5

วันเวลาเช่นนี้เมื่อใดจักสิ้นสุดลง


หมายเหตุสำนักพิมพ์

 

นวนิยายจีนย้อนยุคเรื่องนี้ใช้ราชาศัพท์แบบลำลอง

คือเลือกใช้เพียงบางส่วนเท่าที่จำเป็น

ด้วยเกรงว่าหากใช้เต็มรูปแบบตามหลักเกณฑ์

อาจส่งผลให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกว่า

อ่านเข้าใจยาก อ่านติดขัด หรือรกรุงรังเกินควร

เป็นอุปสรรคต่อการติดตามเรื่องราวอันเข้มข้นของตัวละคร

ทั้งนี้สำนักพิมพ์ยินดีรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อปรับแก้ในโอกาสต่อไป

 

--------------------------------------------------------- 


บทที่ 5

วันเวลาเช่นนี้เมื่อใดจักสิ้นสุดลง

“ขุนพล!”

เสียงวางหมากใสกังวานดังมาจากห้องหนังสือ

“เจ้าแพ้อีกแล้ว”

มีเพียงคนเดียวที่กล้าเรียกโอรสสวรรค์ว่า ‘เจ้า’ และมีเพียงคนเดียวที่มีค่าพอที่โอรสสวรรค์จะประจบเอาใจเสียงอ่อน

“นั่นเป็นเพราะทักษะการเดินหมากของจื่อซีดี มาๆ พวกเรามาเดินหมากอีกกระดาน แล้วเจ้าค่อยชี้แนะเรา”

เหยียนจูที่ฟุบอยู่บนโต๊ะข้างนอกอดรู้สึกขบขันไม่ได้ เขามักจงใจพ่ายแพ้ให้หลี่ฟู่ ส่วนหลี่ฟู่จงใจพ่ายแพ้ให้เฉาเหยียน ความจริงในบรรดาพวกเขาสามคน คนที่ทักษะการเดินหมากแย่ที่สุดกลับเป็นเฉาเหยียน เหยียนจูคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยพลางยื่นมือไปหมายจะรินน้ำชาอีกถ้วย กลับพบว่าไม่เหลือน้ำชาแล้ว

คอแห้งเหลือเกิน ดื่มชาหมดไปหนึ่งกาแล้วยังรู้สึกเหมือนมีไฟแผดเผาอยู่ ไฟกองนั้นทำท่าว่าจะเผาไหม้รุนแรงขึ้นทุกที ลุกลามขึ้นไปถึงศีรษะ รู้สึกเหมือนตาหูจมูกปากกำลังพ่นไอร้อนออกมา ถูกนึ่งด้วยไอร้อนไปทั้งตัวจนรู้สึกวิงเวียน

“ข้าไม่เดินกับเจ้าแล้ว”

เสียงเฉาเหยียนต่อว่าดังมาอีก

“ห้ากระดานแล้ว เจ้าแพ้มาตั้งห้ากระดาน น่าเบื่อชะมัด ข้าให้เหยียนจูมาเดินหมากกับข้าดีกว่า”

เสียงใกล้เข้ามาทุกที เป็นเฉาเหยียนกำลังเดินมาทางนี้

“เฮ้ย!”

เหยียนจูเงยหน้า เห็นใบหน้างดงามเกลี้ยงเกลาของเฉาเหยียนเต็มไปด้วยความตื่นตกใจและเป็นกังวล

“เหยียนจู ไฉนหน้าเจ้าจึงแดงขนาดนี้ คงมิใช่ว่าเป็นไข้กระมัง”

เอ่ยพลางไม่รอให้เหยียนจูตอบ คว้ามืออีกฝ่ายขึ้นมาจับชีพจร

“อะไรนะ! เขาไม่สบาย?”

หลี่ฟู่ที่ตามมาถามขึ้น เขารู้สึกแต่แรกแล้วว่าเสียงครางบนเตียงที่เหยียนจูเปล่งออกมาเพื่อตบตาคนอื่นวันนี้แหบพร่าอ่อนแรงเป็นพิเศษ แต่กลับคิดเพียงว่าคงเพราะหลายวันก่อนเขาส่งเสียงในห้องจั๋วชิงจนเสียงแหบ จึงไม่ใส่ใจนัก

เฉาเหยียนไม่สนใจเขา จับชีพจรให้เหยียนจูอย่างละเอียด เขามีความรู้กว้างขวาง แม้แต่หลักการแพทย์พื้นฐานก็พอรู้อยู่บ้าง คิ้วรูปดาบของเขาชี้ขึ้น

“เจ้าป่วยไม่น้อยเลย ไฉนจึงไม่พักผ่อนให้ดี รีบไปนอนบนเตียงเร็วเข้า!”

กล่าวพลางประคองอีกฝ่ายขึ้นมา

เหยียนจูหรือจะกล้าให้เฉาเหยียนปรนนิบัติตน เบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า

“ไม่ได้เป็นอะไรมาก เดี๋ยวข้าจัดยาและนำไปต้มกินเองก็ได้”

กล่าวจบคิดจะลุกขึ้นเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่เป็นอะไรจริงๆ แต่ลุกขึ้นมาแล้วภาพตรงหน้ากลับพร่าเลือน ร่างกายโงนเงนอยู่หลายที เฉาเหยียนตอบสนองว่องไวประคองเขาไว้ได้จึงไม่ล้มลง

เฉาเหยียนรู้ว่าเหยียนจูกลัวหลี่ฟู่ จึงหันไปขึงตาใส่เขา

“เหยียนจูวิชายุทธ์ไม่ธรรมดา ไม่มีทางป่วยง่ายๆ แน่ เจ้าให้เขาทำอะไรเขาถึงได้กลายเป็นเช่นนี้”

...ไม่ใช่ให้เขาทำอะไร แต่เป็นข้าที่ทำอะไรเขาต่างหาก

หลายวันก่อนด้วยฤทธิ์ยาและความโมโห หลี่ฟู่เคี่ยวกรำเหยียนจูอย่างไม่บันยะบันยัง เรื่องพรรค์นี้เขาไม่มีทางสารภาพออกมาเองอยู่แล้ว

หลี่ฟู่ลูบจมูกพลางกล่าว

“ตอนนี้เขาไม่ใช่องครักษ์อวี้เชวี่ยสักหน่อย เราให้เขาทำอะไรเสียที่ไหน เกรงว่าคงเพราะบาดเจ็บสาหัสครั้งก่อนร่างกายยังไม่ฟื้นฟูดี วันที่ไปล่าสัตว์ลมแรง ดังนั้นจึงถูกลมหนาวเข้า เอาอย่างนี้ พวกเราอย่ารบกวนการพักผ่อนของเขาเลย เจ้าตามเรากลับไปก่อน เดี๋ยวเราจะให้หมอหลวงมาจับชีพจรให้เขา”

เขารู้ว่าเฉาเหยียนเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ เกรงว่าอยู่ตรงนี้นานๆ จะรู้ถึงสาเหตุที่เหยียนจูเป็นไข้ จึงอยากลากตัวอีกฝ่ายจากไปโดยไว

เฉาเหยียนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่รู้ว่าหลี่ฟู่นิสัยร้ายกาจไร้เหตุผล ต่อให้ตนคาดคั้นความจริงออกมาได้ ก็ใช่ว่าจะเป็นผลดีต่อเหยียนจู จึงได้แต่ยอมเลิกรา เขากล่าวกับหลี่ฟู่

“งั้นเจ้าต้องเลือกหมอหลวงที่ซื่อสัตย์และไว้ใจได้มานะ”

จากนั้นหันไปกำชับเหยียนจูให้พักผ่อนให้ดี ก่อนจะตามหลี่ฟู่จากไป

สองคนจากไปแล้ว เหยียนจูพรูลมหายใจออกมาในที่สุด ก่อนจะรู้สึกไร้เรี่ยวแรงมากขึ้นทุกที หนาวเย็นไปหมด ตอนนี้เขาเพิ่งจะเชื่อคำกล่าวที่หมอบอกตอนเขาพักรักษาตัวอยู่ในจวนฉยงอ๋อง...พลัง

ในร่างกายตนถูกทำลายจนพร่องไปจริงๆ ไม่รู้ว่าร่างกายนี้จะรองรับการทรมานจากหลี่ฟู่ได้อีกกี่ครั้ง

เขายิ้มขื่นพลางถอดเสื้อนอกและไปนอนพักบนเตียง คิดว่าหลับสักงีบน่าจะดีขึ้น สติสัมปชัญญะเลือนราง รู้สึกเหมือนเพิ่งเอนกายลงได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงประตูถูกผลักเข้ามากะทันหัน

เหยียนจูตะลึงงัน ชั่วขณะหนึ่งที่ลืมลุกขึ้นถวายบังคม

อีกฝ่ายไม่คิดจะถือสาเรื่องธรรมเนียมมารยาท คว้าเสื้อผ้าข้างเตียงขึ้นมาและสวมให้เหยียนจูมั่วๆ จากนั้นคว้ามือเหยียนจูที่ร้อนจนลวกเดินออกไปข้างนอก เหยียนจูต่อต้านพลางกล่าว

“ท่าน...ท่านอ๋อง ท่านจะทำอะ...”

แม้เหยียนจูจะกำลังเป็นไข้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง หลี่หงจึงลากตัวเขาไปไม่ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ กล่าวอย่างร้อนใจ

“ข้าจะพาเจ้าไป! พาเจ้าไปจากสถานที่สกปรกแห่งนี้!”

เหยียนจูนึกขึ้นได้ว่า วันนั้นหลี่ฟู่บอกว่าตอนนั้นหลี่หงอยู่นอกห้องจั๋วชิง ได้ยินความคลุ้มคลั่งบ้าบอที่เกิดขึ้นข้างในทั้งหมด แววตาเขาหม่นลง ออกแรงดึงมือตัวเองกลับมา กล่าวเสียงเรียบ

“ไปจากที่นี่แล้ว ข้าจะสะอาดงั้นหรือ”

“เจ้า...”

หลี่หงอดทอดถอนใจไม่ได้ ก่อนกล่าวต่อ

“ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าสกปรกเลย แม้มาถึงเมืองปู้ลั่วแล้วข่าวลือสารพัดจะลอยมาเข้าหู จนกระทั่ง...”

“จนกระทั่งท่านได้ยินกับหูของตัวเองว่าข้าเปล่งเสียงครางเรียกร้องใต้ร่างหลี่ฟู่อย่างไร”

มุมปากของเหยียนจูยกยิ้มเย็นชา หลี่หงไม่เคยเห็นรอยยิ้มเยียบเย็นเช่นนี้ของเขามาก่อน ได้ยินเขาเอ่ยถาม

“เป็นอย่างไร เหยียนจูเทียบกับหลวนถงในจวนท่านอ๋องแล้วเป็นอย่างไรบ้าง”

หลี่หงกำหมัดแน่น จากนั้นกระโจนเข้าใส่เหยียนจู จังหวะนั้นเหยียนจูยังคิดว่าเขาจะต่อยตน แต่กำปั้นของหลี่หงกลับไม่ได้พุ่งเข้ามา สิ่งที่สัมผัสตนคือวงแขนของอีกฝ่าย หลี่หงโผเข้ามา กอดเหยียนจูแนบอกตัวเองกะทันหันพลางกล่าว

“ข้าไม่มีทางเชื่อ! ข้าไม่มีทางเชื่อว่าเจ้าเป็นคนที่ขายร่างกายแลกกับลาภยศสรรเสริญ! มีเพียงผู้สูงส่งบริสุทธิ์เท่านั้นที่สามารถร่ายรำกระบี่ด้วยท่วงท่าสูงส่งสง่างามอย่างนั้นได้ บอกข้า เจ้ามีความลำบากใจอะไร ทำไมเจ้าไม่ขัดขืน ได้โปรดบอกข้าเถอะ! ได้โปรดให้ข้าช่วยเจ้าเถอะ!”

อากาศหนาวเหลือเกิน อ้อมอกของอีกฝ่ายอบอุ่นเหลือเกิน นั่นเป็นอุณหภูมิที่แตกต่างไปจากอุณหภูมิของหลี่ฟู่ ร่างกายของหลี่ฟู่ร้อนลวกเหมือนกองเพลิง สิ่งที่ถูกห่อหุ้มอยู่ภายในคือหัวใจที่บิดเบี้ยวและต้องการแผดเผาทุกสิ่งให้สิ้นซาก แต่อ้อมกอดของหลี่หงกลับอบอุ่นถึงเพียงนี้ เหมือนดาวประกายพรึกที่เขาตื่นมาเฝ้ามองตอนกลางคืน เป็นแสงสว่างที่ไม่ว่าอย่างไรตนก็เอื้อมมือไปแตะไม่ถึง

เขาซื่อตรงและดีงามถึงเพียงนั้น หากเป็นไปได้ ชั่วชีวิตนี้เหยียนจูไม่อยากให้เขาเห็นด้านที่สกปรกโสมมของตัวเองเลย

สองมือของเหยียนจูเกาะหลังของหลี่หง ชั่วอึดใจหนึ่งที่เขารู้สึกอยากกอดตอบบุรุษเพียงคนเดียวที่เคยมอบความอบอุ่นให้แก่เขา แต่แล้วเขากลับดึงชุดคลุมของหลี่หงออกจากตัว ขืนตัวออกจากอ้อมกอดอบอุ่นนั้น

“ขอบคุณท่าน”

เหยียนจูเอ่ย ก่อนกล่าวต่อ

“เพียงแต่ข้าไม่คู่ควร ลืมข้าเสียเถอะ ท่านเป็นท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ ส่วนข้าเป็นเพียงบ่าวชั้นต่ำที่สกปรกเท่านั้น”

“ด้วยเหตุใด”

หลี่หงเขย่าไหล่ทั้งสองข้างของเหยียนจูอย่างคลุ้มคลั่ง

“หรือเจ้าไม่เชื่อข้า”

“ไม่ใช่ข้าไม่เชื่อท่านอ๋อง! เพียงแต่ข้ารู้ดียิ่งกว่าว่าหลี่ฟู่เป็นคนอย่างไร!”

เหยียนจูกล่าวเสียงดัง

“ใช่ว่าข้าไม่เคยต่อต้าน ครั้งแรกข้าเกือบถูกเขาควักลูกตาออกไป ครั้งที่สอง ข้าถูกเขาโยนเข้าไปในหออวี้เจิน แม้แต่ชื่อแซ่ฐานะก็ถูกช่วงชิงไป ได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืด ครั้งที่สาม...”

ดวงตาเหยียนจูแดงก่ำ เหมือนย้อนนึกถึงเรื่องที่น่าแค้นและน่ากลัวอะไรสักอย่าง กัดฟันกล่าวต่อ

“ท่านไม่รู้หรอกว่าปีนั้นเขาทำอะไรกับข้าบ้าง เขาเป็นคนบ้า...คนบ้า!”

เพล้ง!

เสียงชามตกแตกพลันดังขึ้นข้างนอก

ทั้งสองตกใจ หันไปมองที่ประตู เห็นหลี่ฟู่ยืนอยู่หน้าประตู จ้องทั้งสองคนอย่างดุดัน ใบหน้า

ถมึงทึงเหมือนสัตว์ร้ายที่โกรธจัด เศษกระเบื้องที่ตกแตกกระเด็นไปทั่ว ของเหลวสีดำสาดกระจายไปทั่วพื้น กลิ่นยาอบอวลในอากาศ

เหยียนจูอึ้งไป เขาคิดไม่ถึงว่าหลี่ฟู่จากไปแล้วจะย้อนกลับมาอีก ยิ่งคิดไม่ถึงว่าหลี่ฟู่จะยกยามาให้ด้วยตัวเอง

หลี่ฟู่ก้าวเดินเข้ามาข้างใน ไช่เยวี่ยข้างหลังเห็นโอรสสวรรค์โมโหจึงคุกเข่าลงกล่าวอย่างร้อนใจ

“ฝ่าบาทระวังเศษกระเบื้องใต้พระบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

กระนั้นหลี่ฟู่กลับเหมือนไม่ได้ยิน ย่ำไปบนเศษกระเบื้อง ก้าวข้ามธรณีประตู เดินไปตรงหน้าเหยียนจู

“ดี”

เสียงของหลี่ฟู่เหมือนเค้นลอดไรฟันออกมา

“ดีนี่! เลี้ยงเจ้ามาหลายปี เราไม่รู้เลยว่าที่แท้เจ้าเกลียดชังเราถึงเพียงนี้”

เมื่อถูกเปิดโปงแล้ว เหยียนจูกลับสงบสุขุมขึ้นมาก ความหวาดกลัวที่ทำให้เขาต้องอดทนและว่าง่ายตลอดหลายปีมานี้ดูเหมือนจะหายไปในชั่วพริบตา เขายิ้มพลางกล่าว

“ใช่ ข้าเกลียดท่าน แล้วจะทำไม ท่านเป็นถึงโอรสสวรรค์ผู้สูงส่ง โลกนี้มีคนเกลียดท่านกลัวท่านขยาดท่านตั้งมากมาย ท่านรู้แต่แรกแล้วมิใช่หรือ”

“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ ดี! ดี! ดี!”

หลี่ฟู่หัวเราะเสียงดัง ร้องว่า ‘ดี’ ติดกันสามคำ จู่ๆ ก็หันไปตะโกนกับไช่เยวี่ย

“ไปหากงซุนเหยา! ให้เขานำข้าวของของเหยียนจูมา ทั้งข่าวจากครอบครัวและทะเบียนบุคคล ของที่เกี่ยวกับเขาขนมาให้หมด! ขาดไปหนึ่งอย่างข้าจะตัดหัวเขา! ไป!”

“น้อมรับพระบัญชา!”

ไช่เยวี่ยรีบวิ่งออกไป

เหยียนจูหน้าซีดเผือด

“พระองค์คิดจะทำสิ่งใด”

หลี่ฟู่ยิ้มก่อนเอ่ย

“เจ้าเดาใจเราเก่งมาตลอดมิใช่รึ เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”

กล่าวพลางหยิบเศษผ้าชิ้นหนึ่งจากแขนเสื้อโยนใส่หน้าเหยียนจู นั่นเป็นผ้าแพรชนิดหนึ่งที่พิเศษมาก...ชุดขององครักษ์อวี้เชวี่ยตัดจากผ้าชนิดนี้

“เจ้าคิดว่าเราไม่รู้จริงๆ หรือว่าคนที่บุกห้องหนังสือของกงซุนเหยากลางดึกเป็นใคร”

หลี่ฟู่กล่าวเสียงเย็น

“เราเห็นว่าเจ้ามีความดีความชอบในการจับกุมคนร้ายและฝ่ายกบฏ เดิมทีคิดจะยุติเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ในเมื่อเจ้าเกลียดชังเราเข้ากระดูก เราก็ยินดีตัดความคิดฟุ้งซ่านของเจ้าซะ ทำให้เจ้าเกลียดชังเราโดยสมบูรณ์ จะได้ไม่ต้องคอยปั้นหน้าประจบสอพลออย่างเสแสร้งอีก!”

เหยียนจูโมโหจนตัวสั่น

“พระองค์จะทำอย่างนี้ไม่ได้!”

“เราเป็นโอรสสวรรค์ มีอะไรบ้างที่เราทำไม่ได้”

“ท่าน...”

 

โอรสสวรรค์พิโรธจัด กงซุนเหยาย่อมมิกล้าชักช้า อีกทั้งข้อมูลของเหยียนจูมีไม่มากอยู่แล้ว ไม่นานเขาก็นำของกล่องนั้นมา หลี่ฟู่ออกคำสั่ง

“ใครก็ได้ เอากล่องใบนี้ไปเผาทิ้งซะ! อย่าให้เหลือแม้แต่เศษกระดาษชิ้นเดียว!”

“ไม่!”

เหยียนจูร้องเสียงดังพลางโผเข้าใส่กล่องไม้การบูรใบนั้น องครักษ์อวี้เชวี่ยสองคนที่กงซุนเหยาพามาด้วยเห็นดังนั้น รีบเข้าไปขัดขวางทันที

เหยียนจูแม้จะเป็นองครักษ์อวี้เชวี่ยอันดับหนึ่ง แต่ยามนี้กำลังป่วย ทั้งยังร้อนใจจนไร้สติ จึงถูกองครักษ์อวี้เชวี่ยสองคนกดไว้กับพื้นอย่างรวดเร็ว เวลานี้เอง หลี่หงที่ไม่กล้าปริปากมาตลอดอดขอร้องแทนไม่ได้

“ฝ่าบาท...”

เขาเพิ่งจะเอ่ยปาก ก็ถูกหลี่ฟู่ขัดจังหวะ

“หุบปาก! เรายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย! เจ้าเป็นฉยงอ๋องกลับวิ่งมากรมราชองครักษ์ทำไม หากถูกตั้งข้อหาว่าวางแผนก่อกบฏจะให้เราปกป้องหรือไม่ปกป้องเจ้าดี เจ้ารีบไสหัวกลับเรือนของเจ้าไปเดี๋ยวนี้!”

หลี่หงไม่เคยถูกหลี่ฟู่ตำหนิอย่างรุนแรงเช่นนี้มาก่อน ยังคิดจะโต้แย้ง แต่กลับหวาดเกรงสายตาดุดันเฉียบคมของอีกฝ่าย หันไปเหลือบมองเหยียนจูหลายครั้ง มองหลี่ฟู่อีกหลายหน ในที่สุดก็เดินคอตกกลับไปอย่างห่อเหี่ยว

ส่วนเหยียนจูกลับไม่ได้ใส่ใจบทสนทนาของทั้งสองคนเลย เขาเอาแต่จับจ้องกล่องไม้ใบนั้นที่ถูกฟืนทับถม นั่นเป็นความหวังและการเฝ้ารอที่หล่อเลี้ยงให้เขามีชีวิตอยู่ได้ ร่างกายเขาถูกกดไว้ แต่เขายังดิ้นรนขัดขืนไม่หยุดหวังจะแย่งกล่องใบนั้นกลับมา ศีรษะเขาถูกกดอยู่บนพื้น ปากจึงร้องตะโกนด้วยเสียงอู้อี้

“อย่านะ! อย่าเผา! ท่านอยากให้ข้าทำอะไรข้าเต็มใจทุกอย่าง! ข้าขอร้องท่านแล้ว! อย่าเผาเลย!”

“สายเกินไปแล้ว”

หลี่ฟู่กล่าวพลางยิ้มเย็น ก่อนเอ่ยต่อ

“คำขอร้องของเจ้าไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว”

หวังหงถือคบไฟ รู้สึกกระหยิ่มใจเล็กน้อย

เขาไม่รู้ว่าเจ้าคนต่ำช้าที่ทำลายชื่อเสียงของราชองครักษ์ผู้นี้ทำให้ฮ่องเต้กริ้วได้อย่างไร ยิ่งไม่รู้ว่าของในกล่องนี้เป็นอะไรกันแน่ เขารู้เพียงว่าตอนนี้เจ้าคนต่ำช้ามีสภาพอเนจอนาถมาก ส่วนพวกเขาที่เฝ้าดูความครึกครื้นกลับรู้สึกสะใจเหลือเกิน เขาจุดไฟขึ้นช้าๆ ตามคำสั่ง เนื่องจากมีฟืนท่อนเล็กกองสุมอยู่ก่อนแล้ว ไฟจึงลุกไหม้อย่างรวดเร็ว

มองผ่านเปลวเพลิงไป เขาเห็นคนที่ถูกกดอยู่บนพื้นเลิกดิ้นรนขัดขืน หยุดร้องตะโกน ดวงตาว่างเปล่า นิ่งเฉยเหมือนคนตาย

 

ค่ำคืนกลางฤดูใบไม้ร่วง เทียนไขสีเงินเปล่งแสงสลัวราง

จางเหม่ยเหรินไม่ได้ดีใจขนาดนี้มานานแล้ว เดิมทีใจของฮ่องเต้ไม่อยู่ที่ฝ่ายในอยู่แล้ว ตั้งแต่ฮ่องเต้โปรดปรานองครักษ์คนใหม่ โอกาสที่ตนจะได้รับการรักใคร่ก็ยิ่งน้อยกว่าเดิม คืนนี้เดิมทีได้แต่เหม่อมองแสงเทียนเหมือนเช่นที่ผ่านมา คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ฮ่องเต้จะพลิกป้ายชื่อของนาง ในที่สุดตำหนักอันเยียบเย็นก็มีความอบอุ่นมากขึ้น

หลังจากรองรับพระเมตตาแล้ว จางเหม่ยเหรินซบอยู่บนอกฮ่องเต้อย่างไร้เรี่ยวแรง คิดว่าคืนนี้จะต้องนอนหลับฝันดีทั้งคืนแน่ ทว่ากลางดึกโอรสสวรรค์ข้างกายกลับลุกพรวดขึ้นมา จางเหม่ยเหรินลืมตาอย่างงัวเงีย เห็นศีรษะของหลี่ฟู่เต็มไปด้วยเหงื่อ หรือว่าเขาฝันร้าย?

“ฝ่าบาท?”

จางเหม่ยเหรินยื่นแขนขาวเนียนดุจหยกออกไปขณะเอ่ยถามเสียงนุ่มนวล คิดไม่ถึงว่าจะถูกอีกฝ่ายปัดออกอย่างแรง

จางเหม่ยเหรินตกใจเมื่อเห็นความเยียบเย็นบนใบหน้าของหลี่ฟู่

หลี่ฟู่ไม่กล่าวอะไร เพียงก้าวลงจากเตียง

“ฝ่าบาท! พระองค์จะไปไหนเพคะ”

หลี่ฟู่ไม่สนใจคำถามของจางเหม่ยเหริน คลุมเสื้อนอกอย่างเร่งร้อนและเดินออกไป

เนื่องจากรู้ว่าหมู่นี้ฮ่องเต้อารมณ์ไม่ดี ไช่เยวี่ยที่เฝ้าอยู่ข้างนอกตอนกลางคืนด้วยตัวเองได้ยินเสียง จึงรีบก้าวเข้าไปต้อนรับ

“ฝ่าบาท ค่ำคืนกลางฤดูใบไม้ร่วงอากาศหนาวเย็น ฝ่าบาทจะเสด็จไปไหนพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่ฟู่ตอบหน้าขรึม

“เหยียนจูล่ะ? ให้เขามาพบเราเดี๋ยวนี้!”

ไช่เยวี่ยทำหน้าลำบากใจขณะกล่าว

“ฝ่าบาท องครักษ์เหยียนจูย่อมต้องอยู่ในกรมราชองครักษ์ ที่นี่เป็นตำหนักใน บุรุษทั่วไปย่อมมิอาจเข้ามาได้พ่ะย่ะค่ะ”

“จูงม้าของข้ามา!”

สั่งพลางก้าวยาวๆ ไปยังทิศทางของประตูวัง

ไช่เยวี่ยตกใจ แต่มิอาจขัดขวาง ได้แต่โบกมือสั่งให้ขันทีรุ่นเล็กวิ่งไปเตรียมม้า ตัวเองถือเสื้อคลุมกันลมวิ่งตามหลี่ฟู่ไป

“ฝ่าบาทต้องการพบองครักษ์เหยียนจูก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนตอนนี้ กลางคืนลมเย็น ฝ่าบาทโปรดรักษาพระพลานามัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

ตอนหลี่ฟู่ก้าวออกจากประตูวัง องครักษ์จูงอาชาสีขาวมาพอดี เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ขึ้นม้าและควบทะยานไปยังทิศทางของกรมราชองครักษ์ ภายในวังหลวงมีเพียงโอรสสวรรค์ที่สามารถขี่ม้า

ได้ องครักษ์และทหารจิ้นเว่ยคนอื่นๆ ที่เป็นเวรยามล้วนต้องเดินเท้า ดังนั้นเมื่อหลี่ฟู่ควบม้าออกไป คนอื่นๆ จึงสะดุ้งโหยง ได้แต่วิ่งตามไปในสภาพทุลักทุเล

ไช่เยวี่ยจวนร่ำไห้อยู่แล้ว

“ฝ่าบาทโปรดรอข้าน้อยด้วย! ฝ่าบาท!”

ทว่าไหนเลยจะตามทัน

หลี่ฟู่ควบม้าไปจนถึงหน้าประตูกรมราชองครักษ์จึงหยุด ลงจากม้ากำลังจะถีบประตูให้เปิดออก คิดไม่ถึงว่าเงาสายหนึ่งจะกระโดดออกมาจากกำแพง ทั้งสองเผชิญหน้ากันพอดี เพ่งมองดูแล้ว นี่มิใช่คนที่ตนกำลังตามหาหรอกหรือ

เหยียนจูอึ้งไปดุจกัน เขาฉวยโอกาสในคืนเดือนมืด ตีหัวขันทีที่เฝ้าประตูตอนกลางคืนจนสลบ หลบเลี่ยงองครักษ์ที่เดินตรวจตรารอบเรือนมาได้ สุดท้ายกลับปะทะคนที่ตนไม่อยากเจอมากที่สุด ดึกดื่นป่านนี้ฮ่องเต้สุนัขไม่กอดสาวงามในตำหนักใน วิ่งออกมาที่นี่ทำไมกันนะ

อึ้งไปครู่หนึ่ง หลี่ฟู่เข้าใจแล้วว่าเหยียนจูคิดจะไปไหน ดวงหน้าอ่อนหวานดูเยียบเย็นขณะกล่าว

“ไม่มีป้ายคำสั่งออกจากวัง เจ้าจะบุกฝ่าออกไปรึ”

เหยียนจูเกาศีรษะพลางตอบ

“ข้าแย่งป้ายคำสั่งมาจากองครักษ์อวี้เชวี่ยคนหนึ่ง”

หลี่ฟู่แทบอับจนถ้อยคำ

“ต่อให้เจ้าบุกออกไปก็เป็นเพียงนักโทษที่ไร้ฐานะคนหนึ่ง เจ้าจะไปไหนได้”

“ไปไหนก็ได้ ล้วนดีกว่าอยู่ที่นี่ทั้งนั้น”

“เจ้า!”

หลี่ฟู่พิโรธจนควันออกเจ็ดทวาร ยามนี้ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากที่ไกลๆ รู้ว่าพวกไช่เยวี่ยตามมาแล้ว จึงยิ้มพลางกล่าว

“ลู่สุยเฟิงนำทหารจิ้นเว่ยมาแล้ว เจ้ายังจะหนีพ้นรึ”

เหยียนจูหน้าซีด เดิมทีเขาคิดจะออกไปเงียบๆ แล้วหนีไปให้ไกลสุดหล้าฟ้าเขียว แต่ไม่รู้ไฉนหลี่ฟู่จึงหูตาไวเช่นนี้ พาทหารจิ้นเว่ยมาขัดขวางตน เขาตัดสินใจแน่วแน่ คิดว่าในเมื่อเริ่มแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด ชักกระบี่พกที่เอวออกมากระโจนเข้าใส่หลี่ฟู่

หลี่ฟู่ตระหนก ตวาดเหยียนจูที่คว้าคอเสื้อของตน

“เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร จับตัวโอรสสวรรค์เป็นประกันมีโทษถึงตาย! ตอนนี้ยังไม่มีใครเห็น เจ้ารีบปล่อยเราเดี๋ยวนี้!”

เหยียนจูยิ้มจางๆ ก่อนตอบ

“หลายปีมานี้ ข้าแตกต่างอะไรกับคนตายเล่า ฝ่าบาทอย่าขยับตัวส่งเดชดีกว่า มีดดาบไร้ตา หากทำร้ายพระองค์เข้าจะไม่ดี”

หลี่ฟู่อดอึ้งไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้ตอนเหยียนจูเปิดเผยความชิงชังที่มีต่อเขากับหลี่หง เขารู้สึกโมโห แต่ตอนนี้เมื่อเหยียนจูมองตัวเองเหมือนคนตายทำให้เขารู้สึกคาดไม่ถึง หลายปีมานี้ รางวัล ความโปรดปรานและความไว้วางใจที่เขามีต่อเหยียนจู ข้ารับใช้ในวังคนใดบ้างที่เทียบได้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่สำนึกในบุญคุณ ไม่รู้ดีชั่วถึงขั้นเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อวิ่งหนีออกไป ที่แท้คนที่ตนบ่มเพาะออกมามิใช่บุคคลที่เก่งกาจ แต่เป็นคนโง่งมอย่างนั้นหรือ

ยามนี้พวกไช่เยวี่ยรุดมาถึงแล้ว เห็นโอรสสวรรค์ถูกคนใช้กระบี่พาดลำคอ พลันตกใจจนวิญญาณแทบหลุดลอย

“มีคนร้าย! มีคนร้าย!”

ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าและเสียงหวีดร้องโกลาหลอลหม่านยิ่งกว่าเดิม ราชองครักษ์และทหารจิ้นเว่ยในวังรีบรุดมาและล้อมพวกเขาไว้หลายชั้น แม้แต่เหยียนจูที่ผ่านการต่อสู้มานับร้อยครั้งขมับยังมีเหงื่อซึมออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ครั้งนี้เรื่องราวบานปลายแล้วจริงๆ

“บังอาจนัก เจ้าโจรกบฏ!”

ทหารจิ้นเว่ยที่สวมชุดเกราะสีดำคนหนึ่งร้องตวาด

“ถึงกับกล้าปองร้ายฮ่องเต้ รีบวางอาวุธและยอมจำนนเดี๋ยวนี้!”

คนผู้นี้ก็คือผู้บัญชาการทหารจิ้นเว่ยลู่สุยเฟิง เดิมทีหลี่ฟู่แค่ขู่เหยียนจูเท่านั้น ตอนนี้เขากลับปรากฏตัวจริงๆ เห็นเขาน้าวสายพาดลูกธนู ธนูถูกน้าวจนเป็นทรงกลมเหมือนจันทรา เล็งไปที่ศีรษะของเหยียนจูที่เอาหลี่ฟู่มาบังหน้า

หลี่ฟู่แอบขยับไปทางซ้ายก้าวหนึ่ง เขาสูงกว่าเหยียนจู จึงบดบังร่างกายของเหยียนจูไว้ได้พอดี เขาเอ่ยเบาๆ กับเหยียนจูว่า

“เจ้ารีบปล่อยเราซะ ลู่สุยเฟิงได้ฉายาว่ายิงธนูทะลุใบหลิวได้เกินร้อยก้าว เขามั่นใจทีเดียวว่าจะ

สามารถยิงถูกเจ้าได้โดยไม่ทำร้ายเรา”

“งั้นหรือ”

เหยียนจูยิ้มน้อยๆ ก่อนกล่าวต่อ

“เช่นนั้นก็ลองดูว่าลูกธนูของเขาหรือกระบี่ของข้าที่ไวกว่ากัน ถึงอย่างไรเส้นทางไปปรโลกก็มีข้าเป็นเพื่อน ฝ่าบาทคงไม่เหงาหรอก”

หลี่ฟู่อึ้งไปอีกครั้ง เขารู้มาตลอดว่าเหยียนจูแสร้งทำเหมือนขี้ขลาดหวาดกลัว แต่ในใจกลับเจ้าเล่ห์เพทุบาย ทว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่าในช่วงเวลาของความเป็นความตาย อีกฝ่ายจะเย็นชาและไม่อาลัยในชีวิตถึงเพียงนี้ เขาเอียงคอมองใบหน้าด้านข้างขาวเนียนของเหยียนจู กะพริบตาและขยับเข้าไปหอมแก้มอีกฝ่ายทีหนึ่ง เหยียนจูคิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์คับขันเช่นนี้อีกฝ่ายจะทำตัวหน้าไม่อายทั้งที่อยู่ต่อหน้าธารกำนัล เตะก้นหลี่ฟู่ด้วยความโมโหและอับอาย หลี่ฟู่ร้องโอ๊ยเสียงดัง แต่แล้วกลับเอ่ยด้วยสีหน้าทะเล้นกับทุกคน

“พวกเจ้าเห็นแล้วกระมัง องครักษ์เหยียนจูแค่หยอกเย้ากับเราเท่านั้น ลู่สุยเฟิง วางธนูลง”

“ฝ่าบาท...”

เส้นเอ็นบนหน้าผากของลู่สุยเฟิงเต้นตุบๆ อย่างห้ามไม่อยู่ ในฐานะคนใกล้ชิดของหลี่ฟู่ เขาย่อมรู้ว่าเปลือกนอกที่เพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊และฮ่องเต้พระองค์นี้ห่อหุ้มตัวตนอย่างไรไว้ภายใน แต่สถานการณ์ตอนนี้จะสามารถกลบเกลื่อนไปได้ด้วยคำว่าหยอกล้อกันเล่นอย่างนั้นหรือ มีดดาบไร้ตา หากเทียนอู่ตี้ถูกทำร้ายแม้แต่เส้นขนเส้นเดียว ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ย่อมต้องถูกถลกหนังออกมาชั้นหนึ่ง

“เราบอกให้เจ้าวางลงก็วางลง! เราโปรดปรานเขาถึงเพียงนั้น เขายังจะทำร้ายเราได้หรือ”

หลี่ฟู่เห็นลู่สุยเฟิงไม่ทำตามก็อดพิโรธไม่ได้

ไช่เยวี่ยร่ำไห้พลางกล่าว

“ฝ่าบาทอย่าทรงขยับตัวส่งเดชพ่ะย่ะค่ะ ระวังคมกระบี่จะทำร้ายพระองค์ได้!”

“เจ้าจะร้องไห้หาอะไร! เรายังไม่ตายสักหน่อย!”

ชั่วขณะหนึ่ง เสียงร่ำไห้ เสียงโน้มน้าว เสียงก่นด่าของหลี่ฟู่ผสมปนเปกันไปหมด

เหยียนจูขมวดคิ้ว ไม่รู้หลี่ฟู่จะมาไม้ไหน เขาผลักหลี่ฟู่อย่างหมดความอดทน ขยับกระบี่ในมือ

“หุบปากเดี๋ยวนี้!”

ทรราชผู้นี้คิดว่าตนไม่กล้าแทงเขาจริงๆ หรือ

คิดไม่ถึงว่าหลี่ฟู่ไม่เพียงไม่สนใจการข่มขู่ของเขา ยังหมุนตัวกลับมาหมายจะกอดเหยียนจูโดยไม่เกรงกลัวคมกระบี่ เหยียนจูตระหนก รีบชักกระบี่ที่เกือบแทงถูกหลี่ฟู่กลับมา อาศัยจังหวะนี้เอง หลี่ฟู่ยกขาขึ้นและวาดมือออกไป จู่โจมแขนของเหยียนจูที่ถือกระบี่อยู่ แม้วรยุทธ์ของหลี่ฟู่จะสู้เหยียนจูไม่ได้ แต่เทียนเฉาก่อตั้งบ้านเมืองบนหลังม้า ฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยล้วนพอมีฝีมืออยู่บ้าง ยามนี้เมื่อโจมตีขณะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว จึงยึดกระบี่ของเหยียนจูมาได้ทันที กระนั้นถึงอย่างไรเหยียนจูก็เป็นยอดฝีมือ ตอบสนองเร็วมาก แม้กระบี่ในมือจะหลุดร่วง แต่เขากลับหมุนตัวยื่นขาออกไปโจมตีเท้าของหลี่ฟู่ ขณะเดียวกันก็ใช้กระบวนท่าจับกุมอีกฝ่าย เพียงครู่เดียวก็จับเอวหลี่ฟู่ไว้ได้ กักตัวเขาไว้ในอ้อมกอดตน

คราวนี้เหยียนจูไม่มีอาวุธแล้ว วงล้อมจึงแคบเข้ามามากกว่าเดิม

หลี่ฟู่กล่าวกับเขาด้วยสีหน้าจริงจัง

“ฟังเรานะ ปล่อยเราซะ เราจะละเว้นโทษตายให้เจ้า เจ้าไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนี้เลย ตอนนั้นพ่อแม่เจ้าขายเจ้าให้เราแล้ว ข่าวจากครอบครัวที่เจ้าได้รับตลอดหลายปีมานี้ล้วนเป็นข่าวปลอม แผงขายของบนถนนเสียงอันก็ไม่อยู่นานแล้ว!”

เหยียนจูหัวเราะก่อนกล่าว

“ท่านโกหกข้า”

“เราไม่ได้โกหกเจ้า! ในอดีตตอนเราซื้อเจ้าไช่เยวี่ยก็อยู่ ยังมีกงซุนเหยาที่เคยเห็นทะเบียนบุคคลของเจ้า บนนั้นประทับตราทาสเอาไว้แล้ว วันนั้นเราโมโหถึงได้เผาของทั้งหมดทิ้ง แต่ตอนเจ้าย้ายมาสังกัดราชองครักษ์ เอกสารของกรมราชองครักษ์น่าจะมีบันทึกไว้ ถ้าเจ้าไม่เชื่อสามารถไปหามาดูได้”

ไช่เยวี่ยพอได้ยินก็รีบเอ่ยว่า

“ถูกต้องถูกต้อง! ตอนนั้นพ่อแม่เจ้าติดหนี้พนัน วางยาสลบเจ้าและขายเจ้าให้พ่อค้ามนุษย์ชาวอี๋แลกกับเงิน คิดไม่ถึงว่าจะเจอพวกเราเข้าพอดี ตอนนั้นฝ่าบาทที่ยังเป็นไท่จื่อเห็นเจ้าน่าสงสารจึงชิงซื้อตัวเจ้าไว้ก่อน ใต้เท้าหัวหน้าราชองครักษ์อยู่ที่ใด รีบนำเอกสารออกมา!”

หัวหน้าราชองครักษ์ผู้นั้นแค้นเหยียนจูยิ่งนัก เป็นหลวนถงก่อนจะมาเป็นราชองครักษ์ ยังยึดเรือนของตนไปทำให้ตนต้องถูกหัวเราะเยาะ บัดนี้ยังก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้อีก ไม่รู้ตนจะพลอยเดือดร้อนไปด้วยหรือไม่ ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาสามคนคุยกันแม้ตนจะฟังไม่เข้าใจนัก แต่ชื่อของตัวเองกลับได้ยินชัดเจน รีบวิ่งกลับไปกรมราชองครักษ์ตาลีตาเหลือก เปิดตู้ค้นกล่องหาเอกสารของเหยียนจูออกมา

เอกสารที่ว่าเป็นการคัดลอกทะเบียนบุคคลเดิมออกมาอีกฉบับ สิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมคือตอนสุดท้ายจะเพิ่มข้อมูลที่ระบุว่า ‘ผู้ใดได้รับการแต่งตั้งวันใดด้วยเหตุใด’ ตลอดจนคำสั่งอนุมัติให้ ‘ออกจากตำแหน่งเดิม’ และตราประทับของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการยืนยันการย้ายตำแหน่ง

ท้องฟ้ามืดสนิทก็จริง แต่คบไฟขององครักษ์กับทหารจิ้นเว่ยกลับสว่างไสวเหมือนตอนกลางวัน ในมือหัวหน้าราชองครักษ์ถือแผ่นหนังแกะ บนนั้นมีตัวอักษรขนาดเล็กมากมายเบียดกันแน่น กระนั้นตราประทับทาสสีแดงจัดขนาดใหญ่กลับเห็นเด่นชัด นี่เป็นตราประทับทาส คนที่ขายตัวแล้วในทะเบียนบุคคลจะมีตราประทับเช่นนี้ เป็นการแสดงว่าคนผู้นี้เป็นทาสแล้ว เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้านาย เจ้านายสามารถจัดการได้ตามอำเภอใจ...

ที่แท้ต่อให้เขาเอาทะเบียนบุคคลกลับคืนมา เขาก็ยังคงเป็นข้ารับใช้ของหลี่ฟู่อยู่ดี!

ใบหน้าของเหยียนจูไร้สีเลือด หัวสมองว่างเปล่าขาวโพลน

“ไม่ใช่ พวกท่านหลอกข้า...ท่านพ่อท่านแม่จะขายข้าได้อย่างไร เป็นท่านต่างหากที่ในใจโกรธแค้นและจับตัวข้ามา...พวกท่านโกหกข้า!”

เขายิ่งกล่าวยิ่งสะเทือนใจ มือออกแรงมากกว่าเดิม บีบกระดูกของหลี่ฟู่จนข้อต่อเกิดเสียงดังกึกกัก

ทุกคนเห็นหลี่ฟู่กัดฟันไม่ส่งเสียง แต่กลับเจ็บจนเหงื่อซึมหน้าผาก พลันขยับอาวุธในมือหมายจะกระโจนเข้าไป เหยียนจูผลักหลี่ฟู่ออกไปตรงหน้าพวกเขา อาศัยจังหวะที่ทุกคนรีบโยนอาวุธทิ้งเพื่อรับตัวเขา สะกิดปลายเท้าเหินตัวขึ้นไปกลางอากาศ เหยียบศีรษะคนเหล่านั้นและฝ่าวงล้อมออกไป

“เหวินเหรินเยี่ยน!”

หลี่ฟู่ตะโกนก้อง

เหยียนจูอดหันกลับมาไม่ได้ สบประสานสายตากับเขา

สามคำนี้ไม่ถูกใครเรียกมานานมากแล้ว นานจนแม้แต่ตัวเขาเองยังเกือบลืม ทว่าคนผู้นั้นกลับยังจำได้

ฟิ้ว!

เสียงบางสิ่งแหวกฝ่าอากาศ ลูกธนูของลู่สุยเฟิงพุ่งออกจากสาย

เหยียนจูหันหลังกระโดดข้ามกำแพงวังไปอีกด้านหนึ่ง พริบตาเดียวก็หายลับไป มีเพียงโลหิตสีแดงหลายหยดบนพื้นเท่านั้นเป็นหลักฐานแสดงว่าเขาเคยอยู่ตรงนี้

ลู่สุยเฟิงออกคำสั่ง

“สั่งประตูวังให้เพิ่มการเฝ้าระวังเดี๋ยวนี้ ค้นหาในวังให้ละเอียดและจับกุมคนร้าย จะปล่อยให้เขาหลบหนีไปไม่ได้เด็ดขาด!”

เขามองสีหน้าทะมึนของหลี่ฟู่และเสริมอีกคำ

“ต้องจับเป็น!”

 

“จยาอี้ฮองไทเฮาเสด็จ!”

เสียงขันทีรายงานดังมาจากข้างนอก หลี่ฟู่ที่กำลังหงุดหงิดหัวคิ้วขมวดมุ่นกว่าเดิม ก็ใช่ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขารู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางปิดบังได้

ไม่นาน ขันทีและนางกำนัลกลุ่มหนึ่งก็ห้อมล้อมไทเฮาเดินเข้ามา หลี่ฟู่รีบออกไปต้อนรับ

“เสด็จแม่ กลางดึกเช่นนี้ ไฉนท่านจึงมาที่นี่ได้”

ใบหน้าที่ผัดแป้งอย่างเร่งรีบของจยาอี้ฮองไทเฮาตึงเครียด

“เราจะไม่มาได้อย่างไร มีข้ารับใช้บังอาจถึงขั้นลอบทำร้ายฮ่องเต้ ฮ่องเต้บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”

หลี่ฟู่ตอบเสียงนุ่มนวล

“ทำให้เสด็จแม่ทรงวิตกแล้ว เราไม่เป็นอะไร ข้ารับใช้คนอื่นๆ เล่าลือกันไปเกินจริง ก็แค่องครักษ์คนหนึ่งคิดจะแอบหนีออกจากวังเท่านั้น หาใช่การลอบทำร้าย เสด็จแม่ไม่จำเป็นต้องกังวลพระทัยไป เชิญกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักบรรทมเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าจะพักผ่อนอย่างสบายใจได้อย่างไร ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฮ่องเต้ เฝ้าดูพวกเขาจับตัวคนร้ายมาสอบสวนให้ดี ฮ่องเต้ ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะก้าวก่าย แต่เริ่มจากเฉาเหยียนไม่เห็นผู้ใดในสายตา จากนั้นเป็นองครักษ์ที่บังอาจคิดจะสังหารเจ้านาย ฝ่ายในมีสนมชายาที่ชาติตระกูลขาวสะอาดตั้งมากมาย ไฉนฮ่องเต้จึง...”

“เสด็จแม่”

หลี่ฟู่อดขัดขึ้นไม่ได้

“เราบอกแล้วว่าไม่ใช่การลอบทำร้าย เป็นการคิดหนีออกจากวังเท่านั้น เสด็จแม่กลับไปพักผ่อนเถอะ ถึงอย่างไรห้องหนังสือก็ไม่ใช่ตำหนักใน เรายังต้องอ่านอนุมัติฎีกาอีก หากเสด็จแม่อยู่ที่นี่และถูกนินทาว่าก้าวก่ายการปกครอง เรามิต้องกลายเป็นลูกอกตัญญูหรือ”

จยาอี้ฮองไทเฮาโมโหจนหน้าแดง นโยบายการปกครองแบบใหม่ของหลี่ฟู่ในช่วงนี้กำจัดคนสนิทของนางในราชสำนักไปไม่น้อย ทำให้นางไม่พอใจมากอยู่แล้ว แต่นางรู้ว่าผลกระทบของเรื่องหลงเผิงเฟยยังไม่หมดไป ไม่รู้ว่าในมือหลี่ฟู่มีหลักฐานอยู่มากน้อยเพียงใด ยามนี้ตนควรอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ไม่ทำให้ความสัมพันธ์กับเขาย่ำแย่ลง จึงได้แต่หันกลับไปสั่งเสียงเฉียบ

“รองผู้บัญชาการทหารจิ้นเว่ยติ้งเจียง”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งก้าวออกมาจากกลุ่มคนที่รอฟังคำสั่งในห้องทรงพระอักษร สกุลติ้งเป็นขุนศึกมาสามสมัย ทั้งยังมีสัมพันธ์อันดีกับสกุลจาง ตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารจิ้นเว่ยนี้เป็นตำแหน่งที่ฮองไทเฮานำหูตาของตนเสียบเข้ามาเพื่อจับตาดูลู่สุยเฟิง

“เจ้านำกำลังทหารอีกกองไปค้นหาเดี๋ยวนี้ จับคนร้ายได้เมื่อไรให้รีบส่งคนไปแจ้งที่วังหนิงสี่”

เมื่อทิ้งคำบัญชาเอาไว้แล้ว จยาอี้ฮองไทเฮาจึงออกจากห้องทรงพระอักษร

พอนางออกไป ใบหน้าของหลี่ฟู่ที่แต้มยิ้มน้อยๆ ก็บูดบึ้งทันที ยามนี้ลู่สุยเฟิงกลับมารายงานว่า

“ขอฝ่าบาททรงอภัย ยังหาตัวองครักษ์เหยียนจูไม่พบพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่ฟู่อยากระบายอารมณ์อยู่พอดี คว้าหนังสือบนโต๊ะขึ้นมาและเขวี้ยงไปที่ศีรษะลู่สุยเฟิง

“หาไม่เจออีกแล้ว! แค่หาคนคนเดียวยังทำไม่ได้ เราเลี้ยงพวกเจ้าไว้จะมีประโยชน์อะไร!”

ลู่สุยเฟิงกล่าวอย่างลำบากใจว่า

“ทูลฝ่าบาท พวกผู้น้อยค้นหาทุกซอกทุกมุมแล้ว เว้นแต่...เว้นแต่วังชิงเหอพ่ะย่ะค่ะ”

วังชิงเหอเป็นสถานที่ที่หลี่ฟู่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พำนักของเฉาเหยียนโดยเฉพาะ เนื่องจากเฉาเหยียนไม่ใช่สตรีและไม่ใช่ขันที มิอาจพักอยู่ในตำหนักใน แต่หลี่ฟู่ก็ไม่อยากให้เขาอาศัยอยู่นอกวัง ดังนั้นจึงตั้งใจสร้างวังแห่งหนึ่งขึ้นใกล้กับวังตู้ยัง เฉาเหยียนสูงส่งเพียงใดทุกคนในราชสำนักต่างรู้ดี วังชิงเหอแห่งนี้แม้มิใช่ตำหนักใน แต่กลับเป็นสถานที่ที่มิอาจล่วงเกินยิ่งกว่าตำหนักในเสียอีก

หลี่ฟู่ใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะ จริงด้วย ในวังแห่งนี้คนที่กล้าปกป้องเหยียนจูเกรงว่าคงมีเพียงคนผู้นั้นคนเดียว อีกอย่างเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้เขากลับไม่มาหาตน แม้แต่ฮองไทเฮายังมา...

ใช่! ฮองไทเฮา

ถ้าติ้งเจียงพบตัวเหยียนจูในวังชิงเหอก่อนเขา เช่นนั้นเฉาเหยียนย่อมเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้!

หลี่ฟู่หน้าซีด ลุกพรวดทันที วิ่งออกไปข้างนอกพลางตะโกนสั่ง

“นำกำลังไปล้อมวังชิงเหอไว้เดี๋ยวนี้! ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าและออกทั้งนั้น!”

 

“อาเยี่ยน กับข้าวพวกนี้ล้วนเป็นของที่เจ้าชอบกินที่สุด กินเยอะๆ นะ”

มารดาลูบหัวเขา คีบกับข้าวใส่ชามเขาไม่หยุด

จะว่าไป คืนนี้กับข้าวเยอะจริงๆ ต้องเป็นเพราะเมื่อเช้าเขาถูกคุณชายนิสัยเสียผู้นั้นทำให้ตกใจกลัวแน่ ดังนั้นคืนนี้มารดาจึงทำอาหารให้ตนเป็นพิเศษ แต่ว่า เขาง่วงจัง สงสัยจะกินอิ่มเกินไป

“เฮ้ย! ตื่นได้แล้ว!”

ใครตบหน้าเขา น่ารำคาญจริงๆ

“จะตะโกนโหวกเหวกทำไม”

เสียงที่ค่อนข้างคุ้นเคยเอ่ยขึ้น

“ใช้น้ำสาดทีเดียวก็ตื่นแล้วมิใช่หรือ”

น้ำเย็นจัดราดรดลงมา เขาสะดุ้งโหยงทันที

เอ๋? ที่นี่ที่ไหน

“ที่นี่...อ๊าก! เป็นพวกเจ้า!”

คุณชายสูงศักดิ์ที่โบกพัดจีบ ลูกน้องที่ร้ายกาจดุดันพวกนั้น นี่มันคนชั่วช้าเมื่อเช้านี้มิใช่หรือ เขาร้องด่าอย่างอดไม่ได้

“ไอ้คนชั่วช้า พวกเจ้าจับข้ามาทำไม”

หนึ่งในนั้นร้องตวาด

“บังอาจ! ไท่...คุณชายช่วยชีวิตเจ้าไว้ เจ้าไม่เพียงไม่สำนึกในบุญคุณยังจะเสียมารยาทเช่นนี้”

“ช่วยชีวิตบ้าบออะไรกัน ข้าจะกลับบ้าน! ท่านพ่อ! ท่านแม่!”

เขาตะโกนเสียงดังพลางวิ่งไปที่ประตู หลังจากถูกข้ารับใช้สองคนสกัดไว้ เขาก็ทำท่าจะกระโดดออกไปทางหน้าต่างโดยไม่ดูก่อนด้วยซ้ำว่ามีกี่ชั้น

มือที่ถือพัดจีบโครงหยกขาวหิ้วตัวเขากลับมา ยิ้มหยันพลางกล่าว

“นี่! ตอนนี้เจ้าเป็นคนของคุณชายข้าแล้ว จะตายก็ต้องให้คุณชายข้าอนุญาตเสียก่อน”

เขาเกลียดคุณชายชั่วช้าที่ร้ายกาจไร้ยางอายผู้นี้ยิ่งนัก คว้าแขนข้างนั้นได้และกัดลงไปอย่างแรง สิ่งที่ปากสัมผัสได้คือผิวกายของคนที่ไม่เคยทำงานหนัก เรียบลื่นนุ่มนิ่มทั้งยังมีกลิ่นหอมแผ่ออกมา ทว่าไม่นานกลิ่นหอมอ่อนจางนั้นก็ถูกกลบด้วยคาวเลือด ข้ารับใช้พวกนั้นกระโจนเข้ามาหมายจะดึงเขาออก แต่เขากัดแน่นเกินไป พอดึงตัวเขาออกจึงทำให้คุณชายผู้นั้นเจ็บ จวบจนคุณชายผู้นั้นเตะท้องเขาอย่างแรงหนึ่งที เขาจึงปล่อยปาก

“เจ้าลูกโสเภณี!”

คุณชายที่สุภาพอ่อนโยนผู้นั้นโมโหจนพ่นคำด่าหยาบคายที่เคยได้ยินตอนแอบหนีออกมาเที่ยวเล่นข้างนอก

“ไอ้ขี้ข้าต่ำช้า! กล้ากัดไท่จื่อข้ารึ! มัดตัวเขาไว้เดี๋ยวนี้! ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจไปชั่วชีวิต!”

จากนั้นเขาถูกตีจนสลบ ตื่นมาอีกครั้งก็อยู่ในห้องลับของหออวี้เจินแล้ว คนที่ถูกเรียกขานว่าไท่จื่อผู้นั้นกล่าวว่า

“ลืมครอบครัวและเพื่อนฝูงของเจ้าในอดีตซะเถอะ ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่หรอก พวกเขาอาจคิดว่าเจ้าพลัดตกน้ำและจมน้ำตายไปแล้ว หรืออาจคิดว่าเจ้าถูกลักพาตัวไปขายเป็นทาสของชาวอี๋แล้ว แต่ไม่มีทางรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีชีวิตอยู่ในนี้แน่ๆ”

ใช่ เป็นเขาชัดๆ ที่จับตนไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันนั่น เป็นเขาชัดๆ ที่เกลียดตนถึงได้กลั่นแกล้งตนอย่างโหดร้าย จะเป็นท่านพ่อท่านแม่ที่ขายตนได้อย่างไร เขาต้องหลอกตนแน่ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่...

ปลายนิ้วเย็นเฉียบไล้ผ่านหางตาเขา ปาดน้ำตาที่ไหลออกมา เหยียนจูลืมตาช้าๆ มองเห็นใบหน้าที่งดงามเป็นหนึ่งไม่มีสอง

“เจ้าฟื้นแล้วหรือ เจ้าเลือดออกเยอะมาก โชคดีที่ข้ามียาอยู่ไม่น้อย”

เฉาเหยียนกล่าว

“ข้า...ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

“เจ้าหมดสติไปถึงได้ไม่รู้เรื่อง คนที่ชื่อลู่ชิงพาเจ้ามาส่งที่นี่”

เหยียนจูถึงนึกขึ้นมาได้ ก่อนที่เขาจะหมดสติไปเขาพบลู่ชิง หากจะกล่าวถึงวรยุทธ์ ลู่ชิงอาจจะด้อยกว่าตน แต่ถ้าเป็นวิชาตัวเบา ในบรรดาองครักษ์อวี้เชวี่ยทั้งหมดมีเพียงเขาที่ไล่ตามตนทัน แต่เขาไม่เข้าใจคนผู้นั้นเลยจริงๆ ทั้งที่คบหากันเพียงผิวเผินเท่านั้น แต่ไฉนจึงช่วยเหลือตนครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งในเมื่อกงซุนเหยามอบเศษผ้าให้หลี่ฟู่แล้ว คิดว่าคงเดาได้แล้วว่าคนที่ช่วยตนเป็นใคร...จะเป็นใครได้เล่าหากมิใช่ลู่ชิงที่รู้เส้นทางลับ ตอนนี้ลู่ชิงช่วยตนอีกครั้ง มิเท่ากับบีบบังคับให้กงซุนเหยาต้องเลือกคุณธรรมและเสียสละคนใกล้ชิดหรอกหรือ

ทว่าตอนนี้ คนที่ตกอยู่ในอันตรายมากที่สุดคือเฉาเหยียน

เหยียนจูกล่าวว่า

“ข้าอยู่ที่นี่จะทำให้ท่านเดือดร้อน ข้าจากไปก่อนดีกว่า”

เอ่ยพลางจะลุกขึ้น แต่กลับถูกเฉาเหยียนกดลงบนเตียง

“ตอนนี้ข้างนอกมีแต่คนตามหาเจ้า เจ้าออกไปจะต้องถูกจับทันทีแน่ หากเจ้าเป็นห่วงข้า ก็ควรซ่อนตัวให้ดีอย่าให้ผู้อื่นเห็นว่าเจ้าออกไปจากที่นี่”

“แต่ถ้าพวกเขามาค้นที่นี่...”

“แล้วอย่างไร”

เฉาเหยียนถามพลางทำหน้าไม่ยี่หระ ก่อนกล่าวอีกว่า

“ต่อให้ค้นเจอเจ้า เขาจะทำอะไรข้าได้”

เหยียนจูเงียบไป โทสะของโอรสสวรรค์ใครบ้างที่ไม่กลัว เห็นทีคงมีแต่บุคคลตรงหน้าผู้นี้กระมัง ท่าทางไม่หวาดเกรงเพราะมีที่พึ่งเช่นนี้ มีแต่บุคคลที่เป็นที่รักของผู้อื่นเท่านั้นจึงจะแสดงออกมาได้

“แย่แล้ว! แย่แล้ว!”

หลิ่วชิงเด็กรับใช้ของเฉาเหยียนวิ่งพรวดพราดเข้ามา

“คุณชาย ฝ่าบาททรงนำทหารจิ้นเว่ยกับองครักษ์มาล้อมวังชิงเหอไว้แล้วขอรับ!”

 

หลี่ฟู่สั่งให้ทหารจิ้นเว่ยล้อมวังชิงเหอไว้แต่ห้ามเข้าไป

จากนั้นพากลุ่มคนเล็กๆ เดินเข้าไปในวัง หลิ่วชิงปรนนิบัติเขาดื่มน้ำชาในห้องโถงไปได้ครึ่งถ้วย เฉาเหยียนจึงเดินออกมาจากตำหนักด้านในช้าๆ เขาสวมเสื้อเพียงตัวเดียว อ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน คารวะอย่างไม่ใส่ใจ

“ฝ่าบาท ดึกป่านนี้มาหากระหม่อมมีเรื่องอะไรหรือ”

หลี่ฟู่ขมวดคิ้วน้อยๆ ยามอยู่กันตามลำพังเฉาเหยียนจะโอหังไร้มารยาทกับเขาเพียงใด เขาล้วน

ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าองครักษ์และทหารจิ้นเว่ยยังทำเช่นนี้ ก็เสื่อมเสียเกียรติและศักดิ์ศรีของเขาในฐานะโอรสสวรรค์มากเกินไปแล้ว เขาวางชาร้อนในมือ กล่าวกับเฉาเหยียนด้วยสีหน้าจริงจัง

“ส่งตัวเหยียนจูออกมา เรื่องนี้รู้ถึงพระกรรณของไทเฮาแล้ว เจ้าปกป้องเขาไม่ได้หรอก”

เฉาเหยียนอึ้งไป ก่อนจะยิ้มพลางเอ่ยว่า

“ถ้อยรับสั่งนี้ของฝ่าบาททำให้กระหม่อมงุนงงจริงๆ องครักษ์เหยียนจูควรจะอยู่ในกรมราชองครักษ์ไม่ใช่หรือ ไฉนจึงมาหาเขาที่วังชิงเหอของข้าเล่า”

หลี่ฟู่ข่มโทสะก่อนกล่าวโน้มน้าวว่า

“จื่อซี เขาอยู่ที่ใดเจ้ารู้ดีแก่ใจ ไม่ว่าเราทำอะไร ล้วนเป็นไปเพื่อปกป้องเจ้า เจ้าอย่าต่อต้านเราอีกเลย”

เฉาเหยียนหัวร่อเบาๆ ก่อนกล่าว

“เหตุใดข้าไม่ทำตามความประสงค์ของเจ้าเป็นการต่อต้าน เจ้าไม่ทำตามความต้องการของข้าเป็นเรื่องชอบด้วยเหตุผล หลายปีมานี้เจ้าไม่ให้ข้าทำศึกสงครามในสมรภูมิ ให้ข้าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นอยู่ในราชสำนักข้าทนได้ เจ้าไม่ให้ข้าอาศัยอยู่กับบิดาแต่ดึงดันยัดเยียดตำแหน่งเพื่อกักขังข้าไว้ในวังข้าก็อดทน ทว่าเจ้าเคยอดทนไม่ไปล่อผีเสื้อล่อแมลงพวกนั้นบ้างหรือไม่ เหยียนจูอะไรผู้นั้นเป็นหนึ่งในชายบำเรอของเจ้า ไยข้าต้องให้ที่ซ่อนเขาต้องปกป้องเขาด้วย”

“บังอาจ!”

หลี่ฟู่ตวาดอย่างเกรี้ยวกราด เงื้อมือขึ้นตบหน้าเขา แรงยิ่งกว่าในค่ำคืนนั้นตอนอยู่ในอุทยานหลวง ส่งผลให้เขาตบเสร็จแล้วร่างกายยังคงสั่นนิดๆ

หัวใจเขาเจ็บปวดเหลือเกิน เหยียนจูไม่รู้ดีชั่วคนหนึ่งก็แล้วไปเถอะ คิดไม่ถึงว่าคนที่เขาทุ่มเทรักใคร่และปกป้องอย่างเต็มที่ยังเหยียบย่ำความปรารถนาดีของเขาถึงเพียงนี้

เฉาเหยียนถูกฝ่ามือที่ฟาดเข้ามากะทันหันตบจนหน้าบวมไปครึ่งซีก รอยนิ้วมือห้านิ้วปรากฏชัดเจน ทว่าเขากลับคลี่ยิ้มเย็นชา รอยยิ้มนั้นเยียบเย็นดุจดวงจันทร์ งดงามดุจดวงจันทร์ หลี่ฟู่ใจอ่อน อดโมโหตัวเองไม่ได้ที่มือหนัก ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวหมายจะปลอบประโลม กลับได้ยินเสียงตวาดเย็นชาดังมาจากห้องด้านใน

“หยุดนะ ข้าอยู่นี่!”

เหยียนจูที่เดิมทีใช้วิชาตัวเบาซ่อนตัวอยู่ด้านข้างเข้าใจผิดคิดว่าหลี่ฟู่จะลงมืออีก จึงเป็นฝ่ายเดินออกมาเอง

หลี่ฟู่เห็นเหยียนจูปรากฏตัว สายตาพลันเยียบเย็น หมุนตัวเดินไปตรงหน้าเขาและตำหนิ

“เจ้ามาวังชิงเหอทำไม เจ้าอยากทำร้ายเขาอย่างนั้นหรือ เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าวันนั้นเคยรับปากอะไรไว้กับเรา”

เหยียนจูก้มหน้า ตอบเสียงเรียบ

“ข้าเป็นคนหนีมาที่นี่เอง ใต้เท้าเฉาไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย”

หลี่ฟู่สูดหายใจลึกหลายที โทสะบรรเทาไปเล็กน้อย โบกมือเป็นสัญญาณให้องครักษ์มัดตัวเหยียนจูและพาตัวไป

เฉาเหยียนตะโกนด้วยความร้อนใจ

“หยุดนะ!”

ตวาดพลางหมายจะก้าวเข้าไปขัดขวาง แต่กลับถูกหลี่ฟู่ผู้มีใบหน้าถมึงทึงจับตัวไว้ ได้แต่เฝ้ามองเหยียนจูถูกคุมตัวจากไปแต่โดยดี

รอจนได้ยินเสียงเกือกม้าดังขึ้นข้างนอก รู้ว่าลู่สุยเฟิงคุมตัวคนจากไปอย่างราบรื่นแล้ว หลี่ฟู่จึงปล่อยเฉาเหยียนจากพันธนาการ ภายใต้แสงไฟ เห็นเพียงคนงามโกรธเกรี้ยว รอยแดงบนใบหน้ายังไม่จางหายไป หลี่ฟู่อดรู้สึกปวดใจไม่ได้ กล่าวเสียงอ่อน

“เจ็บมากหรือไม่”

ถามพลางยื่นมือไปหมายจะลูบแก้มเฉาเหยียน แต่กลับถูกอีกฝ่ายปัดมือทิ้ง

“ไม่รบกวนฝ่าบาทเป็นกังวล”

เฉาเหยียนกล่าวประชด

“ข้ารับใช้อย่างพวกเรา เจ้านายจะฆ่าหรือจะแกง ล้วนขึ้นอยู่กับความคิดชั่ววูบเท่านั้นเองมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่ฟู่อดโมโหไม่ได้

“ใครเห็นเจ้าเป็นข้ารับใช้กัน ไยเจ้าต้องโมโหเราเพราะข้ารับใช้คนหนึ่งด้วย หรือว่าพวกเจ้าสองคนมีสัมพันธ์อะไรกัน”

หลี่ฟู่ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น เขย่าไหล่เฉาเหยียนคาดคั้น

“ต้องใช่แน่! ตอนเจ้าอยู่ในหอสำนึกตน เขานำอาหารไปส่งเจ้าก็รั้งเขาให้อยู่เดินหมากด้วย ความจริงพวกเจ้าถูกใจกันนานแล้วใช่หรือไม่”

ต้องเป็นอย่างนี้แน่ แต่ก่อนจื่อซีรังเกียจสนมชายาและหลวนถงของเขายิ่งกว่าอะไร ทว่ากับเหยียนจูกลับปกป้องสารพัด

เฉาเหยียนหน้าซีดขาวขณะกล่าว

“เจ้า...เจ้าคิดว่าทุกคนจะสกปรกเหมือนเจ้าหรือไง”

เขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลี่ฟู่จึงมีด้านที่ไร้เหตุผลและเอาแต่ใจเช่นนี้ เขานึกถึงปีนั้น ปีที่ฮ่องเต้ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ปลอมตัวเป็นสามัญชน สวมชุดขาวขี่ม้าสีขาว ย่ำผืนหญ้ามารับตัวเขาจากมือชาวอี๋ด้วยตัวเอง

ตอนนั้นหลี่ฟู่เงื้อแส้ม้าในมือ หันไปมองแผ่นหลังของทูตชาวอี๋ที่จากไปไกล แล้วค่อยกล่าวกับเขา

“สักวันข้าจะส่งขุนศึกที่ห้าวหาญมาขับไล่ชาวอี๋ออกไป ชิงเอาทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ผืนนี้กลับคืนมา”

ตอนนั้นหลี่ฟู่ยังเป็นผู้กล้าที่รู้หนังสือรู้มารยาท จิตใจกว้างขวางและมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ เป็นวีรบุรุษที่ทำให้ตนรู้สึกเลื่อมใส จวบจนครั้งแรกที่เขาเห็นหลี่ฟู่มั่วกับนางกำนัลหลายคนในวังตู้ยัง จึงตระหนักถึงความสกปรกฟอนเฟะของอีกฝ่าย เฉาเหยียนโมโหจนถือกระบี่วิ่งไล่เขาไปทั่ววังตู้ยัง จนกระทั่งเหนื่อยและวิ่งไม่ไหว คนผู้นั้นจึงเข้ามาอ้อนวอนขอให้ตนอภัยให้ หลังจากนั้น เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกนับครั้งไม่ถ้วน โต้เถียงด่าทอนับครั้งไม่ถ้วนและคืนดีกันนับครั้งไม่ถ้วน เฉาเหยียนรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วหลี่ฟู่ยังคงมีใจให้ตน ทั้งยังเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายเป็นมังกรในกลุ่มคน มิอาจหยุดอยู่ที่ตนเพียงคนเดียว

เขาเข้าใจในความฉลาดปราดเปรื่องของหลี่ฟู่ เข้าใจในความหน้าด้านไร้ยางอายของเขา แต่กลับมิอาจเข้าใจความร้ายกาจคลุ้มคลั่งในดวงตาของอีกฝ่ายเวลานี้

“หลี่ฟู่”

เฉาเหยียนเรียกชื่อเขาก่อนถามต่อ

“ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนเทียนอู่ตี้ผู้สูงส่งและสง่าผ่าเผยที่ข้าเคยรู้จักในอดีตแม้แต่น้อย”

หัวสมองของหลี่ฟู่เกิดเสียงดังอื้ออึง เหมือนแผลเก่าที่เก็บซ่อนมานานถูกทิ่มแทง เขาคว้าข้อมือเฉาเหยียนไว้ทันที ถามคาดคั้นว่า

“ถ้าข้าไม่ใช่คนแบบนั้นแต่แรกอยู่แล้วล่ะ ถ้าข้าเป็นคนเห็นแก่ตัวไร้ความเมตตาและโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้อยู่แล้วล่ะ เจ้ายังจะยินดีอยู่ข้างกายข้าหรือไม่”

เฉาเหยียนตกใจกับการกระทำของเขา ดิ้นรนพลางร้องว่า

“ปล่อยข้า! เจ้าทำให้ข้าเจ็บนะ!”

หลี่ฟู่กลับจับเขาแน่นกว่าเดิม เล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อเขา เขาลากตัวเฉาเหยียนเข้ามาและกดอีกฝ่ายลงบนโต๊ะอย่างแรง ถ้วยชาบนโต๊ะถูกกวาดลงบนพื้นทั้งหมด แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ใบหน้าดุดันของเขายื่นไปใกล้หน้าเฉาเหยียน

“ตอบข้า! ข้าเป็นคนหลายใจ ทั้งไร้ยางอายทั้งโหดเหี้ยม! แล้วเจ้ายังจะอยู่กับข้าโดยไม่ทอดทิ้งหรือไม่”

เฉาเหยียนกำลังจะเอ่ยปาก กลับถูกจุมพิตที่ฉกลงมาอย่างรุนแรงของหลี่ฟู่ประกบปิด

“เจ้าเป็นของข้า!”

หลี่ฟู่กล่าวอย่างดื้อดึง

“ข้าไม่ยอมให้เจ้าไปจากข้า!”

กล่าวพลางฉีกเสื้อผ้าของเฉาเหยียนออก

หลิ่วชิงที่เดิมทีคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างตกใจจนหน้าซีด รีบวิ่งลนลานออกไปปิดประตู กักเก็บเสียงครางและเสียงสอดประสานกันไว้ข้างใน

...

“ใช่ ข้าเกลียดท่าน แล้วจะทำไม ท่านเป็นถึงโอรสสวรรค์ผู้สูงส่ง โลกนี้มีคนเกลียดท่านกลัวท่านขยาดท่านตั้งมากมาย ท่านรู้แต่แรกแล้วมิใช่หรือ”

...

ไม่ใช่ ไม่ใช่!

หลี่ฟู่รุกรานเรือนร่างที่อยู่ใต้ร่างตนพลางคิดในใจ

อย่างน้อย…อย่างน้อยก็มีคนผู้หนึ่งที่รักข้าหมดหัวใจ โดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งฐานะ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น