สิตางศุ์มองหน้าของญาติผู้พี่แล้วนึกอยากจะพูดออกไปนักว่า ระวังไว้เหอะ เกลียดอะไรมักจะได้อย่างนั้น แต่ยั้งปากไว้ได้ทัน ก่อนจะก้าวลงจากรถแล้วเดินตรงไปยังร้านอาหารตรงหน้า ทว่าก็อดที่จะกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ ไม่ได้
นี่หรือร้านอาหารไทยที่นายตำรวจหนุ่มบอกว่าเป็นของพี่สาวเพื่อนเขา และที่สำคัญเพิ่งเปิดใหม่
ทว่า...ตามความรู้สึกที่ตัวเธอได้สัมผัส หญิงสาวมองว่าร้านอาหารตรงหน้ามองยังไงก็ไม่น่าใช่ไทยแท้ๆ
แม้ว่าการตกแต่งจะเป็นแบบไทยๆ แต่คล้ายกับเป็นการจัดฉากหรือไม่ก็ทำตามกระแสนิยมซะมากกว่า ดูเน้นย้ำเรื่องเครื่องแต่งกายของพนักงานที่แต่งชุดไทยเต็มยศมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นโจงกระเบนกับเสื้อลูกไม้ฟูฟ่อง ซึ่งไม่เหมาะกับอากาศร้อนๆ ของเมืองไทยเลยสักนิด
อาจเป็นเพราะได้รับผลพวงมาจากละครหลังข่าวช่องหนึ่ง ที่นำละครสมัยโบราณมาออนแอร์จนเกิดเป็นกระแสในโลกโซเชียล และออกสู่โลกภายนอกจนผู้คนคลั่งไคล้กันทั่วบ้านทั่วเมือง บวกกับคนไทยตกอยู่ในช่วงโหยหาอดีตก็เป็นได้
ซึ่งคงไม่ผิดอะไรกับเธอในตอนนี้ที่โหยหาอดีตเช่นกัน เพียงแต่คนละความหมาย เพราะของเธอแค่อยากกลับไปแก้ไขเรื่องราวในอดีตเท่านั้น
ขณะเท้าทั้งคู่กำลังจะก้าวเข้าไปภายในร้าน ไม่รู้อะไรทำให้เหลียวกลับไปมองรถของผู้เป็นญาติสาว ที่เจ้าตัวบอกว่าจะไปซื้อของใช้ ทว่ายังคงติดเครื่องจอดอยู่ที่เดิม จึงเดินย้อนกลับไปหาแล้วเคาะกระจก
“ทำไมแกยังไม่ไปอีกล่ะดาว”
กัตติกากดกระจกลงก่อนตอบ
“กำลังจะไปเดี๋ยวนี้แหละ พอดีนั่งคิดอะไรเพลินไปนิด ฉันไปล่ะนะ”
บอกพลางพารถเคลื่อนออกไปทันที ซึ่งสิตางศุ์คงไม่รู้หรอกว่าหลังจากตัวเองเดินเข้าไปในร้าน คนเป็นญาติกลับจอดรถอยู่บริเวณใกล้ๆ ไม่ได้ไปซื้อของใช้อย่างที่บอกแต่อย่างใด ด้วยมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงอยู่
เพราะกัตติกาเชื่อมั่นในความรู้สึกว่า สิตางศุ์ไม่ได้ลืมนภเกตน์อย่างที่บอกปาวๆ อยู่บ่อยครั้งเป็นแน่ อีกทั้งยังเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองอยู่ลึกๆ ว่า ผู้ชายอย่างนภเกตน์ไม่น่าจะเป็นดังเช่นที่ถูกกล่าวหาไปได้
แล้วที่สำคัญคือเธอรู้สึกไม่ถูกชะตากับตาผู้กองชื่อเมฆอย่างยิ่งยวด ดังนั้นจะต้องทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวางให้ถึงที่สุดให้ได้
สิตางศุ์สาวเท้าเข้าไปภายในร้านอาหารไทยที่มีชื่อเพราะพริ้งว่าเรือนซ่อนกลิ่นด้วยท่าทีไม่รีบร้อนนัก แล้วอดอมยิ้มกับชื่อนำหน้าของร้านไม่ได้ ตอนนี้ร้านอาหารไทยส่วนใหญ่มักจะมีคำนำหน้าว่าเรือน ซึ่งเหตุผลของการตั้งชื่ออาจเป็นเพราะคำว่าเรือน สื่อความหมายแสดงความเป็นไทยออกมาได้อย่างชัดเจนก็เป็นได้
เมื่อนึกถึงเรื่องการตั้งชื่อ พานทำให้หญิงสาวนึกถึงเคียงจันทร์รีสอร์ตและโฮมสเตย์ของผู้เป็นตาขึ้นมาในทันใด เพราะตอนนั้นถ้าเธอไม่พูดคัดค้านกึ่งขอร้องเอาไว้ ชื่อของเธอคงจะกลายเป็นชื่อรีสอร์ตและโฮมสเตย์ไปแล้ว แต่จะว่าไปแล้วชื่อเคียงจันทร์ก็ไม่หนีชื่อของเธออยู่ดี เพราะความหมายของพระจันทร์กับเดือนคือความหมายเดียวกัน
ครั้นนึกถึงพระจันทร์ขึ้นมา ใจดันไพล่ไปนึกถึงคนที่ชื่อแปลว่าพระอาทิตย์ เมื่อในอดีตยังนึกปลื้มปริ่มว่าชื่อเธอกับเขาช่างมีความหมายเหมาะสมกันนัก เหมือนคำในนิยายจีนที่ว่าสวรรค์สร้าง
เมื่อรู้ตัวว่าเผลอคิดเรื่องที่ว่า ก็ยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเองเบาๆ เป็นทั้งการเตือนสติและพร่ำบอกกับตัวเองว่า
มีสติหน่อยสิเดือน!
อย่าลืมสิว่าตอนนี้เธอกำลังมีนัดกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ แล้วไปคิดถึงผู้ชายอีกคนทำไม สติ สติ ท่องไว้
ไม่รู้เป็นไงสิน่า เห็นอะไรชอบเก็บมาโยงกับคนผู้นั้นอยู่ร่ำไป บ้าจริงๆ
ครั้นเก็บสติคืนกลับมาได้ สิตางศุ์ก็รีบปัดสิ่งที่กำลังคิดออกไปจากสมองทันที แม้จะไม่หมดซะทีเดียว นึกเบื่อหน่ายตัวเองที่ไม่รู้จักลืมซะที คิดซ้ำคิดซากวนเวียนไม่รู้จักจบสิ้น ถ้ามีแม่น้ำลืมเลือนอดีตแบบในหนังสือนิยายจีนก็ดีสิ จะขอลงไปดำผุดดำว่ายและนำมาดื่มให้จุใจ จะได้ลืมเลือนอดีตซะให้หมดสิ้น
สิตางศุ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วรีบเดินเร็วๆ เข้าไปในร้าน สิ่งแรกที่เธอสัมผัสได้คือสายลมเย็นที่โชยพัดปะทะผิวกาย เรียกความสดชื่นให้เกิดขึ้นทันที ความคิดแรกครั้งที่มองเห็นพนักงานสวมชุดไทยเต็มยศแล้วคิดว่าไม่เหมาะกับอากาศร้อนอบอ้าวก็เริ่มเปลี่ยนไปทันที
หญิงสาวคิดว่า ถ้าลมพัดโชยขนาดนี้ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคกับชุดไทยเต็มยศที่พนักงานสวมใส่เป็นแน่ ซึ่งสายลมเย็นที่ว่าน่าจะมาจากบรรดาต้นไม้ใหญ่ที่อยู่รอบๆ ด้านเป็นแน่ บวกกับบึงขนาดใหญ่ทางด้านหลังที่เธอเพิ่งสังเกตเห็นตอนเดินเข้ามา ซึ่งในนั้นเต็มไปด้วยดอกบัวสีชมพูสดใสกำลังชูช่อสล้างอยู่เต็มบึง
และแล้วดวงตาของสิตางศุ์ก็เบิกโตขึ้นเมื่อมองเห็นโต๊ะอาหาร ที่ถูกจัดวางตามมุมต่างๆ อย่างเหมาะเจาะกับภูมิทัศน์ บางโต๊ะใช้แคร่แบบโบราณตั้งตรงกลาง โดยลูกค้านั่งอยู่บนพื้นที่ถูกปูด้วยเสื่อหนาๆ และมีเบาะนุ่มๆ รองรับอีกชั้น
สิตางศุ์มองแล้วอดนึกตำหนิความคิดตัวเองไม่ได้ ที่ยังเห็นอะไรไม่ละเอียดถี่ถ้วน ก็นึกวิจารณ์เอาไว้ล่วงหน้าก่อนซะแล้ว ซึ่งคงไม่ต่างอะไรกับญาติสาวที่ยังไม่เคยเห็น หรือรู้จักมักจี่กับนายตำรวจหนุ่ม ก็ตั้งแง่ไม่ถูกชะตาไว้ก่อนเช่นกัน
ขณะกำลังหันรีหันขวางเตรียมจะหยิบสมาร์ตโฟนออกมา เพื่อโทร. หานายตำรวจหนุ่มอยู่นั้น ก็ต้องชะงักท่าทีเมื่อเห็นพนักงานสาวสวยในชุดไทยเต็มยศ เดินตรงรี่เข้ามาหาพร้อมด้วยรอยยิ้มในหน้า
“ขอโทษนะคะ ใช่คุณสิตางศุ์หรือเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ” สิตางศุ์พยักหน้ารับพลางยิ้มตอบ
“ถ้าอย่างนั้นเชิญด้านนี้เลยค่ะ”
พูดจบพนักงานสาวก็เดินนำหน้าไปทันที ซึ่งด้านนี้ที่อีกฝ่ายพูดคือด้านหลัง ซึ่งถูกโอบล้อมด้วยบึงขนาดใหญ่ที่เธอเห็นตอนเดินเข้ามานั่นเอง และสิตางศุ์ก็ต้องเบิกตาโตอีกครั้ง เมื่อเห็นโต๊ะอาหารที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยไม้เป็นแผ่นๆ โดยไม่มีการขัดเงาใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวโต๊ะหรือเก้าอี้ ทำให้เห็นลายของไม้ได้อย่างชัดเจน เพียงแต่บนเก้าอี้มีเบาะลายไทยสีสันสดใสวางอยู่เท่านั้น
บางโต๊ะด้านหนึ่งจัดวางม้านั่งยาวส่วนอีกด้านเป็นเก้าอี้ และถูกทาสีแตกต่างกันแต่มองดูกลมกลืนไม่ขัดตา โดยทุกตัวมีเบาะวางอยู่เช่นกัน
สิ่งที่เตะตาสิตางศุ์ที่สุดคงเป็นโต๊ะที่ใช้ชิงช้าไม้แบบโบราณสองตัวหันหน้าเข้าหากัน มีหลังคากันแดดกันฝนทำจากไม้ระแนงสีน้ำตาลเข้ม มีโต๊ะสีเดียวกันทำจากไม้แผ่นใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง บนชิงช้าด้านหนึ่งมีร่างสูงโปร่งของนายตำรวจหนุ่มนั่งเอนกายในท่วงท่าสบายและกำลังส่งยิ้มมาให้
“สวัสดีครับคุณเดือน”
“สวัสดีค่ะคุณ...เมฆ” หญิงสาวทักทายตอบเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย ด้วยยังไม่ชินกับการเรียกชื่อเล่นอีกฝ่ายก่อนจะทรุดนั่งลงฝั่งตรงกันข้าม
“เดินทางมาที่นี่ลำบากหรือเปล่าครับ”
สิตางศุ์ส่ายหน้าแล้วส่งยิ้มน้อยๆ ให้
“ไม่ลำบากหรอกค่ะ”
“อ้อ...ครับ ผมเป็นห่วงว่าคุณเดือนจะเดินทางลำบาก แต่จะแวะไปรับก็ไม่ยอม” คนอยากไปรับอดพูดออกมาไม่ได้
“พอดีญาติขับรถมาส่งค่ะ”
“แล้วบรรยากาศของร้านเป็นไงบ้างครับ ดีอย่างที่ผมบอกหรือเปล่า”
คราวนี้คนถูกถามยิ้มกว้าง
“บรรยากาศดีมากค่ะ อากาศเย็นสบายไม่ร้อนอบอ้าวอย่างที่คิด” สิตางศุ์พูดแล้วก็นึกละอายใจนักที่ตอนแรกมองที่นี่ผิดไป
“ผมดีใจครับที่คุณเดือนชอบ” นายตำรวจหนุ่มพูดพลางส่งยิ้มกว้างจนตายิบหยี ก่อนจะใช้สายตาสำรวจหญิงสาวนิ่งๆ “ผมไม่เคยเห็นคุณเดือนแต่งกายลำลองแบบนี้มาก่อน เห็นแต่แต่งชุดทำงานตลอด”
ความจริงภาคินตั้งใจจะเอ่ยคำว่า วันนี้คุณเดือนแต่งตัวสวยจัง แต่ปากดันพูดออกไปอีกอย่างซะงั้น
“ปกติทุกวันเดือนแต่งแต่ชุดทำงาน ส่วนวันหยุดก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน อยู่บ้านซะมากกว่าค่ะ”
สิตางศุ์ไม่รู้ว่าจะตอบอะไร ซึ่งไม่ใช่เป็นเพราะความเคอะเขินอย่างแน่นอน
“สวยครับ” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยชมด้วยอยากเห็นท่าทีเอียงอายของอีกฝ่าย เพราะนั่นหมายถึงการมีใจให้ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อไม่มีปฏิกิริยาเช่นนั้นปรากฏให้เห็นน็แม้แต่น้อย คงมีแต่เพียงรอยยิ้มน้อยๆ ประดับบนใบหน้าเช่นเดิม
“ขอบคุณค่ะ”
“แล้ววันนี้คุณเดือนอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ แต่ผมบอกไว้ก่อนนะครับว่าอาหารส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นไทยแท้ๆ ดังนั้นรสชาติจะค่อนข้างจัดจ้าน ไม่รู้จะถูกปากคุณเดือนหรือเปล่า”
“อ๋อค่ะ” สิตางศุ์พยักหน้าพลางยิ้ม “คุณเมฆไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้หรอกค่ะ พื้นเพเดือนเป็นคนต่างจังหวัดจึงชินกับอาหารรสจัดจ้านอยู่แล้วค่ะ...”
คนพูดพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องชะงักคำพูดลงกลางคัน เมื่อเห็นร่างสูงเพรียวของกัตติกาเดินลิ่วๆ ตรงเข้ามาหา จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อ้าว...ดาว ไหนบอกว่าจะไปซื้อของไงล่ะ”
กัตติกาส่งยิ้มแหยๆ ให้ พลางเหลือบตามองคนไม่ถูกชะตาตั้งแต่ได้ยินชื่อแวบหนึ่ง
“คือ...ตอนแรกก็ตั้งใจจะไปอย่างที่บอกแกนั่นแหละ แต่เผอิญหิวข้าวเลยแวะมาหาแก กะมากินด้วย” พูดจบก็นั่งลงข้างญาติสาวแล้วยกมือไหว้คนนั่งตรงข้าม พร้อมกับแนะนำตัวเสร็จสรรพ “สวัสดีค่ะ ชื่อกัตติกา เป็นญาติกับเดือน คงไม่รังเกียจนะคะ ถ้าจะขอนั่งกินข้าวด้วยอีกคน”
หลังแนะนำตัวเองเสร็จกัตติกาก็หรี่ตามองผู้ชายที่เธอเพียงได้ยินชื่อก็ไม่ถูกชะตาอย่างเพ่งพิศ แม้จะรู้ว่าอาจเป็นการเสียมารยาทไปบ้าง ครั้นมองแล้วก็เห็นด้วยกับความคิดของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
คนอะไรตอนได้ยินชื่อก็ไม่ถูกชะตาแล้ว ยิ่งมาเห็นหน้ายิ่งไม่ถูกชะตาเข้าไปใหญ่
“ได้ยินเดือนบอกว่าคุณเป็นตำรวจหรือคะ”
“ครับ”
ตำรวจอะไรหน้าขาวราวกับไอดอลของจีนที่ตัวเธอเป็นติ่งอยู่ เหมือนเซียวจ้านผสมกับหวังอี้ป๋อก็ไม่ปาน ไม่สมกับเป็นตำรวจเลย หรือจะเป็นพวกวางฟอร์มว่าเป็นชายแท้ แต่ที่แท้เป็นของเทียมที่ตอนนี้มีอยู่เกลื่อนเมือง
ตำรวจอะไรแต่งตัวยังกับนายแบบ เสื้อที่เห็นนั่นมันของแบรนด์เนมชัดๆ กางเกงยีนที่แม้จะเห็นไม่ชัดเจนนักแต่กะด้วยสายตาคร่าวๆ นั่นก็ไม่พ้นของแพงเช่นกัน พวกบ้าวัตถุนิยม ขัดตาชะมัด
แล้วตำรวจอะไรรูปร่างสะโอดสะอง อย่างนี้จะวิ่งตามผู้ร้ายทันเหรอ แค่สามก้าวก็ลิ้นห้อยแล้วมั้ง กัตติกาหาข้อตำหนิคนที่ตัวเองไม่ถูกชะตาเป็นข้อๆ ราวกับเป็นกรรมการกองประกวดกำลังให้คะแนนผู้เข้าประกวดยังไงยังงั้น พลางส่ายหน้าไปพลาง
เฮ้อ...มองยังไงก็ไม่ผ่านเกณฑ์ ตกตั้งแต่รอบคัดเลือก ไม่ต้องถึงรอบแรกหรอก
ทางด้านคนถูกมองสำรวจราวกับจะคัดตัวเขาไปเข้าประกวดอะไรสักอย่างยกมือขึ้นรับไหว้แขกไม่ได้รับเชิญ ซึ่งมีดวงหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับผู้หญิงที่ตัวเองต้องตาด้วยท่าทีงุนงงสงสัย
แต่ทันใดนั้น จู่ๆ หัวใจก็เต้นกระหน่ำตึ้กตั้ก ตึ้กตั้ก อย่างไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองมาก่อน จนกระทั่งต้องยกมือขึ้นจับตรงอกข้างซ้ายนิ่งๆ รู้สึกวิตกกังวลลึกๆ ว่าตัวเองมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับหัวใจหรือเปล่า แต่ปากก็ตอบออกไปว่า
“สวัสดีครับคุณกัตติกา”
“ค่ะ แล้วตกลงว่ารังเกียจหรือเปล่าคะที่จะขอนั่งร่วมโต๊ะด้วย”
สิตางศุ์เหลือบมองสีหน้าและท่าทางของคนถามแล้วให้นึกขบขันอยู่ในใจ นั่งปักหลักขนาดนี้ยังจะกล้าถามเขาว่ารังเกียจหรือเปล่าอีก แล้วใครจะกล้าตอบว่ารังเกียจเล่า
“ไม่หรอกครับ เชิญตามสบาย”
นายตำรวจหน้าหล่ออินเทรนด์ตอบพลางคิดอยู่ในใจ จะให้เขาตอบออกไปว่ารังเกียจหรือไง ใครจะกล้า อีกทั้งสายตาของเจ้าหล่อนที่มองเขานอกจากจะสำรวจตรวจตรายังเจือไปด้วยแววอริ คล้ายกับเขาเป็นศัตรูมาแต่ชาติปางก่อนก็ไม่ปาน แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้เขาไม่น้อย คือเรื่องที่เขาไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดหรือผิดหวังสักเท่าไหร่ กับการที่อีกฝ่ายเข้ามาเป็นอุปสรรคขัดขวางการเดตครั้งแรกของเขา หรือจะเรียกตรงๆ คือก้างขวางคอ
ซึ่งตามความเป็นจริงไม่ควรรู้สึกเช่นนี้ ควรต้องโกรธเคืองและอารมณ์เสียสิเมฆ นายตำรวจหนุ่มบอกตัวเองอย่างงุนงงสงสัย
“ขอสั่งอาหารเลยได้ไหมคะ”
“ตามสบายเลยครับ”
คนเป็นแขกไม่ได้รับเชิญลอบยิ้ม ตามสบายอย่างแน่นอนไม่ต้องห่วง แต่คุณอาจจะลำบากหน่อยนะคุณผู้กอง กัตติกาคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ถ้าอย่างนั้นไม่เกรงใจละค่ะ”
พูดจบกัตติกาก็หยิบเมนูขึ้นมาดู สักพักก็สั่งอาหารรัวๆ กับพนักงานเสิร์ฟที่ยืนรออยู่ทันที
“แย้ผัดเผ็ด กบผัดเผ็ด หมูป่าผัดเผ็ด แคบหมูผัดพริกขิง ปลาไหลผัดเผ็ด ปลาดุกผัดเผ็ดทอดกะเพรากรอบ ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม แค่นี้ก่อนนะคะ”
ภาคินได้ยินรายการอาหารแล้วถึงกับอึ้ง เอ้อ...อย่างนี้กระมังที่เรียกว่าไม่เกรงใจของจริง เพราะแม่เจ้าประคุณสั่งรวดเดียวเจ็ดอย่าง แค่อาหารจานแรก คนไม่เคยสั่งกินมาก่อนอย่างเขาถึงกับลอบถอนหายใจอย่างหนัก เพื่อนของเขาที่เป็นน้องชายเจ้าของร้าน แนะนำเขาหลายครั้งแล้วให้ลองกินแต่ก็ไม่เคยกล้าสั่งกิน ต่อให้อาหารที่ปรุงมาแล้วหน้าตาน่ากินยังไง ทว่าเมื่อนึกถึงตัวของมันเขาก็กินไม่ลงอยู่ดี
แล้วนี่แม่เจ้าประคุณสั่งจ๋อยๆ อย่างคล่องแคล่ว ประหนึ่งว่าทุกจานที่สั่งเป็นอาหารโปรดยังไงยังงั้น
“เดี๋ยวรอก่อนนะคะ”
สิตางศุ์เรียกพนักงานที่กำลังจะเดินผละไปหลังจดรายการอาหารเสร็จ ก่อนจะหันไปทางนายตำรวจหนุ่มอย่างรู้สึกสงสาร เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าคนเป็นญาติสั่งมาเพื่อแกล้งอีกฝ่ายแน่นอน
“คุณเมฆกินได้หรือเปล่าคะ มีแต่อาหารรสจัดๆ ทั้งนั้น”
คนถูกถามยังไม่ทันตอบ กัตติกาก็ชิงพูดออกมาซะก่อนว่า
“ขอโทษค่ะ คุณ...ชื่ออะไรนะคะ”
คำถามที่ถามไม่ได้ใกล้เคียงกับที่สิตางศุ์ถามเลยแม้แต่น้อย
“ภาคิน หรือจะเรียกว่าเมฆก็ได้ครับ”
“อ๋อ เรียกภาคินดีกว่า” สะดวกปากมากกว่าค่ะ
กัตติกาตอบทันที แต่ประโยคสุดท้ายที่ว่าสะดวกปากมากกว่านั้น แค่คิดในใจไม่ได้พูดออกมา
“ตามสบายครับ”
กัตติกาลอบยิ้มในใจ รับรองว่าสบายแน่นอน
“เมื่อกี้คุณเดือนพูดว่าอะไรนะครับ” ภาคินเอ่ยถามสิตางศุ์เพราะเมื่อกี้ไม่ทันฟัง
“อ๋อ เดือนถามว่าคุณเมฆจะกินได้หรือเปล่า เพราะมีแต่อาหารรสจัดๆ ทั้งนั้น”
คนถูกถามยังไม่ทันตอบกัตติกาก็ชิงพูดแทรกขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง
“คือเมื่อกี้ฉันลืมตัว เลยสั่งแต่อาหารจานโปรดของตัวเองทั้งนั้น หวังว่าคุณคงกินได้นะคะ”
นายตำรวจหนุ่มมัวแต่อึ้งจึงยังไม่ทันตอบ กัตติกาจึงถือโอกาสพูดต่อทันควัน
“เอาน่าเดือน คุณภาคินคงกินได้แหละ เท่าที่เห็นผู้ชายส่วนใหญ่ชอบกินอาหารป่ากันทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะคนเป็นตำรวจใช่ไหมคะ”
“ก็...พอได้อยู่ครับ”
ปากของภาคินตอบว่าพอได้ก็จริง แต่ครั้นนึกถึงกบผัดเผ็ดกับอาหารป่าอีกหลายอย่างที่อีกฝ่ายสั่งไปแล้วอดสยองไม่ได้ เขาจัดว่าเป็นคนส่วนน้อยที่ไม่นิยมกิน อาหารที่เขากินได้คงมีแค่แคบหมูผัดพริกขิง ซึ่งเป็นอาหารแนะนำของที่นี่และเขาสั่งประจำเท่านั้น
ตำรวจต้องกินอาหารป่าเป็นทุกคนหรือไง ไม่รู้ว่าเอาความคิดนี้มาจากไหน แต่...นั่นเป็นเพียงความคิดในใจของเขาเท่านั้น
ท่าทางและสีหน้าของนายตำรวจหนุ่มไม่อาจรอดพ้นสายตาคอยจับจ้องของกัตติกาไปได้ หญิงสาวสะอกสะใจยิ่งนัก เพราะจากท่าทางที่เห็นย่อมบ่งบอกว่า นายตำรวจหน้าตาประหนึ่งไอดอลของจีนกินอาหารที่ตัวเธอสั่งไม่ได้อย่างที่ปากพูดแน่นอน
“ถ้ากินได้ก็ดีค่ะ” กัตติกาพูดยิ้มๆ แล้วจึงหันไปทางพนักงานที่ยืนรอ “ตกลงเอาตามที่สั่งนี่แหละค่ะ”
สิตางศุ์ชำเลืองมองญาติสาวแล้วอดส่ายหน้าไม่ได้ ขยับปากจะพูดอะไรแต่ไม่ทันอีกเช่นเคย
“คืออาหารที่สั่งเป็นของโปรดของฉันกับเดือนค่ะ เป็นอาหารพื้นบ้านที่เราสองคนคุ้นเคยกันดี แต่ถ้าคุณกินไม่ได้จริงๆ สั่งอย่างอื่นมาเพิ่มก็ได้นะคะ”
คำพูดคล้ายหวังดีแต่คนฟังรู้ว่านั่นคือคำท้าทายชัดๆ แล้วเขาจะยอมได้อย่างไร
“ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ เจ้าของร้านเป็นพี่สาวเพื่อนผม เมนูที่คุณสั่งก็เป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่”
คนบอกมีเจตนาเพียงแค่อยากอธิบายกว้างๆ ไม่ได้ต้องการจะอวดโอ่แต่อย่างใด ทว่าคนฟังที่พกอคติและความไม่ถูกชะตามาเต็มท้อง ฟังแล้วแปลเจตนาเป็นโอ้อวด จึงยิ่งนึกหมั่นไส้มากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
“อ้อ เป็นพี่สาวเพื่อน ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าคุ้นเคยกับอาหารอยู่แล้ว”
นายตำรวจหนุ่มได้แต่ลอบกลืนน้ำลายพลางนึกยอมรับในชะตากรรมแต่โดยดี เพราะดูเหมือนยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าตัวเอง จึงหันไปทางสิตางศุ์ที่นั่งอมยิ้มน้อยๆ อยู่
“คุณเดือนอยากลองทานอาหารอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ ที่ใครต่อใครมาต้องสั่งไหมครับ”
“อะไรหรือคะ” สิตางศุ์เอ่ยถามพลางชำเลืองมองหน้าบูดๆ ของญาติสาวไปด้วย
“กุ้งผัดพริกเกลือครับ”
“คือว่าเดือน...”
สิตางศุ์ไม่ทันได้พูดจบประโยค กัตติกาก็พูดโพล่งออกมาซะก่อนว่า
“นี่คุณไม่รู้เลยหรือไงว่าเดือนน่ะแพ้กุ้ง และไม่ได้แพ้ธรรมดา แพ้อย่างรุนแรงจนถึงกับเคยเข้าโรงพยาบาลมาแล้ว”
“จริงหรือครับคุณเดือน” นายตำรวจถามเสียงอ่อย ดวงหน้าถอดสีทันที
“เรื่องแบบนี้ใครจะเอามาพูดล้อเล่นล่ะคุณ” กัตติกาพูดเสียงขุ่นแบบจ้องหาเรื่องเต็มที่
“ผมไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่น แต่มันเป็นคำพูดย้อนถามติดปาก หรือคุณไม่เคยพูดคำพวกนี้”
แทนที่จะพูดเรื่องแพ้กุ้งที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ นายตำรวจหนุ่มกลับพูดแก้ต่างให้ตัวเองซะงั้น
“...”
คนถูกย้อนถามอึ้งไปชั่วขณะเพราะไม่รู้จะตอบยังไง เพราะจะว่าไปแล้วตัวเธอเองก็ใช้คำพูดที่ว่าอยู่บ่อยๆ
“แสดงว่าคุณเองก็พูดอยู่บ่อยๆ” ภาคินพูดพลางยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนพูดฉอดๆ เมื่อกี้นั่งอึ้งพูดต่อไม่ออก
“ก็...นั่นแหละ คุณจะจีบผู้หญิงคนนึงแล้วไม่คิดจะทำการบ้านเลยหรือไง ว่าผู้หญิงคนนั้นชอบหรือไม่ชอบอะไร”
เป็นเพราะความโมโหและไม่รู้จะหาคำตอบอะไรไปโต้แย้งดี ทำให้กัตติกาลืมตัวถามโพล่งออกไปเช่นนี้ ครั้นถามออกไปแล้วจึงรู้สึกตัวว่าไม่ควรถามอย่างยิ่ง ไม่ได้กลัวจะถูกอีกฝ่ายว่าเสียมารยาท แต่จะกลายเป็นการชี้โพรงให้กระรอกต่างหาก
“ก็จริงของคุณ ขอบคุณที่ชี้แนะนะครับ” ดวงหน้าของคนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองถูกเปรียบเป็นกระรอกไปแล้วยิ้มละไม ก่อนจะหันไปทางสิตางศุ์ที่นั่งเท้าคางอมยิ้มฟังอยู่ “แล้วคุณเดือนชอบหรือไม่ชอบอะไรล่ะครับ ผมจะได้รับรู้ไว้”
กัตติกาฟังแล้วอยากจะข่วนดวงหน้ายิ้มละไมนั่นนัก นึกด่าตัวเองที่ไม่น่าชี้โพรงให้กระรอกหน้าขาวนี่จริงๆ ทั้งภาวนาให้ญาติสาวตอบออกไปอย่างที่ใจเธอคิด ว่าสิ่งที่ไม่ชอบคือตำรวจ
“เรื่องชอบหรือไม่ชอบอะไรเอาไว้ค่อยตอบ” คนถูกถามตอบพลางอมยิ้มในหน้า “แต่เดือนมีคำถามอยากถามคุณเมฆสักข้อหนึ่งได้ไหมคะ”
นายตำรวจหนุ่มยิ้มกว้าง พลางชำเลืองมองไปยังหญิงสาวอีกคน ที่ทำท่าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเขาแวบหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมองอีกฝ่ายไปทำไมกัน
“คุณเดือนจะถามกี่ข้อก็ได้ครับ”
กัตติกาที่ฟังอยู่อดส่งค้อนให้คนพูดไม่ได้ แหม...กี่ข้อก็ได้ อยากให้เจอแค่ข้อเดียวแล้วจุกจัง
“ตกลงคุณเมฆจะจีบเดือนหรือคะ”
คำถามตรงไปตรงมาแบบไม่มีการอ้อมค้อมของหญิงสาวทำเอาภาคินที่รอฟังคำตอบถึงกับอึ้งพูดไม่ออก ด้วยไม่คิดว่าจะถูกถามตรงๆ เช่นนี้ แถมถามแบบไม่มีความขวยเขินเอียงอายอีกต่างหาก ราวกับถามเรื่องดินฟ้าอากาศก็ไม่ปาน
“เอ้อ...”
คนรอฟังคำถามอีกคนก็มีอาการอึ้งไม่ต่างกัน ด้วยไม่คิดว่าญาติสาวจะถามอะไรออกไปตรงเป๋งขนาดนี้ เกือบจะหัวเราะพรืดออกไปแล้ว เพียงแต่กลั้นอาการไว้ได้ทัน และความรู้สึกที่ตามมาคืออาการดีอกดีใจ เพราะคำถามดังกล่าวบ่งบอกว่าคนถามไม่ได้มีใจให้อีกฝ่ายแน่นอน
“ถ้าคุณเมฆลำบากใจที่จะตอบยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ค่ะ”
“คือ...”
กัตติกามองคนทำท่าคล้ายจะพูดอะไรแต่พูดไม่ออก แล้วอยากจะหัวเราะสมน้ำหน้าออกมาดังๆ นัก แต่ก็ทนสะกดกลั้นเอาไว้
ทว่าขณะเดียวกัน...กลับมีความรู้สึกบางอย่างแทรกอยู่ลึกๆ นั่นคือความสงสารระคนเห็นใจ
กัตติการีบปัดความรู้สึกที่ว่านั่นออกไปทันที จะไปสงสารเขาทำไมกันยะยายดาว สมน้ำหน้าสิถึงจะควรค่าแก่การคิด สมน้ำหน้า สมน้ำหน้า
ทว่าสิ่งที่บอกย้ำกับตัวเองดูไม่ค่อยมีน้ำหนักอย่างที่ควรจะเป็นเลย
“คือ ผมจะบอกว่าไม่ได้ลำบากใจที่จะตอบเลยครับ ถ้าผมบอกว่าจะจีบคุณเดือน...คุณเดือนจะว่ายังไงล่ะครับ” ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าถามออกมาตรงๆ เขาก็กล้าที่จะบอกความรู้สึกออกไปตรงๆ เช่นกัน
แต่...ทำไมความรู้สึกที่บอกว่าจะจีบ ถึงไม่มีน้ำหนักเช่นคราแรกที่เจอหน้าเลยล่ะ ภาคินถามตัวเองอย่างแปลกใจ
“อ๋อ เดือนยังไม่พร้อมจะให้ใครจีบหรอก” กัตติกาตอบแทนคนที่กำลังจะถูกจีบซะงั้น
นายตำรวจหนุ่มหน้าอินเทรนด์มองหน้าคนตอบแทนยิ้มๆ
“ผมอยากได้ยินจากปากคุณเดือนเองมากกว่าจากปากคนอื่น”
ความคิดเห็น |
---|