บทที่ ๑


 ลิลลี่สีขาว

 

 ร่างบางยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ก่อนจะมองไปรอบๆ งานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสของเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เสียงหัวเราะเฮฮาของกลุ่มเพื่อนๆ ที่กำลังถ่ายเซลฟีกับฉากตกแต่งของงานทำให้เธอยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนจะกลับไปสนใจกลุ่มนักดนตรีที่อยู่บนเวทีอีกครั้ง
            นี่เป็นการมาร่วมงานแต่งงานครั้งแรกของเธอ...
             
แน่นอนว่าการปรากฏตัวของจิรณัฐสร้างความประหลาดใจให้เพื่อนๆ ไม่น้อย เพราะหญิงสาวเป็นคนชอบเก็บตัว เพื่อนสนิทก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน เวลามีงานรวมรุ่นทีไรเธอก็ไม่เคยเข้าร่วมเลยสักครั้ง แต่อยู่ดีๆ กลับยอมมาร่วมงานแต่งงานของเพื่อนคนนี้เสียได้
                 “ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะจี ไม่ไปถ่ายรูปกับพวกเพื่อนๆ เหรอ”
                 จิรณัฐส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะหันไปส่งแก้วไวน์เปล่าคืนให้บริกรหนุ่มแล้วตอบคนเป็นเพื่อนเสียงใส
                 “ถ่ายกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวไปแล้วน่ะ ส่วนไอ้พวกนั้น ไว้ค่อยไปถ่ายตอนงานเลิกก็ได้ ตอนนี้ขอหาอะไรกินก่อน”
                 แพรวไพลินพยักหน้ารับ นอกจากจะมีหล่อนเป็นเพื่อนสนิทแล้ว จิรณัฐเองก็สนิทสนมกับเฟื่องลดา ผู้เป็นเจ้าสาวไม่แพ้กัน เพราะพวกเธอสามคนอยู่ภาควิชาเคมีเหมือนกัน แถมยังอยู่กลุ่มทำแล็บเดียวกันอีก ก่อนที่สองสาวจะปรบมือไปพร้อมกับคนอื่นๆ เมื่อคู่บ่าวสาวปรากฏตัวบนเวทีอีกครั้ง
                 “เอาละครับ! มาถึงช่วงที่ทุกคนรอคอยกันแล้ว ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ทั้งสาวน้อย สาวใหญ่ สาวสวย สาวโสด ออกมายืนรอรับช่อดอกไม้จากเจ้าสาวที่หน้าเวทีได้เลยครับ...”
                 “ออกไปกันแก ไอ้เฟิร์นจะโยนดอกไม้แล้ว”
                 “ไม่เอาละ แกไปเถอะ”
                 “ได้ยังไงล่ะ แกไปด้วยกันสิ ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยน้า”
                 จิรณัฐจนปัญญาจะปฏิเสธลูกอ้อนของเพื่อน จึงยอมลุกออกจากโต๊ะแต่โดยดี ทว่าก็เลือกที่จะยืนอยู่แถวหลังเพราะเธอไม่ได้อยากได้ช่อดอกไม้เหมือนคนอื่นๆ ขณะที่กลุ่มเพื่อนมหาวิทยาลัยพากันกรูเข้าไปหน้าเวทีเพราะอยากเป็นผู้โชคดีที่มีโอกาสได้สละโสด
                 “เอาละครับ! มาดูกันว่าสาวคนไหนจะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไป”
                 ร่างบางเอามือปิดปากหาว ก่อนจะชะงักเมื่อโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าสั่นน้อยๆ เธอหยิบออกมาดู แล้วเห็นว่าในกลุ่มไลน์ที่ทำงานกำลังพูดคุยเกี่ยวกับคดีใหม่ที่ทางตำรวจเพิ่งแจ้งเข้ามา
                 “นับพร้อมกันนะครับ! สาม! สอง! หนึ่ง!”
                 เสียงกรี๊ดกร๊าดดังลั่นก่อนที่จิรณัฐจะเงยหน้าขึ้นมา แล้วพบว่าวัตถุบางอย่างกำลังพุ่งมาหาเธอด้วยความเร็วสูง มือเล็กจึงยกขึ้นรับทันทีตามสัญชาตญาณ เพราะกลัวว่าสิ่งนั้นจะกระแทกเข้ากับใบหน้าของตัวเอง
                 หมับ!
                 หญิงสาวมองช่อดอกลิลลี่สีขาวที่อยู่ในมือ ก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนข้างๆ มือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายทาบทับกับมือของเธอ ส่วนอีกข้างก็ช่วยประคองช่อดอกไม้ราวกับกลัวว่ามันจะหล่นลงพื้น
                 “คุณ...”
                 นัยน์ตาสีเข้มมองใบหน้าหวานละมุนของคนที่อยู่ตรงหน้าขณะหัวใจเต้นระรัว คิ้วเรียวของอีกฝ่ายเลิกสูงขึ้นอย่างงุนงง ดวงตากลมโตราวกับลูกกวางน้อยจับจ้องมาที่เขา ราวกับจะสาปให้หยุดสายตาไว้ที่เธอเท่านั้น
                 ไม่รู้ทำไม...
                 ชายหนุ่มถึงได้รู้สึกถูกชะตากับอีกฝ่ายนัก
                 ริมฝีปากหยักได้รูปของหญิงสาวเผยอขึ้นราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่ากลับไม่มีเสียงใดหลุดลอดออกมา ก่อนที่เธอจะลดระดับสายตาลงมามองมือของเขาที่ทาบทับมืออีกข้างของเธอ นั่นจึงทำให้ณัฐวีร์ได้สติในทันที
                 “เอ่อ...ขอโทษครับ” ร่างสูงพูดพลางตั้งท่าจะปล่อยมือ ทว่าจิรณัฐกลับดันช่อดอกไม้ไปทางอีกฝ่าย แล้วพูดรัวเร็ว
                 “เชิญคุณรับไปเลยค่ะ”
                 “ไม่ครับ คุณรับไปเถอะ”
                 “ไม่เอาค่ะ”
                 “ผมก็ไม่เอา...”
                 “เอาไปเถอะ”
                 การผลักไสช่อดอกไม้กันไปมาของสองหนุ่มสาวทำให้คนรอบข้างได้แต่มองอย่างงุนงง ในขณะที่คนอื่นๆ แย่งกันรับช่อดอกลิลลี่จากเจ้าสาว ทว่าสองผู้โชคดีที่ได้กลับเอาแต่ปัดให้กันไปมา ราวกับกำลังแข่งแชร์บอลเสียอย่างนั้น
                 “คุณเอาไปเหอะ”
                 “คุณนั่นแหละ”
                 “ผมไม่อยากได้”
                 “ฉันก็ไม่เอา”
                 จิรณัฐเริ่มหมดความอดทน เพราะโทรศัพท์ที่อยู่ในมือยังคงสั่นไม่หยุด สุดท้ายหญิงสาวจึงปล่อยมือจากช่อดอกไม้ แล้วรีบถอยหนีซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่แสงสปอตไลต์สาดมาทางพวกเธอพอดิบพอดี
                 “โอ้โห! ผู้โชคดีที่ได้รับดอกไม้เจ้าสาวเป็นคุณผู้ชายครับ!” พิธีกรประกาศด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “แต่เดี๋ยวก่อนนะครับ! นั่นพี่วีอดีตเดือนวิศวะหน้าใส หัวใจน้องพี่ขอจองนี่นา!!”      
                 ร่างสูงกะพริบตาปริบๆ เมื่อถูกพิธีกรล้อเลียนสโลแกนที่เขาเคยพูดสมัยเป็นประธานรุ่นเมื่อหลายปีก่อน เสียงกรี๊ดกร๊าดดังขึ้นจากรอบด้านราวกับโดนน้ำมนต์สาดรอบวง ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปมองคนต้นเรื่องที่ส่งยิ้มหวานให้กัน พลางพยักพเยิดบอกให้เขาเดินขึ้นไปบนเวที
                 “ขอเชิญพี่วีขึ้นมาบนเวทีด้วยครับ!”
                 ณัฐวีร์ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เพราะทนสายตากดดันจากคนรอบข้างไม่ไหวจึงตัดสินใจเดินออกไปตามคำขอของพิธีกร 

จริงๆ ชายหนุ่มแค่กำลังจะกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองหลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำเท่านั้น แต่อยู่ๆ ดีก็มีวัตถุบางอย่างพุ่งเข้ามาใส่หญิงสาวที่กำลังก้มหน้ากดโทรศัพท์อยู่ เขาผู้เป็นคนดีศรีรัตนโกสินทร์จึงพุ่งเข้าไปรับเพราะไม่อยากให้เธอเป็นอันตราย
                 ไม่คิดว่าตัวเองจะกลายเป็นผู้โชคดีของงานไปเสียได้ 
                 “ยินดีด้วยนะครับพี่วีที่ได้ดอกไม้ ช่วยแนะนำตัวสั้นๆ หน่อยได้ไหมครับ”
                 “สวัสดีครับ ผมชื่อวี”
                 “ไม่พูดสโลแกนประจำตัวเหรอครับ”
                 คิ้วของชายหนุ่มกระตุกไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำขอของพิธีกรหนุ่ม ตะกี้เพิ่งบอกเขาหยกๆ ว่าให้แนะนำตัวสั้นๆ มาตอนนี้จะให้พูดสโลแกนด้วยอีก พอเหลือบไปมองข้างล่างเวทีก็เห็นว่าแขกเหรื่อพากันมองตาแป๋วอย่างคาดหวัง
                 ให้มันได้อย่างนี้สิ...
                 “เอ่อ...ผมชื่อณัฐวีร์ครับ หรือจะเรียกว่า พี่วีคนหน้าใส หัวใจน้องพี่ขอจองก็ได้”
                 “กรี๊ด!!”
                 ไร้สาระสิ้นดี
                 ทำไมเขาต้องมาพูดอะไรเบียวๆ ต่อหน้าคนเป็นร้อยแบบนี้ด้วย
                 ณัฐวีร์นึกอยากหาปี๊บมาคลุมหัว ขณะที่เสียงโห่ฮาอย่างชอบใจที่ได้ยินจากคนในงานยิ่งทำให้รู้สึกขายขี้หน้ามากกว่าเดิม อายุอานามเขาก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ยังให้มาขายขำกันอยู่นั่น
                 “พี่วีหล่อเหมือนเดิมเลยอะแก อายุสามสิบกว่าแล้วนี่ ทำไมหน้ายังเด็กขนาดนี้”
                 “บุญตาฉันจริงๆ ที่ได้เห็นพี่วีอีกครั้ง หล่อไม่เปลี่ยนเลยเนอะ”
                 ชายหนุ่มพยายามไม่สนใจเสียงซุบซิบจากสาวๆ ที่อยู่ด้านล่าง ขณะที่สายตาหลายคู่มองมาที่เขาอย่างล้อเลียน คงไม่มีใครคิดว่าผู้ชายคูลๆ ดูเท่อย่างเขาจะโผล่มาแย่งช่อดอกไม้เจ้าสาว แถมยังมาโฆษณาขายตัวเองแบบปัญญาอ่อนบนเวทีอีก
                 “ว่าแต่ตอนนี้หัวใจของพี่วีมีคนจับจองแล้วหรือยังครับ”
                 “ยังไม่มีครับ”
                 เสียงฮือฮาดังมาจากผู้คนที่อยู่ในงาน แน่นอนว่าการที่ชายหนุ่มหน้าตาดีมีออร่า อดีตเดือนคณะวิศวกรรมศาสตร์ประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่าตัวเองโสด ย่อมสร้างความแปลกใจให้ใครหลายคนไม่น้อย
                 “ยินดีกับพี่วี ว่าที่เจ้าบ่าวคนต่อไปด้วยนะครับ ขอให้หาเจ้าสาวของตัวเองเจอเร็วๆ นะครับ”
                 ณัฐวีร์ส่งยิ้มเจื่อนให้พิธีกร ก่อนจะก้มมองช่อดอกลิลลี่ในมืออย่างไม่สบอารมณ์ แล้วหันไปทางหญิงสาวผู้โชคดีตัวจริงที่ควรเป็นเจ้าของช่อดอกไม้นี้อีกครั้ง 
                 ทว่าเธอกลับหายไปเสียแล้ว...
 
                ชายหนุ่มเลิกคิ้วน้อยๆ เมื่อเห็นรองเท้าส้นสูงสีชมพูหวานที่หล่นอยู่บนพื้นเบื้องหน้า ก่อนจะเห็นหลังไวๆ ของใครบางคนที่กำลังเดินกระโหยกกระเหยกตรงไปทางรถของตัวเองแม้จะเห็นแค่ด้านหลัง แต่เขาก็จำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือหญิงสาวหน้าหวานที่ทำให้เขาต้องอับอายต่อหน้าคนเป็นร้อยนั่นเอง
                 ร่างสูงก้มลงเก็บรองเท้าของอีกฝ่าย ตั้งใจจะวิ่งตามเอาไปคืนให้เธอ ทว่าเจ้าหล่อนกลับก้าวเข้าไปนั่งในรถของตัวเองก่อนจะขับออกไปอย่างรวดเร็ว
                 “ให้ตายสิ...” ชายหนุ่มพึมพำ เธอคิดว่าตัวเองเป็นซินเดอเรลล่าหรือยังไง ถึงได้ทิ้งรองเท้าแก้วเอาไว้แบบนี้หวังว่าเขาคงไม่ต้องสวมบทเป็นเจ้าชายเอารองเท้าไปคืนให้เธอหรอกนะ
                 ณัฐวีร์คิดอย่างระอา ก่อนที่สายเรียกเข้าโทรศัพท์จะดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ก็รีบกดรับในทันที
                 “ผมได้ข้อมูลที่คุณต้องการมาแล้ว ผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ที่ไทย ไม่ได้หนีไปต่างประเทศอย่างที่พวกเราคิด อีกสองนาทีรายละเอียดเหตุการณ์ทั้งหมดและประวัติส่วนตัวของเธอจะเข้าไปอยู่ในอีเมลของคุณ ถ้าตรวจสอบข้อมูลเสร็จแล้ว ก็อย่าลืมโอนส่วนที่เหลือมาให้ผมนะครับ”
                 “ตกลง” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ก่อนจะกดวางสาย แล้วรีบก้าวเข้าไปนั่งในรถของตัวเอง เขาโยนช่อดอกลิลลี่และรองเท้าส้นสูงไปไว้ด้านหลัง ก่อนจะหยิบแลปทอปที่วางอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับออกมาเช็กอีเมลที่ส่งมาจากนักสืบเอกชนที่ตัวเองจ้างมา หัวใจเต้นระรัวเมื่อได้เห็นข้อมูลของใครบางคนที่เขาตามหาตัวมาตลอดหลายปี
                ดร. จิรณัฐ รัตนเรืองรอง
             นักนิติวิทยาศาสตร์ระดับชำนาญการ องค์การนิติวิทยาศาสตร์

                 “องค์การนิติวิทยาศาสตร์...” ชายหนุ่มพึมพำ ก่อนจะกดเลื่อนเพื่ออ่านรายละเอียดในหน้าต่อไป
                องค์การนิติวิทยาศาสตร์ หรือ The organizations of Forensic Sciences เรียกย่อๆ ว่า OFS คือหน่วยงานพิเศษที่ก่อตั้งขึ้นโดยกระทรวงยุติธรรม ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สืบสวน ทั้งตำรวจและอัยการในการตรวจพิสูจน์หลักฐานด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์เพื่อดำเนินคดี แม้จะเป็นองค์กรที่ขึ้นตรงกับรัฐบาล แต่ก็ได้รับการตรวจประเมินด้านความโปร่งใสและจริยธรรมในการดำเนินงานโดยหน่วยงานภายนอกอยู่ทุกปี
                 ณัฐวีร์เม้มริมฝีปาก ไม่อยากเชื่อว่าเบาะแสสำคัญของเขาจะอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด ชายหนุ่มรีบกดดูรูปที่แนบมาในอีเมล และทันทีที่เห็นใบหน้าของผู้หญิงที่อยู่ในภาพชัดๆ หัวใจของเขาก็เหมือนจะหยุดเต้นเสียอย่างนั้น
                 ให้ตายสิ...นี่มันชักจะบังเอิญเกินไปแล้ว
                 ซินเดอเรลล่าที่ทิ้งทั้งรองเท้าแก้วและช่อดอกไม้ไว้แบบนั้น
                 คือผู้หญิงที่เขาตามตัวมาตลอดหลายปีนี่เอง...
 
                รองศาสตราจารย์นายแพทย์พิเชษฐ์ อัครดิเรกกุลมองสภาพหญิงสาวในชุดราตรีเข้ารูปสีครีมเบจที่อยู่ตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะเลื่อนสายตามาหยุดที่รองเท้าแตะลายเป็ดที่เท้าของอีกฝ่าย ใครจะไปคิดว่าลูกน้องมือฉมังของเขาจะใส่ชุดแบบนี้มาที่เกิดเหตุ แถมยังสวมรองเท้าแตะลายมุ้งมิ้งที่ไม่เข้ากันมาเสียด้วย
            “ใส่รองเท้าส้นสูง แล้ววิ่งไม่ถนัดน่ะค่ะ” หญิงสาวอ้อมแอ้มตอบพลางยิ้มแหยส่งให้รุ่นพี่ที่มองเธออย่างนึกขำ
             
“เชี่ย! ใครวะเนี่ย!”
                 “พี่จีเองเหรอ! ผีเข้าหรือไงถึงลุกมาแต่งตัวแบบนี้”
                 จิรณัฐตบหัวอธิป ก่อนจะหันไปส่งค้อนให้ภูริอย่างหมั่นไส้ ทั้งสองหนุ่มคือเพื่อนร่วมงานจอมกวนประสาทของเธอ รวมทั้งนายแพทย์พิเชษฐ์ที่กำลังยืนกลั้นขำอยู่ในตอนนี้ด้วย
                 “ว่าแต่แกจะเก็บหลักฐานชุดนี้เหรอ”
                 “เดี๋ยวใส่ชุดพีอีแล้วก็ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ชุดไม่ใช่ปัญหาในการทำงานของจีอยู่แล้ว”
                 พิเชษฐ์ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะหันไปบอกให้อธิปและภูริไปหยิบอุปกรณ์ที่หลังรถ หลังจากที่ทีมพิสูจน์หลักฐานจากองค์การนิติวิทยาศาสตร์เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว ก็พากันเดินเข้าในบ้านเดี่ยวตรงหน้าซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ
                 “สวัสดีครับทุกท่าน เข้ามาข้างในได้เลยครับ”
                 พิเชษฐ์พยักหน้ารับการทักทายของร้อยตำรวจตรีพีระ เจ้าหน้าที่สืบสวนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนที่ทีมนักนิติวิทยาศาสตร์ทั้งสี่คนจะก้าวเข้าไปด้านใน จิรณัฐมองไปรอบๆ สถานที่เกิดเหตุอย่างพิจารณา แม้จะเป็นบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่หน้าบ้าน ทว่ากลับไม่มีดอกไม้หรือต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว
                 เป็นบ้านที่ดูไร้ชีวิตชีวาเหลือเกิน...
                 ร่างบางมองไปที่ข้างบ้านของผู้ตาย ก็เห็นว่าบ้านทั้งสองหลังที่ขนาบอยู่ข้างๆ เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด โดยเฉพาะบ้านที่อยู่ทางซ้ายที่ตกแต่งอย่างสวยงามราวกับสวนแห่งเอเดนเลยทีเดียว
                 “ดูท่าบ้านโน้นจะชอบต้นไม้มากนะ ดูสิ มีแต่พันธุ์ไม้สวยๆ ทั้งนั้น”
                หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วยกับภูริก่อนจะก้าวเข้าไปด้านใน แล้วตรงเข้าไปทรุดลงนั่งสวดมนต์แผ่เมตตาให้ศพของหญิงวัยกลางคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นข้างโต๊ะกินข้าว แม้จะทำงานอยู่ที่องค์การนิติวิทยาศาสตร์มานานถึงห้าปี อยู่ในวงการนี้มาเกือบแปดปีนับตั้งแต่เรียนปริญญาโท แต่เธอก็ไม่เคยชินกับการที่ต้องมาเจอร่างของผู้เสียชีวิตที่มีการตายโดยผิดธรรมชาติเช่นนี้
                 “สอบถามจากคุณราณี เพื่อนบ้านที่เป็นคนโทร. แจ้งตำรวจ ทราบว่าผู้ตายชื่ออนงค์ อายุหกสิบปีครับ อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้กับลูกชายแค่สองคน สามีของเธอเสียชีวิตตั้งแต่ลูกชายอายุแค่สิบขวบ ลูกชายชื่อคุณอดิเทพเดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัดตั้งแต่อาทิตย์ก่อน ปกติคุณอนงค์จะออกมาตักบาตรที่หน้าบ้านทุกเช้า แต่คุณราณีเห็นว่าวันนี้เธอไม่ออกมา ก็เลยมากดออดเรียกก่อนจะเห็นผ่านหน้าต่างว่าผู้ตายนอนสลบอยู่ที่พื้น จึงโทร. แจ้งตำรวจตอนประมาณแปดโมง พวกเราคิดว่าผู้ตายสะดุดล้มศีรษะกระแทกเข้ากับโต๊ะ และเสียชีวิตเนื่องจากเสียเลือดมากครับ”
                 จิรณัฐสำรวจบริเวณรอบๆ ศพและเห็นว่า นอกจากจะพบกองเลือดที่พื้นแล้ว ก็ยังมีคราบเลือดอยู่บนโต๊ะอีกด้วยและเนื่องจากเหตุการณ์นี้เป็นการตายโดยผิดธรรมชาติ จึงต้องรอผลการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุและการชันสูตรพลิกศพจากทีมนิติเวช จึงจะสรุปผลและส่งสำนวนคดีให้อัยการได้
                 “ไม่มีร่องรอยการงัดแงะหรือการบุกรุกจากคนภายนอกใช่ไหมคะ” 
                 “ไม่มีครับ ผู้ตายอาศัยอยู่ในบ้านแค่คนเดียว”
                 “แล้วได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่หน้าบ้านหรือยังคะ”
                 “กล้องเสียครับ ส่วนที่ติดอยู่ตามที่ต่างๆ ในหมู่บ้านเป็นกล้องหลอก มีแค่กล้องวงจรปิดที่อยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้านเท่านั้นที่ใช้งานได้ แต่โชคร้ายที่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา กล้องตัวนั้นเสีย เราเลยไม่ได้ภาพจากกล้องวงจรปิดในวันเกิดเหตุเลยครับ”
                 หญิงสาวพยักหน้ารับคำตอบของพีระ ก่อนจะเดินไปยังบริเวณโต๊ะกินข้าว แล้วมองคราบฝุ่นที่เกาะตามมุมโต๊ะอย่างพิจารณา จากนั้นจึงตรวจสอบรอยแผลที่หน้าผากของผู้เสียชีวิตอีกครั้ง
                 “กล้ามเนื้อแข็งไม่ทั่วตัว ท้องน้อยเริ่มมีสีเขียว มีกลิ่นเล็กน้อย” พิเชษฐ์พูดพลางแตะไปตามผิวหนังของศพ ขณะที่ภูริจดข้อมูลลงในสมุดรายงานตามที่หัวหน้าบอก ส่วนอธิปไล่ถ่ายรูปสภาพศพตามคำสั่งของนายแพทย์หนุ่ม
                 “จีเก็บตัวอย่างวัสดุที่ใช้ทำโต๊ะไปแล้วค่ะ ถ้าตรวจองค์ประกอบเทียบกับสารที่พบในตัวอย่างเลือดที่แผลของผู้ตายก็น่าจะบอกอะไรได้”
                 พิเชษฐ์พยักหน้ารับ ก่อนที่จิรณัฐจะผละไปสำรวจบริเวณอื่นๆ ภายในบ้าน ดูจากการจัดวางข้าวของและสภาพโดยรอบแล้ว บอกชัดว่าผู้ตายเป็นคนรักสะอาดและมีระเบียบมากทีเดียว
                 ร่างบางเดินเข้าไปในห้องนอนของอดิเทพ ก่อนจะหยุดมองรูปครอบครัวที่วางอยู่บนหัวเตียง หญิงสาวที่กำลังส่งยิ้มกว้างมาให้จากในรูปคืออนงค์ไม่ผิดแน่ ข้างกายของอีกฝ่ายมีชายหนุ่มและเด็กชายหน้าตาน่ารักยืนอยู่ด้วย ขณะที่ภาพถัดๆ มาเป็นรูปของผู้ตายและลูกชายในช่วงเวลาสำคัญต่างๆ 
                 จิรณัฐมองคนในรูปด้วยสายตาที่หม่นลง การที่หญิงวัยกลางคนสูญเสียสามีซึ่งเป็นเสาหลักของบ้านตั้งแต่ลูกอายุแค่สิบขวบ คงทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวไม่น้อย คงไม่ง่ายเลยที่จะต้องเลี้ยงลูกชายโดยลำพังแบบนี้
                 “ลูกชายของผู้ตายไปต่างจังหวัดตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วใช่ไหมคะ”
                 “ใช่ครับ คุณอดิเทพทำงานเป็นอาจารย์มหา’ลัย เดินทางไปสัมมนาที่ต่างจังหวัดหลายวันแล้วครับ”
                 เป็นคำตอบที่ทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ ข้าวของภายในห้องของอดิเทพถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ แม้แต่เสื้อผ้าที่เตรียมไว้ซักก็ยังถูกพับอย่างเรียบร้อยอยู่ในตะกร้า มีเพียงหมอนและผ้าห่มเท่านั้นที่วางกองเละเทะอยู่บนเตียง เธอดึงปลอกหมอนและผ้าห่มใส่ถุงเก็บตัวอย่าง ก่อนที่ร่างสูงของใครบางคนจะก้าวมาหา
                 “สวัสดีค่ะพี่ที”
                 หญิงสาวพนมมือไหว้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า พาทีคืออัยการฝ่ายคดีอาญาที่ได้รับมอบหมายให้มาสืบสวนคดีที่มีการตายโดยผิดธรรมชาติ เธอและเขาทำงานร่วมกันราวสามปีแล้ว ทั้งคู่จึงสนิทสนมคุ้นเคยกันไม่น้อย
                 “จีคิดว่ายังไงบ้าง”
                 “จีรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ ค่ะ คงต้องให้วิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าจีคิดถูกไหม”
                 “นั่นสินะ ดีเอ็นเอไม่เคยโกหกอยู่แล้ว”
                 จิรณัฐยิ้มรับคำพูดของอีกฝ่าย แม้จะไม่อยากเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง แต่ถ้าดูจากสภาพศพและสถานที่เกิดเหตุแล้ว เธอรู้สึกว่าคดีนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา 
                 ดูเหมือนเรื่องนี้จะมีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว...


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น