๗
คู่ข้าวใหม่ปลามัน
จิรณัฐเอามือปิดปากหาวระหว่างเดินลงบันไดมาข้างล่าง ถึงจะอาบน้ำแต่งตัวแล้ว แต่ความเย็นของน้ำกลับไม่ได้ช่วยให้ร่างกายปลอดโปร่งเลยสักนิด
อาทิตย์ที่ผ่านมาทำเธอเหนื่อยมากจริงๆ
ทั้งคดีการเสียชีวิตผิดธรรมชาติที่ต้องสืบสวนอีกหลายคดี ไหนจะเรื่องงานแต่งงานที่แม้จะปัดความรับผิดชอบไปให้เจ้าบ่าวแล้ว แต่ก็ต้องช่วยเขาตัดสินใจอะไรหลายอย่าง แล้วยังเรื่องของน้องชายที่ต้องเคลียร์ให้เรียบร้อยอีก
จากที่คิดว่าเมื่อคืนคงกลัดกลุ้มจนนอนไม่หลับ ที่ไหนได้ กว่าจะตื่นล่อไปเกือบสิบโมง
“ตื่นสายนะคุณ”
หญิงสาวเผลอกัดริมฝีปากเมื่อคนตัวโตเดินมาหยุดตรงหน้า จู่ๆ เหตุการณ์ที่ถูกอีกฝ่ายช่วงชิงลมหายใจก็ฉายชัดเข้ามาในหัว ทั้งๆ ที่ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วแท้ๆ แต่รสชาติหวานล้ำของเขาก็ยังคงติดอยู่ที่ปากของเธอ ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วินาทีก่อนหน้า
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ”
“ใช่...ใช่ที่ไหนกันล่ะ ว่าแต่คุณทำอะไรอยู่เหรอ”
“เตรียมข้าวเช้าให้คุณไง ไม่สิ ต้องเรียกว่าข้าวสายแล้วมากกว่า”
ร่างบางเลิกคิ้ว ก่อนจะชะโงกหน้าไปมองไก่ทอดในกระทะที่เริ่มเหลืองกรอบด้วยสายตาเป็นประกาย
“ไม่ยักรู้ว่าทำอาหารเป็น”
“ไม่ใช่แค่ทำเป็นนะ แต่ทำอร่อยด้วย”
จิรณัฐกลอกตามองบนกับท่าทางมาดมั่นของอีกฝ่าย ก่อนจะช่วยชายหนุ่มยกจานกับข้าวไปที่โต๊ะ เมนูหลากหลายชนิดที่เห็นตรงหน้าทำให้หญิงสาวเบิกตากว้าง เพราะไม่คิดว่าเขาจะทำอาหารเก่งขนาดนี้
“เป็นไงล่ะ อึ้งไปเลยละสิ”
“อาจจะดูดีแค่ภายนอกก็ได้นี่นา ต้องลองชิมก่อนถึงจะรู้ว่าอร่อยอย่างที่คุยโวไว้ไหม”
ณัฐวีร์ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระส่งให้ภรรยา ราวกับมั่นใจว่าเขาลบคำสบประมาทนั้นได้แน่ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่งตามประสาคนเป็นสุภาพบุรุษ
“หลังกินข้าวฉันอยากคุยเรื่องคดีน้องสาวของคุณหน่อย คุณพอจะมีเวลาไหมคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะตักข้าวสวยใส่จานให้เธอ แล้วพยักพเยิดไปทางจานกับข้าว
“ลองชิมดูสิ แล้วบอกด้วยนะว่าดูดีแค่ภายนอกหรือเปล่า”
จิรณัฐตักต้มยำกุ้งที่อยู่ตรงหน้าเข้าปาก พลางหรี่ตามองคนท้าไม่วางตา รสชาติกลมกล่อมที่แทรกซึมเข้าสู่ปลายลิ้น แถมยังไม่เปรี้ยวหรือเผ็ดจนเกินไปทำให้เธอเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะลองตักเข้าปากซ้ำอีกหลายครั้งเพื่อยืนยันความมั่นใจ
ให้ตายสิ...
ทำไมถึงอร่อยได้ขนาดนี้
“ลองอันนี้ด้วยสิ”
ร่างบางไม่รอช้าที่จะตักผัดคะน้าหมูกรอบ ไข่เจียวหมูสับ หอยลายผัดฉ่า และอีกมากมายสารพัดอย่างใส่ปากตามคำบอกของอีกฝ่าย ถ้าเป็นในการ์ตูน ตอนนี้คงมีแสงออกจากปากของเธอ ร่างกายลอยละล่องออกไปนอกจักรวาลเพราะความอร่อยเหาะนี้
อร่อยทุกอย่างเลย ให้ตายเถอะ!
“ช้าๆ หน่อยคุณ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก” ชายหนุ่มบอกพลางเทน้ำเปล่าใส่แก้วแล้วส่งให้อีกฝ่าย ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กับข้าวนับสิบอย่างตรงหน้าก็อันตรธานหายไปในพริบตาราวกับโดนเวทมนตร์ ส่วนแม่มดคนสวยของเขาก็นั่งเอามือลูบท้องอย่างอิ่มหนำสำราญ
“ก็คงจะดูดีแค่ภายนอกจริงๆ คุณถึงกินซะเกลี้ยงเลย”
“ก็คนมันหิวนี่นา เวลาหิวมากๆ จะอร่อยหรือไม่อร่อยก็กินได้หมดนั่นแหละ”
ชายหนุ่มหัวเราะร่วนกับคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นของอีกฝ่าย ก่อนจะรวบช้อนและส้อมในจานแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิม
“ผมว่าเรามาทำความรู้จักกันหน่อยไหม”
“ฉันไม่อยากรู้จักคุณ”
ร่างสูงหน้าแห้ง แทบจะตกเก้าอี้กับการปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยของอีกฝ่าย รองเท้าก็ซื้อให้แล้ว กับข้าวก็ทำให้กินแล้ว ความดีของเขาไม่ได้เข้าไปละลายหัวใจของเธอบ้างเลยสินะ
“แต่ผมอยากรู้จักคุณมากกว่านี้นี่ ครอบครัว อาชีพ งานอดิเรก ชอบอะไรไม่ชอบอะไร”
“ฉันไม่ชอบคุณ”
ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนแทบจะตกเก้าอี้รอบสองกับประโยคเสียงดังฟังชัดของภรรยา ภาษาซีที่ว่ายากยังไม่ลำบากเท่าเรียนรู้หัวใจเมียเลยมั้ง
“โอเค ไม่ชอบก็ไม่ชอบ แต่คุณเล่าเรื่องตัวเองให้ผมฟังหน่อยได้ไหม ผมอยากรู้จักคุณ”
“ฉันไม่อยากเล่า”
“ถ้าคุณยอมเล่า ผมจะให้คุณหนึ่งแสน...”
“ฉันอยู่กับน้องชายสองคน งานอดิเรกคือดูซีรีส์เกาหลีกับอ่านนิยายแปล ชอบไปเที่ยวทะเล แล้วก็ไม่ชอบคุณ” หญิงสาวพูดรัวเร็วเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ “ฉันบอกคุณไปแล้วนะ โอนหนึ่งแสนมาด้วยล่ะ”
“หน้าเงินจริงๆ”
จิรณัฐยักไหล่ราวกับคำด่าของเขาไม่สะเทือนต่อมรับความรู้สึกของเธอ ส่วนณัฐวีร์หันไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เข้าแอปธนาคารแล้วกดโอนเงินให้เมียตามสัญญา
“ขอบคุณค่ะ”
ร่างบางยิ้มร่าเมื่อเห็นข้อความแจ้งเตือนเงินเข้าในโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ก่อนที่ชายหนุ่มจะถามต่อ
“แล้วคุณทำงานที่นี่มานานแค่ไหนแล้วเหรอ”
“ก็ตั้งแต่จบ ป. โทเลย จริงๆ ทีมนิติวิทยาศาสตร์ของโอเอฟเอสหลักๆ จะมีกันสามทีม ส่วนฉันเป็นสมาชิกของทีมพี่หมอเชษฐ์ รวมทั้งเอิร์ธกับพี่ดินด้วย คุณเคยเจอพวกเขาแล้วตอนงานแต่ง จำได้ไหม”
ณัฐวีร์พยักหน้ารับ นึกถึงสามหนุ่มจากองค์การนิติวิทยาศาสตร์แล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้ง เพราะยังจำสเตปแดนซ์หน้าขบวนแห่ขันหมากของเพื่อนเจ้าสาวได้ดี เหมือนพวกเขาถือคติที่ว่า เต้นไปก่อน หมอนรองกระดูกเสื่อมค่อยว่ากัน เลยใส่ยับไปแบบนั้น
ดูท่าจะรำหน้านาคกันบ่อยเลยแหละ
“พวกเขาไม่ค่อยปกติกันเท่าไหร่ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปคุยด้วยนะ” หญิงสาวบอกด้วยสีหน้าจริงจัง ชายหนุ่มก็รีบพยักหน้าพร้อมทำตามในทันที
“แล้วคุณเป็นผู้หญิงคนเดียวในทีมนี้เหรอ”
“อืม ถึงจะมีกันสี่คน แต่พวกเราก็แบ่งหน้าที่กัน ฉันจะรับผิดชอบงานด้านเคมีหรือพิษวิทยาเป็นหลัก ส่วนพี่ดินช่วยพิสูจน์หลักฐานทางเทคโนโลยีและฟิสิกส์ เอิร์ธจะคอยทำงานซัปพอร์ตพวกเรา คนสุดท้ายคือพี่หมอเชษฐ์ เป็นแพทย์นิติเวช หัวหน้าทีมทำงานด้านชันสูตรศพ บางครั้งฉันก็ไปเป็นลูกมือช่วยพี่เชษฐ์ด้วยเหมือนกัน”
ณัฐวีร์พยักหน้าหงึกๆ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็รับรู้ได้ว่างานของจิรณัฐเครียดและมีความกดดันสูง และเพราะแบบนี้เขาถึงยิ่งทึ่งเมื่อได้ยินว่าเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในทีม
“องค์การนิติวิทยาศาสตร์จะทำงานแตกต่างจากที่อื่น เราไม่ได้แค่พิสูจน์หลักฐานหรือชันสูตรศพเท่านั้น แต่จะทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สืบสวนเพื่อช่วยไขคดีด้วย ทางตำรวจและอัยการที่รับผิดชอบคดีจะเอาข้อมูลจากการสอบสวนพยานมาประชุมร่วมกับพวกเราเพื่อหาข้อสรุป”
ชายหนุ่มพยักหน้าตาม เขายังไม่มีโอกาสเจอกับเจ้าหน้าที่สืบสวนที่ภรรยาทำงานด้วย เพราะได้ยินว่าวันแต่งงาน ทั้งสองคนติดภารกิจจึงมาร่วมงานไม่ได้
“ว่าแต่คุณไม่อยากรู้เรื่องผมบ้างเหรอ”
“ไม่อะ ฉันไม่อยากรู้จักคุณ เคยบอกไปแล้วนี่ว่าปกติฉันคบแต่คนดีๆ”
ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวา ตั้งใจจะหาอะไรมาปิดปากแม่ตัวยุ่งที่ชักจะทำให้เขาหมดความอดทนลงไปทุกที แต่ก็หาไม่ได้
“ขนาดเพื่อนทั่วไปก็ยังต้องรู้เรื่องของกันและกันเลย ผมเป็นสามีที่ใช้ชีวิตอยู่บ้านเดียวกันด้วยซ้ำ คุณไม่อยากรู้จักเลยเหรอ”
“ไม่นะ แล้วถ้าฉันอยากรู้ คุณจะให้เงินเพิ่มอีกแสนไหม”
“หน้าเงินจริงๆ เลย”
จิรณัฐหัวเราะกับท่าทางขัดใจของอีกฝ่าย ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าสมองปลอดโปร่งหลังจากได้ต่อล้อต่อเถียงกับเขา ก่อนที่ข้อความแจ้งเตือนว่ามีเงินเข้ามาอีกหนึ่งแสนจะทำให้เธอยิ้มร่า แล้วถามคำถามเขากลับบ้าง
“ทำไมคุณถึงมาทำงานด้านพัฒนาแอปพลิเคชันล่ะ”
“ตอนเด็กๆ ผมชอบเล่นเกม แล้วก็ชอบเรียนคณิตศาสตร์ด้วยก็เลยอยากทำงานด้านไอที เลยเลือกสอบเข้าคณะวิศวะ เอกคอมพิวเตอร์”
“ทำไมไอ้เจมันไม่เป็นแบบคุณบ้าง ทุกวันนี้มันเป็นเกมเมอร์อย่างเดียว แถมแอดวานซ์เป็นแฮกเกอร์ด้วย ไอ้เด็กเวรนั่น!”
ท่าทางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันของภรรยาทำให้ณัฐวีร์ได้แต่มองตาปริบๆ ก่อนที่เขาจะจิ้มแตงโมไปใส่จานให้เธอ แล้วพูดเสียงทุ้ม
“น้องชายคุณไม่ได้ตั้งใจจะแฮกข้อมูลบริษัทของผมหรอก ตอนที่พวกเราตรวจสอบร่องรอยการเจาะระบบเห็นว่าช่วงแรกมีการแฮกเข้ามาในรูปแบบของไวรัสจริง แต่หลังผ่านไปราวสิบนาทีก็มีไอพีของคอมพิวเตอร์อีกเครื่องพยายามเข้ามากำจัดไวรัสนั้น”
“อย่าบอกนะว่า...”
“ไอพีนั้นมาจากคอมพิวเตอร์อีกเครื่องของน้องชายคุณ พอเขารู้ว่าโดนหลอกก็รีบหาทางแก้ไข”
จิรณัฐอ้าปากค้าง ไม่นึกไม่ฝันว่าน้องชายของตัวเองจะมีจิตสำนึกกับเขาด้วย จู่ๆ น้ำตาก็เอ่อคลอเพราะตื้นตันที่จิรเมธยังมีความดีหลงเหลืออยู่บ้าง
“เจไม่ใช่เด็กเลวร้ายอะไร ตอนนี้น้องชายคุณอาจจะกำลังค้นหาตัวเองอยู่ก็ได้ ให้เวลาเขาได้เติบโตหน่อยนะ”
“กว่าจะโตได้ มีหวังผมฉันหงอกทั้งหัวแน่”
ร่างบางพึมพำก่อนจะจิ้มแตงโมเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างไม่สบอารมณ์ พอณัฐวีร์เห็นว่าหญิงสาวดูจะชอบผลไม้ที่เขาคีบใส่จานให้ก็ยกไปวางหน้าเธอให้ทั้งจาน
“ถ้าชอบก็กินเยอะๆ เลยนะ”
“เดี๋ยวนะ...” หญิงสาวชะงักเมื่อจู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ถ้าน้องฉันไม่ได้ทำผิด แล้วทำไมฉันต้องชดใช้ค่าเสียหายให้คุณด้วยล่ะ”
“ถึงจะพยายามแก้ไขแล้ว แต่ก็เกิดความเสียหายกับเซิร์ฟเวอร์ของพวกเราอยู่ดี ยังไงคุณจิรณัฐก็ต้องชดใช้ครับ”
คนเป็นลูกหนี้ค้อนใส่คนเป็นเจ้าหนี้ตาขวางกับความเข้มงวดนั้น ก่อนจะจิ้มแตงโมเข้าปากอีกชิ้น
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าทำให้จิรณัฐหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่ามีเงินโอนเข้ามาในบัญชีของเธอจำนวนสองล้านบาท
“เฮ้ย!”
“เป็นอะไรคุณ ทำไมตกใจแบบนั้น”
“นี่คุณโอนเงินให้ฉันเหรอ ทำไมมันเยอะขนาดนี้ล่ะ”
“ก็ค่าจ้างที่ผมให้คุณช่วยสืบคดีของภาไง จากนี้ผมจะโอนเงินเข้าบัญชีที่คุณให้มาทุกเดือน เดือนละสองล้าน จนกว่าจะครบยี่สิบล้านนะ แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่ค่าจ้างหรอก ต้องเรียกว่าค่าสินสอดมากกว่า”
หญิงสาวส่งค้อนให้คนตัวโตอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงตามเดิม
“ดูเหมือนความเชื่อเรื่องช่อดอกไม้เจ้าสาวจะเป็นจริงนะ ผมกับคุณรับดอกไม้ช่อนั้นได้พร้อมกัน เราเลยได้สละโสดทั้งคู่เลยไง”
“เวรกรรมของฉันมากกว่า วันนั้นไม่น่าไปยืนอยู่ตรงนั้นเลย ซวยเป็นบ้า”
“แต่งงานกับผมไม่ดีตรงไหน เราเหมาะสมกันจะตาย”
“เหมาะสมอะไรกันล่ะ แต่ต่อให้เหมาะสมแล้วยังไง สุดท้ายเราก็ไม่ได้รักกันอยู่ดี”
ณัฐวีร์เถียงไม่ออก เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดคือความจริงที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้เลย ถึงจะหน้าตาดี มีการศึกษา การงานก้าวหน้าแค่ไหน แต่ถ้าภรรยาไม่มีใจให้ สุดท้ายเธอก็คงไปอยู่ดีสินะ
“เลิกคุยเรื่องไร้สาระได้แล้ว เราต้องคุยเรื่องคดีน้องสาวคุณนะ” ร่างบางพูดพลางส่ายหน้าอย่างระอากับท่าทางเหมือนหมาหงอยของอีกฝ่าย ก่อนจะวิ่งขึ้นไปที่ห้องนอนของตัวเอง เอาแฟ้มเอกสารที่เธอเก็บรักษาไว้อย่างดีออกมาจากกระเป๋า แล้วลงมาข้างล่างอีกครั้ง
“นี่คืออะไรเหรอ”
“ผลการชันสูตรศพและการตรวจสอบวัตถุพยานครั้งแรกในคดีคุณภาค่ะ”
ดวงตาสีเข้มจ้องแฟ้มเอกสารที่อีกฝ่ายวางลงตรงหน้าด้วยแววตาสั่นระริก ณัฐวีร์ตามสืบเรื่องนี้มาตลอดห้าปี ทั้งสืบจากคนที่เกี่ยวข้องกับคดี จ้างนักสืบเอกชนเพื่อตามหาหลักฐานอื่นๆ ทว่ากลับไม่มีความคืบหน้าเลยสักนิด แต่มาตอนนี้ เอกสารสำคัญที่จะเป็นเบาะแสในการตามหาคนร้ายตัวจริงมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
“คุณเก็บหลักฐานพวกนี้ไว้มาตลอดเลยเหรอ”
“อืม ก็เป็นคดีแรกของฉันนี่นา แถมฉันยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลด้วย ก็เลยยังเก็บทุกอย่างเอาไว้”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ นึกชื่นชมความรอบคอบของอีกฝ่าย เพราะถ้าเธอตัดสินใจทำลายหลักฐานทั้งหมดไปตั้งแต่แรก คงกลายเป็นเขาที่ต้องงมเข็มในมหาสมุทรต่อไป
“บอกไว้ก่อนว่าจริงๆ แล้ว ฉันไม่ควรเอารายงานนี้ให้คุณดู” จิรณัฐพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นี่เป็นผลการชันสูตรศพและการตรวจสอบวัตถุพยานในครั้งแรกจากทีมนิติวิทยาศาสตร์ที่เคยรับผิดชอบคดีนี้ แต่รายงานที่ใช้ในการจับทัตเทพเข้าคุกเป็นรายงานที่รวบรวมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและทีมนิติวิทยาศาสตร์อีกทีมนะคะ”
“ผมเข้าใจครับ ขอบคุณมากที่ยอมทำเรื่องนี้เพื่อผม” ณัฐวีร์ตอบก่อนจะเลื่อนมือไปจับแฟ้มเอกสาร
“เดี๋ยวก่อนค่ะ...”
มือที่กำลังจะหยิบแฟ้มขึ้นมาชะงัก ก่อนที่คนพูดจะทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเขาแล้วถาม
“คุณแน่ใจนะคะว่าจะดูผลการชันสูตรจริงๆ” จิรณัฐถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “คุณภาเป็นน้องสาวแท้ๆ ของคุณ ถึงเรื่องจะผ่านมานานแล้ว แต่ภาพที่คุณจะเห็นต่อจากนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าดูนัก และมันอาจกลายเป็นฝันร้ายของคุณไปตลอดชีวิต”
“ผมฝันร้ายทุกคืนอยู่แล้ว...”
คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ร่างบางชะงัก หัวใจกระตุกวูบเมื่อเห็นแววตาที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ของชายหนุ่ม เขาต้องชินชากับความเจ็บปวดขนาดไหนถึงได้พูดออกมาอย่างง่ายดายแบบนี้
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ ขอบคุณที่เป็นห่วง”
“ถ้าอย่างนั้น...”
หญิงสาวขยับเก้าอี้เข้าไปชิดเก้าอี้ของสามี ก่อนจะหยิบแฟ้มรายงานมาวางบนตัก แล้วเลือกเปิดไปที่หน้าที่ตัวเองต้องการ
“งั้นคุณดูแค่ภาพที่มีเบาะแสของคดีก็พอค่ะ”
ณัฐวีร์มองแววตาห่วงใยของอีกฝ่ายนิ่ง ความอ่อนโยนที่ได้รับจากเธอทำให้หัวใจของชายหนุ่มสั่นสะท้าน ก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกสติของตัวเอง แล้วก้มลงอ่านเนื้อหาในรายงาน
“หน้านี้แสดงสถานที่พบศพ ซึ่งก็คือป่าร้างที่อยู่ระหว่างทางเข้าหมู่บ้านของคุณณัฐวิภา ผู้พบศพคือพนักงานเทศบาลที่มาเก็บขยะในตอนเช้า แถวนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด ไม่มีพยานที่เห็นเหตุการณ์ ดังนั้นเบาะแสหลักของคดีจึงมาจากอาวุธสังหารที่พบในที่เกิดเหตุ และการชันสูตรพลิกศพค่ะ...”
ชายหนุ่มดูสภาพป่าร้างในรูปอย่างพิจารณา พลางนึกย้อนไปถึงวันที่ตัวเองไปสำรวจสถานที่เกิดเหตุหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปราวหนึ่งอาทิตย์ ตอนนั้นทางตำรวจเอาเทปมากั้นและไม่ให้ใครเข้าไปใกล้ เขาจึงไม่ได้เบาะแสอะไรมากนัก ก่อนที่ร่างสูงจะเลื่อนสายตาไปมองมีดที่ใช้เป็นอาวุธสังหาร
“มีดนี่คืออาวุธสังหารจริงๆ เหรอครับ”
“ใช่ค่ะ ความกว้างของบาดแผลมีขนาดใกล้เคียงกับความหนาของใบมีด ลักษณะของผิวหนังที่เกิดแผลก็มีทั้งส่วนที่ถูกคมแหลมของมีดและส่วนที่โดนขอบเรียบ จึงสรุปได้ว่ามีดที่ใช้สังหารมีความคมด้านเดียว ซึ่งก็ตรงกับมีดเล่มนี้ค่ะ”
“แต่มีดเล่มนี้...คือมีดทำครัวของบ้านผม” ณัฐวีร์พูดเสียงแหบแห้งก่อนจะชี้ให้อีกฝ่ายดูที่ด้ามมีด “มันเป็นมีดคนละเล่มกับที่ทางตำรวจสรุปว่าเป็นอาวุธสังหาร คุณเห็นสติกเกอร์รูปหัวใจอันเล็กที่ติดอยู่ที่ด้ามจับไหมครับ น้องสาวของผมเป็นคนเอามาติดไว้เอง ถ้าสังเกตดีๆ จะมีชื่อยายภาบนสติกเกอร์ด้วย”
“อะไรนะคะ...”
“ทัตเทพไม่รู้จักบ้านของผมด้วยซ้ำ แล้วมันเข้ามาเอามีดไปทำร้ายภาได้ยังไง ไหนตำรวจบอกว่ามันดักทำร้ายภาระหว่างเดินเข้าบ้าน น้องสาวผมคงไม่พกมีดทำครัวไปเรียนหรอกครับ”
จิรณัฐกัดริมฝีปาก ตอนที่เห็นอาวุธสังหารเธอก็แปลกใจที่ทัตเทพใช้มีดทำครัวเป็นอาวุธ แทนที่จะรัดคอเหยื่อให้เสียชีวิตเหมือนวิธีที่ผ่านๆ มา แต่การเปลี่ยนรูปแบบการสังหารมีโอกาสเกิดขึ้นได้เมื่อฆาตกรต่อเนื่องมีประสบการณ์มากขึ้น และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป อีกทั้งยังมีดีเอ็นเอของทัตเทพอยู่บนร่างกายของเหยื่อ ทางพนักงานสอบสวนจึงไม่ติดใจประเด็นนี้
“ตอนที่ตำรวจสรุปผลเพื่อส่งฟ้อง มีดที่เป็นอาวุธสังหารไม่ใช่มีดเล่มนี้นะครับ”
“ฉันจำได้ค่ะว่ามีดที่อยู่ในสำนวนคดีเป็นอีกเล่ม แต่ไม่คิดว่าอาวุธสังหารจริงๆ จะเป็นมีดในบ้านคุณ งั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าป่าร้างตรงนั้นไม่ใช่สถานที่เกิดเหตุ แต่เป็นแค่จุดทิ้งศพ”
ร่างบางขมวดคิ้วอย่างหนักใจ เธอจำได้ดีว่าตอนที่เห็นรายงานข่าวในหนังสือพิมพ์ เธอก็แทบไม่เชื่อตัวเองเหมือนกันว่าผลการสืบสวนจะบิดเบือนไปหลายจุด แถมสุดท้ายแล้ว ทีมนิติวิทยาศาสตร์ที่รับผิดชอบในตอนแรกยังถูกเปลี่ยนเป็นทีมอื่นอีก
“แล้วการชันสูตรศพเป็นยังไงบ้างครับ”
“สภาพศพมีบาดแผลถูกแทงทั้งหมดเจ็ดแผลทั่วร่างกายค่ะ แต่แผลที่เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต คือแผลที่หน้าอกซ้าย เพราะแทงโดนหลอดเลือดแดงใหญ่ ทำให้เสียชีวิตจากการเสียเลือดมากค่ะ”
แม้จะพยายามเลือกหน้ารายงานที่ไม่มีภาพซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจของอีกฝ่าย แต่ณัฐวีร์ก็ยังยืนยันจะดูรูปบาดแผลของคนเป็นน้อง ขนาดจิรณัฐที่ชินชากับการเจอศพซึ่งตายผิดธรรมชาติยังหดหู่ที่ได้เห็นสภาพของเหยื่อ แล้วคนในครอบครัวอย่างเขาจะทำใจได้ยังไง
“ผมไม่เป็นไรครับ คุณพูดต่อเถอะ...”
จิรณัฐกัดริมฝีปากเมื่อเห็นหยดน้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตาของคนตัวโต สีหน้าเจ็บปวดของชายหนุ่มทำให้มือเล็กเลื่อนไปวางทาบทับมือหนา ก่อนจะบีบเบาๆ ราวกับจะบอกเขาว่าเธอยังอยู่ตรงนี้
“พวกเราวัดความลึกของแผล และพบว่าแผลที่หน้าอกมีความลึกมากที่สุดค่ะ ส่วนอีกหกแผลที่เหลือมีความลึกและความกว้างพอๆ กัน” หญิงสาวพูดต่อ พยายามเลือกใช้คำอย่างระมัดระวังเพราะไม่อยากให้กระทบกระเทือนจิตใจของอีกฝ่าย “ลักษณะการแทงบอกชัดว่าคนร้ายถนัดซ้าย แต่ทัตเทพถนัดขวา นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเราสงสัยว่าทัตเทพไม่ใช่ฆาตกร และอาจารย์หมอก็ได้เขียนเรื่องนี้ไว้ในรายงานด้วยค่ะ”
“แล้วถ้าดูจากสภาพศพ สามารถคาดการณ์เวลาที่เสียชีวิตได้ไหมครับ”
“สภาพศพในตอนนั้นค่อนข้างบอกได้ยากค่ะ ทางตำรวจจึงคาดการณ์จากหลักฐานแวดล้อม และการสอบปากคำพยานแทน”
ชายหนุ่มพยักหน้าตามอย่างเข้าใจ ก่อนจะก้มลงอ่านผลการตรวจเลือดและอวัยวะภายในของน้องสาวต่อ
“แล้วผลตรวจร่างกายอันนี้หมายความว่ายังไงเหรอครับ”
ร่างบางเม้มริมฝีปากเมื่อเห็นภาพถ่ายชิ้นเนื้อที่พบในมดลูกของศพ ค่อนข้างมั่นใจว่าข้อมูลนี้ไม่ได้ถูกรายงานไปในผลการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พวกเธอพบสิ่งนี้ตอนที่ผ่าดูอวัยวะภายในและตรวจร่องรอยของการถูกกระทำชำเรา
“คือว่า...”
หญิงสาวสูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกสติของตัวเอง ดูจากแววตาสงสัยของอีกฝ่ายแล้ว ก็มั่นใจได้ว่าณัฐวีร์ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน เธอหันไปสบตาเขาด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะตอบเสียงขรึม
“ตอนที่น้องสาวของคุณเสียชีวิต เธอกำลังตั้งครรภ์ได้หกสัปดาห์ค่ะ”
ความคิดเห็น |
---|