๑๒

๑๒

ในเมื่อลืมไม่ได้ก็จำไปตลอดชีวิตแล้วกัน

 

สิตางศุ์สาวเท้าเร็วๆ ตรงไปยังส่วนรับแขกของบริษัท ที่อยู่ทางด้านขวาของแผนกประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นห้องโถงค่อนข้างกว้างขวาง ฝาผนังประดับไว้ด้วยผลงานสร้างสรรค์ของบริษัท ตั้งแต่เริ่มเปิดเป็นบริษัทเล็กๆ จนกระทั่งเติบโตจนถึงปัจจุบัน

บนโซฟารับแขกสีเทาเข้มตัวใหญ่มีร่างสูงของชายหนุ่มผิวขาว ในชุดเครื่องแบบนายตำรวจนั่งเอนกายในท่วงท่าสบายๆ ดวงหน้าหล่ออินเทรนด์ราวกับไอดอลของเกาหลีหรือจีน ซึ่งกำลังเป็นพิมพ์นิยมของหญิงสาวในยุคสมัยนี้

หญิงสาวมองแล้วอดขำไม่ได้เมื่อนึกถึงคำพูดของพันทิพย์ที่ว่า อีกฝ่ายดูไม่เหมาะกับอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เลยสักนิด ซึ่งเธอเห็นด้วยอย่างยิ่งเพราะเจ้าตัวน่าจะไปเป็นพวกนายแบบหรือดารานักแสดงมากกว่า

“สวัสดีค่ะคุณภาคิน”

เจ้าของร่างสูงเห็นหญิงสาวที่ตัวเองพึงพอใจเดินเข้ามา ดวงหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มกว้างอย่างยินดีพร้อมกับผุดลุกขึ้นยืนต้อนรับ

“สวัสดีครับคุณเดือน”

แม้ผู้กองหนุ่มอยากจะบอกออกไปว่าคิดถึงจังแต่จำต้องยั้งคำพูดนั้นไว้ก่อน เพราะท่าทางยิ้มอ่อนๆ ทุกครั้งของอีกฝ่ายเวลาเจอกัน ดูอ่านยากเย็นเหลือเกินว่าเจ้าตัวมีใจตรงกับเขาหรือเปล่า ทั้งที่เทียวไล้เทียวขื่อวนเวียนแวะมาหาอยู่หลายเดือนแล้ว

“ผมบอกคุณเดือนแล้วไงครับว่าให้เรียกผมว่าเมฆ”

สิตางศุ์อึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายมีชื่อเล่นว่าเมฆ เมื่อนึกแล้วก็อดนึกแปลกใจไม่ได้ เพราะชื่อเล่นของอีกฝ่ายก็อยู่บนท้องฟ้ารวมทั้งชื่อของเธอซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ด้วย ครั้นนึกถึงคำแปล ใจก็ไพล่นึกไปถึงชื่อของใครอีกคนหนึ่งที่แปลว่าพระอาทิตย์

เฮ้อ...เกลียดตัวเองนัก ไม่รู้ทำไมต้องไปนึกถึงเขาให้ว้าวุ่นใจด้วย

“ค่ะ แล้วคุณเมฆไม่ทำงานหรือคะวันนี้”

“ทำครับ แต่ผมมาทำธุระให้คุณพ่อแถวนี้เลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยม เอาบราวนีเจ้าอร่อยมาฝากคุณเดือนด้วยครับ”

หญิงสาวเกือบลืมไปว่า อีกฝ่ายมีบิดาเป็นนายพลคนดังคนหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถ้าจำไม่ผิดตัวเขาคล้ายจะดำรงตำแหน่งนายเวร ซึ่งคงคล้ายๆ กับตำแหน่งเลขานุการและงานคงไม่หนักเท่าอยู่สถานีตำรวจ

“ขอบคุณมากค่ะ แต่ความจริงไม่น่าลำบากคุณเมฆเลยนะคะ”

สิตางศุ์พูดขอบคุณพลางมองกล่องของบราวนี ที่ถูกออกแบบมาอย่างสวยงาม ซึ่งราคาน่าจะสวยงามตามไปด้วยอย่างแน่นอน 

“ไม่ลำบากหรอกครับผมเต็มใจ สำหรับบราวนี่ที่ผมซื้อมาฝากคุณเดือนนี่คุณแม่ผมเป็นคนแนะนำ บอกว่าคนทำนานๆ ครั้งจึงจะทำ ส่วนใหญ่ลูกค้าก็เป็นขาประจำและต้องสั่งจองล่วงหน้าเป็นหลายเดือนถึงจะได้กิน หวังว่าคงจะอร่อยถูกใจคุณเดือนนะครับ” นายตำรวจหนุ่มบอกหญิงสาวน้ำเสียงอ่อนโยน

“ขอบคุณอีกครั้งค่ะ”

สิตางศุ์ชำเลืองมองแพ็กเกจของเค้กบราวนี่อีกครั้งแล้วต้องร้องอ๋อ เพราะจากชื่อที่ปรากฏอยู่เป็นชื่อของสาวสังคมคนดัง ที่เธอเหมือนจะเคยอ่านผ่านตามาจากนิตยสารไฮเอ็นฉบับหนึ่ง ว่าเจ้าตัวจบจากสถาบันสอนทำอาหารชื่อดังจากประเทศฝรั่งเศส จึงไม่นึกแปลกใจนักกับสนนราคาแพงแสนแพงของขนม ครั้งก่อนนายตำรวจหนุ่มเคยนำบราวนีมาฝากซึ่งเธอคิดว่าราคาแพงแล้ว เพราะคนทำเป็นดาราชื่อดังเช่นกันแต่คิดว่าคงถูกกว่านี้เป็นแน่

นี่ถ้าผู้เป็นตาของเธอรู้ว่าขนมในกล่องราคากล่องละเกือบสามพัน คงตบอกผางอาจถึงลมใส่เป็นแน่ และคงพูดว่าขนมพ่อมึงสิราคาเท่านี้

แล้วที่อีกฝ่ายพูดว่าบราวนีคงจะอร่อยถูกใจเธอ ถ้าจะให้บอกตามความเป็นจริงเธอรู้สึกเฉยๆ มากกว่า อาจเป็นเพราะเธอไม่ค่อยชอบรสชาติของขนมเค้กชนิดนี้ก็เป็นได้ ครั้งก่อนจำได้ว่ากินไปเพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น และรสชาติแตกต่างจากบราวนีที่ขายกันทั่วๆ ไปไหม

ก็...ไม่ เพียงแต่ดูหน้าตาน่ากินจากแพ็กเกจที่เจ้าของคงจงใจทำให้ดูหรูมากกว่า แถมราคาก็ตั้งซะแพงเกินไปอีกต่างหาก ถ้าไปเล่าให้กัตติกาฟังอีกฝ่ายคงร้องยี้เป็นแน่ และอาจยิ่งไม่ชอบนายตำรวจหนุ่ม ที่ตัวเองไม่ถูกชะตาตั้งแต่ได้ยินเสียงเพิ่มขึ้นก็เป็นได้ 

“ทำไมคุณเดือนเงียบไปล่ะครับ”

เสียงนุ่มๆ ที่ถามทำเอาคนกำลังตกอยู่ในความคิดสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มอ่อนๆ ให้ 

“เดือนกำลังมองว่าแพ็กเกจของขนมสวยดีนะคะ ทำให้ขนมดูหน้าตาน่ากินขึ้น”

สิตางศุ์พูดชมตามหน้าตาที่เห็น แต่รสชาติจะอร่อยสมราคาหรือเปล่านั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพิสูจน์

“ได้ยินคุณแม่บอกว่าคนทำเรียนจบการทำขนมมาจากสถาบันมีชื่อของฝรั่งเศสน่ะครับ”

“อ๋อค่ะ คุณเมฆดื่มกาแฟสักแก้วไหมคะ”

ในเมื่ออีกฝ่ายอุตส่าห์ซื้อขนมแพงแสนแพงมาฝาก ซึ่งรับรองว่าถูกใจเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศของเธออย่างแน่นอน ชงกาแฟให้ดื่มก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง 

“ก็ดีเหมือนกันครับ”

นายตำรวจหนุ่มหล่อตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ได้ดื่มกาแฟจากรสมือของผู้หญิงที่ตัวเองถูกใจ ใครจะไม่อยากดื่มล่ะ

“ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่นะคะเดี๋ยวเดือนไปชงมาให้ แล้วคุณเมฆดื่มกาแฟแบบไหนคะ”

“ผมขอกาแฟดำไม่ใส่อะไรเลยครับ”

สิตางศุ์ฟังแล้วได้แต่อึ้งเล็กน้อย เอ้อ...ดันดื่มกาแฟดำเหมือนใครบางคนอีก ทั้งที่พยายามจะไม่คิดแต่ดูเหมือนทุกสิ่งอย่างจะโยงใยไปหาคนผู้นั้นอยู่ร่ำไป

ตกลงนรกชังหรือสวรรค์กลั่นแกล้งเธอกันแน่ หญิงสาวยกเอาวลีในหนังสือนิยายจีนมาคิดอย่างเซ็งๆ 

“คุณเมฆรอสักครู่นะคะ”

“ครับผม”

สิตางศุ์ยังไม่ทันจะลุกขึ้นยืนก็เห็นชุติมาที่เพิ่งมาทำงานวันแรกถือถาดเดินเข้ามาซะก่อน ซึ่งในนั้นมีถ้วยกาแฟที่ส่งกลิ่นหอมวางอยู่

“พอดีพี่เข้าไปในห้องแพนทรี เห็นป้าสมพรกำลังชงกาแฟให้แขกของน้องเดือน พี่เลยอาสาเอามาให้เองจ้ะ” ชุติมาพูดขึ้นยิ้มๆ 

“อ๋อ ขอบคุณพี่ชุมากค่ะ”

“ขอบคุณสำหรับกาแฟนะครับ” 

“ไม่เป็นไรค่ะ” ชุติมาตอบพลางลอบชำเลืองมองนายตำรวจหนุ่มไปพลาง สิตางศุ์เห็นดังนั้นจึงแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน 

“ผู้กองภาคินเป็นลูกค้าของบริษัทเราค่ะพี่ชุ” 

“สวัสดีค่ะผู้กอง” ชุติมายกมือไหว้ตามมารยาทก่อนจะบอกกับสิตางศุ์ “เดี๋ยวพี่ขอตัวไปศึกษางานไปพลางๆ ก่อนนะจ๊ะน้องเดือน”

“ค่ะ เดี๋ยวเดือนตามไป”

หลังลับร่างของชุติมา นายตำรวจหนุ่มที่นั่งละเลียดกาแฟอย่างสบายอารมณ์ก็เอ่ยถามหญิงสาวขึ้นว่า 

“แล้วเมื่อไหร่คุณเดือนจะมีเวลาว่างไปกินข้าวกับผมซะทีล่ะครับ”

คนถูกถามนิ่งคิดไปชั่วครู่ เธอไม่ใช่สาวน้อยวัยไร้เดียงสา ทำไมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับเธอ แม้จะเคยพยายามเปิดใจรับแต่ไม่เคยทำสำเร็จเลยสักครั้ง เธอจึงไม่อยากฝืนใจตัวเอง แต่จะให้ปฏิเสธก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะคำว่าลูกค้าค้ำคออยู่ แถมเป็นลูกค้าชั้นดีไม่เรื่องมากอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเสนออะไรไปก็ไม่เคยปฏิเสธ

“พรุ่งนี้ช่วงบ่ายคุณเมฆสะดวกไหมล่ะคะ” เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุด คงไม่มีวันไหนเหมาะเท่าวันนี้อีกแล้ว

“สะดวกครับ” นายตำรวจหนุ่มตอบโดยไม่ต้องคิด “แล้วคุณเดือนจะสะดวกให้ผมไปรับที่บ้านไหมครับ”

สิตางศุ์ส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรค่ะ เพราะพรุ่งนี้เดือนจะออกไปทำธุระข้างนอกพอดี คุณเมฆบอกสถานที่นัดหมายมาแล้วกัน เดี๋ยวไปเจอกันที่นั่นดีกว่าค่ะ”

ที่ต้องบอกออกไปอย่างนี้เพราะหญิงสาวยังไม่พร้อมให้อีกฝ่ายไปที่บ้าน

“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมโทร. หานะครับ”

“ค่ะ” สิตางศุ์ตอบแล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เมื่อเห็นชุติมาเดินยิ้มๆ เข้ามา “มีอะไรหรือคะพี่ชุ”

“มีโทรศัพท์ของน้องเดือนจ้ะ น่าจะเป็นลูกค้า พี่บอกว่าจะให้น้องเดือนโทร. กลับแต่ทางนั้นก็ไม่ยอมบอกจะรอคุย”

“อ๋อ...ค่ะ” สิตางศุ์พยักหน้าแล้วจึงหันไปบอกนายตำรวจหนุ่ม “เดือนคงต้องขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะคะ”

คนถูกขัดจังหวะลอบถอนหายใจอย่างแสนเสียดาย เขาหรือตั้งใจแวะมาหาโดยใช้สถานะของการเป็นลูกค้าบริษัทเป็นข้ออ้าง หวังจะได้คุยด้วยนานๆ แต่ดูเหมือนอะไรจะไม่เป็นใจเอาซะเลย 

“ตามสบายครับ ผมคงต้องขอตัวเหมือนกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนบ่ายเจอกันนะครับ”

“ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ” 

สิตางศุ์รีบเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง แล้วยกหูโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นพูดทันที

“สิตางศุ์พูดค่ะ”

ทว่า...เสียงตอบรับคือความเงียบ และไม่นานก็กลายเป็นเสียงสายไม่ว่างขึ้นแทน ทำเอาสิตางศุ์ต้องหันไปเอ่ยถามชุติมาที่เดินตามหลังมาติดๆ 

“ไม่ได้ยินเสียงใครเลยค่ะพี่ชุ”

“อ้าว ก็เมื่อกี้พี่ยังคุยกับเขาอยู่เลยนี่นา หรือว่าสายหลุด เดี๋ยวอาจโทร. มาใหม่มังจ๊ะ” 

“อือ อาจเป็นอย่างที่พี่ชุว่าก็ได้ค่ะ” สิตางศุ์พยักหน้ารับอย่างไม่ติดใจอะไรนัก “แล้วเอกสารที่พี่ชุอ่านเป็นไงบ้างคะ ไม่เข้าใจตรงไหนหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจถามเดือนได้เลย”

“พอเข้าใจอยู่จ้ะ เพราะไม่ต่างจากบริษัทเก่าที่พี่ลาออกมานัก”

“ถ้าพี่ชุต้องการอะไรเพิ่มบอกเดือนได้นะคะ”

“จ้ะน้องเดือน”

ความนิยมชมชอบในตัวหญิงสาวสวยที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจากการพบกันครั้งแรกเมื่อวาน เพิ่มพูนมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ไม่นึกสงสัยเลยว่าทำไมใครบางคนถึงไม่อาจลืมได้

ไม่แปลกใจที่บางครั้งคนบางคนเห็นใครครั้งแรกก็ถูกชะตา ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างกับคนบางคนอีกเช่นกัน ที่เห็นใครครั้งแรกก็ไม่นึกถูกชะตาเอาซะเลย ต่อให้อีกฝ่ายทำดีด้วยเท่าไหร่ก็ตามที

“ส่วนเรื่องรูปแบบงานของที่นี่ไม่แตกต่างจากบริษัทอื่นที่ทำธุรกิจคล้ายกันหรอกค่ะพี่ชุ แต่อาจแตกต่างที่รายละเอียดและการบริการหลังการขายที่ลูกค้าติดใจและบอกกันปากต่อปาก”

“ใช่จ้ะ ตามที่พี่อ่านจากเอกสาร น้องเดือนลงรายละเอียดของงานรวมทั้งเรื่องปลีกย่อยต่างๆ ไว้ครบถ้วนดีมาก”

สิตางศุ์ยิ้มแห้งๆ

“ความจริงตอนแรกเดือนไม่ได้ลงรายละเอียดถึงขั้นนี้หรอกค่ะ แต่ทำไปทำมาก็เป็นอย่างที่พี่ชุเห็นแหละค่ะ เลยกลายเป็นว่าใครต่อใครอยากได้ข้อมูลและรายละเอียดของงานก็มาที่แผนกนี้ แทนที่จะไปเอาที่แผนกขาย”

พูดออกไปแล้วหญิงสาวก็หวนนึกถึงใครบางคนขึ้นมาทันที

“อย่างที่พี่บอกไงจ๊ะว่า น้องเดือนเล่นลงรายละเอียดไว้ซะครบถ้วนขนาดนี้ ใครๆ ก็อยากได้แหละจ้ะ แล้วที่บอกลูกค้าติดใจและบอกกันปากต่อปากเนี่ย รวมทั้งผู้กองภาคินรูปหล่อนี่ด้วยหรือเปล่าจ๊ะ”

ชุติมาเลียบเคียงถามยิ้มๆ ในเมื่ออีกฝ่ายให้ความสนิทสนมด้วย เธอจึงกล้าที่จะเอ่ยปากถาม

“ก็...ทำนองนั้นแหละค่ะ”

คนถูกถามบอกด้วยเสียงธรรมดาๆ ราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นดีใจแต่อย่างใด สร้างความสงสัยให้ชุติมาไม่น้อย จนต้องตัดสินใจพูดเลียบเคียงออกไปอีกครั้ง

“พี่มองดูก็รู้ว่าผู้กองภาคินน่ะชอบน้องเดือนแน่นอน แต่ท่าทางของน้องเดือนเหมือนเฉยๆ เลยนะคะ”

สิตางศุ์นิ่งเงียบไปชั่วครู่

“เดือนยังไม่พร้อมจะคิดเรื่องนี้ค่ะพี่ชุ”

คำตอบที่ได้ยินแม้จะอยากถามต่อแต่ชุติมาจำต้องยั้งปากเอาไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นละลาบละล้วงไป แต่แค่นี้ใครบางคนได้ฟังคงยิ้มออกแล้ว

คิดแล้วก็ขำที่อยู่ๆ ตัวเองก็กลายมาเป็นสปายซะงั้น

เช้าวันรุ่งขึ้น

“ดาว”

เสียงเรียกของสิตางศุ์ทำให้กัตติกาที่นอนเขลงอยู่บนโซฟาละสายตาจากหนังสือนิยายจีน ที่ตัวเองกำลังติดอย่างงอมแงมจนไม่เป็นทำอะไร 

“แกแต่งตัวแบบนี้ยังกับจะออกไปข้างนอก จะไปไหนหรือเดือน หรือว่ามีนัดกับหนุ่ม” ถามพลางหรี่ตามองอย่างสงสัย

“อือ” คนเป็นญาติพยักหน้ารับ

“ใคร” คนถามถามต่อทันที

“ผู้กองภาคินนั่นแหละ เขานัดฉันมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่ได้ไปซะที วันนี้วันหยุดเลยถือโอกาสรับนัดซะหน่อย”

คราวนี้คนฟังจากแค่ละสายตาถึงกับวางหนังสือในมือลงแล้วเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที

“อีตาตำรวจที่ฉันฟังแค่ชื่อแล้วไม่นึกถูกชะตานั่นน่ะหรือที่นัดแก”

สิตางศุ์ฟังแล้วอดหัวเราะคิกออกมาไม่ได้

“คนนั้นนั่นแหละ”

กัตติกานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนหัวคิ้วเรียวทั้งคู่จะขมวดเข้าหากัน ราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

“แกนัดเขากี่โมง”

“บ่ายโมง”

“ที่ไหน”

สิตางศุ์บอกสถานที่กับญาติสาวก่อนจะมองหน้าคนถามอย่างสงสัย

“แกถามยังกับจะไปด้วยอย่างนั้นแหละ”

“เปล๊า” คนตอบตอบเสียงสูง “ฉันจะได้ไปส่งไง”

คนเป็นญาติมองหนังสือนิยายจีนที่วางอยู่ข้างๆ ของอีกฝ่ายพลางยิ้มกว้าง

“แกจะทิ้งหนังสือนิยายจีนที่กำลังติดงอมแงมไปได้หรือดาว ฉันเห็นแกคร่ำเคร่งอ่านมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

กัตติกาเหลือบตามองหนังสือนิยายจีนเล่มโปรดตาละห้อย แม้จะอยากอ่านต่อใจแทบขาดเพราะถึงตอนไคลแมกซ์สำคัญแล้ว แต่จำต้องอดใจไว้ก่อน

“ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวกลับมาอ่านก็ได้ แกรอฉันแป๊บเดียว ขออาบน้ำก่อน” 

“อือ” สิตางศุ์มองท่าทางกระตือรือร้นของญาติสาวที่ลุกขึ้นวิ่งเข้าห้องนอนอย่างขำๆ นี่อีกฝ่ายอยากจะไปส่งเธอมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ทั้งที่ปกติถ้าเป็นวันหยุดและกำลังติดนิยายแบบนี้ เวลาจะชวนไปไหนแต่ละทีนั้นยากเย็น

“ส่งฉันแล้วแกไปไหนต่อหรือเปล่าดาว” 

สิตางศุ์เอ่ยถามกัตติกาหลังอีกฝ่ายขับรถมาส่งยังสถานที่ที่เธอนัดหมายกับนายตำรวจหนุ่ม แต่แทนที่คนถูกถามจะตอบสิ่งที่ถาม กลับพูดไปคนละเรื่องซะงั้น

“วันนี้แกแต่งตัวสวยผิดปกตินะเดือน จะทักตั้งแต่อยู่ที่บ้านแล้ว”

“...”

คนถูกชมว่าแต่งตัวสวยอึ้งไปชั่วอึดใจแต่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป แล้วก็ยิ้มออกนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดประโยคถัดมา

“หรือแกมีใจให้กับตาผู้กองนั่น”

สิตางศุ์ยังไม่ทันตอบเจ้าของคำถามก็พูดต่อด้วยเสียงสูงๆ อีกว่า

“ยิ้มนี่หมายความว่าฉันเข้าใจถูกต้อง?”

น้ำเสียงของญาติสาวทำเอาสิตางศุ์ที่ตอนแรกแค่ยิ้ม ถึงกับหัวเราะคิกออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“ฉันแต่งตัวสวยตรงไหนไม่ทราบ” พูดพลางก้มลงมองการแต่งกายของตัวเอง เธอเลือกสวมเสื้อผ้าสบายๆ ให้เหมาะสมกับวันหยุด ซึ่งก็เป็นเพียงกางเกงยีนสีซีดเก้าส่วนปลายขารุ่ยกับเสื้อเชิ้ตสีขาวเข้ารูปขลิบสีเทาเข้มที่ปกกับปลายแขน ซึ่งเป็นชุดธรรมดาๆ ไม่ได้สะสวยตรงไหน และที่ไม่ได้หยิบมาสวมใส่บ่อยนักเพราะปกติสวมแต่ชุดทำงาน วันหยุดส่วนใหญ่ก็อยู่แต่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหน “ก็แค่ชุดธรรมดา ผิดปกติตรงไหนมิทราบ”

“แกตอบไม่ตรงคำถาม” คนรอคำตอบพูดเสียงขุ่น

“ไม่ตรงยังไง” สิตางศุ์ย้อนถามยิ้มๆ “แกพูดเองว่าฉันแต่งตัวสวยผิดปกติก็เลยอธิบายให้ฟังไง ตัวแกก็ตอบไม่ตรงกับที่ฉันถามเหมือนกัน”

กัตติกาส่งค้อนให้คนเป็นญาติขวับใหญ่

“นี่แกกลายเป็นคนพูดจาโยกโย้อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเดือน แกก็รู้นี่นาว่าคำตอบที่ฉันต้องการรู้น่ะคืออะไร”

“อ๋อ...” คนถูกหาว่าเป็นคนพูดจาโยกโย้แกล้งลากเสียงยาว “แกอยากรู้ว่าฉันมีใจให้ผู้กองภาคินหรือเปล่าใช่ไหม”

“ก็...ทำนองนั้นแหละ แค่อยากรู้”

คนที่บอกแค่อยากรู้ตอบอึกอักเล็กน้อย ทว่าดวงตากลมโตฉายแววอยากรู้ออกมาอย่างปิดไม่มิด คนถูกถามเห็นแล้วนึกอยากจะแกล้งไม่ตอบนัก แต่ถ้าทำอย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงจะเซ้าซี้ถามไม่เลิกราเป็นแน่ 

“ไม่ใช่อย่างที่แกคิด ใจฉันยังไม่พร้อมจะเปิดรับใคร”

คนอยากรู้เผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะตัวเองไม่อยากให้คนเป็นญาติมีใจชอบคนที่ไม่นึกถูกชะตาตั้งแต่ได้ยินแค่เสียงยังไม่เห็นหน้า

ชิ...เป็นตำรวจแต่ดันชื่อเหมือนดารานักร้องซะงั้น มันใช่ไหมล่ะ ทั้งที่รู้ว่าเหตุผลของตัวเองนั้นช่างไม่มีน้ำหนักเอาซะเลย แต่ก็มองข้ามไปซะงั้น

ในหนังสือนิยายที่เธออ่านไม่ว่าจะนิยายไทยหรือจีน มักจะพบวลีที่ว่าความรักมักไม่มีเหตุและผล ความไม่ชอบของเธอก็ย่อมไม่มีเหตุผลได้ด้วยเช่นกัน

“ที่แกถามเนี่ยกลัวว่าฉันจะชอบคุณเมฆหรือไงดาว”

“ใช่” คนถูกถามพยักหน้าตอบทันที โดยไม่ต้องหยุดคิดใคร่ครวญแม้สักนิด ก่อนคิ้วเรียวสวยจะขมวดเข้าหากัน “เมื่อกี้แกเรียกอีตาผู้กองนั่นว่าอะไรนะเดือน”

“อ๋อ ผู้กองภาคินมีชื่อเล่นว่าเมฆน่ะ” สิตางศุ์บอกยิ้มๆ 

“แหม ชื่อเล่นว่าเมฆ ชื่อสูงซะยังกับอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าเชียวนะ” แต่ยังไงก็แพ้พระอาทิตย์อยู่วันยังค่ำ

ประโยคแรกคนพูดพูดด้วยเสียงสูงแฝงแววค่อนแคะ แต่ประโยคสุดท้ายคนถือหางพระอาทิตย์เพียงแต่คิดอย่างเดียวไม่ได้พูดออกมา

“แหม...” สิตางศุ์ลากเสียงยาวกับคำพูดของญาติสาวแล้วอดยิ้มอย่างขบขันไม่ได้ “ลืมไปหรือไงว่าชื่อของแกกับฉันก็อยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าเหมือนกัน ไม่แพ้คุณเมฆหรอกน่า”

ทว่าเมื่อพูดออกไปแล้วสีหน้าที่เจือไปด้วยรอยยิ้มขำค่อยๆ เลือนหาย เมื่อนึกถึงชื่อของใครบางคนที่ชอบวนเวียนเข้ามาอยู่ในห้วงสำนึกอยู่ร่ำไป เพราะเป็นชื่อที่อยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าเช่นเดียวกัน

“อือ ฉันลืมข้อนี้ไปจริงๆ” กัตติกานึกตามพลางหัวเราะออกมาเบาๆ จึงไม่ได้ผิดสังเกตกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคู่สนทนา “แล้วเมื่อกี้ที่แกบอกว่ายังไม่พร้อมเปิดใจให้ใคร แสดงว่าใจแกยังมีพี่ซันอยู่ใช่ไหม”

คนกำลังนึกถึงชื่อของคนที่ถูกเอ่ยถึงอยู่พอดีส่งค้อนให้คนเป็นญาติขวับใหญ่ แหม...ถามออกมาราวกับรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่อย่างงั้นแหละ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงขุ่น

“ตกลงว่าแกอยากรู้เรื่องอะไรกันแน่หรือดาว” 

“ฉันก็...ถามออกไปอย่างนั้นเอง แกไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้นี่นา” คนอยากรู้ตอบอ้อมแอ้มพลางยิ้มแห้งๆ ส่งให้

คนไม่อยากตอบไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหนส่งค้อนให้อีกครั้ง

“แล้วเมื่อกี้ฉันถามว่าแกจะไปไหนต่อ แกยังไม่ตอบฉันเลยนะดาว”

“อ๋อ...” กัตติกาลากเสียงบ้าง “ฉันว่าจะไปซื้อของใช้เข้าบ้านน่ะ” ตอบพลางชำเลืองมองไปยังร้านอาหารตรงหน้าแวบหนึ่ง “แล้วแกจะให้ฉันแวะมารับหรือเปล่าล่ะ”

คนถูกถามนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า ให้มารับก็ดีเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวนายตำรวจหนุ่มก็คงขอไปส่งที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นเธออาจจะปฏิเสธได้ยาก

“แกแวะมารับฉันก็ได้”

“โอเค ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันกะเวลาแล้วจะมารับ แกเข้าไปข้างในเหอะ หวังว่าตาผู้กองนั่นคงมาแล้วนะ”

เสียงขึ้นจมูกของญาติสาวทำเอาสิตางศุ์หัวเราะออกมาเบาๆ เชื่อแล้วว่าเจ้าตัวคงไม่ถูกชะตากับนายตำรวจหนุ่มจริงๆ 

“เขาเป็นคนนัดก็ต้องมาก่อนสิ แล้วแกนี่ท่าจะเป็นเอามากนะ หน้าตาของเขาก็ยังไม่เคยเห็น แค่ได้ยินชื่อก็ตั้งป้อมไม่ถูกชะตาไว้ซะแล้ว”

“มีถมเถไปที่ได้ยินชื่อแล้วไม่ถูกชะตา คงไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวหรอกน่า” คนไม่ถูกชะตาตั้งแต่ได้ยินแค่ชื่อเถียงทันควัน

“แล้วถ้าแกเจอตัวจริงจะเป็นยังไงล่ะนี่”

“จะเป็นยังไง จากไม่ถูกชะตาอาจกลายเป็นเกลียดขี้หน้าไปเลยก็ได้” กัตติกาตอบพลางเบ้ริมฝีปาก “แกรีบเข้าไปข้างในเหอะ”

 


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น