ะ” เรื่องนี้กัณฑ์ยังไม่อยากให้เหมือนแพรจำได้ เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของความเจ็บปวด 

“ค่อยโล่งอกหน่อย แล้วพ่อแพรอยู่ไหนคะ พ่อเป็นใคร ทำงานอะไรคะ” พอถามออกไปก็ทำให้เธอนึกอะไรได้อีก “พูดถึงทำงาน แพรมีงานทำมั้ยคะ หรือแพรเป็นแม่บ้านให้พี่กัณฑ์เลี้ยงอย่างเดียว”

“มีจ้ะ น้องแพรมีงานทำ” กัณฑ์รู้สึกโล่งใจที่เหมือนแพรเป็นฝ่ายตั้งคำถามใหม่ ทำให้เขาเลี่ยงที่จะพูดถึงพ่อของเธอ “น้องแพรเป็นเจ้าของร้านดอกไม้ที่ชื่อว่า...” 

“เหมือนแพร?” 

หญิงสาวพูดออกมา ภาพป้ายร้านดอกไม้ชัดขึ้นในหัวเธอ 

‘Muean Phrae Flower House’ 

ภาพต่อมาที่เธอเห็นคือกัณฑ์ยืนอยู่ที่หน้าร้านมีผู้หญิงคนหนึ่งคล้องแขนเขา ผู้หญิงที่ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นตัวเอง เพราะสายตากัณฑ์ที่มองผู้หญิงคนนั้นทำให้คิดอย่างนั้น เขามองผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ด้วยแววตาของผู้ชายที่กำลังมองผู้หญิงที่เขารักมาก 

ผิดแต่ตรงที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เธอ...

คำถามที่ตามมาคือผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน...

ใครที่เธอยังไม่รู้ชื่อ แต่ใครคนนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกเจ็บในอก...

“น้องแพร...” กัณฑ์เห็นความผิดปกติ อาการหน้าเสียของน้องจึงรีบเข้าไปกุมมือเธอไว้แล้วแตะข้างศีรษะเบาๆ มองด้วยความห่วงใย “เป็นอะไรคะ รู้สึกไม่ดีเหรอ เหนื่อยเหรอคะ...แล้วทำไมตัวเย็นอย่างนี้ล่ะ ไหนจะหน้าซีดอีก” 

“ไม่เป็นอะไรจริงๆ ค่ะ” การแสดงออกของกัณฑ์ทำให้เหมือนแพรรู้สึกดีขึ้น แววตาที่เขามองอาจไม่ได้เหมือนแววตาที่ใช้มองผู้หญิงปริศนาที่เธอเห็นในความทรงจำ แต่ก็ช่วยไล่ความเจ็บแปลบก่อนหน้านี้ไปได้   ใจหนึ่งเธออยากถามว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แต่ไม่รู้จะเริ่มถามตรงไหน จึงเลือกที่จะมองข้ามไปก่อน 

“ไม่เป็นไรแน่นะ” เอ่ยถามขณะยกมือแตะเจ้าของแก้มนวลที่พยักหน้าให้ “โอเค แต่ถ้ารู้สึกแย่ก็รีบบอกพี่นะ...คุยกับแม่เสร็จแล้วใช่มั้ย...งั้นเรากลับบ้านกันนะ ออกมาข้างนอกนานแล้ว”

“ไปร้านดอกไม้เหมือนแพรก่อนได้มั้ยคะ”

“ไว้วันหลังนะ วันนี้น้องแพรต้องกลับไปพักแล้ว” 

หญิงสาวส่ายหน้าไม่ยอม อ้าปากจะแย้ง แต่กัณฑ์รู้ทัน ก้มลงจูบริมฝีปากบาง ทำเอาเธอตาโตตกใจเมื่อหลบไม่ทัน 

“ไม่เอาค่ะ ไม่งอแงนะ ไว้วันหลังพี่ค่อยพาไป ตอนนี้ต้องกลับบ้าน...อะไร? หน้าคว่ำใส่พี่ทำไม” 

คนโดนถามไม่ตอบแต่ทำหน้าคว่ำใส่ เหมือนจะบอกว่าเขารู้อยู่แล้วว่าเธอโกรธอะไร

“เรื่องจูบเมื่อกี้เหรอ ทำไมล่ะ ปกติพี่ก็จูบน้องแพรแบบนี้ จำไม่ได้เหรอคะ เมื่อก่อนถ้าพี่กัณฑ์จูบน้องแพรแบบนี้ น้องแพรก็จะจูบแก้มพี่กลับนะ หรือว่าอยากจูบกลับพี่ก็ยิ่งโอเคนะ เอามั้ยคะ” 

กัณฑ์เอ็นดูคนหน้าคว่ำ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้รวบมือเธอได้ก็พาเดินนำกลับไปที่รถ การขโมยจูบน้องได้ทำให้เขาอารมณ์ดี ยิ้มไม่หุบ เรียกว่าหุบยิ้มไม่ลงคงจะถูกกว่า 

“คราวนี้ยอมให้ ถ้าคราวหน้าทำอีก...แพรจะตบสวนเลย” พูดไม่ดังเหมือนบ่นกับตัวเอง แต่กัณฑ์ได้ยิน เขาทำตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ เพราะเหมือนแพรคนเดิมไม่มีทางพูดอย่างนี้กับเขา “ไม่เชื่อเหรอคะ  ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู!”

ใครบางคนเริ่มหน้าซีดกับท่าทางขึงขังเอาจริง เพราะไม่เคยเจอโหมดโหดของเมียรัก ที่ปกติแล้วเธอจะเป็นสายอ่อนหวาน เมื่อก่อนยังเคยคิดว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ดูต่างจากพ่อของเธอนัก แต่พอเห็นสีหน้าเธอตอนนี้เริ่มเห็นเค้าลางความยุ่งยาก 

งานเข้า...เสียแล้ว 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น