บทที่ ๑๐
สายลมที่พัดเอื่อยๆ ทำให้คนที่นั่งเท้าคางลอยชายอยู่ริมคลองเกิดอาการตาปรือ ง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาตงิดๆ คีตกาลซบหน้าลงไปกับเข่า หันมองเสี้ยวหน้าคมสันของอินทัช หญิงสาวไล่มองตั้งแต่คิ้วหนาที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ จมูกที่ขึ้นสันโด่ง จนมาถึงริมฝีปากหนาน่าดู คีตกาลอมยิ้มก่อนจะหลับตาลง สุข สงบ อยู่กับความรู้สึกอิ่มเอิบในใจ อยากมีเขาอยู่ด้วยกันแบบนี้ อยู่ข้างๆเธอแบบนี้ ไปนานเท่านาน ความรู้สึกแบบนี้เรียกว่ารักได้ใช่ไหม
“อุ้ย” คีตกาลอุทาน ร่างกายสะดุ้งขยับห่างจนแทบพลัดตกลงไปในลำคลอง เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าอีกฝ่ายก้มลงมาจนใบหน้าใกล้จนแทบสัมผัสกัน
“เห็นหลับตา นึกว่าหลับไปแล้ว”
คีตกาลยิ้มปากสั่น เมื่อความใกล้ชิดทำให้เธอตื้อตัน คิดอะไรช้าไปหมด สายตาจับจ้องแต่ใบหน้าของคนที่ยังก้มมาอยู่ใกล้ๆ
“กะ...ก็เกือบหลับค่ะ ละ...ลมมันเย็น”
“ถ้าง่วงก็เข้าไปนอนในห้องเถอะ ไป๊” อินทัชไม่พูดเปล่า เขาขยับลุกขึ้นแทบจะทันที ก่อนจะยื่นส่งมือมาให้คีตกาลอย่างใจดี
หญิงสาววางมือของตนเองให้อีกฝ่ายจับฉุดให้ลุกขึ้น ก่อนจะเดินตามร่างสูงเข้าไปในบ้าน
“ประเดี๋ยวพี่ต้องออกไปทำงาน”
“ที่ร้านหรือคะ” คีตกาลถามไว
“ไม่ใช่ครับ ครั้งนี้เป็นงานหลวง มีคอนเสิร์ตที่ลานพระราชวังดุสิต”
“พี่อินไปร้องเพลงหรือคะ”
น้ำเสียงกระตือรือร้นที่ได้ยินทำให้อินทัชหันกลับมามองหญิงสาว พร้อมกับที่ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในหัว
“อยากไปด้วยกันไหม”
“ได้หรือคะ”
รอยยิ้มกับน้ำเสียงที่ตอบกลับมาทำให้อินทัชพยักหน้ารับแทบจะทันที “ได้สิ ถ้าอยากไปก็รีบไปแต่งตัว”
“เดี๋ยวนี้เลยค่ะ” คีตกาลยิ้มกว้าง วิ่งผลุบหายขึ้นบ้านไปทันที ทำเอาคนที่มองอยู่หลุดยิ้มออกมา
“โตแต่ตัวจริงๆ”
ที่นั่งตรงที่เธอนั่งอยู่จะเรียกว่าวีไอพีก็คงไม่ผิด เพราะได้มานั่งชิดติดเวทีเลยทีเดียว เพียงแต่ไม่ได้ไปนั่งอยู่หน้าเวทีชมการแสดงและการขับร้อง แต่อยู่ข้างเวที ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นชัดๆ เต็มๆ ตาทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังเลยทีเดียว คีตกาลปรบมือระรัวเสียงดังเมื่อพิธีกรประกาศชื่อของอินทัชซึ่งจะเป็นผู้ขับร้องเพลงต่อไป เพลงที่เธอเคยฟังร่วมกับมารดาที่โรงพยาบาล เพียงแค่ตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาเป็นคนขับร้อง คีตกาลปาดน้ำตาเบาๆ อยากให้มารดามานั่งข้างๆ ฟังเพลงร่วมกันเหมือนครั้งก่อน และเธอเชื่อหมดทั้งหัวใจว่ามารดาจะชื่นชมอินทัชเหมือนดังที่เธอนิยมชมชอบเขาอยู่ในตอนนี้
อินทัชให้เธอนั่งรอเขาอยู่ตรงนี้ เมื่อทั้งสองพากันกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในงานคอนเสิร์ตเอานาทีสุดท้าย เป็นเพราะเธอมัวแต่เลือกเสื้อผ้า พอออกมาก็เจอการจราจรติดขัดอีก และกว่าจะหาที่จอดรถได้ก็เกือบจะไม่ทันเวลาเปิดการแสดง นาทีที่เห็นเขาเข้าไปยกมือไหว้ผู้บังคับบัญชาที่ดูแลงานและกล่าวขอโทษที่มาสายนั้น ทำเอาคีตกาลแทบอยากจะเดินเข้าไปขอรับผิดเอง แม้ว่าเธอจะยืนดูห่างๆ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาคงถูกดุอยู่ไม่น้อย
ยามที่อินทัชก้าวขึ้นไปยืนเด่นอยู่บนเวทีมีแสงไฟสาดส่อง คีตกาลอดชื่นชมเขาไม่ได้ เมื่อชายหนุ่มมีบุคลิกเด่นสะดุดตากับท่าทางสง่าผึ่งผายโดยธรรมชาติ ไม่ได้เสแสร้งปั้นทำ สมกับเครื่องแบบอันทรงเกียรติที่ยิ่งส่งเสริมบุคลิกของเขาให้โดดเด่นกว่าใครๆ ยามที่เขาเอื้อนเอ่ยเปล่งเสียงร้องออกมา ทำเอาคีตกาลแข้งขาอ่อน อยากหลับตาฟังเสียงของเขาไปนานเท่านาน
“มันคงนึกว่ามันแน่ มีแบ็กดี เล่นมาเอาเสียนาทีสุดท้าย”
หญิงสาวสะดุ้งเบาๆ รีบลืมตาขึ้น เหลียวหาต้นเสียงที่ทำลายบรรยากาศการฟังเพลงที่สุดแสนวิเศษของเธอ
“กำลังขึ้นหม้อ ใครก็ทำอะไรมันไม่ได้”
“เห็นแล้วแม่งหมั่นไส้ว่ะ ไม่เห็นจะมีดีห่าอะไรเลย เสียงก็เท่านั้น จะมีดีแค่หน้าตาละวะ”
“ช่างมันเถอะ อย่าไปยุ่งกับมันเลย ไปยุ่งกับมันมากๆ เดี๋ยวมันก็วิ่งไปฟ้องพี่เขยมันหรอก”
“ให้มาเถอะวะ นึกว่ากลัวหรือไง กะอีแค่เมียน้อยที่จับพลัดจับผลูได้ดีเพราะเมียเก่าตาย คนแบบนี้ไม่นับถือโว้ย”
“ใจเย็นๆ แต่ครั้งนี้มันน่าจะโดนเหมือนกัน”
“ก็ลองไม่มีใครทำอะไรมันสิ กูจะโวยให้ดู คนอื่นเขามาเตรียม มาช่วยกันตั้งแต่บ่าย มันมาเอาตอนคอนเสิร์ตเริ่ม นึกว่าตัวเองเป็นประธานในพิธีหรือยังไง”
คีตกาลมองชายที่สวมใส่ชุดทหารเรือเช่นเดียวกับอินทัช แต่ดูจากยศที่ประดับอยู่น่าจะเป็นผู้ที่มียศสูงกว่า พวกเขาคงไม่รู้ว่าเธอมากับอินทัช ถึงได้มายืนพูดจานินทาระยะเผาขนแบบไม่ให้เกียรติชายหนุ่มอย่างนี้ หญิงสาวเหลือบมองนายทหารทั้งสองคนอย่างไม่ชอบใจ นึกอยากจะเดินไปพูดให้ทั้งสองเข้าใจว่าที่อินทัชมาล่าช้านั้นเป็นเพราะเธอทั้งสิ้น แต่ทั้งคู่ก็พากันเดินจากไปเสียก่อน หญิงสาวถอนฉุนก่อนจะหันไปให้ความสนใจคนที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีต่อด้วยความรู้สึกที่คั่งค้างในใจ
แต่...ทำไมเรื่องราวของพี่สาวเขาถึงสะกิดใจเธอนัก คิ้วบางขมวดเข้าหากัน มันเหมือน เหมือนกับ...
เสียงปรบมือระรัวทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ความคิด คีตกาลยืนขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าอินทัชกำลังเดินลงมาจากเวที และเดินมุ่งหน้าต่อมายังจุดที่เธอยืนอยู่ รอยยิ้มที่เขาส่งมาทำให้หญิงสาวลืมสิ่งที่กำลังรบกวนจิตใจไปจนหมดสิ้น
“พี่อินร้องเพราะจังเลยค่ะ ตอนที่พี่อินร้องทุกคนเงียบกันหมดเลย แถมตอนจบมีคนยืนปรบมือให้พี่อินด้วย พี่อินเห็นไหมคะ” หญิงสาวกล่าวชื่นชมทันทีเมื่อร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบทหารสมาร์ตสมชายเดินมาถึงตัว นึกอยากจะมีช่อดอกไม้สักช่อยื่นให้แก่เขานัก
“แล้วคีย์ล่ะ ชอบเพลงที่พี่ร้องไหม”
“ชอบค่ะ” หญิงสาวตอบรับไปตามความรู้สึกในใจ รู้สึกปลื้มใจ ภูมิใจไปกับความสำเร็จของเขา
“พี่เหลืออีกเพลงที่ต้องร้อง คีย์นั่งอยู่ตรงนี้นะ”
คีตกาลพยักหน้ารับไว เธอไม่อยากให้เขาเป็นกังวลเกี่ยวกับเธอจนเสียงาน หญิงสาวเหลือบไปมองหานายทหารสองคนที่เดินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ใจหนึ่งอยากจะเล่าสิ่งที่ได้ยินมาให้อินทัชรู้นัก แต่ก็ลังเล คิดอีกที...พูดไปคงมีแต่จะทำให้เขาคิดมากไปเท่านั้น ดีไม่ดีชายหนุ่มอาจใจร้อน ไปชกปากคนปากเสียพรรค์นั้นเหมือนวันที่เคยช่วยเธอไว้ เลยคิดว่าจะเก็บเงียบไว้ไม่บอกเขาดีกว่า
“มีอะไรหรือเปล่า ทำสีหน้าแปลกๆ”
“คือ...” หญิงสาวปกปิดสีหน้าไม่มิด เพราะส่วนหนึ่งคือเธอไม่พอใจคำพูดของนายทหารสองคนนั้น
“มีอะไร” อินทัชวางมือลงบนศีรษะของหญิงสาว พร้อมกับส่งยิ้มใจดีที่ทำเอาคนมองอดใจคอหวั่นไหวไม่ได้ “ว่าไง...มีอะไรก็บอกพี่มาเถอะ”
“คือ...เมื่อครู่คีย์ได้ยินคนพูดถึงพี่อินไม่ดีเลยค่ะ เขาว่าเรื่องที่พี่อินมาสาย เพราะถือว่า...” เธอบอกอุบอิบเสียงเบาจนอินทัชต้องก้มตัวลงมาฟังใกล้ๆ
“ช่างมันเถอะ” เขาเอ่ยแทรกขึ้นก่อนที่คีตกาลจะเล่าจบ ขณะที่มือก็โยกศีรษะหญิงสาวไปมาเบาๆ “พี่ชินเสียแล้ว ชีวิตคนเราก็แบบนี้ เราทำให้คนทุกคนมาชอบเราไม่ได้ ยิ่งที่ไหนมีการแข่งขันด้วยแล้วใหญ่ ที่นั้นหามิตรแท้ได้ยากนัก ต่อหน้าเขาอาจพูดดี แต่ลับหลังเขาก็เอาไปพูดกันแบบที่คีย์ได้ยินนั่นไง”
ชายหนุ่มยิ้ม ลดมือลงมาใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ระใบหน้าหญิงสาวออกมาทัดหูให้เธอ
“พี่ถึงบอกคีย์ว่า เราเลือกได้ว่าจะมีปฏิกิริยาในทางบวกหรือลบ เราเลือกได้ว่าจะสุขหรือทุกข์ ถ้าพี่สนใจคำพูดของคนพวกนั้นพี่ก็ทุกข์ แต่ถ้าพี่ไม่สนใจพี่ก็ไม่ทุกข์ หมาเห่าหนึ่งตัวถ้าเราโต้ตอบ ก็ไปเพิ่มหมาอีกตัวเข้าไป เข้าใจไหม”
หญิงสาวพยักหน้า ชื่นชมความคิดของชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เขาดูสง่าสูงส่งกว่านายทหารสองคนนั้นเสียอีกจากคำพูดที่เขาพูดออกมา
“พี่คงต้องไปเตรียมตัวที่จะขึ้นร้องอีกเพลง คีย์อยู่ได้ใช่ไหม”
“คีย์อยู่ได้ค่ะ ตรงนี้เห็นเวทีชัดด้วย”
“โอเค นั่งรออยู่ตรงนี้ เสร็จงานแล้วพี่จะมารับ”
เขาพูดจบก็เดินไวไปรวมตัวกับคนอื่นๆ ที่จับกลุ่มกันอยู่หลังเวที แต่สายตาก็คอยเหลือบมองมาวนเวียนอยู่ตลอดเวลา จนคีตกาลรู้สึกอุ่นใจ
คนที่มาร่วมร้องเพลงในคอนเสิร์ตวันนี้นอกจากข้าราชการของกองดุริยางค์ทหารเรือแล้ว ยังมีนักร้อง นักแสดงอีกหลายคน ทำให้คีตกาลรู้สึกโชคดีนักที่ได้มานั่งฟังอยู่ตรงนี้ แต่เดี๋ยวนะ...หญิงสาวเขม้นมองไปหน้าเวที
เธอไม่ได้ตาฝาดไปหรอก ผู้หญิงที่ถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่ตรงที่นั่งแถวหน้าสุดนั้นคือผู้หญิงที่ชื่อเมย์ ที่เธอเจอในผับเมื่อวันก่อน หมายความว่าอินทัชบอกผู้หญิงคนนั้นด้วยอย่างนั้นหรือว่าจะมีคอนเสิร์ตในวันนี้! ใบหน้าสวยงอหงิกลงทันทีอย่างไม่ชอบใจ
คีตกาลจ้องมองเมย์นิ่ง เริ่มไม่มั่นใจสถานะของคนทั้งคู่ ยิ่งได้เห็นตอนที่อินทัชขึ้นไปร้องเพลงอีกครั้งและเมย์เดินเอาช่อดอกไม้มาให้ ก็ทำเอาคีตกาลเกิดอาการตื้อในอกขึ้นมาทันที หญิงสาวเตรียมจะลุกเดินหนีไปให้ไกลจากภาพบาดตาและกำลังบาดใจเธอ แต่สายตากลับเห็นใครอีกคนที่กำลังเดินมายื่นช่อดอกไม้ให้อินทัชหน้าเวทีอีกคน นาทีนั้นคีตกาลถึงกับตัวชา ก้าวขาไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งมองภาพตรงหน้าเขม็ง เรื่องราวที่นายทหารสองคนนั้นพูดให้ได้ยินสดๆ ร้อนๆ เมื่อครู่ดังก้องขึ้นมาในหัวเธออีกครั้ง กระเป๋าเล็กๆ ในมือร่วงหล่นลงบนพื้น พร้อมกับร่างบางที่ค่อยๆ ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมอีกหน ในหัวจับนั่นชนนี่ ปะติดปะต่อเรื่องราวให้วุ่นไปหมด
สิ่งต่างๆ ทั้งคำพูดและการกระทำของชายหนุ่มไหลวนเวียนย้อนเข้ามาให้เห็นอีกครั้งในหัว อินทัชรู้ไหมว่าเธอคือใคร แล้วถ้าเขารู้ นั่นก็หมายความว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างคือเรื่องโกหกทั้งนั้นอย่างนั้นหรือ การที่เขาเข้ามาช่วยเหลือและทำดีกับเธอมันก็แค่ละครฉากหนึ่งอย่างนั้นหรือ...แล้วถ้ามันไม่ใช่ล่ะ เสียงหนึ่งในใจเธอดังแย้งขึ้นมา
“ต้องไม่ใช่ ไม่ใช่สิ...ไม่ใช่” น้ำตาเม็ดใสๆ กลิ้งลงมาตามสองแก้ม เจ็บนี้บาดลึกนัก
อินทัชหอบช่อดอกไม้ที่ได้รับลงมาจากเวที สิ่งแรกที่เขามองหาก่อนสิ่งใดเลยก็คือคีตกาล แต่เก้าอี้ตัวที่หญิงสาวนั่งอยู่ก่อนหน้านี้กลับว่างเปล่า ชายหนุ่มวางช่อดอกไม้ที่ได้รับลงบนเก้าอี้อย่างร้อนใจ และเริ่มกังวลว่าคีตกาลอาจจะเห็นอินทิราที่เดินเอาดอกไม้มามอบให้เขา ร่างสูงใหญ่ชะเง้อคอและเริ่มออกเดินหาหญิงสาวอย่างร้อนใจ อินทิรามาโดยไม่แจ้งให้เขารู้ก่อนล่วงหน้า และหากคีตกาลเห็นเข้า เขายังนึกไม่ออกว่าจะแก้ตัวกับหญิงสาวอย่างไร
แต่ก่อนอื่น อินทัชรีบส่งข้อความหาพี่สาวก่อนทันที เพราะปกติหลังจากเลิกคอนเสิร์ต อินทิรามักจะเดินมาหาเขาหลังเวทีเป็นประจำ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกจากหลังเวทีไปหาคีตกาล ชายหนุ่มเดินแกมวิ่งไปทั่วอย่างร้อนใจ ในที่สุดก็เห็นแผ่นหลังบอบบางของคนที่ยืนเอนอิงกำแพงอยู่เบื้องหน้า
“คีย์...”
หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียกขาน แต่ก่อนจะรู้ตัวเธอก็ถูกดึงเข้าไปไว้ในอ้อมกอดแข็งแรงที่แสนคุ้นเคย หญิงสาวยืนนิ่งหลับตาลง ซึมซับเอาความรู้สึกที่ได้รับเก็บเข้าสู่หัวใจเป็นครั้งสุดท้าย
คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน รู้สึกโล่งใจเป็นที่สุดเมื่อหาคีตกาลเจอ แต่...ร่างบางดูนิ่งเฉยผิดแผกไปจากปกติ อินทัชดันหญิงสาวในอ้อมกอดออกไปจนสุดแขนก่อนจะพินิจดูสีหน้าของอีกฝ่าย
“มีอะไรหรือเปล่าคีย์ ทำไมออกมายืนอยู่ตรงนี้”
คีตกาลมองชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ในใจมีแต่คำถามผุดขึ้นมามากมายราวกับดอกเห็ด อยากจะถามเขาให้รู้ดำรู้แดงไปเสียตรงนี้ แต่ทำแล้วเธอจะได้อะไรล่ะ...ถ้าเกิดว่ามันเป็นจริงดังที่เธอคิดไว้...เธอจะทำอย่างไรต่อไป
“ว่าไงคีย์ ทำไมออกมายืนตรงนี้ ถึงด้านหน้าจะมีงาน แต่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ที่ที่คีย์จะมายืนเล่นนะ”
“คือ...” หญิงสาวก้มหน้าหลบตา เธอเองที่ไม่กล้าสบตาเขา “เมื่อครู่มีคนมายืนสูบบุหรี่ตรงที่คีย์นั่งอยู่ค่ะ คีย์เลยเดินหนีออกมาตรงนี้”
“รู้ไหมพี่ห่วงเราแค่ไหน ลงจากเวทีแล้วไม่เห็นคีย์”
“ขอโทษด้วยค่ะ” หญิงสาวกัดริมฝีปาก เพราะกลัวว่าจะพลั้งปากถามในสิ่งที่เธอได้เห็นและเข้าใจออกไป
“ง่วงหรือยัง ทนอีกนิดได้ไหม รอให้จบการแสดงชุดนี้ก่อนแล้วเราค่อยกลับบ้านกัน”
คีตกาลพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แต่ใจของเธอนั้นมันไม่ง่ายเหมือนเดิมแล้ว ความวางใจไว้ใจที่เคยมีมลายหายไป ทันทีที่กลับมานั่งที่เดิม คีตกาลก็เริ่มมองหาอินทิราอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าอินทิรายังนั่งดูการแสดงอยู่ ตลอดการแสดงที่ยังเหลืออยู่คีตกาลเฝ้ามองดูอินทิราตลอดเวลา ไม่ได้ให้สนใจหรือให้น้ำหนักแก่เมย์ หญิงสาวสวยที่นั่งเยื้องอยู่ด้านหน้าอินทิราเลยสักนิด จนกระทั่งการแสดงจบลง เธอคาดว่าอินทิราจะต้องเดินมาหลังเวทีแน่นอน
แต่ผิดคาด! อินทิราลุกจากเก้าอี้และหันหลังเดินออกไปตรงทางออกเหมือนผู้มาร่วมงานคนอื่นๆ คนที่เดินดิ่งตรงมาทางหลังเวทีกลับกลายเป็นเมย์
เมลิสา หรือเมย์ ส่งสายตามาที่หญิงสาวหน้าตาอ่อนเยาว์อย่างไม่ชอบใจทันทีที่เห็นหน้า
“เธอมาที่นี่ได้ยังไง” อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ
คีตกาลละสายตาจากแผ่นหลังของอินทิรามาที่หญิงสาวสวยจัดที่อายุอานามดูจะมากกว่าเธอหลายปี
“มากับพี่อินค่ะ” หญิงสาวตอบไปตามตรง แต่คำตอบของเธอดูท่าจะไม่ถูกใจอีกฝ่ายเท่าไรนัก ถึงได้สะบัดหน้าใส่และเดินหนีไปหาอินทัชซึ่งยืนอยู่อีกทาง
น้ำเสียงและสีหน้าของเมลิสาไม่ได้สร้างความไม่สบายใจแก่คีตกาลเลยสักนิด เพราะตอนนี้ใจของเธอมีแต่ความเคลือบแคลงและสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างอินทัชกับอินทิราเสียมากกว่า เพราะหากมันเป็นไปอย่างที่ใจเธอเชื่อไปแล้วมากกว่าครึ่ง เธอก็อยู่ที่บ้านของเขาไม่ได้อีกต่อไป จะอยู่ไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อบ้านนั้นก็เป็นบ้านของอินทิราเช่นกัน
ดวงตาสวยสว่างวาบเหมือนนึกอะไรออก ก่อนจะรีบวิ่งตามผู้หญิงที่กำลังมุ่งตรงไปหาอินทัช
“ขอโทษค่ะคุณเมย์” คีตกาลวิ่งมาดักหน้าเมลิสาเอาไว้
“จะมาดักหน้าฉันไว้ทำไม หรือเธอไม่อยากให้ฉันเจอพี่อิน”
“เปล่าค่ะ คีย์แค่เห็นว่าคุณสนิทกับพี่อิน คีย์เลยอยากถามว่าคุณเมย์รู้จักพี่สาวพี่อินไหมคะ”
เมลิสายักไหล่อย่างถือดีก่อนพยักหน้ารับ “พี่นางน่ะหรือ แน่นอน ฉันต้องรู้จักสิ แถมยังรู้จักดีเสียด้วย”
“แล้ววันนี้พี่สาวพี่อินมาด้วยใช่ไหมคะ”
“ก็ต้องมาสิ ปกติพี่นางก็มาทุกครั้งที่พี่อินเล่นคอนเสิร์ต วันนี้ยังเอาดอกไม้ไปให้พี่อินพร้อมฉันเลย ทำไม มีอะไรหรือเปล่า”
คีตกาลส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะหลบทางให้เมลิสา “ไม่มีอะไรแล้วค่ะ”
เมลิสาขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“เสียเวลา” หล่อนบ่น ก่อนจะเดินต่อไปหาอินทัช ชายที่เป็นเป้าหมายหนึ่งเดียวในหัวใจตอนนี้
อินทัชสัมผัสได้ถึงความเงียบงันไม่ช่างพูดช่างถามของคนที่กำลังเดินตามหลังเขาอยู่ในขณะนี้ แม้มือของเขาจะกุมมือของหญิงสาวเอาไว้ แต่มันรู้สึกเหมือนเขาและเธอห่างไกลกันเหลือเกิน
“คีย์...”
“พี่อินคะ”
ทั้งสองคนหยุดเดินเมื่ออยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาพร้อมกันราวกับนัด
“คีย์พูดก่อนเลย” อินทัชหันมาบอก
“คือ...คีย์อยากขอบคุณพี่อินสำหรับความช่วยเหลือทุกสิ่งทุกอย่างค่ะ วันนี้หลังจากที่ได้คุยกับพี่อิน คีย์ก็คิดได้ และคีย์อยากกลับบ้าน”
“กลับบ้าน” เขาทวนเสียงเบา ขณะที่หญิงสาวพยักหน้ารับ เขาเองเป็นคนสนับสนุนให้เธอกลับบ้าน แต่พอหญิงสาวเอ่ยปากอยากกลับบ้านขึ้นมาจริงๆ เขากลับใจหาย “แต่เมื่อกลางวันคีย์บอกพี่ว่าคีย์จะอยู่ต่อไม่ใช่หรือ”
“คือ...” คีตกาลเริ่มไปต่อไม่ถูก แม้จะรู้ว่าทุกสิ่งที่เขาทำไปนั้นเป็นแค่การแสดงเพื่อผลประโยชน์ของพี่สาวเขา แต่เธอก็เถียงไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ช่วยเธอไว้จริงๆ “คือพอดีคุณลุงคีย์โทร. มาค่ะ ท่านกลับมาแล้ว และท่านก็ห่วงคีย์มากค่ะ”
สายตาคมจับจ้องไปที่ดวงหน้าสวยหวานตรงหน้า เขารู้ว่าเธอโกหก
“แล้วคีย์จะไปเมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้ค่ะ” คีตกาลตอบเสียงเบา
“พรุ่งนี้พี่จะเป็นคนไปส่งคีย์เอง”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองอินทัชเต็มๆ ตา เธออยากปฏิเสธเขา แต่นี่ก็เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้อยู่กับเขาไม่ใช่หรือ
“ค่ะ แล้วพี่อินมีอะไรจะพูดกับคีย์คะ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า พร้อมกับส่งยิ้มให้หญิงสาวเหมือนเช่นทุกครั้งยามเขาเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม ก่อนจะหมุนตัวและก้าวเดินนำต่อไป ตอนนี้มีแต่ความเงียบที่ปกคลุมทั้งสองคน ต่างคนต่างก็ขบคิดเรื่องราวต่างๆ อยู่ในหัว
“คีย์รู้แล้วหรือ...” อยู่ๆ เขาก็เอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ
มันเป็นประโยคคำถามที่ไม่เจาะจงว่าเธอรู้อะไร แต่คีตกาลก็รู้ว่าอินทัชหมายถึงอะไร
“คุณรู้หรือคะว่าคีย์คือใคร” หญิงสาวเมินหน้าหันไปมองทางอื่น ไม่ได้ตอบคำถามที่ชายหนุ่มถาม แต่กลับตั้งคำถามเขาแทน ความรู้สึกตอนนี้เหมือนในอกมันกลวงโบ๋
สรรพนามเรียกขานที่เปลี่ยนไปทำให้อินทัชหันหน้ามามองหญิงสาว เขาอยากบอกเธอว่าไม่ชอบ ไม่ชอบความห่างเหินและสรรพนามที่เธอใช้เรียกขานเขาอยู่ตอนนี้
“ครั้งแรกที่เข้าไปช่วย พี่ไม่มั่นใจเท่าไหร่ เพราะเคยเห็นแค่ผ่านๆ แต่มามั่นใจเอาแน่ๆ ก็ตอนที่คีย์เดินเข้าไปขอบคุณพี่ที่ห้องนักดนตรี”
“เพราะแบบนี้ใช่ไหมคะ คุณถึงชวนให้คีย์อยู่ที่บ้าน”
เสียงทอดถอนใจที่ดังแว่วมาเข้าหูทำให้คีตกาลต้องหันไปมองเสี้ยวหน้าคมสัน
“พี่ปล่อยคีย์เตลิดไปไหนต่อไหนไม่ได้หรอกนะ คีย์กำลังสับสน”
“ที่ทำแบบนี้ก็เพราะอยากให้คีย์ให้อภัยพี่สาวคุณหรือคะ”
“ไม่!” อินทัชหันมาบอกเสียงเข้ม ก่อนจะหันหนีกลับไปมองหนทางเบื้องหน้า “เพราะเป็นคีย์ พี่ถึงปล่อยให้ไปไม่ได้ อีกอย่างเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของคีย์กับพี่นาง พี่จะไม่เข้าไปยุ่งหรือกล่อมอะไรให้ใครใจอ่อนทั้งนั้น”
น้ำเสียงกับคำพูดของเขาทำให้ใจเธอหวั่นไหว ดวงตาคู่สวยเริ่มคลอด้วยน้ำตา แต่เธอจะเชื่อเขาได้หรือ ถ้าจริงใจทำไมไม่เปิดเผยตัวตั้งแต่แรก นี่ปิดบังกัน เห็นเธอเป็นตัวตลกหรืออย่างไรกัน
“ช่างเถอะค่ะ คีย์ขอบคุณมากนะคะที่มีน้ำใจและช่วยเหลือคีย์ทุกอย่าง คีย์ซาบซึ้งใจมาก แต่คุณต้องรู้นะคะว่ามันเปลี่ยนอะไรไม่ได้ มันไม่มีผลอะไรกับความรู้สึกของคีย์ที่มีต่อพี่สาวของคุณ”
“พี่เข้าใจ” อินทัชพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
ความคิดเห็น |
---|