บทที่ ๒


 รองเท้าแก้ว

 นัยน์ตาคู่สวยมองภาพบาดแผลของผู้เสียชีวิตที่ปรากฏอยู่บนจอโพรเจกเตอร์ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองภาพถ่ายมุมโต๊ะ วันนี้ทางทีมนิติวิทยาศาสตร์ประชุมร่วมกับทีมสืบสวน ซึ่งประกอบด้วยอัยการและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลคดี เพื่อสรุปผลการตรวจสอบวัตถุพยานและการชันสูตรพลิกศพ
                 “ผลการชันสูตรพบว่ากะโหลกของคุณอนงค์มีรอยร้าว สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง และมีเลือดออก เสียชีวิตเพราะเสียเลือดมาก ตามร่างกายไม่มีร่องรอยการบาดเจ็บอื่น” นายแพทย์พิเชษฐ์อธิบายพร้อมกับเปิดรูปไปด้วย “ส่วนประวัติการรักษาและข้อมูลทางการแพทย์ของคุณอนงค์ระบุว่า เธอมีโรคประจำตัวคือความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ สิ่งที่แพ้คือเกสรดอกไม้”
                 “แพ้เกสรดอกไม้เหรอคะ...”
                 สายตาทุกคู่พุ่งมาที่จิรณัฐที่จ้องข้อมูลตรงหน้าตาไม่กะพริบ ท่าทางของอีกฝ่ายทำให้อธิปกับภูริหันมาสบตากันโดยอัตโนมัติ เพราะรู้ดีว่า ดร. จีกำลังจะกลายร่างเป็นแม่มดแห่งโอเอฟเอสแล้ว ทุกครั้งที่มีคดีเข้ามา หญิงสาวจะวิเคราะห์ข้อมูลและจำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหัว แล้วอธิบายให้พวกเขาฟังเป็นฉากๆ ราวกับเห็นทุกอย่าง
                 ไม่รู้มันมาเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์ทำไม ระดับนี้ไปเปิดสำนักดูดวงเถอะ
                 “เพราะแบบนี้ภายในบ้านของคุณอนงค์ถึงไม่มีต้นไม้หรือดอกไม้แม้แต่ต้นเดียวสินะ...” จิรณัฐพูดพลางลุกจากเก้าอี้แล้วตรงไปที่จอโพรเจกเตอร์ “แต่น่าแปลกนะคะ เพราะผลวิเคราะห์สารประกอบบนผ้าปูที่นอนของคุณอดิเทพ พบละอองเรณูของดอกไม้ที่ยังสดอยู่ ทั้งๆ ที่คุณอดิเทพไม่อยู่บ้านมาเกือบอาทิตย์แล้ว”
                 “แสดงว่ามีใครบางคนเข้ามาในบ้าน แล้วมานอนที่เตียงของเขาสินะ”
                 ร่างบางพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของพาที ก่อนจะอธิบายต่อ
                “นอกจากนี้รอยแผลที่หน้าผากของผู้ตายก็ยังไม่พอดีกับมุมโต๊ะ แถมยังไม่พบสารจำพวกทินเนอร์หรือยางพาราที่เป็นวัสดุที่ใช้ทำโต๊ะด้วย แต่กลับพบสารจำพวกเมทิลเมทาคริเลตค่ะ ที่สำคัญคือปริมาณของเซโรโทนินในเลือดที่พบบนโต๊ะมีมากกว่าปริมาณฮีสตามีนด้วยค่ะ”
                 “หมายความว่ายังไงเหรอครับ” พีระถามอย่างไม่เข้าใจ บนหน้าเหมือนมีประโยค ‘กูมาทำอะไรที่นี่’ แปะหราอยู่กลางหน้าผาก แม้จะทำงานร่วมกับทีมนิติวิทยาศาสตร์ของโอเอฟเอสมาเกือบสองปีแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาพูดกันอยู่ดี
                “เมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันจะหลั่งฮีสตามีนและเซโรโทนินในช่วงห้านาทีแรกที่เกิดแผลค่ะ และในช่วงห้าถึงสิบนาทีนั้นปริมาณฮีสตามีนในเลือดจะมากกว่าเซโรโทนิน” จิรณัฐอธิบายพลางเขียนกระดานไปด้วยเพื่อให้พีระและพาทีเห็นภาพ “แต่หลังจากสิบห้านาทีผ่านไป ปริมาณของเซโรโทนินจะถูกสร้างมากกว่าฮีสตามีน ดังนั้นเป็นไปได้ว่า ตัวอย่างเลือดที่พบบนพื้นมาจากเลือดที่ออกช่วงแรกหลังจากที่เกิดแผล ส่วนเลือดที่อยู่บนโต๊ะคือเลือดที่ออกหลังจากเกิดแผลแล้วสิบห้านาทีเป็นต้นไปค่ะ”
                 พอเห็นว่าพีระยังคงมีสีหน้างงงวยอยู่แบบนั้น จิรณัฐจึงเดินไปหยิบหุ่นจำลองที่ตั้งอยู่ที่มุมห้อง แล้วลากมาใกล้ๆ 
                “จีสันนิษฐานว่าแบบนี้ค่ะ” ร่างบางอธิบายพลางหันด้านหน้าหุ่นเข้าหาตัวเอง “คนร้ายใช้อาวุธสังหารทุบไปที่ศีรษะของเหยื่อ หลังจากนั้นเหยื่อก็ล้มลงบนพื้นแบบนี้ แต่ยังไม่เสียชีวิตในทันที ตอนนั้นระบบภูมิคุ้มกันสร้างฮีสตามีนและเซโรโทนินออกมา โดยสร้างฮีสตามีนมากกว่า...”
                 หญิงสาวสาธิตโดยการใช้มือทุบไปที่หัวของหุ่นเต็มแรงจนหุ่นล้มลงกระแทกพื้น หลังจากนั้นก็จับร่างของหุ่นขึ้นมาแล้วกระแทกลงไปบนโต๊ะอีกรอบ 
                “คนร้ายตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พอได้สติก็คิดจะอำพรางคดี โดยจับศีรษะของคุณอนงค์บริเวณที่มีแผลไปกระแทกโต๊ะกินข้าวอีกครั้ง เพื่อให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุ เลือดที่พบบนโต๊ะจึงมีปริมาณเซโรโทนินมากกว่าฮีสตามีน เพราะเป็นเลือดที่ไหลออกมาหลังเกิดแผลแล้วราวสิบห้านาทีถึงหนึ่งชั่วโมงค่ะ”
                 พีระพยักหน้าตามอย่างเข้าใจ ก่อนจะถามต่อ
                 “แล้วเวลาเสียชีวิตจริงล่ะครับ”
                 “คาดว่าก่อนที่ตำรวจจะเข้าไปพบศพราวยี่สิบสี่ชั่วโมงครับ”
                 เสียงฮือฮาอย่างตื่นตะลึงดังขึ้นจากทีมสืบสวนหลังจบคำพูดของนายแพทย์พิเชษฐ์ เพราะพวกเขาคาดการณ์ว่าผู้ตายอาจเสียชีวิตก่อนพบศพแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น และนั่นทำให้ต้องขยายขอบเขตของการสืบสวนมากขึ้นไปอีก
                 “คำให้การของพยานเป็นยังไงบ้างคะ”
                 “รปภ. บอกว่าในช่วงเกิดเหตุ ไม่มีคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านเลยครับ ส่วนเพื่อนบ้านที่ผู้ตายสนิทสนมด้วยคือบ้านสองหลังนี้ บ้านที่อยู่ด้านซ้ายอาศัยอยู่กันสามคน คุณปราบและคุณราณีเป็นสามีภรรยากัน มีลูกชายหนึ่งคนชื่อคุณปรัชญา คืนวันเกิดเหตุสองสามีภรรยานอนหลับอยู่ในบ้าน ส่วนลูกชายกำลังเดินทางกลับจากต่างจังหวัด...” พีระอธิบายพลางชี้ไปที่รูปของพยานแต่ละคน “ส่วนบ้านทางขวา เจ้าของคือคุณอาทิตย์และคุณศศิน เป็นพี่น้องกัน วันเกิดเหตุทั้งคู่ไม่อยู่บ้านครับ”
                 คนฟังเม้มริมฝีปาก ถึงเคสนี้จะดูเหมือนเป็นคดีฆาตกรรม แต่พวกเธอก็ยังไม่พบอาวุธสังหาร รวมทั้งยังไม่เจอหลักฐานที่โยงใยไปถึงตัวคนร้ายได้ ก่อนที่สายตาของจิรณัฐจะสะดุดเข้ากับภาพถ่ายวัตถุพยานที่เธอเก็บได้ในที่เกิดเหตุ ร่างบางหยิบรูปออกมาจากบอร์ด ก่อนจะยื่นให้สมาชิกในทีมดูพลางอธิบายไปด้วย
                 “นี่เป็นดอกไม้ที่จีเจอใต้เตียงห้องคุณอดิเทพค่ะ ทุกคนคงเห็นว่ามันยังสด เหมือนเพิ่งร่วงจากต้นได้ไม่นาน แต่คุณอดิเทพรู้ดีว่าแม่แพ้เกสรดอกไม้ ดังนั้นเขาไม่เอาเข้ามาในบ้านแน่ๆ จึงเป็นไปได้ว่าคนร้ายเข้ามาในห้องของคุณอดิเทพและเผลอทำมันหล่นไว้” 
                 “แต่มันอาจจะบังเอิญติดมากับร่างกายหรือสัมภาระของคุณอนงค์ตอนกลับมาจากข้างนอกก็ได้นี่ครับ” 
                 “ไม่ใช่หรอกค่ะ”
                 จิรณัฐส่ายหน้ากับข้อสันนิษฐานของพีระ แววตาของเธอทอแสงกล้าไม่ต่างจากโคนันตอนไขคดีแทนโมริ โคโกโร่
                 “วัตถุพยานชิ้นนี้มีความพิเศษอยู่ค่ะ เพราะมันคือดอกพลับพลึงธาร ซึ่งเป็นดอกไม้หายากของไทยที่พบเฉพาะที่จังหวัดระนองและพังงาเท่านั้น และคนที่เพิ่งกลับมาจากพังงาก็คือคนคนนี้...”
                 อธิปกับภูริอ้าปากค้าง ขณะที่พีระผุดลุกขึ้นยืนในทันที เพราะคนร้ายดันกลายเป็นคนที่พวกเขานึกไม่ถึง
                 “แต่คืนวันเกิดเหตุเขาไม่อยู่บ้านนะครับ แถมเขายังมีตั๋วรถทัวร์ยืนยันขากลับด้วย”
                 หญิงสาวยิ้มอย่างมีเลศนัย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเธอเจอคดีที่ผู้ต้องสงสัยมีหลักฐานที่อยู่ชัดเจนแบบนี้ และแน่นอนว่าหน้าที่ขององค์การนิติวิทยาศาสตร์คือการตามหาความจริง
                 “ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องไปหาหลักฐานเพิ่มเติมจากเขาแล้วละค่ะ”
                 
                จิรณัฐกดโทรศัพท์โทร. หาใครบางคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดราวกับกำลังวิเคราะห์คดีสำคัญ อีกไม่ถึงชั่วโมงเธอต้องออกไปตรวจสอบวัตถุพยานเพิ่มเติมที่บ้านของผู้ต้องสงสัย ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่โทรศัพท์หาเพื่อนเพื่อขอความช่วยเหลือได้
                 “เป็นไงมั่งแก เจอปะ”
                 “ไม่เจอเลยแก แน่ใจนะว่าทิ้งไว้ที่ลานจอดรถจริงๆ”
                 “อือ จำแม่นเลยว่าอยู่ไม่ไกลจากประตูทางออก” ร่างบางตอบคนปลายสายเสียงเศร้า เมื่อคิดว่าความหวังที่จะได้รองเท้าราคาแพงหูฉี่กลับคืนมาคงเป็นศูนย์ หลังโดนหัวหน้าโทร. ตามให้ไปเก็บวัตถุพยานเมื่อวันก่อน เธอก็วิ่งออกมาจากงานแต่งของเพื่อนในทันที แต่ดันสะดุดล้มแล้วทำรองเท้าหลุดกระเด็นไปไกล พอจะวิ่งกลับไปเก็บก็โดนคนปลายสายดุเพราะมัวแต่ชักช้า จิรณัฐเลยตัดสินใจทิ้งรองเท้าข้างนั้นเอาไว้ แล้วรีบขับรถออกจากงานทันที
                 “โอเค เดี๋ยวฉันลองหาอีกทีละกัน”
                 “ถ้าไม่เจอก็ไม่เป็นไรนะแก ขอบคุณมากเลย”
                 หญิงสาวกดวางสาย ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นร่างสูงของใครบางคนที่หน้าอาคาร ใบหน้ารูปสลักของอีกฝ่ายยังคงไร้อารมณ์ไม่ต่างจากครั้งก่อนที่พบกัน ดวงตาสีเข้มเบิกกว้างเล็กน้อยราวกับดีใจที่เห็นเธอ ก่อนที่เขาจะก้าวยาวๆ มาหยุดตรงหน้า
                 “คุณอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
                 “คุณวีคนหน้าใส หัวใจน้องพี่ขอจอง...”
                 ณัฐวีร์เม้มริมฝีปากอย่างขัดใจกับคำเรียกขานที่ได้ยิน ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจำสโลแกนที่เขาแนะนำตัวในงานแต่งของเพื่อนได้อยู่อีก ชายหนุ่มทำเป็นหยิบของออกมาจากถุงกระดาษ โดยไม่สนใจรอยยิ้มล้อเลียนของหญิงสาวแล้วพูดเสียงเรียบ
                 “ผมเอารองเท้ามาคืนคุณ”
                 จิรณัฐเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าคนที่เก็บรองเท้าของเธอได้จะเป็นชายหนุ่มคนเดียวกับที่เธอยัดเยียดช่อดอกไม้เจ้าสาวให้เขาเมื่อวันก่อน แถมณัฐวีร์ยังลงทุนเอามาคืนให้เธอด้วยตัวเองอีก
                 “รับไปสิครับ”
                 “เอ่อ...ขอบคุณค่ะ” ร่างบางรีบยื่นมือไปรับ “คุณเก็บรองเท้านี่ได้เหรอคะ แล้วคุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันอยู่ที่นี่”
                 “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก แล้วผมก็เอาอันนี้มาคืนคุณด้วย”
                 จิรณัฐชะงักเมื่ออีกฝ่ายยื่นอะไรบางอย่างมาให้ มันคือช่อดอกลิลลี่สีขาวที่เธอและเขารับได้พร้อมกันในงานแต่งเมื่อวันก่อนนั่นเอง แม้จะผ่านมาสองวันแล้ว แต่สภาพของดอกลิลลี่ก็ยังสวยสดราวกับชายหนุ่มเก็บรักษาไว้อย่างดี
                 “คุณเอามาให้ฉันทำไมคะ มันไม่ใช่ของฉันสักหน่อย”
                 “มันเป็นของคุณครับ คุณเป็นคนรับช่อดอกไม้นี่ได้”
                 ร่างบางมองสีหน้ากึ่งขอร้องกึ่งบังคับของอีกฝ่ายก่อนจะตัดสินใจรับช่อดอกลิลลี่มา บอกตามตรงว่าบรรยากาศในตอนนี้ทำให้จิรณัฐรู้สึกขนลุกไม่น้อย ได้แต่หวังว่าจะไม่มีใครมาเห็นว่าเธอได้รับช่อดอกไม้จากชายหนุ่ม เพราะคงได้มีคนเอาไปลือกันเสียๆ หายๆ สามวันเจ็ดวันแน่ๆ 
                 “คุณพอมีเวลาไหมครับ ผมมีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อย”
                 “เรื่องอะไรเหรอคะ”
                 หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้ว เขาก็ถามต่อเสียงนิ่ง
                 “คุณจำคดีนักศึกษาหญิงที่ถูกแทงเจ็ดแผลเมื่อห้าปีก่อนได้ไหม”
                 เป็นคำถามที่ทำให้แววตาของจิรณัฐไหววูบ ขณะที่ริมฝีปากหยักได้รูปเม้มเป็นเส้นตรง ภาพร่างกายที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือด และบาดแผลฉกรรจ์เกือบสิบแผลของเหยื่อที่เป็นเพียงนักศึกษาฉายแวบเข้ามาในหัว 

การลงมืออย่างโหดเหี้ยมของคนร้ายสร้างความตื่นตะลึงให้ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่แพทย์นิติเวชที่ทำหน้าที่ชันสูตรพลิกศพ แม้ตอนนี้จะจับตัวคนร้ายได้แล้ว แต่คดีนี้ก็ยังอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน
                 รวมทั้งเธอด้วย...
                 “คุณ...คุณต้องการอะไรคะ” ร่างบางถามด้วยน้ำเสียงที่เธอพยายามคุมให้ปกติ แม้ตอนนี้หัวใจจะเต้นกระหน่ำอย่างหวาดหวั่นก็ตาม 

ขณะที่ปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มลอบยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ ก่อนจะพูดต่อ
                 “ผมว่าเราไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีไหมครับ”         
 
            ร่างบางมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ด้วยอาชีพที่ทำอยู่ทำให้จิรณัฐมักไม่ค่อยได้สนทนากับคนแปลกหน้าเท่าไหร่นัก เธอมักจะอยู่ในห้องแล็บเพื่อวิเคราะห์วัตถุพยาน หรือไม่ก็เป็นลูกมือช่วยพิเชษฐ์ชันสูตรพลิกศพ การต้องมานั่งมองสีหน้าที่เดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ของณัฐวีร์จึงสร้างความอึดอัดใจให้เธอไม่น้อย
            “เรื่องคดีแทงนักศึกษาหญิงเมื่อห้าปีก่อน...” ชายหนุ่มเกริ่นเสียงเรียบ “ผมได้ยินมาว่าคุณมีส่วนช่วยในการชันสูตรศพและตรวจสอบหลักฐาน...”
                 จิรณัฐเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมคนตรงหน้าถึงพูดเรื่องนี้ ทั้งที่เวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้วแท้ๆ เขาจะขุดเรื่องเก่าๆ มาพูดให้ได้อะไรขึ้นมา
                 “ทำไมจู่ๆ ถึงพูดเรื่องนี้ คุณต้องการอะไรกันแน่”
                 “ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”
                 หญิงสาวมองคนตรงหน้านิ่ง คดีแทงนักศึกษาหญิงที่ชื่อณัฐวิภาเมื่อห้าปีก่อน เป็นคดีสะเทือนขวัญที่ลงข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ คดีนี้ถูกกำหนดให้เป็นคดีพิเศษที่มีตำรวจและอัยการจากหลายหน่วยงานมาช่วยกันสืบสวน ก่อนจะพบว่าคนร้ายก็คือนายทัตเทพ ขาวผ่อง อดีตฆาตกรต่อเนื่องที่ก่อเหตุฆ่าข่มขืนหญิงสาวสองศพ และเพิ่งออกจากเรือนจำมาได้ไม่นาน
                 การก่อคดีซ้ำของทัตเทพสร้างความโกรธแค้นให้ประชาชน พวกเขาตั้งคำถามเกี่ยวกับโทษของผู้กระทำความผิดที่ตัดสินโดยกระบวนการยุติธรรม นักวิชาการหลายคนออกมาให้ความเห็นว่า กฎหมายไทยควรเพิ่มบทลงโทษสำหรับนักโทษคดีฆ่าข่มขืน บางคนสนับสนุนให้มีการประหารชีวิต เพื่อไม่ให้คนพวกนี้ออกมาทำร้ายคนอื่นได้อีก 

แม้ในรายงานการชันสูตรพลิกศพจะบอกว่าทัตเทพไม่ได้ข่มขืนเหยื่อ แต่สภาพศพของณัฐวิภาที่ถูกแทงถึงเจ็ดแผลแล้วถูกนำไปทิ้งไว้ในป่าร้างก็สร้างความหดหู่ให้ประชาชนไม่น้อย หลังจากที่ทัตเทพถูกจำคุกไปได้สองปี เขาก็หัวใจวายเสียชีวิตในเรือนจำ เป็นอันปิดฉากสุดท้ายของฆาตกรใจโหดที่ไม่ว่าใครก็ขยาดที่จะพูดถึง
                 “ผมไม่เชื่อว่าทัตเทพคือคนร้าย”
                 “ทำไมคุณมั่นใจนัก แถมคดีนี้ก็ปิดไปแล้วด้วย คุณจะรื้อฟื้นให้ได้อะไรขึ้นมา”
                 “แต่ทัตเทพเคยบอกผมว่ามันไม่ใช่ฆาตกร”
                 “ไม่มีฆาตกรที่ไหนยอมรับว่าตัวเองผิดหรอก ดีเอ็นเอของทัตเทพอยู่บนร่างกายของศพ นิติวิทยาศาสตร์ไม่เคยโกหกอยู่แล้ว”
                 “คุณก็รู้ว่าผลการสืบสวนครั้งนั้นมีบางอย่างผิดปกติ ตอนนั้นมีการปลอมแปลงวัตถุพยาน แถมยังมีการแก้ไขรายงานการชันสูตรศพ คุณเองก็เคยทะเลาะกับอาจารย์หมอเรื่องนี้”
                 นัยน์ตาคู่สวยมองอีกฝ่ายด้วยแววตาตื่นตะลึง ณัฐวีร์รู้ลึกขนาดนี้ได้ยังไง เขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่สืบสวนหรือคนในวงการนิติวิทยาศาสตร์ที่รับผิดชอบคดีนี้ด้วยซ้ำ
                 แล้วเขากล้าดียังไงถึงมาสืบเรื่องของเธอ
                 “นี่คุณสืบมาหมดทุกอย่างเลยสินะ” จิรณัฐพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เมื่อห้าปีก่อน หญิงสาวเป็นเพียงนักศึกษาปริญญาโทภาควิชานิติวิทยาศาสตร์ที่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์หมอให้เข้ามาช่วยตรวจสอบคดีนี้ แน่นอนว่าจิรณัฐดีใจมากที่อาจารย์ให้โอกาสแม้ตัวเธอในตอนนั้นจะยังเป็นเพียงนักศึกษา เธอค้นพบความผิดปกติหลายอย่างบนร่างกายของศพและจากวัตถุพยานที่ทางตำรวจส่งมาให้ จึงเขียนทุกอย่างลงไปในรายงาน 
                 ทว่าสุดท้ายแล้วอัยการกลับใช้ผลการสืบสวนของนักนิติวิทยาศาสตร์จากอีกทีม ซึ่งเนื้อหาในรายงานตัดข้อสงสัยที่เธอและรุ่นพี่เขียนไว้ออกไปจนหมด และระบุเพียงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทัตเทพเท่านั้น       
                 ‘ทำไมอาจารย์ถึงยอมให้ตำรวจใช้รายงานจากอีกทีมแทนล่ะคะ พวกเขาไม่ได้ชันสูตรศพด้วยซ้ำ’
                 ‘เป็นคำสั่งของเบื้องบน คุณอยู่เงียบๆ จะดีกว่า’
                 ‘แต่พวกเขาตัดข้อสงสัยของเราออกไป แบบนี้ผลการสืบสวนอาจผิดพลาดได้นะคะ’
                 ‘มันจบแล้วจี พวกเราทำอะไรไม่ได้ คุณรีบกลับไปเถอะ อย่าให้พวกเขาเห็นว่าคุณอยู่กับผม’
                 เจ้าของร่างบางหลับตาลงอย่างอ่อนล้า ยามนึกถึงบทสนทนาระหว่างตนเองกับอาจารย์ที่ปรึกษาเมื่อห้าปีก่อน ตอนนั้นเธอเคยทักท้วงเรื่องนี้กับทั้งพี่ในทีมและอาจารย์หมอนิติเวช ทว่ากลับไม่มีใครสนใจเลยแม้แต่น้อย
                 ทุกคนดูหวาดกลัวอะไรบางอย่าง...
                 จิรณัฐรู้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับคดีนี้ เพราะหลังจากปิดคดี อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ส่วนนักนิติวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็ลาออกจากกองพิสูจน์หลักฐาน และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หลังจากนั้นเธอก็ติดต่อพวกเขาไม่ได้อีกเลย
                 “คุณรู้ดีที่สุดว่าความจริงคืออะไร” ณัฐวีร์พูดพลางจ้องอีกฝ่ายทั้งสีหน้าเย็นชา ดร. จิรณัฐ รัตนเรืองรอง นักนิติวิทยาศาสตร์หญิงดาวรุ่งแห่งองค์การนิติวิทยาศาสตร์คือที่พึ่งสุดท้ายของเขา เธอมักอยู่เบื้องหลังการพิสูจน์หลักฐานในคดีสำคัญๆ อยู่เสมอ และเพราะความเก่งกาจในการวิเคราะห์ข้อมูลจนนำไปสู่บทสรุปของคดีนี่เอง จึงทำให้เธอได้รับฉายาว่าแม่มดแห่งโอเอฟเอส
                 ใครจะไปคิดว่าเธอคนนี้จะเป็นผู้หญิงคนเดียวกับนักศึกษาปริญญาโทภาควิชานิติวิทยาศาสตร์ที่เขาตามหาตัวมาตลอดหลายปี และเป็นคนที่เห็นผลการชันสูตรพลิกศพและการตรวจสอบวัตถุพยานครั้งแรกในคดีของณัฐวิภา
                 “คุณต้องการอะไรกันแน่ เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ”
                 “นักศึกษาหญิงคนนั้นคือน้องสาวแท้ๆ ของผม”
                 เป็นคำตอบที่ทำให้ริมฝีปากหยักได้รูปสั่นระริก ขณะที่ความรู้สึกหวาดหวั่นไหลเวียนไปทั่วร่าง เธอไม่เคยคิดเลยว่าคดีสะเทือนขวัญที่ทำให้เธอหวาดกลัวการชันสูตรพลิกศพไปพักหนึ่ง จะกลับมาทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบอีกครั้ง
                 แล้วเธอก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับคดีนั้นอีกแล้ว...
                 “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ในทีมนิติวิทยาศาสตร์ ในรายงานการชันสูตรไม่มีชื่อฉันด้วยซ้ำ”
                 “คุณเป็นคนเดียวจากทีมนั้นที่มางานศพภา...”
                 จิรณัฐกัดริมฝีปาก ก่อนจะมองรูปฟิล์มที่อีกฝ่ายยื่นมาตรงหน้า ไม่คิดเลยว่าจะมีภาพที่เธอไปเคารพศพนักศึกษาหญิงคนนั้น แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างก็ตาม
                 “ตอนนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่าสมัยนั้นมาก ผมเชื่อว่าเราจะหาหลักฐานใหม่มาพิสูจน์ได้ว่าคนร้ายตัวจริงคือใคร”
                 “ถ้าจะรื้อคดีขึ้นมาสอบสวนใหม่ก็ต้องมีวัตถุพยานหรือหลักฐานอื่นเพิ่มเติม แต่เรื่องผ่านมาห้าปีแล้ว แถมศพยังถูกเผาไปแล้วอีก แล้วจะหาหลักฐานเพิ่มเติมได้จากที่ไหนล่ะ”
                 “ถ้าคุณยอมรับงานนี้ ผมจะให้เงินคุณยี่สิบล้าน”
                 จิรณัฐแค่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา นี่เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงคิดจะเอาเงินฟาดหัวเธอแบบนี้ มีเงินก็ใช่ว่าจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ ถ้าเรื่องมันง่ายอย่างที่ปากพูด ป่านนี้คนร้ายในคดีอื่นก็คงถูกจับไปหมดแล้ว คงไม่มีคดีที่ปิดไม่ได้เกลื่อนสำนักงานอัยการแบบทุกวันนี้หรอก
                 “ทำไมล่ะ คิดว่ามันน้อยไปเหรอ”
                 “คุณคิดว่าฉันหน้าเงินนักหรือไง” หญิงสาวโต้กลับเสียงเรียบ “ฉันรายงานทุกอย่างไปแล้ว ในเมื่อพวกเขาไม่เชื่อผลการพิสูจน์หลักฐาน ฉันก็ทำอะไรไม่ได้”
                 “คุณกล้าเรียกตัวเองว่านักนิติวิทยาศาสตร์ได้ยังไง ในเมื่อคุณปล่อยให้ฆาตกรตัวจริงลอยนวลอยู่แบบนี้ตอนนี้คนผิดยังไม่ได้ชดใช้กรรมเลยด้วยซ้ำ”
                 “แล้วฉันจะไปทำอะไรได้ล่ะ ในเมื่อโลกมันเป็นแบบนี้”
                 “โลกเป็นแบบนี้ เพราะคุณยอมให้มันเป็นต่างหากครับ”
                 ร่างบางกัดริมฝีปากก่อนจะลุกขึ้นยืน ยอมรับว่าคำพูดของณัฐวีร์แทงใจดำจนเธอชักจะโมโหขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ขืนยังนั่งปะทะคารมกันอยู่ต่อไป เธอคงได้หมดความอดทนแล้วซัดหมัดใส่หน้าเขาแน่ๆ 
                 “คุณเสียเวลาแล้วละที่มาหาฉัน เพราะฉันคงช่วยอะไรคุณไม่ได้”
                 ดวงตาคู่สวยจับจ้องแววตาโกรธเกรี้ยวของคนตรงหน้านิ่ง ไม่คิดมาก่อนว่าจะกลับมาเจออีกฝ่ายอีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้ จิรณัฐเชื่อว่าตัวเองเป็นคนควบคุมอารมณ์ได้ดีมาตลอด แต่ณัฐวีร์เป็นผู้ชายคนแรกที่ทำลายความมั่นใจนั้นของเธอ ก่อนที่หญิงสาวจะเชิดหน้าขึ้นแล้วพูดต่อเสียงเรียบ
                 “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณแล้ว หวังว่าเราจะไม่ต้องมาเจอกันอีกนะคะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น