ขณะเดียวกันเจ้าของร่างสูงที่ถูกสาปแช่งโดยไม่รู้ตัวนั้น ดวงหน้าหล่อเหลาแตะแต้มไปด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่เขารู้ดีว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาแทบจะไม่มีรอยยิ้มเช่นนี้เกิดขึ้นกับตนเองเลยสักครั้ง ซึ่งสาเหตุมาจากอะไรตัวเขาย่อมรู้อยู่แก่ใจดี
และที่มีรอยยิ้มเกิดขึ้นในตอนนี้ ตัวเขาเองก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจอีกเช่นกันว่าสาเหตุมาจากอะไร
วิศวกรหนุ่มเดินทอดน่องอย่างรื่นรมย์กลับไปยังห้องทำงานในแผนกวิศวกรรม ซึ่งคนเป็นเจ้านายจัดไว้ให้เป็นการส่วนตัว เพราะถึงแม้ตัวเขาจะเพิ่งเข้ามาทำงาน แต่ตำแหน่งที่ได้รับคือหัวหน้าแผนกวิศวกรรมนั่นเอง
“ไปไหนมาหรือซัน”
เสียงทักของธนบดีที่นั่งเอนกายไขว่ห้างอยู่บนโซฟารับแขกสีเทามุมห้อง ทำเอาคนกำลังตกอยู่ในอาการรื่นรมย์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบเก็บอาการเอาไว้โดยเร็ว แต่แม้จะควบคุมอาการได้ก็ยังอดพูดเสียงสั่นไม่ได้
“ไปแผนกคุณ...เดือนมาครับ”
ธนบดีเงยหน้ามองคนตอบก่อนจะระบายยิ้มกว้าง
“ถ้าพี่ถามเอ็งว่าไปทำไมจะผิดไหม”
“แล้วทำไมต้องผิดด้วยล่ะครับ” คนถูกถามย้อนถามพลางยิ้มกว้างเช่นกัน
“อ้าว พี่เข้ามาหาทีไรจะเห็นเอ็งนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะตลอด แล้วไหงตอนนี้ถึงต้องถ่อไปหาคุณเดือนถึงที่แผนกด้วยล่ะ” คนถามถามพลางพยายามจับสังเกตสีหน้า แต่ก็ไม่มีอะไรส่อพิรุธออกมาเหมือนเช่นเคย
“ผมเดินไปธรรมดาๆ นี่แหละครับไม่ได้ถ่ออย่างที่พี่เอกว่าซะหน่อย แล้วทำไมผมถึงจะไปแผนกอื่นบ้างไม่ได้ล่ะครับ ผมแค่อยากได้รายชื่อลูกค้าและรายละเอียดของสองปีย้อนหลัง เพื่อเอามาดูข้อมูลเฉยๆ อยากรู้ว่าอะไรที่เป็นเหตุจูงใจให้เกิดการทุจริตหมกเม็ด จนถึงกับต้องเชิญวิศวกรออกถึงสองคนในเวลาไล่เลี่ยกันเท่านั้น” คนพูดพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งความเป็นจริงแล้วเขาไม่ต้องดูก็พอจะรู้ถึงสาเหตุ แต่ที่ทำลงไปทั้งหมดเพราะมีเรื่องส่วนตัวเข้ามาแทรกด้วยบ้างเท่านั้นเอง
เมื่อนภเกตน์หยิบยกเอาเรื่องทุจริตขึ้นมาพูด ทำเอาธนบดีที่กำลังจับสังเกตรอยพิรุธของอีกฝ่ายลืมเรื่องที่ว่าไปโดยสิ้นเชิง สีหน้าและท่าทางเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาในทันที
“เอ็งน่าจะเดาได้นะซันว่าเพราะอะไร ก็ความโลภไงล่ะ นึกว่าสิ่งที่ตัวเองปกปิดหมกเม็ดไม่มีใครรู้ใครเห็น หรือไม่ก็นึกว่าพี่โง่ไงล่ะ สองคนที่ถูกเชิญออกทำงานร่วมกับพี่มาตั้งแต่เริ่มเปิดบริษัทใหม่ๆ รู้สึกตอนนั้นเพิ่งจบด้วยซ้ำ ไม่นึกว่าการให้โอกาสคนจะได้รับผลตอบแทนแบบนี้” ธนบดีพูดด้วยน้ำเสียงเคืองขุ่นระคนด้วยความผิดหวัง
“ครับ” นภเกตน์มองหน้ารุ่นพี่คนสนิทด้วยแววตาแฝงความเห็นอกเห็นใจ “คนพวกนี้ทำงานกันเป็นทีมครับผู้รับเหมานี่แหละตัวสำคัญ ฮั้วกันดีนัก และใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดแค่ในประเทศเรา บริษัทที่ผมเคยทำงานก็เจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันแบบนี้แหละครับ ความโลภมันเกิดขึ้นได้ทุกที่ที่มีเงินเป็นปัจจัยสำคัญ”
“อือ...จริงของเอ็ง วงการก่อสร้างที่ไหนๆ คงไม่ต่างกันนักหรอก นี่ถือว่าพี่เชิญออกอย่างละมุนละม่อมแล้วนะ ทำครั้งแรกย่อมมีครั้งที่สองที่สามตามมาแน่นอน ดังนั้นการตัดไฟแต่ต้นลมจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ”
คำว่าเชิญออกอย่างละมุนละม่อมของธนบดี คือไม่ได้บอกให้คนในบริษัทรู้เรื่องทุจริตที่ว่า แค่บอกว่าเจ้าตัวลาออกเฉยๆ และอีกเหตุผลหนึ่งเขาเพิ่งบอกเรื่องผลประกอบการของบริษัทในที่ประชุมไปหยกๆ จึงไม่อยากให้พนักงานเสียทั้งขวัญและกำลังใจ
“ผมเห็นด้วยที่พี่เอกทำแบบนี้ ขวัญและกำลังใจของพนักงานเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนเรื่องรับคนเข้ามาใหม่เดี๋ยวผมดูๆ จากพรรคพวกที่เคยทำงานด้วยกันให้ครับ ขอรับรองด้วยเกียรติว่าพี่เอกจะไม่เจออย่างที่ผ่านมาแน่นอน”
“พี่เชื่อใจเอ็งนะซัน ฝากเรื่องนี้ด้วยแล้วกัน”
“ครับพี่เอก”
“อ้อ แล้วเรื่องที่พี่ให้ไปดูงานและประชุมแทน เอ็งทำเรื่องเบิกค่าใช้จ่ายจากแผนกการเงินได้เลยนะ”
“ครับ” นภเกตน์บอกด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
“เอ็งทำเสียงเนือยๆ แบบนี้เหมือนไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่เลยนะซัน”
ธนบดีพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายขึ้นหลังจากระบายความรู้สึกออกมา เขาถูกความเครียดเกาะกินภายในใจมาหลายวัน แต่จำต้องกักเก็บเอาไว้ภายใน คงมีเพียงนภเกตน์คนเดียวที่รับรู้ ซึ่งอีกฝ่ายก็เพียงแค่รับรู้ แต่ยังไม่ได้คุยถึงเรื่องรายละเอียดที่ว่าให้ฟังมากนัก
“พี่เอกอย่าหาเรื่องผมสิครับ”
แม้ปากจะพูดออกไปอย่างนี้ แต่ภายในใจของนภเกตน์ก็ไหววูบไม่น้อย เขาเพิ่งตามหาหัวใจตัวเองเจอก็จำต้องทิ้งห่างไปอีกตั้งหลายวัน แต่ค่อยใจชื้นเมื่อนึกได้ว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่ยังมีคนคอยดูแลและเป็นสายให้
อย่างน้อยคงพอช่วยอะไรได้บ้างไม่มากก็น้อยแหละ
“พี่หาเรื่องหรือซัน น้ำเสียงเอ็งเป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่นา”
คนถามถามพลางหรี่ตามองอย่างค้นคว้าหาความจริง ซึ่งคนถูกมองก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“พี่เอกก็รู้จักคนอย่างผมดีถ้าไม่อยากไปคงไม่รับปากหรอกครับ”
“เออ” คนเป็นเจ้านายเน้นเสียงตอบ พลางมองหน้าอีกฝ่ายอย่างหมายมั่นปั้นมือ เขาเชื่อสายตาตัวเองว่าระหว่างนภเกตน์กับสิตางศุ์ ต้องมีอะไรที่มากกว่าคนเพิ่งรู้จักกันอย่างแน่นอน
มันมีอะไรแปลกๆ หลายอย่างที่เขารู้สึกและสัมผัสได้
กัตติกายืนเท้าเอวก่อนจะส่ายหน้าไปมา พลางมองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องที่กำลังนอนเอนกายอยู่บนโซฟารับแขกสีครีมตัวยาว ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิทราวกับหลับทั้งที่ยังอยู่ในชุดทำงาน
“วันนี้งานหนักมากหรือไงเดือน พอขึ้นรถได้แกหลับปุ๋ยยังกับปิดสวิตช์ยังไงยังงั้น มาถึงบ้านแทนที่จะไปอาบน้ำยังมานอนต่อบนโซฟาอีก”
คนถูกถามลืมตาก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งแต่ยังคงอยู่ในท่าเอนกายเช่นเดิม ทว่าดวงหน้าสะสวยนั้นบึ้งตึง ซึ่งท่าทีแบบนี้ของญาติสาวนานทีปีหนกัตติกาถึงจะได้เห็นสักครั้ง
“อ๋อ...หงุดหงิดเรื่องงานนิดหน่อยน่ะ”
ตอนแรกสิตางศุ์เกือบจะหลุดปากเล่าถึงสาเหตุออกไปแล้วเพียงแต่ยั้งปากไว้ได้ทัน เพราะเดี๋ยวญาติสาวของเธอจะเก็บเอาไปคิดเป็นตุเป็นตะให้เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอีก
“หงุดหงิดนิดหน่อยจริงๆ หรือเดือน ฉันว่าไม่น่าจะนิดหน่อยอย่างที่บอกละมั้ง นานๆ จะเห็นแกเป็นอย่างนี้ซะทีแต่หงุดหงิดซะบ้างก็ดีเหมือนกัน ฉันไม่ค่อยเห็นแกจะโกรธจะเคืองใครกับเขาเลย”
คำพูดของญาติสาวทำเอาสิตางศุ์อยากจะพูดโพล่งออกไปนัก เธอเป็นคนมีชีวิตจิตใจนะไม่ใช่พระอิฐพระปูนจะได้ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งรอบข้างหรือโกรธใครไม่เป็น และคนที่เธอโกรธมากจนพกความหงุดหงิดกลับมาบ้าน ก็คือคนที่อีกฝ่ายมักจะเข้าข้างอยู่เสมอนั่นแหละ
นภเกตน์
นับจากผู้ชายคนนี้ก้าวเข้ามาอยู่ในสายตาอีกครั้ง อารมณ์ ความรู้สึกอะไรหลายๆ อย่างที่เคยบ่มเพาะกักเก็บเอาไว้ ดูเหมือนจะปะทุออกมาราวกับเป็นระลอกคลื่น จนตอนนี้เธอกลายเป็นคนเก็บอารมณ์ไม่อยู่ไปซะแล้ว แถมขี้โมโหและโกรธง่าย อารมณ์แปรปรวนราวกับผู้หญิงวัยทองยังไงยังงั้น
“เอาละเก็บความหงุดหงิดของแกเข้าท้องไปก่อน วันนี้เราตำน้ำพริกกินกันเถอะ ฉันอยากกินไข่ทอดชะอม”
คำว่าไข่ทอดชะอมทำเอาสิตางศุ์นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เมื่อนึกถึงใครบางคนที่แพ้ชะอม เมื่อนึกถึงแล้วก็รีบปัดออกไปจากใจโดยไว
หัวใจเจ้ากรรม! ดูสิ...ขนาดเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับคนคนนั้นเธอยังเก็บมาคิดได้ทุกเม็ด แล้วอย่างนี้ที่พยายามบอกตัวเองให้ท่องไว้ว่า เธอกับเขาไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน เป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมงาน ก็ล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ลงมือทำแล้ว
แค่เพื่อนร่วมงาน แค่เพื่อนร่วมงาน และเป็นเพราะสภาวะอารมณ์ที่ไม่คงที่นัก ทำให้สิ่งที่ควรนึกอยู่ในใจเผลอหลุดพูดออกไป
“ก็แค่เพื่อนร่วมงาน”
“เพื่อนร่วมงานอะไรของแกหรือเดือน”
คนเผลอพูดสิ่งที่คิดออกไปอึ้งเล็กน้อยก่อนจะแก้ตัวออกไปหน้าตาเฉยว่า
“อ๋อ...ฉันบอกว่าวันนี้มีเพื่อนร่วมงานคนใหม่น่ะ แกฟังเป็นอะไรเหรอ”
“เอ ฉันได้ยินแกพูดว่าก็แค่เพื่อนร่วมงานอะไรนี่แหละ ไม่ได้ยินคำว่าคนใหม่เลยนะ หรือว่าฉันฟังผิด ช่างมันเหอะ” พูดพลางหัวคิ้วเรียวของคนพูดก็ขมวดเข้าหากัน เพราะชักเริ่มไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน
“แกฟังผิดนั่นแหละดาว” สิตางศุ์รีบรับสมอ้างและเปลี่ยนเรื่องพูดทันควัน “แล้วเมื่อกี้ที่แกบอกว่าวันนี้เราตำน้ำพริกกินกันเถอะนี่ คือแกตำหรือฉันตำ”
พอพูดถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังอยากกิน กัตติกาพลันลืมเรื่องที่พูดก่อนหน้านี้ทันทีพลางยิ้มแห้งๆ
“แกตำไง แกรู้นี่ว่าถ้าให้ฉันตำคงกินไม่ได้หรอก แกน่ะตำน้ำพริกอร่อยที่สุดในโลกแล้ว ใครจะเชื่อว่าคนเรียบร้อยอย่างแกจะตำน้ำพริกได้แซ่บสะใจ”
“แกคิดว่าฉันเป็นคนเรียบร้อยเหรอดาว” สิตางศุ์ถามยิ้มๆ อารมณ์ที่คุกรุ่นมาจากบริษัทค่อยผ่อนคลายลง ด้วยภาพลักษณ์ภายนอกของเธอทำให้ใครต่อใครมักคิดว่าเป็นคนเรียบร้อย
“ฉันเห็นแกเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กนี่นา เอ้อ...ลืมไป จะพูดว่าแกเรียบร้อยคงไม่ถูกต้องนัก เรื่องกินเหล้าไม่มีใครคอแข็งเท่าแกหรอกเดือน แม้แต่ผู้ชายบางคนยังยอมแพ้”
นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ถ้าพูดออกไปใครจะเชื่อว่า ผู้หญิงท่าทางเรียบร้อยอย่างสิตางศุ์ไม่ใช่แค่ดื่มเหล้าเป็น แต่ยังดื่มเก่ง เรียกได้ว่าคอแข็ง กระทั่งผู้ชายหลายคนยังต้องยกธงขาวยอมแพ้
คนถูกหาว่าคอแข็งยิ้มกว้างทั้งยังลอบดีใจ ที่พูดเบี่ยงเบนจนทำให้ประเด็นเก่าตกไปได้
“เป็นเพราะตาหัดให้ฉันกินเหล้าตั้งแต่วัยรุ่น”
สิตางศุ์เป็นหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของนายทรงเดช แถมหน้าตายังสะสวยสะดุดตา ผู้เป็นตาจึงทั้งหวงและห่วงนักหนา กลัวว่าจะถูกใครมอมเหล้าและอีกสารพัด จึงหัดให้ดื่มเหล้าตั้งแต่เริ่มเป็นวัยรุ่น ท่ามกลางการไม่เห็นด้วยของบิดามารดา ด้วยกลัวลูกสาวจะกลายเป็นคนติดเหล้า แต่โชคดีที่แม้สิตางศุ์จะดื่มเหล้าจนคอแข็ง แต่ไม่ได้ดื่มบ่อย นานทีปีหนถึงจะดื่มสักครั้ง
เมื่อนึกถึงผู้เป็นตาขึ้นมาสิตางศุ์ก็ให้รู้สึกผิดยิ่งนัก ที่อีกฝ่ายมัวแต่ห่วงกลัวหลานสาวจะถูกมอมเหล้า แต่คงไม่รู้ว่าหลานสาวนั้นถูกมอมเมาด้วยความรัก จนลืมคำสั่งสอนเรื่องที่ให้รักนวลสงวนตัวจนสิ้น
“เดือน แกเป็นอะไร ทำไมเงียบไป”
คนกำลังรู้สึกผิดสะดุ้งเล็กน้อย
“กำลังคิดเรื่องที่แกว่าฉันคอแข็งน่ะ จำได้ว่าแม่ฉันเคืองตามาก ที่หัดให้หลานกินเหล้า ดีนะที่ฉันไม่ติด”
“นั่นสิ ถ้าติดละเป็นเรื่องเลย เอ้อ แล้วเมื่อกี้ที่ฉันว่าแกเรียบร้อย แต่ความจริงแกเข้มแข็งกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะเดือน เพราะตอนนั้นถ้าเกิดเรื่องกับตัวฉันเองยังไม่รู้จะทำยังไงต่อไปเลย...”
เมื่อเผลอพูดเรื่องในตอนนั้นออกไปกัตติกาก็นึกด่าตัวเอง ก่อนจะลอบมองสีหน้าของญาติสาวว่าเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า ครั้นไม่เห็นร่องรอยการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
หรือว่าอีกฝ่ายจะไม่ทันได้ยินคำว่าตอนนั้น
ด้านสิตางศุ์ที่ได้ยินคำพูดของกัตติกาที่เผลอพูดออกมาจนเต็มสองหูได้แต่คิดว่า อีกฝ่ายคงไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์ตอนนั้นนั่นแหละ ที่เปลี่ยนคนกึ่งๆ เรียบร้อยอย่างเธอให้กลายเป็นคนอีกคนที่เข้มแข็งขึ้น ไม่ใช่คนหลงเชื่อในน้ำคำของใครง่ายๆ เหมือนเช่นเมื่อก่อน
แต่เธอเข้มแข็งขึ้นอย่างที่คิดจริงเหรอสิตางศุ์ หญิงสาวถามตัวเองในใจ เพราะแม้จะบอกย้ำกับตัวเองอยู่เสมอว่าให้ลืมเรื่องนั้นซะ แต่ความเป็นจริงเธอไม่เคยลืมได้เลย
เข้มแข็งตรงไหนล่ะนี่
“เอ้อ...เดือน ฉันเกือบลืมบอก ตอนแกขึ้นรถแล้วหลับน่ะโทรศัพท์ดังตั้งหลายครั้ง ฉันเลยถือวิสาสะรับแทนกำลังจะบอกว่าแกหลับอยู่แต่ไม่ทันบอก อีตาคนในสายดันถามออกมาซะก่อนว่าคุณเดือนเหนื่อยมากไหมครับ เสียงหวานเลี่ยนมาก แล้วยังพูดอะไรต่ออีกหลายคำ จนฉันบอกว่าแกหลับอยู่นั่นแหละถึงหยุดพล่าม บอกว่าจะโทร. มาใหม่”
“อ๋อ ผู้กองภาคิน” สิตางศุ์พยักหน้าก่อนจะหัวเราะคิกกับคำพูดของญาติสาวที่ว่าหยุดพล่าม เธอยังนึกไม่ออกเลยว่าคนอย่างผู้กองภาคินจะเหมาะสมกับคำว่าพล่ามได้ยังไง
ยายดาวน่ะพูดเกินไป
“ผู้กองภาคิน!” กัตติกาทวนชื่อเสียงสูง “เขามาจีบแกหรือเดือน”
ไม่รู้เป็นเพราะอะไรกัตติกาถึงรู้สึกไม่ถูกชะตากับชื่อของผู้กองภาคินที่ญาติสาวเอ่ยถึงนั่นเลย ทั้งที่เพิ่งได้ยินเสียงและได้ยินชื่อเป็นครั้งแรกเท่านั้น หรืออาจเป็นเพราะลึกๆ เธอคอยเอาใจช่วยนภเกตน์อยู่ก็เป็นได้
“ก็ทำนองนั้น” คนถูกถามตอบเสียงเนือยๆ ราวกับตอบคำถามเรื่องดินฟ้าอากาศปานนั้น ไม่ได้สนใจหรือให้ความสำคัญแก่คำว่าถูกจีบแต่อย่างใด
“ฟังจากน้ำเสียงเหมือนแกไม่ได้สนใจอีตาผู้กองนี่เลยนะเดือน”
เมื่อไม่ถูกชะตาจึงดีใจตามด้วยความสะใจ ที่คนเป็นญาติไม่ได้ให้ความสนใจแก่ชายหนุ่มที่พูดถึงอย่างที่คิดวิตกกังวล
“แล้วฟังจากเสียงของแกเหมือนไม่ชอบเขานะดาว”
“เขาเป็นตำรวจหรือทหารล่ะ” คนถูกถามตอบไม่ตรงคำถาม
“ตำรวจ”
“อ๋อ ฉันไม่ชอบตำรวจ” กัตติกาหาเหตุผลให้ตัวเองจนได้ “เพราะฉันเป็นทหารไง และทหารมักไม่ถูกกับตำรวจ”
“แต่เมื่อกี้แกยังไม่รู้ว่าเขาเป็นทหารหรือตำรวจเลยนะดาว”
สิตางศุ์พูดแย้งเสียงกลั้วหัวเราะ ตอนนี้อารมณ์ของหญิงสาวดีขึ้นมากแล้ว
“ก็นั่นแหละ คือ...ตอนแรกฉันไม่ถูกชะตาเสียงเขา มันหวานเลี่ยนเอียนชวนอ้วกยังไงบอกไม่ถูก เฟกชะมัด ยิ่งพอรู้ว่าเป็นตำรวจแล้วยิ่งไม่ชอบน่ะ” กัตติกาบอกเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นและพูดตามตรงคือไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
สิตางศุ์ฟังแล้วก็มองหน้าคนเป็นญาติก่อนจะหัวเราะคิกอย่างขบขัน
“ดาวแกนี่ท่าจะบ้า ไม่ถูกชะตาแม้กระทั่งเสียงอย่างนี้เรียกว่าอคติชัดๆ”
“คนเราถ้าจะไม่ถูกชะตา แค่ฟังเสียงแล้วไม่ชอบก็ไม่แปลกหรอกเดือน ฉันไม่ได้อคติซะหน่อย แถมชื่อยังไม่สมกับเป็นตำรวจเลย เหมือนนักร้องที่ฉันไม่ปลื้มอีกต่างหาก” กัตติกาเถียงข้างๆ คูๆ ต่อไป “ไปทำกับข้าวกันดีกว่า ชักหิวข้าวขึ้นมาตงิดๆ แล้ว”
“ไปสิ”
สิตางศุ์พูดจบก็ผุดลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามญาติสาวเข้าไปในครัว นึกขำคำตอบของอีกฝ่ายที่ฟังแค่เสียงของผู้กองภาคินก็ไม่ถูกชะตากับเขาซะงั้น แถมยังอ้างว่าชื่อเหมือนนักร้องที่ตัวเองไม่ชอบอีก
เป็นเหตุผลที่ถ้าไม่เรียกว่ากำปั้นทุบดินก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี
จู่ๆ คนเดินนำหน้าก็ชะงักเท้าและเอ่ยถามขึ้นว่า
“เอ้อ...เดือน แล้วอีตาผู้กองอะไรนี่หน้าตาหล่อไหม” ความจริงกัตติกาอยากจะถามว่าระหว่างผู้กองที่ตัวเองไม่ถูกชะตากับพี่ซันที่ตัวเองเชียร์น่ะใครหล่อกว่ากันต่างหาก
“อ้าว แกไม่ถูกชะตาเขาแล้วจะถามทำไมว่าหล่อหรือเปล่า ดูมันย้อนแย้งนะดาว”
“เอ้อ...ฉันก็แค่อยากรู้เฉยๆ เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอก” กัตติกาก็งงกับตัวเองเหมือนกันว่าจะอยากรู้ไปทำไม
“โอเค ไม่มีก็ไม่มี”
วันศุกร์ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์การทำงาน และเป็นวลีที่เรียกกันติดปากของมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายว่าวันสุขแห่งชาติ เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ทุกคนรอคอยนั่นเอง
หรือแปลความหมายได้อีกอย่างคือเป็นวันที่รถติดอย่างมหันต์
ด้วยกลัวว่าการจราจรจะติดขัดกัตติกาจึงรีบออกจากบ้านตั้งแต่เช้า พลอยทำให้สิตางศุ์ต้องมาทำงานเช้าตามไปด้วย แต่ตามปกติเธอก็ชอบมาทำงานเช้าอยู่แล้ว
ทว่า...
เมื่อคืน จู่ๆ เธอก็ฝันถึงเหตุการณ์วันนั้น ภาพในอดีตระหว่างเธอกับนภเกตน์ ซึ่งควรจะเป็นภาพความทรงจำอันแสนหวานแต่กลับเป็นสิ่งตรงกันข้าม เพราะยิ่งนึกถึงยิ่งทำให้เกิดความเจ็บช้ำเป็นทบเท่าทวีคูณ และเสียใจที่ตัวเองไม่น่าเป็นคนใจง่ายยึดถือเอาความรักเป็นที่ตั้งอย่างนั้นเลย
ทว่าครั้นเอาความรักที่มีต่อเขามาตั้ง แล้วลบด้วยความเสียใจทั้งหมด หารด้วยความเจ็บช้ำทั้งหมดอีกเช่นกัน
ก็...ยังเหลือความรักที่มีต่อเขาอย่างล้นเหลือ แม้จะพยายามคิดให้ติดลบก็ทำไม่ได้
เหมือนเพลงลูกทุ่งเพลงหนึ่งที่ผู้เป็นตาของเธอชอบฟังนักหนา
หลังจากฝันถึงภาพเหตุการณ์ที่ว่าก็ทำให้เธอไม่สามารถข่มตานอนหลับได้อีกเลย ทั้งนึกเคืองตัวเองเป็นยิ่งนัก หลายวันที่ผ่านมาเธอทำงานด้วยความสบายอกสบายใจ เพราะตัวปัญหาไปประชุมที่ต่างประเทศ แต่ตอนกลางคืนดันไปฝันถึงเขาซะงั้น แล้วจะไม่ให้เคืองตัวเองได้ยังไง
และสิ่งที่จะช่วยให้สมองปลอดโปร่งแจ่มใสหายง่วงได้คงมีแต่กาแฟเท่านั้น
ดังนั้นหลังลงจากรถสิตางศุ์จึงเดินลิ่วตรงไปยังห้องแพนทรีของบริษัททันที โดยไม่ได้แวะที่โต๊ะทำงานก่อนเหมือนเคย
ภายในห้องไม่มีใครอยู่แม้กระทั่งป้าสมพร หญิงสาวจึงจัดการชงกาแฟและปิ้งขนมปังเผื่อคนที่ยังมาไม่ถึงเช่นเคย เมื่อได้กาแฟร้อนๆ มาดับ ความง่วงบวกความคิดหนักอึ้งที่เป็นอยู่จึงค่อยบรรเทาลง
“แหม วันนี้คุณเดือนมาทำงานแต่เช้าอีกแล้ว” นางสมพรที่เพิ่งมาถึงเอ่ยทักพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง
“วันนี้วันศุกร์ เดือนกลัวรถติดค่ะป้าพร”
“นี่ป้าก็รีบมานะแต่ยังสายกว่าคุณเดือน ขอบคุณที่ช่วยเติมน้ำร้อนให้ป้านะคะ รวมทั้งช่วงที่ป้าลาป่วยด้วย”
แม่บ้านวัยกลางคนมองหญิงสาวสวยด้วยความชื่นชมในความมีน้ำใจ นอกจากหน้าตาจะสะสวยยังมากไปด้วยน้ำใจอีกต่างหาก
“ไม่เป็นไรค่ะเรื่องแค่นี้เอง เดือนก็ดื่มกาแฟที่นี่ทุกวัน แล้วป้าพรหายดีแล้วหรือคะ”
ที่ถามเพราะก่อนหน้านี้อีกฝ่ายลาป่วยสามวัน เพิ่งจะมาทำงานเมื่อวานเป็นวันแรก
“ดีขึ้นแล้วค่ะ อยู่บ้านก็นอนอยู่เฉยๆ มาทำงานให้ได้เหงื่อดีกว่า”
นางสมพรตอบแล้วยิ้มจนแทบจะเห็นฟันทั้งปาก พลางจ้องหน้าสิตางศุ์ด้วยท่าทางพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง ก่อนจะขมวดคิ้วทั้งคู่เข้าหากัน ทำเอาคนถูกจ้องต้องเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“จ้องหน้าเดือนแบบนี้มีอะไรหรือเปล่าคะป้า”
นางสมพรยิ้มแห้งๆ ก่อนตอบว่า
“คือ... ป้าว่าหน้าคุณเดือนคล้ายๆ กับวิศวกรคนใหม่นะคะ แต่ป้าจำชื่อไม่ค่อยได้ เห็นแค่วันเดียวแล้วหายไปเลย”
สิตางศุ์อึ้งไปชั่วอึดใจแต่ยังไม่ทันตอบอะไรออกไป เพราะพันทิพย์เป็นคนตอบแทน เสียงดังมาจากหน้าห้อง พร้อมกับร่างของคนตอบที่เดินมาทรุดนั่งข้างๆ
“ชื่อคุณซันค่ะป้าพร แล้วที่หายหน้าไปเนี่ยเพราะไปดูงานและประชุมที่ต่างประเทศแทนเจ้านาย แหม...เขารู้กันทั่วบริษัท ทำไมป้าพรไม่รู้อยู่คนเดียว”
คนถูกหาว่าไม่รู้อยู่คนเดียวส่งค้อนให้คนพูดขวับใหญ่
“แหม คุณป้อม อาทิตย์ที่ผ่านมาป้าลาป่วยไปตั้งสามวันเลยไม่ได้อัปเดตข่าวคราว”
“อือ ป้อมลืมว่าป้าพรไม่ได้มาทำงานหลายวัน แต่แหม...อัปเดตข่าวคราว เดาะใช้คำทันสมัยซะด้วย” พันทิพย์พูดแซว “แล้วเมื่อกี้ฟังไม่ทัน ป้าพรว่าใครหน้าเหมือนใครนะคะ”
“อ๋อ ป้าบอกว่ามองดูดีๆ คุณเดือนน่ะหน้าตาคล้ายกับคุณซัน คุณป้อมเห็นด้วยกับป้าไหมคะ”
สิตางศุ์เกือบจะพูดโพล่งอะไรออกไป แต่ก็เปลี่ยนใจไม่พูดน่าจะดีกว่าเดี๋ยวจะกลายเป็นร้อนตัว ทำได้เพียงแค่ลอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ขนาดเจ้าตัวไม่อยู่บริษัทก็ยังตกเป็นประเด็นให้พูดถึงอีกนะ แถมยังเอามาเกี่ยวโยงกับเธออีก
“เดี๋ยวขอป้อมดูก่อน” พันทิพย์พูดพลางก็จ้องหน้าหญิงสาวผู้กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนานิ่งๆ พลางนึกถึงหน้าของนภเกตน์ตามไปด้วย ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย “มีส่วนคล้ายจริงๆ ป้อมเคยคิดแบบป้าพรเหมือนกันนึกว่าตัวเองคิดคนเดียวซะอีก”
คนถูกหาว่าหน้าคล้ายใครบางคนส่ายหน้าจนผมกระจาย
“ไม่เหมือนหรอกค่ะ ไม่ใช่ญาติพี่น้องจะหน้าเหมือนกันได้ไงล่ะคะ”
“แต่ตามโบราณบอกว่าถ้าคนหน้าเหมือนกันเขาบอกว่าเป็นเนื้อคู่กันนะคะ...”
ป้าสมพรยังพูดไม่ทันจบประโยค นิภาภัทรก็พาร่างอวบระยะสุดท้ายวิ่งตึงๆ เข้ามา ก่อนจะพูดละล่ำละลัก
“คุณเดือนขา วันก่อนส่งแต่ช่อดอกไม้...มาให้ แต่วันนี้มาตัวเป็นๆ พร้อมด้วยดอกไม้เลยค่ะ”
“คือ..มีอะไรยังไงหรือคะคุณหนูเล็ก ใครมาพร้อมดอกไม้” สิตางศุ์ถามด้วยความงงจับต้นชนปลายไม่ถูก
นิภาภัทรหัวเราะแหะแหะ
“หนูเล็กเพิ่งเห็นคนหล่อใกล้ๆ เลยตื่นเต้นจนพูดผิดพูดถูก คือ...ผู้กองภาคินมาค่ะตอนนี้นั่งรออยู่ที่โซฟารับแขกของบริษัท”
“อ๋อ ขอบคุณมากค่ะ”
สิตางศุ์รีบลุกขึ้นเพื่อปลีกตัวจะได้ไม่ต้องฟังเรื่องหน้าคล้ายใครบางคนไปซะ ซึ่งความจริงเธอได้ยินใครหลายคนพูดเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยคบกันเป็นแฟนแล้ว
เชอะ เนื้อคู่เหรอ ใครอยากจะเป็น
ความคิดเห็น |
---|