หลังกัณฑ์ออกไปจากห้อง เหมือนแพรไม่ได้นอนอย่างที่เขาบอก เธอลุกขึ้นมาสำรวจโทรศัพท์ที่เป็นของเธอ แตะที่ไอคอนโน่นนี่ไปเรื่อยจนเจออัลบัมรูป ซึ่งเธอเคยเห็นรูปเหล่านี้มาส่วนหนึ่งบ้างแล้วในโทรศัพท์ของกัณฑ์ตอนที่เขาให้เธอดูที่โรงพยาบาล แต่รูปส่วนใหญ่ในโทรศัพท์เธอจะเป็นช่อดอกไม้ ซึ่งพอเดาได้ว่าเป็นผลงานการจัดดอกไม้ของเธอที่ร้านดอกไม้เหมือนแพร 

คนในร้านที่พอจำหน้าได้ก็น่าจะมากกว่าห้าคนมีทั้งชายหญิง และมีหลายวัย หนึ่งในนั้นคือปราณี ทุกคนใส่ผ้ากันเปื้อนสกรีนโลโก้และชื่อร้านพร้อมเบอร์โทรศัพท์ ทำให้เหมือนแพรพอเดาได้ว่าทั้งหมดน่าจะเป็นพนักงานร้าน เธอไล่ดูรูปผ่านๆ เพื่อหารูปคนอื่นๆ และรูปเพื่อน 

ในโทรศัพท์เครื่องนี้ไม่มีรูปใครที่ดูพิเศษ ซึ่งบ่งบอกได้ว่าชีวิตเธอก่อนหน้านี้ก็ไม่น่าจะมีใครเข้ามามากนัก ทุกกิจกรรมของเธอจะมีกัณฑ์อยู่ด้วยเสียส่วนใหญ่ ทั้งที่เป็นรูปถ่ายและคลิป และเธอเชื่อว่าถ้าได้ดูคลิปเหล่านั้นเธออาจจำอะไรได้ จึงตั้งใจว่าจะเปิดดู 

แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่ตั้งใจ ป้าน้อมที่กลับเข้ามาในห้องก็บอกให้เธอนอนพัก เธอแย้งขอดูโทรศัพท์อีกหน่อย แต่ป้าน้อมยืนกรานให้พักก่อน โทรศัพท์ไม่หายไปไหน ดูเมื่อไรก็ได้ พร้อมกับอ้างว่าคนท้องควรได้นอนพักตอนกลางวัน ลูกจะได้แข็งแรงและเลี้ยงง่าย เมื่ออ้างเรื่องลูก คุณแม่มือใหม่ที่ยังจำอะไรไม่ได้มาก แต่ก็อยากเป็นคุณแม่ที่ดีต้องยอมทำตาม 

ความเหน็ดเหนื่อยจากการออกไปข้างนอก ไปเจอเรื่องร้ายๆ ร้องไห้ และท้องเสีย ทำให้เหมือนแพรหลับอย่างง่ายดาย เมื่อแน่ใจว่าคุณหนูหลับไปแล้ว ป้าน้อมจึงลงไปข้างล่างเพื่อช่วยกัณฑ์ในครัว แต่เมื่อลงไปถึงก็เห็นว่าชายหนุ่มติดสายอยู่กับปราณี คุยวิดีโอคอลกันอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ป้าน้อมอยากรู้อยู่พอดี

“ให้ฉันเดานะ ต่อให้แกชัดเจน บอกสิ่งที่แกจะทำ บอกว่าแกไม่มีทางหย่ากับน้องแพร แต่คนที่บ้านแกก็ไม่มีใครฟัง แถมด่าแกด้วยว่าแกดีเกินไป แกไม่ต้องไปดีกับคนที่เห็นแก่ตัวกับแกก่อน แล้วก็พยายามจะรั้งแกให้อยู่บ้าน ครอบครัวแกเชื่ออย่างสนิทใจว่าแกไม่ได้อยากจะอยู่กับน้องแพร ที่แกทำอยู่แค่แกเป็นคนดี” 

อาการถอนหายใจของคนที่กำลังหั่นเห็ดหอมเป็นชิ้นเล็กๆ บอกป้าน้อมว่าปราณีเดาเหตุการณ์ได้แม่นอย่างตาเห็น ซึ่งตัวป้าน้อมเองก็ไม่ได้ประหลาดใจกับคนบ้านนั้น พวกเขาอยากทำอย่างนี้มาตั้งนาน แค่ไม่กล้า แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยน ไม่มีอะไรให้คนบ้านนั้นต้องกลัวแล้ว 

“แล้วแกทำยังไง”

กัณฑ์ยังคงไม่ตอบ แต่นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านของเขา แม่และน้องสาวโวยวายใส่เขาเรื่องที่ตัวเองบาดเจ็บ น้องสาวให้ดูรอยช้ำที่ตัว ส่วนแม่ก็ขู่ฟ่อๆ จะเอาเรื่องให้ตำรวจมาลากคอเหมือนแพรเข้าคุก ใส่ร้ายว่าเหมือนแพรเป็นคนลงมือก่อน นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกหดหู่ การศึกษา บ้านใหญ่โต รถหรูหรา หรือข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงไม่ได้ทำให้คนในครอบครัวเขาทำตัวคู่ควรกับความหัวสูงที่เป็นกัน 

‘จะเอาเท่าไหร่’ 

เป็นคำพูดที่เขามักใช้เสมอเวลาต้องการจบปัญหาระหว่างคนที่บ้านเขากับเหมือนแพร ซึ่งมันดูมีพลังมากกว่าเหตุผลที่เขาพยายามบอกก่อนหน้านี้ว่าเขามีตาดูออกว่าเกิดอะไรขึ้น ยังไม่นับว่าเขามีกล้องวงจรปิดที่ไม่ต้องดูก็รู้ว่าใครเป็นคนเริ่ม แต่ต่อให้บอกไปก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อคนเหล่านี้ไม่ยอมฟัง 

‘แม่จะเอาเท่าไหร่แลกกับการไม่ไปยุ่งกับน้องแพร เธอก็ด้วยยายปิ่น จะเอาอะไรพี่จะให้ เพื่อแลกกับการไม่ไปยุ่งกับน้องแพรอีก’

สองแม่ลูกหันหน้าสบตากัน 

‘แกไม่ต้องเอาเงินมาฟาดหัวแม่นะตากัณฑ์ แม่ไม่ได้อยากได้’

‘ใช่ ปิ่นก็ไม่ได้อยากได้ ปิ่นจะต้องให้นังแพรมันมารับผิดชอบสิ่งที่มันทำ มันทำปิ่นไม่พอ มันทำคุณแม่...เรื่องไม่จบแค่นี้แน่!’

‘หรือไม่ก็ง่ายๆ เลย พวกเราคิดกันไว้แล้ว เราจะไม่ไปยุ่งกับนังแพรมันเลย ถ้ามันหย่าให้ลูก มันจะมาเรียกร้องอะไรจากลูกไม่ได้ มันต้องออกจากบ้านหลังนั้นไปแต่ตัว ไปทำมาหากินเอง แม่จะใจดีให้มันเอาร้านดอกไม้ของมันไปก็ได้ แต่เอาเข้าจริง มันก็ไม่มีสิทธิ์อะไรในทรัพย์สินอยู่แล้วนี่ ทุกอย่างเป็นของลูกอยู่แล้ว ลูกเป็นคนดูแลมาตั้งแต่ไหนแต่ไร’

‘แต่มันจะดีเหรอคะคุณแม่ รายได้ร้านดอกไม้ปีหนึ่งก็เป็นหลักล้านเลยนะคะ ถ้าเราเอาไว้...นั่นพี่กัณฑ์จะไปไหน ปิ่นกับคุณแม่ยังพูดไม่จบ คุณพ่อก็ยังไม่กลับมา จะหนีกลับไปไม่ได้นะ ไม่อย่างนั้นนังเหมือนแพรเดือดร้อนแน่!’

‘แกคิดดูนะตากัณฑ์ ถ้ามันถูกแจ้งความจับ มันไปปรากฏตัวที่สถานีตำรวจ นักข่าวเจอตัวมัน ฉันไม่อยากคิดเลยว่านังเด็กนั่นจะเป็นยังไง ถ้าแกไม่อยากให้แม่กับน้องเอาเรื่องมัน ก็นั่งรอและรอคุณพ่อกลับมา’

กัณฑ์ยังไม่นั่งลง แต่ยอมหันกลับมามองหน้าแม่และน้องสาว ‘ฟังผมให้ดี..ผมจะพูดเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย ถึงแม้ผมรู้ว่ามันก็ไม่ต่างจากการสีซอให้ควายฟัง ผมก็จะพูด!’

‘คุณแม่! พี่กัณฑ์ว่าเราเป็นควาย’ 

กันตาทำท่าจะเอาเรื่องลูกชาย แต่เมื่อหันไปเห็นแววตาที่ฉายชัดว่าชายหนุ่มหมดความอดทนจึงเงียบไป ก่อนจะหันไปส่งสายตากำราบลูกสาวให้เงียบ รอฟังสิ่งที่กัณฑ์จะพูด

‘ผมมาที่นี่ไม่ใช่จะมาเจรจาไม่ให้คุณแม่เอาเรื่องแพร อยากทำอะไรก็ทำ แต่ก็จำไว้ด้วยว่าตอนนี้ไอ้ตรินดูแลเรื่องคดีนี้ให้น้องแพร ผมสั่งมันว่าทำยังไงก็ได้ให้คุณแม่และปิ่นได้รับโทษในสิ่งที่ทำกับน้องแพร ถ้าจะสู้กันเรื่องนี้ก็เอา โรงพยาบาลมีกล้องวงจรปิด ตอนนี้มันอยู่ในมือไอ้ตรินแล้ว’

คราวนี้สองแม่ลูกหน้าซีด เพราะรู้ว่าการวิวาทครั้งนี้ใครเป็นคนเริ่ม

‘แล้วเข้าใจใหม่อีกครั้งด้วยว่า ทุกอย่างที่เรามี บ้านหลังนี้ เงินทุกบาททุกสตางค์ที่พวกเราใช้มีจุดเริ่มต้นมาจากเงินของครอบครัวน้องแพร ผมคือคนจัดการทุกอย่าง และจำไว้ด้วยว่า...ผมกำลังสั่งให้ทุกคนเลิกยุ่งกับน้องแพร ไม่อย่างนั้น...’

‘ไม่อย่างนั้นแกจะทำอะไร!’

‘ผมจะเลิกจ่ายทุกค่าใช้จ่ายของคนบ้านนี้...ถ้าเก่งพอจะหากินกันเองได้ก็เอาเลย...แต่จำไว้ว่าผมจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องน้องแพรอีก!’...

“กัณฑ์...” 

เสียงเรียกของปราณีทำให้ชายหนุ่มเพิ่งรู้ตัวว่าใจลอยไปไกล จนลืมตอบคำถามที่คู่สายถามว่าเขาจะทำอย่างไรกับคนในครอบครัว 

“ถ้ายังไม่อยากพูดเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไรนะ พี่เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่ใช่ว่าจะจัดการได้ในวันสองวัน ค่อยๆ แก้ปัญหากันไป งั้นแกทำข้าวต้มให้น้องแพรเถอะ พี่ไม่กวนละ” 

“ผมให้ไอ้ตรินดำเนินคดีกับคุณแม่กับปิ่นให้ถึงที่สุด” กัณฑ์บอกสิ่งที่เขาทำ “แล้วผมก็บอกว่าถ้ามีการทำร้ายแพรอีก ผมจะออกจากบ้านนั้นจริงๆ จะไม่แบกรับค่าใช้จ่ายหรือปัญหาที่บ้านนั้นอีก”

“แกพูดอย่างนั้นไป ไม่กลัวโดนด่าว่าลูกอกตัญญูเหรอ” 

กัณฑ์ยิ้มหยันให้ความจริงนั้น “ผมยอมให้โดนด่า โดนประณามแล้วละพี่ณี...ผมพอแล้วละกับการพยายามจะเป็นลูกที่ดี พี่ชายที่ดี ผมเหนื่อย...” 

ทั้งปราณีและป้าน้อมเห็นชัดถึงความเหนื่อยล้าผ่านน้ำเสียงและแววตาของชายหนุ่ม

“ต่อไปนี้ผมขอทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ” กัณฑ์ถอนหายใจ “หวังว่ามันจะยังไม่สายไป...” 

“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเหมือนโลกจะถล่มใส่อย่างนั้นสิ น้องแพรก็แค่ยังจำไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วแกเป็นยังไง น้องแพรลืมไปแล้วนะกัณฑ์ แกก็อย่าลืมว่าตลอดมาน้องแพรเข้าใจแกว่าแกพยายามที่จะทำให้น้องเข้ากับครอบครัวแกได้...” 

เห็นชัดว่ากัณฑ์ดูเหนื่อย แต่ชายหนุ่มไม่ได้เหนื่อยเพราะต้องสู้รบกับคนในครอบครัว เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แล้วทุกครั้งเขาก็รับมือได้ แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ชายคนนี้ดูหมดพลังเป็นเพราะเหมือนแพรแสดงออกว่าเธอพร้อมจะไปจากเขาได้ทุกเมื่อ ซึ่งทำให้เขาเสียใจ แม้จะเข้าใจสิ่งที่น้องเป็นอยู่ แต่สุดท้ายก็แอบน้อยใจที่ภรรยาเอาแหวนแต่งงานไปแลกกับผลไม้ข้างทางอย่างไม่มีเยื่อใย 

“งั้นแค่นี้ก่อนนะพี่ณี” กัณฑ์เป็นฝ่ายตัดบท เพราะการคุยเรื่องนี้ทำให้เขาเศร้า “ผมจะรีบทำข้าวต้มไปให้น้องแพร” เมื่อพูดถึงสิ่งที่กำลังทำ น้ำเสียงชายหนุ่มดูสดใสขึ้น แล้วก็เหมือนเจ้าตัวจะนึกอะไรได้ รีบหันออกจากกล้อง “เวรละ!” ชายหนุ่มเผลอสบถเพราะลืมว่าต้มข้าวไว้ 

ป้าน้อมรีบเข้ามาช่วย เห็นได้ชัดว่าของในครัวเต็มไปหมด ส่วนใหญ่เป็นพวกผัก ของบำรุง และผลไม้สด 

“คุณซื้อมาทำไมเยอะแยะคะ ทั้งฝรั่ง แอปเปิล ส้ม มะปราง มะยม กระท้อน องุ่น มะม่วงก็มี มะขามดิบด้วย คุณไปตลาดเองเลยเหรอคะ ความจริงแล้วบอกป้าก็ได้ค่ะ ป้าจะไปซื้อให้” 

“ผมอยากทำครับ ผมจะทำผลไม้ดองให้น้องแพรครับ” คนพูดมีรอยยิ้ม “ไม่เคยทำหรอกครับ แต่หาสูตรมาแล้ว อยากทำให้น้องแพรเองจะได้สะอาด ป้าเคยทำมั้ยครับ...งั้นป้าช่วยสอนผมด้วยนะครับ”

“จริงๆ คุณไม่ต้องทำก็ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าทำให้เองค่ะ ของพวกนี้มันงานจุกจิก”

“ไม่เป็นไรครับ ให้ผมทำเถอะ ผมอยากทำให้น้องแพร”

“คุณจะเอาเวลาไหนทำคะ”

“เดี๋ยวผมเอาข้าวต้มไปให้น้องแพร ดูแลน้องแพรเสร็จ น้องแพรนอนผมจะลงมาทำครับ ถ้าดึกไปป้าก็ไปนอนได้เลยนะครับ ผมติดต่อแม่ไอ้ตรินไว้แล้ว คุณแม่บอกว่าจะสอนผมทำแบบจับมือทำเลย” บอกอย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าคนที่กำลังเอาเครื่องข้าวต้มใส่ลงไปในหม้ออย่างคล่องแคล่วและอารมณ์ดี ขณะตักน้ำซุปขึ้นมาชิม “จืดไปหน่อย แต่คนท้องเสียต้องกินรสจืด...”

พูดแล้วก็นึกถึงใบหน้าของน้องตอนที่เขาทำข้าวต้มรสนี้ให้ เธอก็จะบ่นว่า ‘จืดไปค่ะ ขอน้ำปลาเพิ่มหน่อยค่ะ’ แล้วเขาก็ต้องพูดคำเดิมไปว่า ‘คนท้องเสียต้องกินรสนี้’ จากนั้นน้องก็จะบอกว่า ‘แพรจะรีบหายไวๆ ไม่อยากกินข้าวต้มลืมปรุงรสแบบนี้อีกแล้ว’ 

“วันนี้น้องแพรของพี่จะบ่นว่าพี่ทำข้าวต้มลืมปรุงอีกมั้ยนะ” 

เหมือนแพรมองอาหารตรงหน้าที่กัณฑ์ทำมาให้ อันประกอบด้วยข้าวต้มในชามทรงกลมสีขาว กล้วยน้ำว้านึ่งหั่นเป็นชิ้นทรงกลมตามแนวขวางในจานสีเหลือง วางข้างๆ กับลูกมะพร้าวอ่อนที่ปักหลอดดูดรูปทรงหัวใจ ข้างๆ มีช่อดอกมะลิเล็กๆ ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม 

“ทำไมไม่กินครับ” กัณฑ์ดึงเก้าอี้มานั่งมองคนบนเตียงแล้วถาม เมื่อเห็นว่าน้องเอาแต่มองของบนโต๊ะญี่ปุ่นกลางเตียง “หรือว่าเหนื่อย งั้นพี่ป้อนให้นะ” 

พร้อมกับคำพูดคนพี่ลุกขึ้นมาจับขอบโต๊ะญี่ปุ่นไว้แล้วนั่งลงที่ริมเตียง เอื้อมมือตักข้าวต้มป้อนน้อง สีหน้ามีความสุข ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นสายตาที่บอกเขาว่าเธอไม่มีทางยอมให้เขาป้อนแน่ๆ ทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนจากดีใจเป็นเศร้าแทบจะในทันที ก่อนจะลดช้อนลง 

เหมือนแพรรู้สึกว่าเธอไม่ควรทำอย่างนั้นกับคนที่ทำอาหารพวกนี้มาให้เธอ 

“แพรกินเองได้ค่ะ” เธอบอกพลางหยิบช้อนที่อีกฝ่ายเพิ่งวางลง แล้วบรรจงตักข้าวต้มขึ้นมาอย่างตั้งใจ ส่งผลให้คนที่เพิ่งหน้าจ๋อยไปเมื่อครู่ยิ้มเล็กๆ รอลุ้นว่าน้องจะว่าอย่างไรกับสิ่งที่เขาทำให้ 

“ระวังร้อนนะ” 

คนที่กำลังจะยกช้อนเข้าปากชะงักไป เงยหน้ามาสบตาเขา ก่อนที่เธอจะพยักหน้าแล้วเป่าข้าวต้มในช้อนจนมั่นใจว่าไม่ร้อนแล้วจึงเริ่มชิมข้าวต้มคำแรกแล้วนิ่งไป 

“เป็นไงบ้างครับ” 

สีหน้าน้องตอนนี้เหมือนทุกครั้งเวลากินข้าวต้มรสจืดนี้ แต่สถานการณ์ระหว่างเขากับน้องในเวลานี้ เธอคงไม่พูดอย่างนั้น อาจจะแค่บอกว่าดี หรืออร่อย ตามมารยาท แต่ถึงจะคิดได้อย่างนั้นกัณฑ์ก็ยังคาดหวังและเฝ้ารอคำตอบ 

“จืดไปค่ะ อย่างกับ...พี่กัณฑ์ลืมปรุงรสรึเปล่าคะ” 

คำพูดนั้นทำให้กัณฑ์ยิ้มกว้าง 

“ลืมจริงเหรอคะ...งั้นพี่กัณฑ์ยิ้มทำไมคะ มันจืดมากๆ เลย ไม่เชื่อก็ลองชิมดูสิคะ” 

คราวนี้คนลืมตัวตักข้าวต้มขึ้นมา แล้วป้อนให้พี่ซึ่งขยับเข้าไปชิมทั้งที่รู้อยู่แล้ว

“เป็นไงคะ” คนถามดูเหมือนจะดีใจและขำเมื่อเห็นพี่ชิมเสร็จก็เลิกคิ้วคล้ายกับสนับสนุนคำพูดเธอ “สรุปลืมปรุงใช่มั้ยล่ะคะ”

“พี่ไม่ได้ลืมครับ” 

“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย แบบนี้ลืมชัวร์” เหมือนแพรชี้หน้า ย่นจมูกขณะกลั้วเสียงหัวเราะ “ไม่ต้องอายหรอกค่ะ คนเราลืมกันได้ พี่กัณฑ์คงยุ่งๆ แพรบอกแล้วว่าไม่ต้องทำให้แพรก็ได้ ป้าน้อมทำให้ก็ได้ค่ะ”

“พี่ตั้งใจปรุงรสนี้” กัณฑ์เน้นย้ำ ก่อนจะอธิบาย “คนท้องเสียควรกินอาหารรสชาติอ่อนๆ ไม่ปรุงเลยยิ่งดี ทนกินรสนี้หน่อยนะ ไว้หายค่อยกินอาหารรสชาติที่น้องแพรชอบ” 

ถึงตอนนี้คนที่ถูกพี่ทำดีด้วยมีอาการประหม่า เพราะเธอชอบที่พี่มองตาแล้วยิ้มให้อย่างตอนนี้ เป็นแววตาที่เธอคุ้นเคย ที่สำคัญเวลาที่เธอเห็นสายตาอย่างนี้ทำให้ลืมความทรงจำแย่ๆ ที่ถูกไล่ให้ไปตายได้ชั่วขณะ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ตอนที่เธอก้มลงกินข้าวต้มที่พี่ทำให้อย่างมีความสุข

กัณฑ์มองสีหน้าคนซึ่งกินอาหารที่เขาทำให้แล้วยิ้มตาม ต่อให้น้องบอกว่าจำเรื่องในอดีตไม่ได้มาก แต่สีหน้าเธอตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างจากเมื่อก่อนเลย ต่อให้บ่นว่าอาหารจืด แต่ก็พยายามกิน เพราะเขาบอกว่ามันดีกับเธอ 

“แพรกินนี่ก็น่าจะหายแล้ว แพรไม่อยากป่วย ไม่อยากท้องเสียแล้ว ไม่อยากกินอาหารรสลืมปรุงนี้” เธอพึมพำแต่ก็ยังตักข้าวต้มเข้าปาก “ที่เขาบอกว่าของดีมักไม่อร่อยนี่ท่าจะจริงนะคะ” 

ตอนที่พูดเหมือนแพรยังกลืนอาหารไม่หมดทำให้ไอสำลัก คนเป็นพี่ก็รีบยกลูกมะพร้าวอ่อนไปจ่อปากพร้อมกับจับหลอดให้เธอก้มลงกินอย่างว่าง่าย แล้วก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณ การขอบคุณที่ทำให้เธอรู้ตัวว่าเผลอทำดีกับพี่ไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงแก้เก้อโดยการจิ้มกล้วยน้ำว้านึ่งขึ้นมากิน 

“กล้วยนี่อร่อยค่ะ อันนี้ไม่น่าจะลืมปรุง” 

“ปกติกล้วยนึ่งเราไม่ได้ปรุงอะไรหรอกนะ แค่เอากล้วยน้ำว้าสุกมาหั่นชิ้นแล้วนึ่งให้สุกหอม เหมาะกับคนท้องเสียด้วย เมื่อก่อนน้องแพรจะชอบมาก ถ้ากล้วยน้ำว้าสุกธรรมดาน้องแพรไม่กิน” 

การได้ยินว่าใครคนหนึ่งจดจำได้ว่าเธอชอบอะไรทำให้รู้สึกดี เหมือนแพรเผลอปล่อยใจไปกับคำบอกเล่าของพี่โดยไม่รู้ตัว เพราะเธอมองเห็นแววตาที่อ่อนโยนของพี่ตอนเล่ากับรอยยิ้มเล็กๆ ที่ประกอบกันซึ่งทำให้เธอรู้สึกดี 

“แล้วพี่กัณฑ์ล่ะคะ...กินอะไรรึยัง” 

คำถามที่ดูธรรมดา แต่ทำให้กัณฑ์ได้รับการเติมพลัง เขายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่มื้อเที่ยง ไม่ได้รู้สึกว่าหิว แต่พอน้องถาม พอเห็นว่าน้องห่วงใย ทำให้ท้องเขาร้องประท้วงออกมาตอบคำถามแทน 

“อ้าว...ทำไมทำอย่างนั้นล่ะคะ ทำไมปล่อยให้ตัวเองหิว” เหมือนแพรตำหนิ ก่อนจะกุลีกุจอเลื่อนชามข้าวต้ม ขยับของออกเพื่อให้พี่มานั่งกินตรงหน้าเธอ โดยมีโต๊ะไม้ญี่ปุ่นตัวเล็กๆ กลางเตียงคั่นทั้งสองคนไว้ “ปล่อยให้ตัวเองหิวไม่ดีนะคะ พี่กัณฑ์กินเลยค่ะ แพรยกให้”

“น้องแพรกินเถอะ เดี๋ยวพี่ลงไปกินข้างล่างได้ พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ น้องแพรกินให้หมดนะคะ เมื่อกลางวันน้องแพรไม่ได้กินข้าว ลูกคงหิวมาก ไม่ต้องห่วงพี่ พี่อาบน้ำเสร็จเดี๋ยวลงไปกินข้างล่างได้” 

“แต่ว่า...งั้นพี่กัณฑ์กินกล้วยนี่รองท้องก่อนค่ะ” เหมือนแพรยกสิ่งที่เธอชอบให้ “รับไปเถอะค่ะ ไม่อย่างนั้นแพรไม่สบายใจนะ ให้คนทำมาให้ท้องร้องประท้วงแบบนี้ได้ไง...แพรกินไม่ไหวหรอกค่ะเยอะเลย ต่อให้บอกว่ากินเผื่อลูกก็เถอะ...รับไปเถอะค่ะ แพรขอร้องนะคะ นะคะพี่กัณฑ์” 

เป็นอีกครั้งที่หัวใจกัณฑ์ถูกเติมพลังเมื่อเห็นรอยยิ้มของน้องที่ไม่ได้ต่างจากอดีต สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ทำให้เขานึกถึงคำพูดของวศินที่ให้คำแนะนำเขาก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรให้น้องลืมคำพูดของเขาในวันนั้น 

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่มีวันพูดอย่างนั้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะต้องแลกกับความตายของคนรู้จักทั้งโลก เขาก็จะไม่มีวันพูดออกมา เพราะรู้แล้วว่าผลของการทำอย่างนั้นทำให้เขาสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดไป และเหนืออื่นใด มันทำให้เธอเจ็บปวด 

‘คำพูดถ้ามันหลุดปากออกไปแล้ว มันก็เหมือนตะปูที่ถูกค้อนตอกลงไปในเนื้อไม้ ต่อให้ดึงออกมาได้ แต่สุดท้ายเนื้อไม้ก็ยังเป็นรู น้องแพรจะจำคำที่แกพูดไปจนตาย แกคิดดูเถอะว่าขนาดน้องลืมมันไปแล้ว เธอก็ยังจำมันได้อีก แกแก้ไขอะไรไม่ได้ แกต้องอยู่กับมัน แล้วทำให้น้องแพรเห็นว่าแกรักเธอ มีแต่ทำให้เธอรู้ว่าแกรักเท่านั้น จึงจะช่วยบรรเทาสิ่งที่แกทำได้’

ก่อนหน้านี้เขาไม่คิดว่ามันจะช่วยได้ แต่ตอนนี้เริ่มมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ จากมือที่ยื่นจานกล้วยนึ่งมาตรงหน้าเขา พร้อมกับพยักหน้าหงึกๆ ให้เขารับไป ถึงตอนนี้กัณฑ์จึงได้ยื่นมือไปรับความอาทรที่น้องส่งมา... 

“น้องแพรจะไปไหนคะ” กัณฑ์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จออกมาเห็นเหมือนแพรกำลังยกโต๊ะญี่ปุ่นจะเดินไปทางประตู “จะเอาลงไปเก็บเหรอ ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่จัดการเองค่ะ” 

“ไม่เป็นไรค่ะ แพรจะให้พี่กัณฑ์มาเก็บได้ไงคะ แพรทำเองได้” หญิงสาวไม่ยอมปล่อยมือจากของที่ถือไว้ ก่อนจะนึกบางอย่างได้ ทำหน้าตกใจ “หรือว่าเมื่อก่อนแพรปล่อยให้พี่กัณฑ์ทำแบบนี้ตลอดเหรอคะ” 

กัณฑ์ยิ้ม ไม่ตอบคำถาม ทำให้น้องทำหน้าเหลอ เหมือนช็อกถ้าความจริงเป็นแบบนั้น ชายหนุ่มจึงรีบบอก 

“ไม่ใช่หรอกครับ ส่วนใหญ่น้องแพรก็ทำให้พี่นะ โดยเฉพาะวันที่พี่ไปทำงาน พี่จะมาทำให้น้องแพรบ้างก็วันหยุด วันพิเศษเท่านั้นแหละ น้องแพรเป็นเมียที่น่ารัก ดูแลพี่ดี ไม่ต้องห่วง” 

คนฟังมีสีหน้าโล่งใจ “งั้นอันนี้แพรไปเก็บดีกว่าค่ะ พี่กัณฑ์ช่วยทำแล้ว แพรอยากทำ ให้แพรทำเถอะ”

“เอาไว้คราวหลังนะ” กัณฑ์บอกแล้วให้เหตุผล “โต๊ะแบบนี้ถือลำบาก น้องแพรท้องอยู่เดินไม่สะดวกเกิดตกบันไดไปแย่เลย พี่ขอบใจนะที่อยากช่วย” 

เมื่อพี่พูดแบบนี้ หญิงสาวก็ยอมปล่อยมือจากโต๊ะ 

“งั้นพี่ลงไปข้างล่างก่อนนะ อาจจะขึ้นมาช้าหน่อย พี่มีงานต้องทำต่อ น้องแพรจะนอนก็นอนได้เลยนะครับ” บอกเสร็จทำท่าจะไป แต่หญิงสาวเรียกไว้ก่อน “มีอะไรครับ หรือว่าน้องแพรอยากได้อะไรเพิ่ม”

“เปล่าค่ะ แต่ว่าแพรมีเรื่องจะคุยกับพี่กัณฑ์หน่อยค่ะ” 

ชายหนุ่มหันกลับมารอฟัง 

“คือแพรอยากจะแยกห้องอยู่กับพี่กัณฑ์น่ะค่ะ”

“ไม่ได้!” พูดสวนออกไปทันทีด้วยเสียงค่อนข้างดัง รอยยิ้มบนหน้าหายไป “เราจะแยกห้องนอนได้ยังไง เราไม่เคยแยกห้องกันนอนเลยนะน้องแพร พี่ทำอะไรให้แพรไม่พอใจเหรอ”

ถามออกไปอย่างนั้น ก่อนจะนึกได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป เขายอมรับว่าทำผิด แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมแยกห้องนอนเป็นอันขาด

“พี่รู้ว่าพี่ผิด แต่เรา...” กัณฑ์ไม่รู้จะพูดอย่างไร 

“แพรอยากได้ความเป็นส่วนตัว ตอนนี้แพรไม่รู้สึกว่าพี่กัณฑ์คือสามี” เหมือนแพรเห็นความเจ็บปวดในสีหน้าและแววตาของกัณฑ์ แต่เธอจำเป็นต้องพูด “แค่แพรคิดว่าจะต้องมีผู้ชายสักคนที่แพรยังจำเขาไม่ได้มานอนบนเตียงเดียวกัน แพรก็รู้สึกอึดอัด ยิ่งพี่กัณฑ์ทำเหมือนเป็นสามี แพรก็ยิ่งรู้สึก...” 

กัณฑ์เข้าใจสิ่งที่น้องจะบอก แม้เธอไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไร เขาก็เข้าใจ “พี่ยอมน้องแพรทุกอย่าง แต่อย่าบอกว่าจะแยกกันอยู่เลยนะ อย่าตัดโอกาสพี่อย่างนั้นเลยนะ พี่สัญญาว่าจะให้ความเป็นส่วนตัวกับน้องแพร ก่อนเข้าห้องจะเคาะประตู จะไม่ทำอะไรที่น้องแพรไม่ยินยอม จะไม่ให้น้องแพรลำบากใจ...นะน้องแพร ได้โปรดอย่าบอกว่าจะแยกห้องกันอยู่เลยนะ”

“ถ้าไม่แยกห้องพี่กัณฑ์จะนอนไหน” เหมือนแพรพอรับได้เรื่องการใช้ห้องด้วยกัน แต่สิ่งที่เธอรับไม่ได้ก็ยังมี “แพรไม่นอนเตียงเดียวกับพี่กัณฑ์นะ”

“พี่นอนพื้นก็ได้ นอนหน้าเตียงได้”

“จะนอนพื้นได้ยังไง น่าเกลียดตาย พี่กัณฑ์ไปนอนอีกห้องดีกว่าค่ะ หรือจะให้แพรไปก็ได้”

“งั้นพี่ไปนอนตรงโซฟา พี่นอนตรงนั้นได้” โซฟายาวหน้าทีวีอยู่ไม่ไกลจากเตียง “เมื่อก่อนเวลาพี่ทำงานดึกๆ พี่ก็นอนตรงนั้นเสมอ...” 

ทำไมต้องนอนตรงนั้นเสมอ นั่นคือคำถามที่เหมือนแพรสงสัย แล้วดูเหมือนจะมีความทรงจำส่วนหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว เป็นภาพที่เธอตื่นมาตอนเช้าแล้วเห็นว่ากัณฑ์นอนอยู่ตรงโซฟา เธอจึงเดินเข้าไปหาด้วยท่าทางเป็นห่วง เอื้อมมือไปแตะตัวพี่ เห็นชัดว่าเย็นจัด จึงได้กลับไปดึงผ้าห่มจากเตียงมาคลุมตัวให้ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะลุกออกไป พี่ก็ตื่น ยิ้มให้แล้วทักทายอรุณสวัสดิ์

‘ทำไมพี่กัณฑ์มานอนตรงนี้คะ...อย่าบอกนะคะว่ากลัวทำแพรตื่น แพรบอกแล้วไงคะว่าไม่เป็นไร’

‘พี่นอนตรงนี้ได้ ไม่เป็นไรหรอก’

‘จะไม่เป็นไรได้ยังไง นอนแบบนี้ปวดหลังแย่เลยค่ะ แพรตื่นเดี๋ยวแพรก็หลับต่อได้ ต่อให้หลับยากหน่อย ยังไงก็หลับได้ ดีกว่าให้พี่กัณฑ์มานอนแบบนี้’

‘ไม่เอาน่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่...ไม่ต้องหน้างอเลย’ 

‘เรื่องใหญ่สิคะ งั้นเดี๋ยวแพรให้ป้าน้อมจัดห้องให้พี่กัณฑ์อีกห้องดีกว่า’

‘จัดทำไม’

‘ถ้าพี่กัณฑ์ต้องทำงานดึก ต้องนอนทีหลังแพร พี่กัณฑ์จะได้ไปนอนห้องนั้นไงคะ ไม่ต้องมานอนโซฟาแบบนี้ โอ๊ย! พี่กัณฑ์ดีดหน้าผากแพรทำไมคะ’

‘ทำโทษที่พูดคำว่าแยกห้องนอนไง ผัวเมียที่ไหนแยกห้องนอนกัน พี่ยอมนอนโซฟาดีกว่าจะต้องแยกห้องกันนอนนะ เราแต่งงานกัน เพราะอยากใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน มีเวลาอยู่ด้วยกัน เราควรหาวิธีที่จะอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่แก้ปัญหาโดยการแยกกันอยู่แบบที่แพรคิดจะทำ’

‘ไม่ได้แยกกันอยู่ซะหน่อยค่ะ แค่แยกห้องตอนนอนเท่านั้นเอง เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้พี่กัณฑ์ก็ต้องมานอนโซฟา ปวดหลังตายเลย งั้นพี่ก็ต้องไปนอนเตียง ต่อให้ทำแพรตื่นก็ต้องไปนอน’

กัณฑ์ไม่ยอมรับปาก แต่คิดหาทางออกอื่น ‘งั้นเอางี้ เดี๋ยววันนี้ว่าง ไปเลือกโซฟาดีๆ มาเปลี่ยนดีกว่า โซฟาที่นอนได้สบายเหมือนเตียง แบบนี้เป็นทางแก้ปัญหาที่ดีนะ...เอาเป็นว่าตามนี้ ยังไงก็ห้ามบอกว่าแยกกันนอนนะ น้องแพรรู้มั้ยว่าการแยกห้องนอนมันไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่มันคือจุดเริ่มต้นให้ห่างกันไปอีก’

‘ถ้าแพรจำไม่ผิด เหมือนแพรจะเคยอ่านเจอว่า การเพิ่มระยะห่างให้กันมันก็ช่วยแก้ปัญหาได้นะ’

‘แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาของเราสองคน...พี่จะไม่มีทางแก้ปัญหาชีวิตคู่ด้วยการแยกห้องนอนกันอยู่แน่นอน เพราะพี่มีเมีย พี่ก็ต้องอยากอยู่กับเมียพี่’...

“พี่สัญญาจะไม่ทำให้น้องแพรอึดอัด...นะครับ แต่อย่าบอกว่าให้แยกห้องกันอยู่เลยนะ” คำอ้อนวอนของกัณฑ์เรียกสายตาเหมือนแพรให้หันออกมาจากโซฟาที่ซื้อมาใหม่ เหมาะกับการนอนได้อย่างสบายไม่ต่างจากนอนเตียง 

“พี่นอนโซฟาตรงนั้นได้ พี่นอนอยู่เรื่อยๆ น้องแพรก็ยอมให้พี่นอน นอนแล้วก็ไม่ได้ปวดหลังอะไร นอนสบายเหมือนเตียงเลยนะ น้องแพรเป็นคนไปเลือกซื้อมาให้พี่เลย...นะครับ...ขอร้องละ ถ้าพี่ทำอะไรให้น้องแพรไม่พอใจหลังจากนี้ พี่จะยอมทำตามน้องแพรทุกอย่าง จะให้พี่ไปนอนที่ไหนก็ได้” 

เหมือนแพรมองตาคนที่ขอร้องเธอ ใช้เวลาครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงพยักหน้า นั่นทำให้ชายหนุ่มยิ้มได้ แล้วจึงลงไปข้างล่างพร้อมกับบอกว่าถ้าจะนอนก็นอนได้เลย เขาจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้อย่างเคร่งครัด 

ถึงจะตกลงกันแล้ว หญิงสาวก็ยังไม่กล้านอนก่อน ยังคงรอให้กัณฑ์กลับขึ้นมา ระหว่างนั้นจึงเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว ขณะที่หาเสื้อผ้าใส่ก็สำรวจห้องแต่งตัว จนไปเจอที่เก็บผ้านวมซึ่งในความทรงจำบอกเธอว่ามันคือสิ่งที่กัณฑ์ใช้เวลาที่ต้องนอนโซฟา เธอจึงเอาออกมาวางไว้ให้ พร้อมกับแบ่งหมอนบนเตียงให้เขาใบหนึ่ง ก่อนจะกลับมานั่งรอให้เขาขึ้นมา 

กระทั่งเผลอหลับไปทั้งที่ไฟในห้องยังเปิดอยู่ มาสะดุ้งตื่นก็ตอนตีสองกว่าแล้ว ยังไม่เห็นกัณฑ์กลับขึ้นมาในห้อง ด้วยความห่วงและสงสัยจึงลองเดินลงไปดูข้างล่างตามแสงไฟที่สว่างมาจากห้องครัว แอบชะเง้อมองเข้าไปจึงเห็นว่า ชายหนุ่มกำลังวุ่นอยู่กับการทำผลไม้ดอง... 

 ‘ถ้าไม่ติดเกรงใจ ถ้าไม่ติดว่าพี่เหนื่อย ถ้าพี่ทำน้องแพรจะกินมั้ยครับ...งั้นพี่จะทำ น้องแพรไม่ต้องเกรงใจ พี่อยากทำให้ พี่ไม่เหนื่อย ให้พี่ทำเถอะนะ พี่อุตส่าห์ไปซื้อของมาจากตลาดหลายอย่างเลย ซื้อผลไม้มาทำผลไม้ดองให้น้องแพรด้วย...หลายอย่างเลย ผลไม้สดก็มีนะ น้องแพรจะได้ไม่ต้องไปเสี่ยงกินผลไม้แล้วท้องเสียไงคะ’

เหมือนแพรจำคำพูดของกัณฑ์ที่บอกเธอก่อนหน้านี้ได้... 

ผู้ชายคนนี้ใช้เวลากว่าครึ่งค่อนคืนทำผลไม้ดองให้เธออยู่...

จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อผู้ชายคนนี้เคยไล่ให้เธอไปตาย...

ถ้าไม่รักแล้วพี่จะมาทำดีกับแพรทำไม...พี่ต้องการอะไรจากแพร

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น