ตอนที่ ๑๐
มุลิลาต่อหูฟังกับมือถือเพื่อฟังรายการของดีเจแสด เธอลูบตัวลูกเบาๆ น้องปลื้มหลับไปนานแล้ว และบุปผาก็กลับไป พร้อมกับย้ำว่ายังไงก็จะไม่ยอมให้เธอหย่าเป็นอันขาด
“ประเด็นที่พี่แสดหมายถึงคือว่าอย่างนี้ค่ะคุณผู้ฟัง เพราะความกลัว กลัวว่าตัวเองไม่ดีพอ เลยไม่กล้ารักคนอื่น” ดีเจแสดพูดต่อ
‘ต้องเข้มแข็ง...มู่ลี่ เธอต้องหาตัวช่วย’ หญิงสาวคิด ก่อนที่เสียงแสดในหูฟังจะดังขึ้นมาอีก
“ช่วยตัวเองดีที่สุดค่ะ คุณผู้ฟังคะ เพื่อต่อสู้กับความกลัว”
มุลิลาหลุดขำออกมาเพราะรู้สึกว่าจังหวะมันตรงกันอย่างประหลาด เหมือนดีเจพี่แสดกับเธอตอบโต้กันไปมา แต่แล้วความจริงก็ฉุดอารมณ์เธอดำดิ่งลงกับปัญหาตรงหน้าอีกครั้ง
“มันคงไม่ผิดถ้าจะสร้างกำแพงขึ้นมาป้องกันตัวเองจากความเจ็บปวดนะพี่แสด เรามีสิทธิ์ที่จะกลัว...เจ็บเหมือนจะขาดใจ...ให้เจออีกคงไม่ไหว” มุลิลาพูดจบเสียงแสดก็ดังขึ้นอีก
“พี่แสดไม่เถียงค่ะ...ว่าเรามีสิทธิ์กลัว”
“เหมือนมานั่งอยู่ข้างๆ หนูเลยนะพี่แสด” หญิงสาวพูดยิ้มขำๆ
“แต่อยากจะให้คิดบวกว่า...โนเพน โนเกน ไม่เจ็บปวด ไม่เกิดการเรียนรู้”
มุลิลาเห็นน้องปลื้มหลับสนิทดีแล้ว จึงลุกขึ้นไปเตรียมที่นอนตัวเองบนโซฟา ระหว่างฟังพี่แสดพูดใส่หูไปเรื่อยๆ
“คนเรามีบททดสอบมาให้เรียนรู้กันได้ตลอดชีวิต อย่าปิดโอกาสตัวเองได้แอดเวนเจอร์บทเรียนใหม่ๆ ที่เข้ามาหา ท่านพุทธทาสเคยกล่าวไว้ว่าชีวิตเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ เรียนรู้จากความผิดพลาดแก้ไข แล้วจะได้พบสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะพบได้...สาธุเจ้าค่ะ คืนนี้โหมดธรรมะนิดนึงนะคะ ช่วงนี้เราต้องมีสาระบ้างไรบ้าง ก่อนจะไปสาระอีกแบบหนึ่งในช่วงหน้า คือสาระแนเรื่องของคุณผู้ฟัง โทร.เข้ามาเมาท์มอยกันนะคะ รอเผือกอยู่ ครุคริๆ ฟังเพลงค่ะฟังเพลง”
มุลิลานั่งลง รู้สึกสบายใจขึ้น ตบหมอน เตรียมตัวนอน มีเสียงดีเจพี่แสดให้ข้อคิดดีๆ และเพลงกล่อมจนหลับไป
รุ่งขึ้นอัศวินเดินทางมาเยี่ยมน้องปลื้มแต่เช้าพร้อมด้วยซาลาเปา เขาขึ้นไปยังห้องผู้ป่วยเตรียมจะเคาะประตูแต่มุลิลาเปิดออกมาเสียก่อน ชายหนุ่มเห็นแววอึ้งบนใบหน้าของเธอ ต้องตาที่มาก่อนแล้วชะโงกหน้ามองอัศวินอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรยกซาลาเปาขึ้นมายื่นให้หญิงสาว บนกล่องมีการ์ดที่เขาเขียนเมื่อวานแปะอยู่ด้วย
“พี่ดอลลี่ฝากมาเยี่ยมน้อง...” อัศวินมองเลยไปยังน้องปลื้มที่นอนอยู่บนเตียงซึ่งขยับตัว ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมามองทุกคนแบบงงๆ
“น้องปลื้ม ลูกชายฉัน” มุลิลาหันไปบอกอัศวินง่ายๆ
“โชคดีไม่ซื้อซีดีเลดี้กาก้า” ชายหนุ่มเป่าปากโล่งอก แล้วนึกถึงที่คุณแม่ใจดีเมื่อวานแนะนำให้
“หา?” มุลิลาร้องแบบงงๆ
“อ๋อ เปล่าไม่มีอะไรป้า”
อัศวินเอ่ย อีกฝ่ายตั้งท่าจะเล่นงานเขาที่เรียกเธอว่าป้า แต่น้องปลื้มเห็นถุงซาลาเปาตี๋ตาโตจำได้รีบลุกนั่งร้องอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ได้กินแล้ว!”
มุลิลา ต้องตา อัศวินมองน้องปลื้มอย่างแปลกใจ
“แม่สั่งซาลาเปาตี๋ตาโตให้ปลื้มเหรอครับ”
“ป้าดอลลี่...” มุลิลาตอบ แต่อัศวินขัดขึ้น
“พี่ดอลลี่ครับ”
“พี่ดอลลี่ให้พี่ตี๋...”
“พี่วินครับ” อัศวินขัดอีก
“พี่ดอลลี่ให้พี่วินขี่จักรยาน” คนชะงัก หันมาถามอัศวินว่า “จะขัดอะไรอีกมั้ย เอาให้จบ”
“ไม่ขัดแล้วครับ” อัศวินตอบสบายๆ ต้องตาแอบขำกิ๊ก
“พี่ดอลลี่ให้พี่วินขี่จักรยานเอามาให้น้องปลื้มครับ” มุลิลายิ้มให้ลูกชายแล้วเอาซาลาเปาไปให้น้องปลื้ม “แต่ปลื้มต้องแปรงฟันก่อนนะ โอเคมั้ย”
“ครับ ขอบคุณครับพี่วิน ขอบคุณพี่ดอลลี่ด้วยครับ” น้องปลื้มยกมือไหว้อัศวิน
“ครับ น่ารักอะ พูดเพราะ มีมารยาทไม่เหมือนมะ...” อัศวินประทับใจ เผลอจะเปรียบเทียบระหว่างแม่กับลูก แต่ก็ยังพูดไม่ทันจบต้องหุบปากฉับยิ้มแห้งๆ เพราะสายตาพิฆาตของมุลิลา
มุลิลาจัดการน้องปลื้มและบอกลาแบบเร็วๆ ฝากฝังต้องตาให้ช่วยดูแล หันไปขอบคุณอัศวินอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเดินออกจากห้อง ชายหนุ่มมองตามอย่างสงสัย แต่เมื่อเห็นมุลิลาไม่ได้อยู่แล้วเขาก็หันไปลาต้องตากับน้องปลื้มเหมือนกัน
“หายเร็วๆ นะครับ”
น้องปลื้มยกมือไหว้ขอบคุณ หันไปทางต้องตาที่กำลังเตรียมซาลาเปาไว้ให้อย่างตื่นเต้น
อัศวินเดินออกจากห้องคนไข้ เดินตามมาทันมุลิลาที่กำลังรอลิฟต์อยู่ เขามองเธอนิ่ง แล้วสังเกตว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจเขาเลย
“ป้าจะไปทำธุระที่ไหน แล้วจะกลับไปซ้อมสคริปต์ที่ออฟฟิศทันมั้ยเนี่ย” อัศวินถาม นึกเป็นห่วงเรื่องงาน
“นัดไว้แปดโมง ออกจากที่นั่นแปดโมงครึ่ง ถึงเก้าโมง ทันปะ” มุลิลาตอบ สีหน้าเธอยังคงเครียดอยู่เล็กน้อย
“ก็เรานัดไว้แปดโมง เลื่อนธุระไปก่อนไม่ได้หรือไง”
“ฉันเลื่อนไม่ได้”
“หรือไม่ก็ให้คนอื่นไปทำแทน”
มุลิลากำลังเครียดๆ พออัศวินเซ้าซี้เข้าหน่อยก็หมดความอดทนปรี๊ดแตก “แล้วจะให้ใครไปเซ็นใบหย่าแทนฉัน ในเมื่อฉันเป็นเมีย หา ไอ้ตี๋!”
คนฟังหน้าเสีย คาดไม่ถึงว่าธุระของมุลิลาจะเป็นเรื่องนี้
“โอเค เข้าใจแล้ว จบ งั้นรีบไปรีบมานะป้า เจอกัน” อัศวินจะออกไป
มุลิลามองตามอัศวิน นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ตี๋!”
อัศวินหันมา ตามคำเรียก “อะไรป้า”
“ฉันมีทางออก จะได้ไม่เสียเวลา”
“หือ?” อัศวินหันมาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ซึ่งเขาคาดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วเขาจะมาลงเอยที่ถนนเช่นนี้กับเธอ
“ลืมถาม คิ้วเป็นไร” อัศวินหันไปถามมุลิลาที่นั่งซ้อนท้ายอยู่
“ลื่นล้มชนขอบโต๊ะ” เธอตอบ
“เย็บปะ” เขาถามอีก
“สิบเข็ม”
อัศวินทำปากร้องโอ้โฮแบบไม่มีเสียง “ชนโต๊ะหรือหัวเรือรบวะป้า ตั้งสิบเข็ม”
“เข้าเรื่องต่อได้แล้ว ยังไงต่อ จะได้จบพอดีตอนไปถึงสำนักงานเขต”
“ก็เดี๋ยวจะมีสเตจเขียนประเด็นสำคัญที่จะต้องพูด นอกเหนือจากสคริปต์ ชูให้ป้าอ่าน จะอ่านเห็นมั้ยเนี่ย อ้อ ลืมไป สายตายาว” อัศวินปากเสีย มุลิลาเลยทุบหลังเขาอย่างแรง
“ยังไม่ยาว”
“โอ๊ย! เดี๋ยวก็ล้มหรอก”
“ก็อย่าปากเสีย”
“เกิดใหม่ง่ายกว่า” อัศวินว่า
“ต่อมาเร็วๆ เลย แล้วไง”
ชายหนุ่มพูดได้สองสามคำแล้วก็บ่นอีก “ยางแบนปะเนี่ย โคตรหนืดเลย” เขาทำท่าปั่นจักรยานอย่างลำบากลำบนประกอบ
“ไอ้ตี๋! ยังอีก!” มุลิลาทุบปั๊กเข้าให้อีก ทั้งสองเถียงกันไปตลอดทาง
พงศ์พิศุทธิ์นั่งหน้าเครียดมองกุญแจรถนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน ใจจริงเขาไม่อยากไปหย่า แต่จากเหตุการณ์เมื่อคืนนั้น เขาก็รู้แล้วว่ามุลิลาไม่มีทางอภัยให้แน่ๆ นั่งคิดอยู่สักพักก็ตัดสินใจลุกขึ้น คว้ากุญแจรถแล้วเดินออกจากบ้าน กำลังไขประตูรถ ก็เห็นรถของแม่เข้ามาจอด
บริสุทธิ์หน้าเครียดลงรถมาทันที
“แม่ยายแกโทร.ไปฟูมฟายกับฉัน บอกว่าแกกับเมียแกนัดกันไปเซ็นใบหย่าเช้านี้” บริสุทธิ์ไม่พูดพร่ำทำเพลง ส่งเสียงเล่นงานลูกชายไปก่อนที่ตัวเองจะเดินถึงลูกชายด้วยซ้ำ
“ครับ” พงศ์พิศุทธิ์รับคำ
“แล้วแกก็ยอมง่ายๆ”
“ไม่งั้นผมคงติดคุก เมื่อคืนมีเรื่องกันนิดหน่อยก็เลยเผลอลงไม้ลงมือไป” คนพูดหลบตามารดา
“แล้วทำไมก่อนทำไม่คิด ยายนั่นไม่มีทางยอมถูกแกทำร้ายฟรีๆ มันต้องหาทางต่อรอง แล้วมันก็ถือไพ่เหนือกว่าแกจนได้ โง่!” บริสุทธิ์ชี้หน้าด่าลูกชายที่ไม่ได้ดั่งใจ
“แล้วใครเลี้ยงผมให้โง่แบบนี้เล่า! ไม่มีสมองคิด ทำแต่เรื่องโง่ๆ จนต้องเสียเมียกับลูกไป!”
“อย่ามาโยนความผิดให้ฉัน ฉันไม่เคยสอนแกให้ทำตัวเจ้าชู้สักหน่อย”
“ใช่...ผมมันลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน!” พงศ์พิศุทธิ์เถียงกลับ บริสุทธิ์ไม่ทน ตบหน้าลูกชายอย่างแรงด้วยความโกรธ “หรือไม่ก็แม่คนเดียวที่ไม่สั่งสอน เพราะสอนไม่เป็น เป็นแต่ใช้เงินฟาด ไม่สงสัยเลยทำไมพ่อถึงมีเมียน้อย!”
พงศ์พิศุทธิ์โกรธมากเช่นกัน แต่เพราะคำพูดนั้นเขาก็โดนแม่ตบหน้าหันอีกครั้ง ชายหนุ่มยกมือขึ้นวางบนแก้มของตัวเอง “แม่เกลียดอะไรก็ได้อย่างนั้น แม่เกลียดพ่อ ผมก็เลยเป็นเหมือนพ่อ!” เขาตะโกน
บริสุทธิ์จะเงื้อมือตบอีกครั้งแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ แผดเสียงดังลั่นอย่างสุดจะทน “หยุดซะที!”
พงศ์พิศุทธิ์นิ่งไป เริ่มได้สติขึ้นมาบ้าง “ชีวิตแก แกเลือกเอง จะต่ำจะสูง แกเป็นคนเลือก แม่ที่แกบอกว่าไม่เคยสั่งสอนแกคนนี้ เป็นคนเดียวที่ช่วยดึงตัวแกขึ้นมาจากเหวทุกครั้ง...ใช่มั้ย!”
พงศ์พิศุทธิ์นิ่ง พูดไม่ออกเพราะเป็นความจริง ทรุดตัวลงนั่งหมดแรง เสียใจ และไม่รู้จะหาทางออกยังไง “ไม่อยากหย่า แต่ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วแม่”
บริสุทธิ์มองลูกชายด้วยความโกรธ แต่พอเห็นท่าทางหมดสภาพของลูกชายก็ค่อยๆ อ่อนลง พยายามข่มอารมณ์ให้เป็นปกติ แต่ก็ยังไม่เข้าไปสัมผัสเพื่อปลอบประโลมใดๆ
ในที่สุดอัศวินก็พามุลิลามาส่งที่หน้าสำนักงานเขตทันเวลา เขาปาดเหงื่ออย่างเหนื่อยๆ คนซ้อนลงจากรถแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ถึงแล้ว และจบหลักสูตรพอดี ไปถึงสตูฯ จะได้ซ้อมหน้ากล้องอย่างเดียว จะไหวมั้ยวะเนี่ย มีผ้าก๊อซแปะอยู่อีก เอาไงดีอะ” อัศวินมองผ้าก๊อซที่แปะข้างหน้าผากมุลิลา แต่คนที่ต่อปากต่อคำกับเขามาตลอดทางกลับนิ่งไป
มุลิลายืนนิ่งเพราะพอมาถึงที่นัดหมาย ความรู้สึกที่ว่าใกล้จะได้เผชิญหน้ากับพงศ์พิศุทธิ์ก็เข้ามาอีกครั้ง และมันก็ช่วยไม่ได้ที่ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนนี้จะปรากฏในหัวเป็นฉากๆ หญิงสาวยกมือขึ้นบีบแขนตัวเอง พยายามระงับอาการสั่นเทาจากความกลัวของตนเอาไว้
“ป้า!” อัศวินเรียกเธอเสียงดัง มุลิลาสะดุ้งโหยง
“อะไร” เธอสะบัดเสียง
“เป็นอะไร หน้าซีดมาก ลืมแต่งหน้าหรือเปล่า”
มุลิลาหันมองหน้าอัศวิน
“มองไม” เขาถาม
“เปล่า” เธอตอบแล้วหันไปทางสำนักงานเขตอีกครั้ง แววตากังวลอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วเจอกัน อย่าเลตนะ เก้าโมง”
อัศวินบอก เตรียมตัวจะขี่รถออกไป ทว่ามุลิลาเอื้อมมือไปจับแขนเสื้อของอัศวินเอาไว้แน่น
อัศวินชะงักกึก หันมามองมือมุลิลาที่จับแขนเสื้อ เธอจับแน่นมากจนเขารู้สึกแปลกใจ จะอ้าปากถามก็พูดไม่ออกเมื่อเห็นสายตาของมุลิลาเหมือนหาที่พึ่ง
“อะไรน่ะป้า”
มุลิลาพูดไม่ออก แต่สุดท้ายเธอก็ไม่เหลือความเข้มแข็งและแรงใจจะเดินหน้าต่อไปคนเดียวได้
“ฉันกลัว” น้ำเสียงของเธอบ่งบอกเช่นนั้นจริงๆ มุลิลามองอีกฝ่ายที่กำลังอึ้ง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยคำถาม “แผลนี่ ฉันล้มชนขอบเตียง แต่จริงๆ ไม่ได้ล้มเอง”
“อย่าบอกนะว่า...โดนซ้อม” อัศวินถามอย่างตกใจ และเมื่อมุลิลามีแต่ความเงียบเป็นคำตอบ เขาก็รู้ว่ามันหมายความว่าไง “ลูกผู้ชายเปล่าวะ!”
“ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย นอกจากกลัวเขาแล้ว ฉันยังกลัวตัวเองจะอารมณ์ขึ้นเวลาที่เห็นหน้าเขา จนอดใจไม่ไหวทำอะไรรุนแรง ต้องมีใครสักคนคอยห้ามฉัน”
มุลิลาพูดเสียงแข็ง แต่เมื่อเทียบกับที่ผ่านมานั้น อัศวินก็รับรู้ได้ว่านี่เป็นการขอร้องจากเธอ
“ป้านี่จริงๆ เลยนะ” เขาทำท่าคิดหนัก
อัศวินตัดสินใจช่วยมุลิลา ทว่ากลับถูกบริสุทธิ์และพงศ์พิศุทธิ์เข้าใจผิดว่าเป็นคนรักใหม่ บริสุทธิ์มองทั้งคู่ตั้งแต่หัวจดเท้าแล้วยิ้มเยาะ
“เธอแก้แค้นตาพงศ์สินะ ถูกสวมเขา เลยสวมเขากลับ ไม่คิดเลยว่าเมียแกจะร้ายกว่าที่ฉันคิด”
“เด็กคนนี้เป็นรุ่นน้องที่ทำงานใหม่ เค้ามาเป็นเพื่อน คอยห้ามไม่ให้หนูถอนหงอกคนแก่ค่ะ”
มุลิลาพูดจบ อัศวินซี้ดปากตะลึง เมื่อเจอความแรงของมุลิลาเข้าไป
“อย่าลามปามแม่ผม!” พงศ์พิศุทธิ์พูดเสียงแข็ง มองอัศวินอย่างเป็นศัตรู
“แม่คุณเคยน้อยกับฉันซะเมื่อไหร่ล่ะ ที่ผ่านมาฉันเกรงใจและให้เกียรติ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็น! แล้วเป็นอะไร มาคนเดียวไม่ได้ ต้องให้แม่มาเป็นผู้กำกับ เป็นผู้กำกับหนังโฆษณาตัวพ่อไม่ใช่เหรอ แต่ชีวิตตัวเองกลับกำกับเองไม่...”
มุลิลาอ้าปากจะด่าต่อ อัศวินรีบดึงแล้วห้ามเอาไว้
“ป้า พอ คนมองใหญ่แล้ว อายเค้า”
มุลิลาสะบัดแขนออก “ไม่ใช่เซเลบ! ไม่อาย! ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว! ใครหน้าบางก็ให้มันอายไป”
พงศ์พิศุทธิ์รู้ฤทธิ์มุลิลาดีรีบตัดบททันที
“รีบไปจัดการให้มันเสร็จๆ เถอะ ไปครับแม่”
พงศ์พิศุทธิ์รีบพาบริสุทธิ์เดินเข้าไปก่อน มีมุลิลามองตามอย่างเคืองแค้น และอัศวินยังรั้งตัวเธอไว้
“ป้า...ใจเย็นก่อน อย่าของขึ้น เรื่องนี้ต้องใช้สตินะ”
มุลิลาพยายามคอนโทรลลมหายใจเข้า-ออก เหมือนตอนจะคลอดลูก
“โอเค สติ สติ ขอโทษ...โอเค...วิธีหายใจแบบลามาซ โอเค...ฮู่ ฮู่ ฮู่...”
อัศวินพยายามเอาใจช่วยมุลิลา “หายใจเข้าออก ลึกๆ น่าน...ยังงั้น”
มุลิลาและอัศวินเดินตามมาที่โต๊ะทะเบียนราษฎร์ อัศวินปลีกตัวไปนั่งเฝ้าดูสถานการณ์ห่างๆ เห็นมุลิลาและพงศ์พิศุทธิ์นั่งคู่กันหน้าโต๊ะนายทะเบียน มีเอกสารที่จำเป็นอยู่บนโต๊ะ บริสุทธิ์นั่งประกบข้างพงศ์พิศุทธิ์
“บุตรอยู่ในความดูแลของใครคะ” เจ้าหน้าที่ถาม
“ของฉันค่ะ”
มุลิลารีบตอบ บริสุทธิ์ฟังแล้วก็นั่งกลั้นลมหายใจคอแข็ง เจ็บใจ รอวันเอาตัวหลานคืน
“ค่าเลี้ยงดูบุตรจะให้ส่งเสียยังไงคะ หรือจะตกลงกันเอง”
“ตกลงกันเองค่ะ” บริสุทธิ์รีบพูด
มุลิลาเกิดหมั่นไส้ หันไปพูดใส่พงศ์พิศุทธิ์ “ไม่มีปากหรือไง...ทำไมอีตอนทำลูก ไม่ให้แม่เข้ามาบอกบทด้วยเลยล่ะ”
นายทะเบียนอึ้ง ส่วนบริสุทธิ์กับพงศ์พิศุทธิ์หน้าแดงด้วยความอับอาย
“ป้า เบา อย่าแรง เป็นตัวอย่างไม่ดีต่อเยาวชน”
อัศวินรีบเข้ามาประกบมุลิลาทันที คนที่กำลังของขึ้นหันไปมองรอบๆ ตัว เห็นเด็กมากับพ่อแม่มองอยู่ก็ยิ้มเจื่อน
“ตกลงยังไงคะ” นายทะเบียนถามย้ำ
พงศ์พิศุทธิ์หันมามองมุลิลา “ให้คุณตัดสินใจ ผมได้ทั้งนั้น”
“ตาพงศ์!” บริสุทธิ์หันมาปรามลูกชาย เธอไม่ต้องการเสียเปรียบมุลิลาแม้แต่น้อย ทว่าพงศ์พิศุทธิ์กลับให้เหตุผลที่เธอต้องเงียบไป
“ลูกผม ผมต้องดูแล”
ทว่ามุลิลากลับตอบเสียงแข็ง “ไม่ต้อง!”
พงศ์พิศุทธิ์ บริสุทธิ์ อัศวินมองหน้ามุลิลาอย่างแปลกใจ
“ฉันไม่ต้องการเงินของคุณหรือแม่คุณ ฉันจะดูแลลูกเอง” มุลิลาตัดสินใจเด็ดขาด
พงศ์พิศุทธิ์เครียด ยิ่งรู้สึกเสียใจที่ตัวเองไม่เหลือในสายตาหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย ส่วนบริสุทธิ์ยิ้มกระหยิ่มสมใจ
“เอาเป็นว่า...ตกลงกันเองนะคะ ไม่ส่งหรือส่งก็ไปว่ากัน”
นายทะเบียนสรุปแล้วพิมพ์บันทึกข้อความในคอมพิวเตอร์ ขณะที่มุลิลานั่งนิ่ง พยายามเข้มแข็งเอาไว้ เวลาผ่านไปครู่ใหญ่นายทะเบียนก็หันมายื่นใบสำคัญการหย่าให้ทั้งคู่
“เรียบร้อยค่ะ ถ้าคุณผู้หญิงจะทำบัตรประชาชนใหม่เลยก็ไปกดบัตรคิวอีกทีนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ” มุลิลารับใบหย่าแล้วลุกเดินออกไปเลย
อัศวินรีบเดินตามไป มีอดีตสามีมองตามอย่างสะเทือนใจ
บริสุทธิ์หมั่นไส้ “จองหอง อวดเก่ง แต่ก็ดี แกไม่ต้องเสียอะไรเลย”
“ใครบอกล่ะครับ ว่าผมไม่ต้องเสียอะไรเลย”
น้ำเสียงของพงศ์พิศุทธิ์บ่งบอกว่าเสียใจเหลือเกิน ผู้เป็นแม่มองตามอย่างไม่พอใจก่อนลุกตามออกไป
อัศวินกับมุลิลายืนอยู่ตรงที่จอดรถจักรยานของสำนักงานเขต ชายหนุ่มเข็นจักรยานตัวเองออกมาตรงที่หญิงสาวยืนรอนิ่งอยู่
“ป้า โอเคเปล่า”
“โอเคมาก ไม่เคยรู้สึกโอเคขนาดนี้มาก่อน” มุลิลาตอบ พยายามทำสีหน้าสบายๆ
“เฮ้อ จริงๆ แล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ควรจะเกิดกับครอบครัวไหนเลยนะ ไม่ชอบเลย”
“ชีวิตจริงมันไม่เหมือนในอุดมคตินะตี๋ มันซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายไหว จะว่าฉันเห็นแก่ตัวก็ได้นะ แต่ฉันไม่อยากให้ลูกชายฉันโตมาโดยมีพ่อเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ลูกชายฉันอาจจะไปทำแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่นในอนาคต”
“แล้วป้าไหวแน่นะ กับการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว” อัศวินถามเขารู้ว่าด้วยสถานภาพนั้นคนสมัยใหม่ส่วนใหญ่คงยอมรับได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อคิดว่าด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ เศรษฐกิจอย่างสมัยนี้เขาก็อดห่วงมุลิลาไม่ได้
“ไหวสิ ฉันจะเป็นให้ได้ทั้งพ่อและแม่ ลูกฉันต้องโตขึ้นมาเป็นทุกอย่างที่ตรงข้ามกับพ่อของเค้า” มุลิลาเอ่ยดวงตามุ่งมั่น
“เอาใจช่วยนะป้า”
“ขอบใจนะตี๋ ขอโทษด้วยที่ต้องลากเข้ามาเอี่ยว”
“อย่าบ่อยแล้วกัน” อัศวินว่า
“คิดว่าฉันจะหย่าบ่อยๆ หรือไง ชาตินี้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว! ไปได้แล้ว กว่าจะถึงออฟฟิศ”
อัศวินรีบขี่จักรยาน มุลิลาขึ้นซ้อนท้ายกันออกไป
บริสุทธิ์และพงศ์พิศุทธิ์เพิ่งจะเดินออกมา ทันเห็นหลังอัศวินและมุลิลาขี่จักรยานออกไปพอดี พงศ์พิศุทธิ์มองตามตาละห้อย
“เมียเก่าแกมันไม่ยอมคืนลูกให้แกแน่ ถึงแกจะฟ้องมัน มันต้องสู้ยิบตา และเราก็จะไม่มีทางชนะ”
“แล้วแม่จะให้ผมทำยังไง”
“ก็ทำให้มันได้ชื่อว่าไม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้ และไม่เหมาะที่จะเป็นแม่คน!”
พงศ์พิศุทธิ์อึ้งกับความคิดของบริสุทธิ์ แต่ก็ไม่สามารถขัดได้
ชิษณุแต่งตัวกำลังจะออกไปทำงาน เมื่อคืนเขาคิดเรื่องของมุลิลาอย่างหนักใจ ด้วยเพราะถึงมั่นใจได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่งจากการรับรองของเพื่อนสนิท ทว่ายักษ์ก็แสดงตัวว่าเขาจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้มากนัก เพราะไม่อยากเสี่ยงที่จะสูญเสียความสัมพันธ์อันดีกับมุลิลาไปหากว่าชิษณุกับมุลิลาเกิดมีเรื่องที่ทำให้ไม่ชอบหน้ากันในอนาคต ทว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ชายหนุ่มจะหนักใจที่สุดหรอก สิ่งที่ทำให้เขากลุ้มมากจริงๆ ก็คือคำพูดสุดท้ายของเพื่อนสนิทที่ว่า
‘ค่อยเป็นค่อยไปนะ เผื่อใจไว้บ้าง มู่ลี่อาจจะกลับไปคืนดีกับสามีอีกก็ได้ เพราะเค้ามีลูกด้วยกัน ความผูกพันมันลึกซึ้ง ตัดกันยาก’
ชิษณุถอนใจหนัก ตรีดาวเดินเข้ามาในบ้านพอดี สำหรับเขาแล้วการที่เธอมาปรากฏตัวตั้งแต่เช้าแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์ดาวเลย” ตรีดาวมาถึงก็เข้าเรื่องทันที ท่าทางของเธอไม่ค่อยพอใจนัก
“พี่อยู่กับเพื่อน”
“แล้วทำไมไม่คิดจะโทร.กลับ”
“พี่ลืม”
คำตอบของชิษณุทำให้ตรีดาวชะงักเงียบไป เธอมองหน้าเขาอย่างค้นหา “อะไรที่ทำให้พี่ณุเปลี่ยนไปคะ”
“พี่ว่าพี่ไม่เคยเปลี่ยนนะ ยังเหมือนเดิม” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ
“ไม่เหมือนเดิม พี่ณุดูห่างเหินกับดาว และเหมือนพยายามหลบหน้า”
“ดาว อย่าหาเรื่องพี่” ชิษณุถอนใจยาว
“เดี๋ยวนี้แค่ถาม ก็คิดว่าดาวหาเรื่องแล้วเหรอคะ”
“ดาวต้องการอะไรจากพี่ มาคุยเรื่องแค่นี้เหรอ พี่ต้องรีบไปนะ”
“ไปไหนคะ”
“ก็ทำงานไง เข้าออฟฟิศ”
“ออฟฟิศไหนคะ”
“ดาว ขอทีเถอะ อย่าทำให้พี่ต้องตัดสินใจตอนนี้เลย”
“ตัดสินใจอะไรคะ” ตรีดาวขึ้นเสียงอย่างลืมตัว
“ตัดสินใจไปบอกผู้ใหญ่ว่าจะไม่มีทางมีงานแต่งงานของเรา อย่าเสียเวลารอเลย”
“พี่ณุ” ตรีดาวเรียกชื่อเขาอย่างคาดไม่ถึง เป็นจังหวะที่เสียงมือถือของชิษณุดังขึ้นพอดี ชิษณุรีบหยิบมากดรับแล้วเดินแยกออกไปเลย
“ว่าไงคุณสุจินต์” เขาพูดกับปลายสาย
ตรีดาวมองตามชิษณุด้วยความไม่พอใจ ร้อนใจ กระวนกระวายใจ เธอตามออกไปนั่งรถของตัวเอง แต่กลับไม่ได้ไปที่ M-ONE บอกให้คนขับรถมุ่งหน้าไปว้าวทีวีแทนเพราะอยากรู้ว่ามีความเคลื่อนไหวอะไร ตรีดาวโทร.สั่งให้แพตตี้จัดเตรียมเอกสารที่เธอต้องเซ็นแล้วให้คนเอาไปส่งที่ว้าวทีวี แทน เพราะว่าวันนี้เธอจะไม่เข้าไปที่ M-ONE แพตตี้สงสัยเลียบเคียงถาม กลับถูกแว้ดใส่กลับมา พร้อมกับคาดโทษว่าหากเลขาฯ สาวบอกชิษณุว่าเธอไปไหน ให้เตรียมตัวถูกไล่ออกได้เลยทันที
ความคิดเห็น |
---|