บทที่ ๓


 เจ้ากรรมนายเวร

 “อะไรกันครับ กับอีแค่เจอดอกไม้ในห้องนอนของไอ้เทพ ถึงกับคิดว่าผมเป็นคนร้ายเลยเหรอ”
                 จิรณัฐมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างพิจารณา ปรัชญาเป็นชายร่างสูง รูปร่างสมส่วน อายุราวสามสิบต้นๆ อาชีพของเขาคือนักปรับปรุงพันธุ์ไม้ เขาเปิดฟาร์มเพาะไม้ดอกส่งไปขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะจัดสวนหน้าบ้านได้งดงามราวกับสวนเอเดนแบบนี้
                 “เราทำตามหน้าที่ค่ะ กรุณาให้ความร่วมมือด้วยนะคะ”
                 ปรัชญาแย้มรอยยิ้มเย็นชา ก่อนจะกวาดสายตาอ่านหมายค้นที่พีระยื่นให้ แล้วจึงยอมให้พวกเธอเข้าไปด้านใน
                 จิรณัฐถึงกับชะงัก เมื่อเห็นโล่รางวัลนับสิบที่ตั้งหราอยู่บนชั้นวางทันทีที่ก้าวเข้าไปในบ้าน ปรัชญาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเพาะพันธุ์ไม้ดอกจริงๆ เห็นได้จากโล่รางวัลที่เขากวาดมาจากหลากหลายเวทีแบบนี้ ดูท่าเขาคงภูมิใจในความสามารถของตัวเองมาก ถึงได้เอาโล่มาวางหราให้แขกเห็นก่อนเป็นอันดับแรก
                 “เห็นว่าที่เขาไปพังงา ก็เพราะไปรับรางวัลจากการประกวดไม้ดอกนานาชาติครับ”
                 หญิงสาวพยักหน้ารับคำบอกเล่าของพีระ ก่อนจะเดินไปหยุดหน้าชั้นวางถ้วยรางวัล แล้วไล่สายตาอ่านชื่อที่อยู่บนป้ายประกาศเกียรติคุณอย่างสนใจ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือมาค้นหาอะไรบางอย่างในอินเทอร์เน็ต ไล่ดูข้อมูลอยู่ไม่นานก็พบสิ่งที่ตัวเองต้องการ
                 “อย่างที่คิดจริงด้วย...” ร่างบางพึมพำ ก่อนจะเดินไปหาผู้ต้องสงสัยแล้วถาม “โล่รางวัลที่ได้จากงานนี้ คุณเอาไปเก็บไว้ที่ไหนเหรอคะ” 
                 หญิงสาวยื่นโทรศัพท์มือถือให้อีกฝ่ายดูเว็บไซต์งานประกวดพันธุ์ไม้ดอกนานาชาติประจำปีนี้ ซึ่งแสดงภาพถ่ายของปรัชญาตอนที่รับรางวัลชนะเลิศบนเวทีอยู่ โดยโล่ที่เขาเพิ่งได้รับมาจากงานนี้กลับไม่ปรากฏอยู่บนชั้นวาง
                 “ผมคงลืมไว้ที่ไหนสักที่น่ะครับ จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเอาไปเก็บไว้ไหน”
                 อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แม้สีหน้าจะไม่แสดงอารมณ์ใด แต่แววตากลับไหววูบราวกับคำถามของจิรณัฐสั่นคลอนความรู้สึกของเขา
                 “รางวัลสำคัญขนาดนั้น ลืมง่ายๆ เลยเหรอคะ”
                 “ผมมีถ้วยรางวัลเยอะแยะเต็มไปหมด จะหายไปสักอันสองอันโดยที่ไม่รู้ ก็คงไม่แปลกละมั้งครับ”
                 หญิงสาวไม่ตอบรับอะไร ทว่าแววตาที่สั่นระริกของอีกฝ่ายก็ทำให้เธอเลิกคิ้วน้อยๆ อย่างสนใจ สำหรับจิรณัฐแล้ว คำพูดของคนอาจโกหกได้ แต่นิติวิทยาศาสตร์ไม่เคยโกหก
                 และเธอต้องหาความจริงของคดีนี้ให้ได้แน่นอน!
                 
                หลังจากเก็บวัตถุพยานเรียบร้อยแล้ว จิรณัฐ อธิป ภูริ และพีระก็พากันออกมาจากบ้านของปรัชญา
                 “ค้นบ้านเขาแล้วไม่มีอะไรที่ดูจะเป็นอาวุธสังหารได้เลยครับ หรือว่าเขาจะเอาไปทิ้งที่อื่นแล้ว” อธิปพูดทั้งสีหน้าหนักใจ ก่อนที่พีระจะเสริมต่อ
                 “ผมตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดที่ป้อมยามหน้าหมู่บ้านหลังวันเกิดเหตุ ปรัชญาไม่ได้ออกไปไหนเลยครับ มีแค่มาวิ่งกำลังกายตอนเช้าเท่านั้นครับ”
                 “ผู้ชายคนนั้นน่าสงสัยมาก ถ้าไม่รีบจับกุม เขาอาจจะหนีออกนอกประเทศก็ได้นะครับ” ภูริแสดงความเห็นบ้าง “ปกติผมไม่เชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง แต่รู้สึกได้ว่าเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง”
                 “แต่เรายังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะออกหมายจับเขาน่ะสิครับ”
                 อธิปถอนหายใจหลังจบคำพูดของพีระ ก่อนที่ทุกคนในทีมจะหันไปมองหญิงสาวที่ยังเอาแต่มองไปรอบๆ บ้านอย่างตั้งความหวัง
                 “แกมีไม้ตายใช่ไหมไอ้จี อมพะนำอะไรอยู่รีบคายออกมาเลยนะ”
                 “นั่นสิ แกรู้แล้วใช่ไหมว่าอาวุธสังหารคืออะไร”
                 “ต้องยังอยู่กับเขาแน่ๆ หรือไม่ก็อยู่ในหมู่บ้านนี่แหละ” จิรณัฐพึมพำ ไม่สนใจสามหนุ่มที่ยังจ้องเธออย่างกดดันไม่เลิก “พวกเราไปสำรวจบริเวณรอบๆ กันเถอะค่ะ เผื่อจะได้เบาะแสอะไรบ้าง”
                 สามหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามหญิงสาวไปติดๆ โดยที่พีระไปขอให้ รปภ. ประจำหมู่บ้านมาช่วยอำนวยความสะดวกในการสำรวจบริเวณอื่นๆ ด้วย
                 “คุณปรัชญาชอบมาวิ่งแถวนี้เหรอคะ”
                 “ใช่ครับ เขาชอบวิ่งรอบหมู่บ้านตอนเช้ามืด เวลาผมปั่นจักรยานลาดตระเวนจะเจอเขาอยู่บ่อยๆ”
                 จิรณัฐพยักหน้าก่อนจะมองไปทางคูระบายน้ำที่อยู่ท้ายซอย เจ้าของร่างบางไม่รอช้าที่จะตรงไปสำรวจบริเวณดังกล่าว ก่อนจะเห็นว่าสภาพคูนั้นเป็นระบบปิด ไม่มีทางระบายน้ำอื่น และมีตาข่ายดักขยะอยู่ที่ปลายอีกด้าน ขณะที่ฝั่งตรงข้ามคูคลองกลับเป็นลานโล่งที่ไม่มีกล้องวงจรปิด มีเพียงรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่เท่านั้น 
                 “คุณลุงพอจะทราบไหมคะว่ารถคันนั้นจอดอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
                 “น่าจะห้าวันมาแล้วครับ เจ้าของรถเขาซ่อมพื้นกระเบื้องหน้าบ้าน ก็เลยขอเอารถมาจอดตรงนี้ชั่วคราว”
                 “แสดงว่าจอดตั้งแต่ก่อนวันเกิดเหตุจนถึงวันนี้เลยสินะ”
                 บทสนทนาระหว่างจิรณัฐกับ รปภ. ทำให้พีระเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที เขาตรงเข้าไปสำรวจรอบๆ รถก่อนจะเห็นว่ามีกล้องหน้ารถที่บันทึกภาพแบบยี่สิบสี่ชั่วโมงติดอยู่
                 “ในรถมีติดกล้องไว้ด้วยครับ”
                 “ถ้างั้นคุณพีช่วยขอภาพในช่วงวันเกิดเหตุจนถึงวันนี้จากเจ้าของรถมาดูหน่อยได้ไหมคะ จีสงสัยว่านายปรัชญาอาจนำอาวุธสังหารมาทิ้งไว้ที่นี่”
                 พีระพยักหน้ารับ ขณะที่จิรณัฐมองรอบๆ อีกครั้ง ทว่าจู่ๆ โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้นมา พอเห็นว่าเป็นใครก็รีบกดรับสายในทันที
            “ฮัลโหลจี! ช่วยเจด้วย! เจไม่อยากอยู่ที่นี่!”
                 น้ำเสียงลนลานของคนปลายสายทำให้ผู้ฟังถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเธอว่า การที่น้องชายหัวแก้วหัวแหวนโทร. มาหาในเวลางานแบบนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
                 “เป็นอะไรของแกไอ้เจ พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่องเลย”
                 “ตอนนี้เจอยู่สถานีตำรวจ พวกเขาจะเอาเจเข้าคุกแล้ว!”
                 “อะไรนะ!”
 
                จิรณัฐวิ่งหน้าตาตื่นเข้าไปในสถานีตำรวจก่อนจะมองซ้ายมองขวา แล้วเห็นว่าน้องชายตัวดีของเธอกำลังนั่งคอตกอยู่หน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่ง ท่าทางเข้มงวดไม่ผ่อนปรนของอีกฝ่ายทำเอาคนที่มักต้องไปเจรจากับคู่กรณีให้น้องชายอยู่บ่อยๆ ถึงกับใจฝ่อ
                 “สวัสดีค่ะคุณตำรวจ ฉันเป็นพี่สาวของจิรเมธค่ะ”
                 “เชิญนั่งก่อนครับ”
                 “ขอบคุณค่ะ” ร่างบางตอบอีกฝ่ายที่หลังพูดจบก็ก้มหน้ารัวนิ้วลงบนแป้นคอมพิวเตอร์ต่อ ส่วนน้องชายตัวดีก็หันมาทำตาละห้อยส่งให้เธอ “แกไปก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ ไม่ใช่ตีกับเพื่อนแย่งอาวุธในเกมอีกนะ แม่จะสับต้นคอให้”
                 “ใช่ที่ไหนล่ะ หลังโดนหักค่าขนมไปตอนนั้น เจก็ไม่กล้าทะเลาะกับใครแล้ว”
                 จิรณัฐถอนหายใจยาวกับคำตอบที่ได้ยิน ถึงจิรเมธจะเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่สามแล้ว แต่สมองของมันก็มีแต่ขี้เลื่อย วันๆ ดีแต่หาเรื่องใส่ตัว ชวนให้เธอปวดหัวอยู่นั่น
                 “คุณตำรวจคะ น้องชายของฉันถูกแจ้งความเรื่องอะไรเหรอคะ”
                 “คุณจิรเมธทำผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์จากการแฮกข้อมูลของบริษัทซีเอเอ็นเทคโนโลยีครับ”
                 “คะ!?”
                 หญิงสาวอ้าปากค้าง แทบจะลุกขึ้นยืนแล้วหนุมานเหยียบลงกาใส่น้องชายเลยเดี๋ยวนั้น นี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้ว ทำไมอยู่ดีๆ ไอ้เด็กนี่ถึงกลายเป็นแฮกเกอร์ไปได้
                 “เป็นบ้าอะไรของแก เป็นนักศึกษาดีๆ ไม่ชอบ คิดจะเป็นอาชญากร เข้าไปนอนในคุกเลยนะ ไอ้เด็กเวร!”
                 “จี ฟังเจก่อน! เจไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ”
                 “ไม่ได้ตั้งใจเหรอ แกก่อเรื่องให้ฉันต้องมาตามเช็ดตามล้างกี่ครั้งแล้ว เมื่อไหร่จะโตสักทีฮะ!”
                 “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ จริงๆ คดีนี้ถ้าฝั่งผู้เสียหายแจ้งความ คุณจิรเมธจะโดนลงโทษระวางจำคุกไม่เกินสิบปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท รวมทั้งต้องชดใช้ค่าเสียหายให้บริษัทคู่กรณีหากมีการฟ้องร้องทางแพ่ง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้เสียหายด้วยครับว่าจะแจ้งความเอาผิดหรือไม่ ลองคุยกับเขาก่อนไหมครับ นั่นไง เขาเดินมาพอดี”
                 จิรณัฐหันไปมองตามสายตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วเห็นว่าร่างสูงของใครบางคนกำลังเดินตรงมาทางพวกเธอ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ดวงตาสีเข้มที่ดูลึกลับอ่านยาก และท่วงท่าสง่างามราวกับหลุดออกมาจากพระราชวังแบบนั้น บอกชัดเลยว่าเขาคือคนที่เธอเพิ่งเจอเมื่อตอนกลางวันแน่ๆ 
                 “พบกันอีกแล้วนะครับ ดอกเตอร์จิรณัฐ รัตนเรืองรอง”
                 “นี่อย่าบอกนะว่าคุณ...”
                 “ผมคือประธานบริษัทซีเอเอ็นเทคโนโลยีครับ”
                 ร่างบางแทบล้มทั้งยืน ร่างกายคล้ายจะหดเหลือหนึ่งนิ้วตอนที่สบแววตาราวกับผู้ชนะของอีกฝ่าย ไม่อยากเชื่อว่าทุกอย่างจะบังเอิญได้ขนาดนี้ อะไรคือการที่ผู้ชายที่เธอเพิ่งเจอไปเมื่อตอนกลางวัน แถมเชิดใส่เขาเสียดิบดีว่าจะไม่มีวันพบหน้ากันอีก ถึงมายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ได้
                 “เด็กคนนี้คือน้องชายของคุณเหรอครับ ถึงจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือของเขาไม่เลวเลย”
                 “ขอบคุณครับพี่วี! พี่ก็คิดว่าผมเก่งใช่ไหม แต่ผมว่าระบบของพวกพี่ยอดเยี่ยมมาก กว่าจะเข้าถึง...โอ๊ย!”
                 “แกหุบปากแล้วนั่งเงียบๆ เถอะ มันใช่เวลามาภูมิใจไหม ไอ้เด็กบ้า!” หญิงสาวพูดเสียงห้วน ขณะที่จิรเมธคลำหัวตัวเองที่ถูกพี่สาวเบิ๊ดกะโหลกป้อยๆ 
                 “เจ็บนะจี! ทำไมต้องโหดร้ายกับเจด้วย”
                 “ดีแต่หาเรื่องใส่ตัวอยู่ได้ เดี๋ยวแม่เหนี่ยวเลยไอ้เด็กนี่!”
                 ณัฐวีร์มองท่าทางห้าวเป้งของจิรณัฐตาปริบๆ ท่าทางของเธอในตอนนี้ไม่เหมือนนักนิติวิทยาศาสตร์หญิงมาดขรึมที่เขาเจอเมื่อตอนกลางวันเลยสักนิด แล้วอะไรคือการที่เธอถกแขนเสื้อเหมือนจะซัดหมัดใส่หน้าน้องชายตัวเองแบบนั้น สรุปเขาเป็นเจ้าทุกข์หรือเธอเองกันแน่ ทำไมถึงได้หงุดหงิดใหญ่โตเบอร์นี้
                 “ใจเย็นก่อนเถอะคุณ เราต้องคุยกันนะว่าจะเอายังไงต่อ เลิกโมโหใส่น้องชายได้แล้ว”
                 “ขอบคุณนะครับพี่วีที่เห็นใจผม สมแล้วที่ผมเป็นแฟนคลับของพี่มานาน มีพี่สาวแบบนี้ก็ลำบากใช่เล่นเลยครับ”
                 จิรเมธพนมมือไหว้ณัฐวีร์ที่ช่วยห้ามอย่างซาบซึ้งใจ ส่วนจิรณัฐก็มองน้องชายตาขวางที่สานสัมพันธ์กับคู่กรณีเสร็จสรรพ เรื่องอะไรมาประกาศตัวว่าเป็นแฟนคลับของคนที่จะเอาตัวเองเข้าคุกแบบนี้
                 “นี่เรารู้จักพี่ด้วยเหรอ”
                 “มีใครไม่รู้จักประธานบริษัทสตาร์ตอัปที่ดังที่สุดในประเทศอย่างคุณณัฐวีร์ด้วยเหรอครับ ผมขอถ่ายรูปกับพี่วีไปอวดเพื่อนๆ ได้ไหมครับ”
                 คิ้วเรียวของจิรณัฐกระตุกเมื่อเห็นท่าทางขัดเขินของณัฐวีร์ ส่วนจิรเมธเองก็ยืนบิดไปมาเหมือนคนคันหมามุ่ย ระหว่างที่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อถ่ายเซลฟีกับคู่กรณี ท่าทางของน้องชายทำให้เธอนึกอยากจระเข้ฟาดหางใส่มันกลางโรงพักให้หายหงุดหงิด แต่ก็กลัวตัวเองจะโดนคดีทำร้ายร่างกายไปด้วย
                 “แล้วสรุปเรื่องเป็นยังไงคะ ทำไมน้องชายของฉันถึงกลายเป็นแฮกเกอร์ไปได้”
                 “น้องชายของคุณแฮกเข้ามาที่เซิร์ฟเวอร์ของซีเอเอ็นเทคโนโลยีครับ แต่เรามีระบบป้องกันที่แน่นหนา คุณจิรเมธเลยไม่ได้ข้อมูลอะไรไป แต่การเจาะระบบเข้ามาแบบนั้น ก็ทำให้เซิร์ฟเวอร์ของบริษัทเราได้รับความเสียหาย”
                 “นี่น้องฉันมันเก่งขนาดแฮกข้อมูลบริษัทคุณได้เลยเหรอ เห็นแบบนี้มันโง่มากนะ ผ่าสมองออกมาดูคงมีแต่ขี้เลื่อย”
                 จิรเมธส่งค้อนให้พี่สาวที่ทำหน้าเอือมระอาเขาเต็มแก่ ก่อนที่ณัฐวีร์จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วส่งให้เธอดู
                 “นี่เป็นคลิปวิดีโอตอนที่น้องชายของคุณพยายามแฮกเข้ามาครับ ที่มุมขวาจะเห็นว่ามีเลขไอพีของคอมพิวเตอร์ระบุอยู่ พอเอามาตรวจสอบที่อยู่โดเมนก็พบว่าเป็นโน้ตบุ๊กของคุณจิรเมธครับ”
                 หญิงสาวอ้าปากค้าง จริงๆ เธอก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่น้องชายตัวเองจะทำเรื่องฉิบหายวายวอด แต่อะไรคือการที่มันฉลาดจนแฮกเข้าเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทไอทีชั้นนำได้แบบนี้ จะมาอัจฉริยะกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้นะโว้ย!
                 “ผมขอโทษจริงๆ นะครับพี่วีสุดหล่อ ผมรู้เท่าไม่ถึงการณ์ครับ” จิรเมธละล่ำละลักอธิบาย เลือกใช้คำพูดเลียนแบบพวกดาราเวลาโดนทัวร์ลงตอนทำผิด “เพื่อนที่เจอกันในเกมมันส่งลิงก์เว็บมา ขอให้ผมช่วยทำแบบสอบถามให้ ไม่รู้เลยว่ามันจะหลอกให้เข้าไปเจาะเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทพี่”
                 ณัฐวีร์เลิกคิ้วอย่างสงสัยกับคำอธิบายของจิรเมธ ถึงจะดูเป็นคำแก้ตัวที่น่าขำสิ้นดี แต่พอเห็นแววตาใสซื่อไร้เดียงสาของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็อดไขว้เขวไม่ได้
                 “แกอย่าเพิ่งมาแถตอนนี้ได้ไหม ข้ออ้างอะไรตลกเป็นบ้า” จิรณัฐพูดอย่างหงุดหงิดก่อนจะหันไปทางเจ้าทุกข์ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เอ่อ...ฉันต้องขอโทษคุณด้วยนะคะที่น้องชายสร้างความลำบากให้ อาจจะดูเหมือนการขอแบบหน้าด้านๆ แต่อย่าแจ้งความไอ้เจมันเลยนะคะ ฉันยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้คุณทุกบาททุกสตางค์”
                 “ชดใช้ให้ทุกสตางค์เลยเหรอครับ จำนวนเงินไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ”
                 “แหม มันจะสักเท่าไหร่กันเชียว”
                 “สิบล้าน”
                 “ฮะ!?”
                 จิรณัฐอ้าปากค้าง ยิ่งเหลือบไปเห็นแววตาละห้อยหมาหงอยของจิรเมธแล้ว เธอก็นึกอยากกระโดดถีบมันให้หายโมโห เป็นบ้าอะไรถึงสรรหาเรื่องมาให้เธอได้ทุกวี่วันนี่ มันคิดว่าพี่สาวตัวเองเป็นโดราเอมอนที่จัดการได้ทุกเรื่องหรือยังไง
                 “เอ่อ สิบล้าน...สิบล้านเลยเหรอคะ”
                 “จริงๆ ความเสียหายมากกว่านั้นด้วยซ้ำ แต่ผมเห็นว่าน้องชายของคุณเรียนมหา’ลัย ยังไม่ได้ทำงานหาเงินใช้เอง ถ้าเรียกมากกว่านี้ก็ดูจะใจร้ายเกินไปหน่อย”
                 แม้คำพูดจะดูสวยหรู แต่สีหน้าของณัฐวีร์กลับไม่เหมือนเห็นใจพวกเธอเลยสักนิด กลับกันแล้ว หญิงสาวคิดว่าชายหนุ่มกำลังเยาะเย้ยเธอกลายๆ อยู่มากกว่า ดูจากมุมปากที่กำลังกระตุกยิ้มนั่นได้เลย
                 ถ้าจะฝืนกลั้นขนาดนั้นก็หัวเราะเยาะมาเลยเถอะพ่อคุณ มัวแต่วางมาดนักบุญผู้ใจดีอยู่ได้
                 “แต่ถ้าคุณพิจารณาเรื่องที่เราคุยกันเมื่อวันก่อนใหม่ ผมอาจจะไม่แจ้งความก็ได้นะครับ”
                 ร่างบางเหลือบมองคนพูดโดยอัตโนมัติ พอเห็นว่าตัวเองกำลังได้เปรียบก็เอาใหญ่เชียว เธอรีบเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากให้ณัฐวีร์สังเกตเห็นสีหน้าสนอกสนใจของตัวเอง ก่อนที่เขาจะถามเสียงทุ้ม
                 “ถ้าคุณสนใจข้อเสนอนี้ ผมว่าเราออกไปคุยกันข้างนอกดีไหมครับ”
                 
                จิรณัฐเดินตามณัฐวีร์ออกมานอกสถานีตำรวจ ก่อนจะตรงไปนั่งที่ม้านั่งข้างอีกฝ่าย บอกตามตรงว่าเธอชักไม่แน่ใจแล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องบังเอิญ ทำไมชายหนุ่มถึงดูพอใจกับการที่น้องของเธอแฮกเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทเขาขนาดนี้
                 “ถ้าคุณยอมช่วยสืบหาความจริงเรื่องคดีของภา ผมจะไม่แจ้งความ แล้วก็จะยกหนี้สิบล้านนี้ให้ด้วย”        
                 หญิงสาวตาโตหลังจากได้ยินข้อเสนออันแสนล่อใจนั่น นอกจากน้องชายของเธอจะไม่มีประวัติอาชญากรรมแล้ว เธอก็ยังไม่ต้องเสียเงินเสียทองอีกด้วย
                 “นอกจากนี้ ผมก็จะให้เงินคุณเพิ่มอีกยี่สิบล้าน เป็นค่าจ้างที่คุณช่วยตามหาหลักฐานมาพิสูจน์ความจริง”
                 ร่างบางอ้าปากค้างรอบสอง เตรียมพยักหน้าตอบตกลงตามที่สันดานสอนสั่ง ทว่าสมองส่วนลึกบอกให้นิ่งไว้ก่อน ถึงจะเป็นข้อเสนอที่ดีเอามากๆ แต่เธอก็ต้องเล่นตัวหน่อย เกิดเขาคิดว่าเธอเป็นคนหน้าเงินขึ้นมาจะทำยังไง
                 “อึ้งไปเลยละสิ ผมใจดีเหมือนเทพบุตรเลยใช่ไหม”
                 “เจ้ากรรมนายเวรละสิไม่ว่า คิดจะเอาเงินฟาดหัวกันหรือไง” หญิงสาวแกล้งสวนตามมารยาท ไม่ได้ทำท่าโกรธจริงจังนักเพราะกลัวเขาจะเปลี่ยนใจ ขณะที่คนข้างๆ ยิ้มกริ่มราวกับคำพูดของเธอไม่ได้ยั่วอารมณ์เขาเลยสักนิด
                 “ข้อเสนอดีๆ แบบนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ นะครับ ไม่คิดว่าคุณโชคดีเหรอที่ผมใจดีขนาดนี้”
                 “แล้วถ้าคดีน้องสาวของคุณไม่คืบหน้า ฉันช่วยคุณหาหลักฐานมามัดตัวฆาตกรตัวจริงไม่ได้ล่ะ”
                 “ก็ถ้าคุณพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ผมก็จะยอมรับ แต่คุณเองก็ต้องตั้งใจทำงานนี้ให้ดีที่สุดก่อนนะ”
                 “ตั้งใจทำงานอะไรคุณ ฉันยังไม่ตอบตกลงเลย”
                 ณัฐวีร์ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เขาดูมั่นใจมากว่าเธอจะยอมรับข้อเสนอนี้
                 “อ้อ ยังมีอีกเรื่องนะ”
                 “อะไรอีกล่ะ”
                 “ถ้าคุณตกลง คุณจะต้องแต่งงานกับผม แล้วย้ายมาอยู่ด้วยกัน”
                 “ฮะ!!?”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น