3
ทำความรู้จัก
อัยรดาพลิกตัวไปมาบนที่นอนหนานุ่มเพราะนอนไม่หลับ ไม่ว่าจะพยายามข่มตาให้หลับ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล เพราะใจคอยแต่กระหวัดไปถึงเรื่องที่บังเอิญได้ยินมาก่อนหน้านี้
หญิงสาวเข้าไปหานิรดาที่บ้านตามการนัดแนะว่าจะไปสปาด้วยกัน หวังว่าเจ้าของบ้านคงไม่ว่าอะไรที่เธอมาก่อนเวลานัดเป็นชั่วโมง และเพราะความเคยชินกับบ้านหลังนี้จึงเลือกเดินไปหานายหญิงของบ้านที่อยู่ในสวนดอกไม้ แต่จังหวะที่กำลังจะเดินเข้าไปทักทายก็ต้องรีบถอยหลังกลับหาที่หลบ
ไม่รู้ว่าสวรรค์เล่นตลกหรือไรที่บังเอิญว่านิรดาเปิดสปีกเกอร์โฟน เพราะเจ้าตัวกำลังยุ่งอยู่กับต้นไม้ตรงหน้า ทำให้เธอได้ยินชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังคุยกับลูกชายคนโต และหัวข้อสนทนาในครั้งนี้ก็มีเธอเข้าไปเกี่ยวข้อง
แม้จะรู้ว่าเสียมารยาทที่แอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์ แต่หากเรื่องที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ไม่เกี่ยวกับเธอหญิงสาวคงเดินกลับไปรอในบ้าน แต่นี่มีชื่อเธอด้วยจึงอดเสียมารยาทหลบมุมฟังอยู่ตรงนี้
‘ภัทรก็รู้ว่าน้องดากับพ่อเขาเป็นคนละคนกัน ลูกไม่ควรโกรธน้องดาไปด้วยนะ’ นิรดากำลังพูดกับลูกชายเสียงเครียด
‘ภัทรไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้วฮะ’ ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายไม่แพ้คำพูด
‘ภัทร…’ คนเป็นแม่ทอดเสียงอ่อนกับความใจแข็งของลูกชาย
‘ตกลงแม่ฝันโทร. หาภัทรเพราะคิดถึงหรือโทร. มาคุยเรื่องคนอื่นกันแน่ฮะ’
คำว่า ‘คนอื่น’ ที่ออกจากปากโลเวลทำให้คนที่ยืนฟังเจ็บจุกที่อก ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนชายหนุ่มก็ยังคงไม่เคยเปลี่ยน โดยเฉพาะความเกลียดชังที่มีต่อเธอ
‘น้องดาไม่ใช่คนอื่นนะภัทร’
‘นั่นสำหรับแม่ฝันไงครับ แต่กับภัทร…ไม่ใช่’
‘ตอนนี้น้องดาอยู่ที่โรม ภัทรมาเจอน้องหน่อยไหม’ นิรดายังไม่ละความพยายาม ถึงลูกชายจะไม่ชอบพออัยรดาแบบที่หวัง แต่อย่างน้อยก็อยากให้ชายหนุ่มเลิกมึนตึงใส่หญิงสาวผู้น่าสงสารเสียที ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าชื่อของอัยรดามีผลต่อโลเวลแค่ไหน เพียงแต่เจ้าตัวไม่เคยยอมรับกับตัวเอง
‘แม่ฝัน…’
‘ตั้งแต่ตอนนั้นภัทรยังไม่เคยเจอน้องเลยนะลูก รู้ไหมตอนนี้น้องดาน่ารักแค่ไหน’
ตั้งแต่ตอนนั้นของคนเป็นแม่คือตั้งแต่ที่เด็กผู้หญิงคนนั้นเลือกจะกลับประเทศไทย เขาไม่ได้รู้จากปากเธอเอง แต่บังเอิญได้ยินน้องชายเอ่ยถึง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่รู้ว่าตลอดหลายปีหญิงสาวไปอยู่ที่ไหนมา
แม้เธอจะกลับมาที่โรมทุกปี และมารดาชักชวนให้ไปพบ แต่ก็ไม่มีสักครั้งที่เขาจะยอมทำตาม และตอนนี้เขาก็ยังยืนยันว่าจะทำแบบเดิม
‘ถ้าแม่ฝันยังพูดเรื่องคนอื่นอยู่แบบนี้ ภัทรขอวางสายนะครับ’
‘เดี๋ยวสิลูก’
‘ครับ’
‘น้องดาอยากเจอลูกนะภัทร’
‘ถ้าอยากเจอก็มาหาผมเอง ผมไม่ว่างไปหาใคร ผมวางสายแล้วนะครับ’
โลเวลตัดสายไปแล้ว แต่คำพูดไร้เยื่อใยของเขายังคงดังก้องอยู่ในใจของคนแอบฟัง
‘น้องดา!’
นิรดาตกใจเมื่อเห็นหญิงสาวที่ตนเพิ่งพูดถึงเมื่อครู่มายืนหลบมุมอยู่ข้างตัวบ้าน และเดาว่าอีกฝ่ายคงได้ยินที่เธอคุยกับโลเวลไม่มากก็น้อย จากดวงตาแดงก่ำ เดาว่าคงได้ยินมาตั้งแต่ต้น
‘ไม่เป็นอะไรนะลูก’
‘หนูไม่เป็นอะไรค่ะ’ หญิงสาวยิ้มเซียวส่งให้
‘หนูคงไม่คิดยอมแพ้ใช่ไหมน้องดา’
‘ได้ยินเขาพูดแบบนั้นหนูยิ่งอยากสู้ แต่ถ้ามันหมดหวังจริงๆ อย่างน้อยหนูก็ได้ลองทำตามหัวใจตัวเอง’
แม้จะบอกไปแบบนั้น เธอก็ไม่มั่นใจกับผลลัพธ์ที่มันจะเกิดขึ้น แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่นั้นก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต เธอมีหน้าที่ทำแต่ละวันให้ดีที่สุดก็พอ
อัยรดาข่มตาให้หลับลงอีกครั้ง พยายามนึกว่าพรุ่งนี้เธอจะทำอย่างไรให้โลเวลสนใจตน ในที่สุดหญิงสาวก็เข้าสู่ห้วงนิทราไป
ไม่ว่าอย่างไรโลเวลก็ข่มตาให้หลับลงไม่ได้ เพราะเรื่องที่คุยกับมารดายังคงกวนใจอยู่ ยิ่งมีชื่อของผู้หญิงคนนั้นมาเกี่ยวข้องด้วยแล้วก็ยิ่งยากที่จะข่มตา
“กลับมาก็เรื่องของเขาสิ แกจะเดือดร้อนอะไรด้วยวะซีน”
ชายหนุ่มบอกตัวเอง แต่ก็ห้ามสมองให้อดวาดหน้าตาของยายเด็กผอมแห้งคนนั้นตอนโตเป็นสาวเต็มตัวไม่ได้ ทุกครั้งที่เขานึกกลับมีหน้าหวานของคนที่อยู่ในห้องตรงข้ามเข้ามาแทรกอยู่เรื่อย ด้วยเหตุผลนี้เองที่เขายังหลับไม่ลงเสียที ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงเวลาตื่นไปทำงานแล้ว
“ป่านนี้แม่นางฟ้าของเราจะนอนหรือยังนะ”
เพราะมีแต่หน้าหวานของเธอเข้ามาแทรกความคิดเขาเสมอจึงอดนึกถึงเธอไม่ได้ คอยห้ามปรามตัวเองไม่ให้บุกไปเคาะห้องเธอยามวิกาล แต่ต้องรอให้ถึงเช้าเสียก่อนถึงจะทำเช่นนั้นได้
“เอาละ แกควรจะนอนได้แล้วนะซีน” ชายหนุ่มบอกตัวเอง “เพราะพรุ่งนี้แกต้องพร้อมไปจีบเขาแต่เช้าเข้าใจไหม ฉะนั้นก็ได้เวลานอนแล้ว”
โลเวลพยายามข่มตาให้หลับ ระบายยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ขนาดหลับตาก็ยังมีใบหน้าของเธอให้เห็นอยู่ ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือข้างหัวเตียง เข้าแอปพลิเคชันยอดฮิตที่นิยมใช้สนทนากัน ก่อนจะรัวนิ้วพิมพ์ในสิ่งที่ต้องการส่งให้เลขาฯ คู่ใจ
พรุ่งนี้ฉันลาป่วยนะโคลด์ ห้ามโทร. มาปลุกเด็ดขาด เดี๋ยวจะทำให้อาการกำเริบหนัก
เมื่อจัดการเงาตามตัวเรียบร้อยก็หลับตาพริ้ม นึกถึงใบหน้าหวานที่อยู่ในความคิดและหลับไปในที่สุด
เสียงกริ่งสลับกับเสียงเคาะประตูอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนที่เพิ่งหลับสบายจำต้องพาตัวอันหนักอึ้งของตัวเองลงจากเตียงนุ่ม เดินมาดูว่าใครกันที่ทำเสียงรบกวนตั้งแต่เช้า
เปลือกตาที่หนักอึ้งก่อนหน้านี้เบิกกว้างเมื่อมองจอมอนิเตอร์เห็นชายหนุ่มคุ้นตายืนอยู่หน้าห้อง แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะไปไหนเพราะเขายังคงกดกริ่งและเคาะประตูสลับกัน
“เอาไงดีอัยรดา ควรจะเปิดประตูดีไหม” หญิงสาวปรึกษากับตัวเอง หากเป็นสภาพที่เรียบร้อยก็ไม่เสียหายหากจะเปิดประตู แต่ตอนนี้เธออยู่ในชุดนอน แถมยังดูวาบหวิวในสายตาคนมองอีกต่างหาก หน้าตาก็ไม่ได้แต่งแต้ม แม้แต่ฟันก็ยังไม่ได้แปรง แล้วแบบนี้ควรจะเปิดประตูรับแขกหรือ
“คุณอัยย์ครับ อยู่ห้องรึเปล่าครับ” กดกริ่งหน้าห้องก็แล้ว เคาะประตูก็แล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าเจ้าของห้องจะมาเปิดประตู จึงส่งเสียงเรียกไปเผื่อเธอจะได้ยิน แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าห้องนั้นเก็บเสียงดีไม่ต่างจากห้องตัวเอง
“เอายังไงดีอัยรดา” หญิงสาวมีท่าทีร้อนรน เพราะหากปล่อยให้เขาส่งเสียงอยู่หน้าห้องต่อไปอาจจะถูกเพื่อนบ้านร้องเรียน “เอาก็เอาวะ”
อัยรดาตัดสินใจเปิดประตู ทว่าก็แสร้งทำเหมือนคนที่เพิ่งตื่นนอน แต่ยังคงความสวยตลอดเวลา
“คุณโลเวลนี่เอง มีอะไรกับอัยย์ตั้งแต่เช้าคะ” หญิงสาวแสร้งยกมือปิดปากหาวด้วยท่าที่คิดว่าสวยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ส่วนคนที่ตั้งใจมารบกวนแต่เช้ากลับพูดไม่ออกเมื่อเห็นภาพของเจ้าของห้อง โลเวลกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เมื่อมองสำรวจร่างบางที่อยู่ในชุดนอนผ้าซาตินบางเบาสั้นเหนือเข่า
ใบหน้าที่ไม่ได้แต่งแต้มไม่ได้ทำให้หญิงสาวหมดสวย แต่ใบหน้ากระจ่างใสของเธอกลับดึงดูดใจเขาต่างหาก
“เอ่อ…” ชายหนุ่มหาคำพูดตัวเองไม่เจอ
“ว่ายังไงคะ” หญิงสาวเร่ง อมยิ้มพอใจ ภาพสาวสวยเพิ่งตื่นนอนดูจะทำให้โลเวลสนใจได้ไม่น้อย
“คือผมจะชวนคุณอัยย์ไปทานอาหารเช้าด้วยกันครับ” โลเวลรีบบอกธุระของตัวเอง ดึงสายตาที่เอาแต่จ้องขาอ่อนของเธอขึ้นมามองหน้าหวาน “แต่ดูเหมือนคุณอัยย์ยังไม่พร้อม”
“ปกติฉันชอบทำอาหารเช้าทานเองค่ะ คง…”
“เราทำทานกันที่ห้องคุณอัยย์ก็ได้ครับ” ชายหนุ่มสวนขึ้นเมื่อรู้ว่าหญิงสาวกำลังจะปฏิเสธ แต่เขาไม่ยอมให้เธอทำแบบนั้นง่ายๆ หรอกนะ
“คงไม่เหมาะหรอกมั้งคะ ฉันเป็นผู้หญิง”
“ถ้างั้นห้องผมก็ได้ครับ” ชายหนุ่มยังพยายามไม่หยุด วันนี้เขาต้องได้กินอาหารเช้าพร้อมเธอ แม้จะต้องหน้าด้านแค่ไหนเขาก็ไม่สน
“ก็ยังคงดูไม่เหมาะอยู่ดี” หญิงสาวยังคงเล่นตัว ดูปฏิกิริยาชายว่าเขาจะลุยต่อหรือยอมถอยหลัง
“ถ้าเป็นร้านอาหารตรงข้ามอะพาร์ตเมนต์คุณอัยย์จะว่ายังไงครับ”
“ถ้าคุณรออัยย์สักครึ่งชั่วโมงได้ก็…ตกลงค่ะ”
หญิงสาวยอมรับน้ำใจเขา เพราะหากเล่นตัวมากกว่านี้อาจจะทำให้ผู้ชายหมดอารมณ์รุกคืบ ต้องเล่นตัวแค่พอประมาณให้ดูน่าค้นหา
“นานแค่ไหนผมก็รอคุณอัยย์ได้เสมอครับ” ชายหนุ่มประจบเสียงหวาน
“ถ้าอัยย์จะเปลี่ยนจากสามสิบนาทีเป็นสามชั่วโมงก็ได้สินะ”
“เป็นสามสิบนาทีเหมือนเดิมกำลังพอดีครับ” เขายิ้ม ชอบความมีอารมณ์ขันของเธอ “ถ้าผมจะขออนุญาตรอที่ห้องคุณอัยย์…”
“ที่ห้องคุณโลเวลดีที่สุดแล้วค่ะ อีกสามสิบนาทีเจอกันค่ะ”
หญิงสาวไม่รอให้เขาต่อรอง ปิดประตูทันที ยกมือกุมหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองที่หัวใจข้างในเต้นกระหน่ำด้วยความยินดี เพราะคารมแบบนี้นี่เองที่ทำให้ผู้หญิงทั่วทั้งโรมเพ้อถึงเขาวันละสามเวลาหลังอาหาร แม้แต่เธอที่คิดว่าตัวเองมีภูมิคุ้มกันดีก็ยังไม่วายเคลิ้มไปกับคำหวานของเขา
ซึ่งท่าทางหญิงสาวกับคนหน้าห้องก็ไม่ต่างกัน เพราะตอนนี้ชายหนุ่มที่ไม่เคยต้องลงมือตามง้องอนใครยกมือกุมที่หน้าอกข้างซ้าย พยายามหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะ เพียงแค่หญิงสาวตอบตกลงไปกินอาหารด้วยก็ทำให้เขาเป็นถึงขนาดนี้ แล้วถ้าเธอตกเป็นแฟนกันขึ้นมาเขาจะไม่หัวใจวายเฉียบพลันหรอกหรือ
“หรือได้เวลาที่แกควรจริงจังกับใครสักคนเสียทีวะซีน”
โลเวลพาอัยรดามาร้านอาหารตรงข้ามอะพาร์ตเมนต์จริง แต่ก็ต้องเดินเข้ามาภายในซอยอีกประมาณห้าร้อยเมตร ท่ามกลางอากาศในช่วงหน้าร้อนที่มีอุณหภูมิสูงถึงสามสิบองศา ทว่าเมื่อรู้ว่าร้านที่เขาพามาคือร้านอาหารไทยร้านหนึ่งในกรุงโรมเธอก็ยิ้มออก
ไม่คิดว่าผู้ชายอย่างโลเวลจะใส่ใจรายละเอียดเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เพราะเหตุผลที่เขาพาเธอมาร้านอาหารแห่งนี้ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก
“คุณอัยย์บอกว่าปกติชอบทำอาหารทานเอง แล้วเมื่อเช้าผมก็เหลือบเห็นหนังสืออาหารไทยเพื่อสุขภาพวางอยู่บนโต๊ะในห้องคุณ เลยถือวิสาสะพามา คิดว่าคุณอัยย์คงอยากทาน”
โลเวลให้เหตุผลเมื่อถูกหญิงสาวถามว่าเหตุใดจึงพาเธอมาที่ร้านแห่งนี้ ทั้งที่ควรจะเป็นร้านอาหารอิตาลีที่อยู่ปากซอยซึ่งใกล้กว่า และไม่จำเป็นต้องเดินมาไกลท่ามกลางอากาศร้อนแบบนี้ แถมคนหน้าหวานยังแสดงสีหน้าเหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่างอีกต่างหาก อย่าบอกนะว่าเขาเดาใจหญิงพลาด
“หรือว่าผมคิดผิดครับ”
อัยรดายิ้มขันท่าทางแสดงความไม่มั่นใจของเขา และส่ายหัวปฏิเสธ
“ไม่ผิดหรอกค่ะ”
“หรือว่าคุณอัยย์โกรธที่ผมพาเดินไกลในสภาพอากาศไม่เป็นใจแบบนี้ครับ” ชายหนุ่มมีสีหน้ากังวลเพราะลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป ได้แต่หวังว่าหญิงสาวจะไม่ให้คะแนนเขาติดลบหรอกนะ “ถ้าคุณอัยย์ไม่ชอบ เราเปลี่ยนร้านกันก็ได้นะครับ”
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ” อัยรดาโบกมือปฏิเสธความคิดของเขา ก่อนจะอธิบายให้เขาเข้าใจเสียใหม่ “ฉันแค่แปลกใจว่าคุณเอาเวลาไหนไปสำรวจภายในห้องฉัน”
เพราะก่อนหน้านี้ที่คุยกันโลเวลเอาแต่จ้องหน้าเธอ...หญิงสาวทำเพียงคิดในใจ ไม่ได้พูดออกไป ตั้งใจฟังว่าเขาจะตอบกลับมาเช่นไร
“ถึงสายตาผมจะอยากมองแค่หน้าคุณ แต่ผมก็ต้องมองหาสิ่งที่จะทำให้คุณประทับใจไปด้วยควบคู่กัน”
โลเวลไม่ห้ามหากอัยรดาจะคิดว่าเขาเป็นพวกเจ้าชู้ไก่แจ้หรืออะไรก็ตามแต่ เพราะเขาพูดมันออกมาจากใจจริงๆ และไม่คิดจะทำหรือพูดกับใครในทำนองนี้นอกจากผู้หญิงตรงหน้าคนเดียว
“มีใครเคยบอกรึเปล่าคะว่าคุณเป็นคนปากหวาน”
หญิงสาวเอ่ยขณะเดินเข้าไปในร้านอาหารที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ กลิ่นน้ำอบลอยมะลิสดหอมสดชื่นลอยเข้าจมูกทำให้คิดถึงคนทางบ้านไม่น้อย แต่ก็ยังเงี่ยหูตั้งใจฟังคำตอบของคนข้างกายที่ผายมือให้เธอเดินตรงไปยังโต๊ะที่ว่าง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นทำเลที่ดีที่สุดของร้าน แถมยังดูเป็นส่วนตัวมาก คาดเดาว่าเขาน่าจะโทร. จองล่วงหน้าในระหว่างที่รอเธอแต่งตัวครึ่งค่อนชั่วโมง
“ทุกคนที่เคยลิ้มลอง” ชายหนุ่มบอกพร้อมมองคนถามอย่างสื่อความหมาย “แต่แปลกนะครับ ที่คุณอัยย์ยังไม่เคยลิ้มลอง แต่กลับรู้ข้อดีข้อนี้ของผมดี”
“แถมคารมยังดีไม่มีแผ่ว ไม่แปลกใจเลยที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ต่างก็หลงใหลคุณ”
หญิงสาวย่นจมูกใส่เขา และรับเมนูจากพนักงานสาวมาเปิดดูรายการอาหารแก้เขิน ทั้งที่เธอแทบไม่ต้องเปิดดูก็รู้ว่าร้านอาหารแห่งนี้มีเมนูอะไรบ้าง แถมอาหารชนิดไหนที่ขึ้นชื่อ เพราะคนที่คิดเมนูพวกนี้ก็คือเธอนี่แหละ
ใช่แล้ว ‘รินลดาอาหารไทย’ เป็นร้านอาหารซึ่งลงทุนโดยริฮานน่าพี่สาวต่างมารดา เปิดมาได้ปีกว่าเพื่อรำลึกถึง ‘รินลดา’ ผู้ล่วงลับซึ่งเป็นมารดาของอัยรดาที่ฝันอยากเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง และริฮานน่ายังมอบให้น้องสาวเป็นเจ้าของเต็มตัวเมื่อไม่นานมานี้เพื่อเป็นของขวัญวันสำเร็จการศึกษา
อัยรดาซาบซึ้งเมื่อพี่สาวรู้ว่าเธออยากทำตามความฝันของผู้เป็นแม่จึงดำเนินการให้ทุกอย่าง แถมยังทำออกมาตามแบบที่เธอชื่นชอบ แม้ไม่อยากรบกวน แต่ก็ปฏิเสธน้ำใจของคนเป็นพี่ไม่ได้
แต่เธอก็มีข้อแม้และห้ามริฮานน่าปฏิเสธคือ เธอจะทยอยคืนเงินลงทุนเป็นงวดตามกำไรที่ได้ในแต่ละเดือน ทว่าก็ยังถูกปฏิเสธอีก ในที่สุดก็สรุปว่าจะเจอกันครึ่งทาง ริฮานน่าออกทุนให้ครึ่งหนึ่ง โดยอีกครึ่งอัยรดาจะเป็นคนรับผิดชอบเอง เพื่อความภูมิใจว่าอย่างน้อยก็มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง
รินลดาอาหารไทยแม้จะเปิดได้ไม่นาน แต่ก็มีลูกค้าชื่นชอบและติดใจในรสชาติที่เป็นไทยแท้ ไม่ได้ปรับเพื่อให้เข้ากับคนต่างเมือง มีคนเข้ามาไม่ขาดสาย ยิ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณเขตธุรกิจก็ยิ่งสร้างเม็ดเงินให้ร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้อยู่ได้สบาย
“ผมไม่เถียงว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่น่าหลงใหล” โลเวลเอ่ยพร้อมกับดึงเมนูอาหารที่ปิดบังหน้าหวานไปเกินกว่าครึ่งลง “แต่สิ่งที่ผมอยากรู้มากกว่าคือ คุณอัยย์เป็นหนึ่งในผู้หญิงส่วนใหญ่รึเปล่า”
“ลองเดาดูสิคะ” อัยรดาเลือกที่จะไม่หลบตา จ้องตาคมกลับอย่างไม่กลัวเกรง “คิดว่าฉันเป็นผู้หญิงส่วนใหญ่หรือเปล่า”
“ผมไม่ได้จะหลงตัวเองนะ แต่จากที่ดูแล้วคุณอัยย์ไม่น่าจะเป็นผู้หญิงส่วนน้อย”
โลเวลส่งสายตาหวานฉ่ำกลับไปให้ หากที่ตรงนี้ไม่ใช่กลางร้านอาหาร เขาจะคว้าตัวหญิงสาวมาจูบให้หนำใจ ให้สมกับสายตายั่วยวนนั่น ทว่าอารมณ์นั้นกลับต้องถูกตัดฉับด้วยเสียงหวานของเธอ
“ผิดค่ะ ฉันเป็นผู้หญิงส่วนน้อย” อัยรดากลับมาสนใจเมนูตรงหน้าต่อ แอบอมยิ้มขำคนหน้าหล่อที่แสดงอาการเหลอ “คุณโลเวลอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ”
“ถ้าผมบอกว่าอยาก…ผมจะได้ทานอาหารพิเศษจานนั้นไหมครับ”
“อยู่ที่ว่าอาหารจานพิเศษที่คุณว่าคืออะไร” หญิงสาวตอบกลับด้วยประโยคกำกวมไม่แพ้กัน
ทำไมจะไม่รู้ว่า ‘อาหารพิเศษ’ ของโลเวลนั้นหมายถึงอะไร เพราะสายตาปานจะกลืนกินเธอลงท้องนั้นไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด ออกจะเปิดเผยโจ๋งครึ่มเสียขนาดนั้น
“ถ้าอย่างนั้น…”
ชายหนุ่มลากเสียงยาว มองเมนูอาหารในมือสลับกับหน้าหวานของคนตรงหน้า ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัด
“ขอต้มยำ ‘อัยรดา’ ก็แล้วกันครับ”
โลเวลจงใจพูดผิด เพราะในเมนูอาหารมีแค่ ‘ต้มยำรินลดา’ ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน และเขาโปรดปรานเมนูนี้ยิ่งนัก ชายหนุ่มรู้ว่าร้านอาหารแห่งนี้เป็นของป้าสะใภ้ และเจ้าของที่แท้จริงคือ ‘น้องดา’ เด็กผู้หญิงที่เขาไม่คิดจะจดจำ ทว่าก็ไม่สามารถลบเธอออกไปจากความคิดได้
“ตำยำรินลดาหรือเปล่าคะ” อัยรดาแก้ให้ ทั้งที่ก็รู้ว่าเขาตั้งใจพูดแบบนั้น
“อ่า…ผมพูดผิดหรือนี่ ขอโทษทีนะครับคุณอัยย์”
ชายหนุ่มแสดงสีหน้ารู้สึกผิด แต่ปากหนาที่ยังยกยิ้มอยู่ด้วยความเจ้าเล่ห์ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกว่าเขารู้สึกอย่างที่พูดแม้แต่น้อย แถมยังไม่ลืมหยอดคำหวานปิดท้ายประโยคอย่างสวยงาม
“สงสัยคิดถึงคุณอัยย์มากเกินไป”
‘เสือก็ยังเป็นเสืออยู่วันยังค่ำ’ หญิงสาวคิดในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปนอกจากยิ้ม
โลเวลเว้นจังหวะให้หญิงสาวได้พักหายใจหายคอ พักเกมรุกเอาไว้เสียก่อน ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เธอกลัวแล้วสร้างกำแพงขึ้นมาเขาจะชวดของดีไป ทว่าชายหนุ่มก็ไม่อาจละสายตาจากหน้ากระจ่างใสของเธอไปได้ ผิวหน้าขาวเนียนที่แต่งแต้มเครื่องสำอางพองามมันช่างสะกดเขาได้อยู่หมัดจริงๆ
อัยรดาไม่ได้แต่งตัวเซ็กซี่ขยี้ใจอย่างเช่นคู่ขาคนอื่นๆ และเขาก็เคยคิดว่าตัวเองมีรสนิยมชื่นชอบความร้อนแรงแบบนั้น แต่เมื่อได้พบเธอกลับทำให้เขารู้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เขาต้องการคือความสบายตา ความสบายใจต่างหาก
ทั้งสองสั่งอาหารพอประมาณสำหรับรับประทานสองคน ส่วนใหญ่แล้วมีแต่อาหารขึ้นชื่อของเมืองไทย โดยมีอัยรดาเป็นผู้จัดการทำเมนูอาหารทั้งหมด มีเพียง ‘ตำยำอัยรดา’ ที่โลเวลช่วยออกความเห็น
ถ้าเล่าให้ที่บ้านฟังจะมีใครเชื่อไหมเนี่ยว่าคนที่ดื่มกาแฟถ้วยเดียวเป็นอาหารเช้ามาตลอดหลายปี กำลังจัดการกับอาหารเช้ามื้อใหญ่ตรงหน้า
“คุณอัยย์เป็นคนไทยใช่ไหมครับ”
โลเวลเลือกใช้ภาษาไทยในการถามคำถามนี้ แม้จะไม่ได้ใช้บ่อยครั้งนอกจากสนทนากับมารดา แต่เขาก็ใช้มันได้ดีไม่แพ้คนที่ใช้อยู่เป็นประจำ เมื่อได้เห็นสีหน้าตกใจของคู่สนทนาก็อดจะเอ็นดูไม่ได้ ไม่ว่าอัยรดาจะแสดงปฏิกิริยาออกมาในรูปแบบไหน เขาก็มองว่าน่ารักไปเสียทุกอย่าง
“คุณโลเวลพูดไทยได้ด้วยหรือคะ”
“แม่ผมเป็นคนไทยครับ และผมก็เกิดที่ประเทศไทย ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่อิตาลีในตอนหลัง” ชายหนุ่มอธิบายให้ฟังพร้อมกับตักอาหารให้หญิงสาวไปด้วยอย่างใส่ใจ
“คุณนี่เก่งนะคะ พูดได้หลายภาษาเชียว” หญิงสาวกล่าวชมพร้อมค้อมหัวขอบคุณสำหรับอาหารที่เขาตักให้เสียพูนจาน “ทั้งภาษาไทย อังกฤษ อิตาลี ไหนจะฝรั่งเศสที่ฉันคิดว่าคุณน่าจะพูดได้”
เธอรู้ว่าโลเวลพูดภาษาบ้านเกิดของมารดาได้ดีพอๆ กับเธอ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีดีในตัวหลายอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องภาษา แต่รวมถึงมันสมองอันชาญฉลาดที่เขาได้รับตกทอดมาจากบิดามารดาด้วย
คนภายนอกอาจจะมองว่าชายหนุ่มเป็นพวกเสเพลไม่เอาไหน ไม่เหมาะสมกับทายาทรุ่นต่อไปของคิงส์ตันแม้แต่น้อย ทว่าคนใกล้ตัวรู้ดีว่านั่นคือสิ่งที่โลเวลเลือกจะแสดงออกให้คนอื่นเห็นมากกว่าตัวตนจริงๆ ที่เขาเป็น
“จริงๆ แล้วสี่ภาษาที่คุณพูดมา ผมไม่ค่อยถนัดสักเท่าไหร่หรอกนะครับ เพราะภาษาที่ผมถนัดมากกว่าคือ…”
“ภาษารัก” อัยรดาชิงตอบก่อนที่เขาจะพูดจบ เพราะเธอจะไม่ยอมให้โลเวลเป็นฝ่ายคุมเกมเหนือเธอง่ายๆ หรอก ทั้งที่รู้ว่าเขาพูดเพราะนิสัยเจ้าชู้ ทว่าหัวใจที่มอบให้เขาไปหมดทั้งดวงแล้วก็อดจะเต้นแรงไม่ได้
เธอคิดว่าการชิงตัดคำหยอดของชายหนุ่มเสียก่อนจะทำให้โลเวลถอนทัพ แต่ที่ไหนได้เขากลับบุกยิ่งกว่าเดิม
“คุณอัยย์นี่รู้ใจผมดีนะครับ” ชายหนุ่มสัพยอก
“ก็แหม…มุกนี้ใครๆ เขาก็เล่นกันนี่คะ”
“แต่ผมว่าไม่ใช่แบบนั้นนะครับ” ชายหนุ่มแย้งแล้วอธิบายต่อ “คนที่จะรู้ใจกันต้องมีใจตรงกันถึงจะถูก แล้วที่คุณอัยย์รู้ใจผมแบบนี้…”
โลเวลเว้นจังหวะสังเกตปฏิกิริยาคนตรงหน้า ถึงแม้เธอจะยังคงนั่งนิ่งแสร้งไม่รู้สึกกับคำพูดของเขา ทว่าใบหน้าที่เริ่มแดงก่ำของเธอก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าแท้จริงแล้วอัยรดากำลังรู้สึกบางอย่าง
“ผมขอคิดเข้าข้างตัวเองได้หรือเปล่าว่า…เราใจตรงกัน”
“คุณโลเวลนี่เป็นคนตลกนะคะ” อัยรดาหัวเราะขื่น พยายามพาเขาออกจากบทสนทนาเมื่อครู่ แต่ตาคมที่จ้องมองมาที่เธอด้วยความจริงจังทำให้เธอได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ไป
“ว่าแต่วันนี้คุณไม่ไปทำงานหรือคะ” หญิงสาวพยายามเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งโลเวลรู้ดีจึงไม่ค้านหากเธอจะเลี่ยงเพราะกลัวอีกฝ่ายอึดอัด
“ผมลาป่วยครับ” ชายหนุ่มบอกความจริง แม้จะเป็นการป่วยหลอกๆ เพราะขี้เกียจไปทำงานและอยากอยู่จีบสาวก็เถอะ
“คุณไม่สบายเหรอคะ” อัยรดาตกใจเพราะท่าทางของชายหนุ่มไม่ได้บ่งบอกว่าเขากำลังป่วย เพราะความเป็นห่วงจึงเผลอวางช้อนแล้วยื่นมือไปอังหน้าผากเขา “ไปหาหมอไหมคะ ให้ฉันพาไปก็ได้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมดีขึ้นแล้ว” โลเวลรู้สึกผิดเมื่อเห็นหญิงสาวแสดงความเป็นห่วงเขาจากใจจริง ชายหนุ่มจับมือนุ่มที่อังหน้าผากตนมากุมไว้แน่น “ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วงผม”
“เอ่อ…ค่ะ” หญิงสาวเพิ่งรู้ว่าตนเองนั้นแสดงความรู้สึกที่มีมากเกินไป จึงค่อยๆ ดึงมือออกจากมือหนาเพื่อไม่ให้ดูเสียมารยาทมากเกินไป ซึ่งชายหนุ่มก็ยอมปล่อยแต่โดยดี “เรารีบทานกันเถอะค่ะ คุณโลเวลจะได้รีบไปพักผ่อน เดี๋ยวอาการกำเริบจะแย่เอา”
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำสั้นๆ
หลังจากนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ปราศจากเสียงสนทนา ต่างคนต่างสนใจกับจานข้าวตรงหน้าตัวเองมากกว่าจะเปิดประเด็นขึ้นมาใหม่
เวลาผ่านไปพอสมควร และตอนนี้สองหนุ่มสาวกำลังเดินกลับอะพาร์ตเมนต์ ทว่าบรรยากาศช่างแตกต่างจากขามาลิบลับ
“คุณอัยย์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เห็นเงียบมาตั้งแต่อยู่ที่ร้านอาหารแล้ว” โลเวลเลือกที่จะทำลายบรรยากาศวังเวงนี้โดยการเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน “คุณอัยย์ไม่พอใจอะไรผมหรือเปล่าครับ”
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธเพราะสิ่งที่เขาคิดไม่ใกล้เคียงกับความจริงเลย จะให้เธอพูดได้อย่างไรล่ะว่ากำลังทำตัวไม่ถูกกับคำหวานที่เขาหมั่นส่งให้เหลือเกิน และกำลังตั้งสติให้คืนกลับมาเพื่อรับมือกับความเจ้าชู้ไก่แจ้ของเขา
อัยรดารู้ว่าโลเวลให้ความสนใจตัวเธออยู่ในตอนนี้ ทว่าก็ไม่รู้ว่าเขาสนใจแค่ตัวเธอ หรือต้องการความรักที่มีอยู่ในหัวใจไปด้วย ฉะนั้นการไว้ตัวและไม่แสดงความรู้สึกที่มีมานานออกไปมากจนเกินพอดี คงเป็นวิธีที่จะป้องกันหัวใจตัวเองไม่ให้เจ็บหนักได้ดีที่สุด เพราะหากเขาไม่ต้องการหัวใจดวงนี้ เธอจะได้รีบตัดใจ
“ผมขอโทษที่ทำให้คุณอัยย์อึดอัดนะครับ”
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะคุณโลเวล ฉันไม่ได้อึดอัดเวลาที่อยู่กับคุณนะคะ” หญิงสาวหันมาคุยกับเขาอย่างจริงจังระหว่างที่ยืนรอสัญญาณไฟจราจรเพื่อข้ามถนนไปฝั่งอะพาร์ตเมนต์
“แต่คุณทำเหมือนอึดอัดที่ผมมาวุ่นวายกับคุณ”
ชายหนุ่มใช้น้ำเสียงจริงจังบวกกับท่าทางที่แสดงความกังวลชัดเจนเพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนองของอัยรดา ความจริงเขาก็ไม่ได้คิดมากหากเธอจะอึดอัด เพราะถ้าเป็นตัวเขาเองก็อึดอัดเช่นกัน ทว่าที่แสดงบทดรามาแบบนี้เพราะอยากรู้ว่าเธอจะแคร์ความรู้สึกกันหรือไม่ หากใช่เขาก็พอมีลุ้น แต่ถ้าไม่ใช่เขาก็จะทำให้มันเป็นคำว่าใช่จนได้
“คุณคิดมากไปแล้วค่ะ”
“สัญญาณไฟคนข้ามถนนขึ้นแล้วครับ”
โลเวลไม่พูดเปล่า แต่คว้ามือนุ่มมากุมไว้แล้วพาหญิงสาวเดินข้ามถนนไป เมื่อข้ามมาอยู่อีกฝั่งได้แล้วกลับไม่ยอมปล่อยมือนุ่มให้เป็นอิสระ ยังคงจับจูงพาเธอเดินเข้าที่พักเป็นปกติ และดูเหมือนว่าสาวเจ้าเองก็ยังไม่รู้ตัว เพราะกำลังพยายามอธิบายไม่ให้เขาคิดมากอยู่
“ฉันขอโทษนะคะที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น”
“ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ” ชายหนุ่มบอก เมื่อเห็นคนหน้าหวานมีสีหน้าเหงาหงอยก็สงสาร “เอาแต่ขอโทษกันไปมาก็ไม่จบสักที เอาเป็นว่าเราเสมอกัน หายกันแล้วนะครับ” ชายหนุ่มบอกพร้อมรอยยิ้มหวาน
“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับและสบายใจขึ้นเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น ก่อนจะสนใจอาการป่วยของเขาอีกครั้ง “กลับห้องไปทานยาพักผ่อนนะคะ จะได้หายไวๆ”
อัยรดาบอกเมื่อทั้งสองขึ้นมาถึงชั้นที่พักแล้ว และตอนนี้ก็กำลังยืนสนทนากันอยู่ที่หน้าห้องของเธอ
“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ”
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวบอกและหมุนตัวเดินเข้าห้อง ทว่าก็ทำอย่างที่ใจคิดไม่ได้เมื่อมือหนาที่กุมมือเธออยู่ไม่ยอมปล่อยให้เป็นอิสระ และตอนนี้เองที่เธอเพิ่งรู้ว่าตั้งแต่ข้ามถนนเขายังไม่ปล่อยมือเธอเลย
อัยรดาหันไปมองเจ้าของมือหนา ส่งสายตาถามว่าเขามีอะไรกับเธออีกหรือไม่
“คุณอัยย์ครับ” โลเวลเรียกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง กระชับมือนุ่มแน่นขึ้น
“คะ?” หญิงสาวเลิกคิ้ว เริ่มแปลกใจเมื่อคนหน้าหล่อแสดงความจริงจังจนเกินไป นั่นหมายความว่าเขาต้องพูดเรื่องที่ซีเรียสพอตัวหลังจากนี้ ทว่าประโยคต่อมาของเขากลับทำให้เธออึ้ง
“เรามาทำความรู้จักกันอย่างจริงจังดีไหมครับ”
ความคิดเห็น |
---|