11

ตอนที่ 11


 

ตอนที่ ๑๑

 

มุมหนึ่งของออฟฟิศ WOW ดอลลี่ พราวฟ้า ลูกพีชเดินตามตรีดาวกันเป็นพรวน เพราะว่าจู่ๆ ตรีดาวก็เข้ามาเดินสำรวจทั่วทั้งออฟฟิศ ทั้งดอลลี่และพราวฟ้าดูเหนื่อยและเมื่อยมาก

“เอ่อ จะดูแผนกไหนอีกมั้ยคะ หรือจะพักก่อนมั้ยคะ เกรงว่าจะเมื่อย เดินไม่หยุดเลย”

ตรีดาวตวัดสายตามองดอลลี่อย่างไม่พอใจ ดอลลี่หลบตาวูบ

            “ครัวมั้ยคะ เหลือครัว” พราวฟ้ายื่นหน้ามาบอก แต่ก็โดนสายตาพิฆาตของตรีดาวต้องหลบวูบไปอีกคน

“สตูดิโออยู่ไหน”

            “พราวฟ้า พาคุณตรีดาวไปทีซิ” ดอลลี่หันไปทางเลขาฯ ที่แอบเบ้หน้าไม่อยากไป

“คุณนั่นแหละพาฉันไป เสียมารยาทมากนะที่ให้แค่เลขาฯ มารับรองฉัน” ตรีดาวชักสีหน้าใส่อย่างไม่พอใจ

“อุ๊ย ขอประทานโทษค่ะ ไม่ได้ตั้งใจเสียมารยาทเลยค่ะ แค่ไม่คิดว่า...” ดอลลี่ตกใจ แต่เอ่ยปากยังไม่ทันจบก็โดนตรีดาวขัดขึ้นเสียก่อน

            “วิสัยทัศน์แบบนี้น่ะสิ ว้าวถึงเกือบเจ๊ง ถ้าคุณชิษณุไม่เข้ามาเทกโอเวอร์ คงได้ไปขายของตลาดนัดแทน”

ดอลลี่และพราวฟ้าหน้าชาเพราะโดนดูถูก ทั้งสองไม่พอใจตรีดาวมาก แต่พยายามข่มเอาไว้          

“เชิญทางนี้ค่ะ คุณตรีดาว” ดอลลี่เดินนำตรีดาวออกไป พราวฟ้าด่าขมุบขมิบลับหลัง ก่อนจะรีบตามไป

 

            ชิษณุมาถึงที่ทำงาน ตั้งอกตั้งใจเคลียร์งานที่คั่งค้างอยู่ หลังจากเขาหลบไปพักโดยมีแพตตี้ยืนยิ้มหวานคอยช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ ทำงานเพลินเงยหน้ามาก็นึกขึ้นได้ เขาคิดว่าตรีดาวจะตามมาที่ทำงานแล้วตอแยไม่เลิกเสียอีก แต่นี่เธอกลับหายไป

“คุณตรีดาวยังไม่มาอีกเหรอ” เขาถามแพตตี้

            “ยังค่ะ คุณตรีดาวโทร.มาบอกว่าจะไปทำธุระที่อื่นก่อนค่ะ”

“ที่ไหน” ชิษณุท่าทางแปลกใจ แพตตี้อึ้งไป คิดถึงเหตุการณ์และคำขู่ของตรีดาวก่อนหน้านี้

“ตกลงคุณตรีดาวบอกหรือเปล่าว่าไปไหน”

            “เอ่อ ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คุณตรีดาวไม่ได้บอกเอาไว้” แพตตี้ตอบอึกอัก ซ้ำยังหลบตาอีกฝ่าย

ด้านชิษณุจ้องหน้าแพตตี้คาดคั้น

“จริงๆ แล้วเธอห้ามไม่ให้แพตตี้บอกบอส ไม่งั้นแพตตี้จะถูกไล่ออก”

“ไม่มีใครมีสิทธิ์ไล่คุณออก นอกจากผม และถ้าคุณไม่บอก คุณถูกผมไล่ออกแน่” ชิษณุบอกเสียงเข้ม

“ไปที่ออฟฟิศว้าวค่ะ” แพตตี้รีบบอกแล้วยืนหน้าเสียอยู่ตรงนั้น

“จู่ๆ ทำไมคุณตรีดาวไปที่ว้าว”

“ไม่ทราบค่ะ”

ชิษณุสังหรณ์ใจไม่ดี เขาวางงานที่ทำทั้งหมดลงแล้วต่อสายไปถึงสุจินต์ ทั้งสองเดินทางไปที่ว้าวทีวีเพื่อค้นหาคำตอบ

                                                                                                                       

            มุลิลากับอัศวินเพิ่งมาถึงออฟฟิศ ทั้งคู่รีบร้อนวิ่งเข้าไปยังสตูดิโอเพื่อใช้เวลาที่เหลืออันน้อยนิดให้มีประโยชน์ แต่โดยไม่ทันระวัง มุลิลาชนตรีดาวที่กำลังเดินมาจะเข้าสตูดิโอเหมือนกัน

“โอ๊ย!” ตรีดาวร้องลั่น

มุลิลาเอ่ยขอโทษอัตโนมัติ “ขอโทษค่ะ!”

ทว่าตรีดาวหน้าบึ้งไม่พอใจอย่างแรง มองมุลิลาด้วยสายตาเอาเรื่อง ดอลลี่กับพราวฟ้าอยู่ที่อยู่ข้างหลังตรีดาวเสียววาบขึ้นมาทันที เพราะคาดว่าตรีดาวต้องวีนใหญ่แน่นอน

“ขอโทษจริงๆ ค่ะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ” มุลิลารู้ตัวว่าผิดก็พยายามจะขอโทษ แต่ดูเหมือนมันไร้ค่าเมื่อใช้กับตรีดาว

“จะรีบไปตายหรือไง!” สาวเปรี้ยวว่าที่คู่หมั้นชิษณุกรีดเสียงใส่ แล้วกอดอกมองจิกมุลิลา

“ช่วยพูดเหมือนเมื่อกี้อีกทีได้มั้ยคะ”

“จะรีบไปตายหรือไง!” คราวนี้ตรีดาวแทบจะตะคอกใส่

มุลิลาเบือนหน้าไปพยายามสะกดกลั้น ในขณะที่ดอลลี่และพราวฟ้าช็อคอยู่

“ป้า...เย็น” อัศวินเดินเข้ามารกระซิบบอกมุลิลา แต่ก็สายไปเสียแล้ว

“ฉันรีบเข้าไปทำงาน บังเอิญชนคุณโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ และก็ขอโทษจากใจจริงอันเป็นสิ่งที่ปัญญาชนสมควรทำ เป็นเด็กมีปมหรือไง ถึงได้พ่นน้ำลายออกมาอย่างไร้มารยาท!” มุลิลาว้ากกลับ ดอลลี่กับพราวฟ้าหันมามองหน้ากันร้องซี้ด

“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร!” ตรีดาวหันไปถามดอลลี่ เตรียมเล่นงานเต็มที่

“ฉันถามดีกว่าว่าคุณเป็นใคร!”

มุลิลาสวนกลับด้วยอารมณ์ทันที ดอลลี่ไม่ทันห้ามปรามใครได้ทัน ตรีดาวก็ไม่ยอมหันไปตวาดใส่

“เป็นเจ้านาย”

มุลิลากับอัศวินอึ้งไป ตรีดาวมองเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

            “ไอ้ตี๋ ทำไมไม่ห้ามฉันตั้งแต่แรก” มุลิลาถอยหลบไปอีกทาง

“ห้ามแล้วนะ” อัศวินกระซิบ

            “ห้ามตอนไหน ไม่ได้ห้าม” คนพูดลากเสียงยาว อัศวินทำหน้าเพลีย

“ถ้าไม่ไล่ผู้หญิงคนนี้ออก ฉันจะเฉดหัวคุณออกไปแทน!”

ตรีดาวหันไปบอกดอลลี่ ทุกคนต่างพากันอึ้งไปหมด มุลิลาไม่พอใจอย่างมากที่ตรีดาวเล่นงานดอลลี่แต่ก็ต้องพยายามเก็บอารมณ์เอาไว้

ดอลลี่เพลียใจ เห็นพนักงานเริ่มมามุงก็เลยกระซิบเชิญให้ตรีดาวตามไปที่ห้องทำงานดีกว่า แม้อยากจะจัดการให้สิ้นเรื่อง แต่ตรีดาวก็รู้จักรักษาหน้า สั่งให้มุลิลาเดินตามมาอย่างจิกๆ เชิดๆ ในที่สุดต่างก็มานั่งในออฟฟิศของดอลลี่แล้ว ก่อนที่จะเข้ามาในห้องอัศวินเอาโทรศัพท์มือถือยัดใส่มือมุลิลามาด้วย มุลิลาก้มมองของในมือแล้วเงยหน้าถาม

“เพื่อ?”

“จะได้ใจเย็นๆ!”

“มือถือช่วยให้ใจเย็นตรงไหน!” มุลิลาจะเล่นงานอัศวินที่ขัดไม่รู้เรื่อง

พราวฟ้าไม่พอใจที่อัศวินเป็นห่วงมุลิลา โพล่งขึ้นมา “ควรจะรีบเข้าไปได้แล้วนะคะพี่ ชะตากำลังจะขาด มัวเล่นอยู่ได้”

มุลิลาหันไปมองพราวฟ้าอย่างไม่พอใจ “ไอ้นี่ต่างหากที่ชวนเล่น ไม่ได้ดูหรือไง มีตาเอาไว้ติดขนตาปลอมอย่างเดียว อารมณ์เสีย”

พราวฟ้าอึ้งที่โดนย้อนกลับ

“เป็นเด็กเป็นเล็กหัดมีสัมมาคารวะด้วย ไม่ใช่เพื่อนเล่น” มุลิลาพูดจบก็เดินเข้าห้องปิดประตูไป โดยไม่เห็นว่าพราวฟ้ากำลังยืนโกรธจนหน้าชา

มุลิลายืนอยู่ข้างๆ โต๊ะที่ตรีดาวกับดอลลี่นั่งอยู่ เธอมองมือถืออย่างไม่เข้าใจว่าอัศวินสั่งให้ถือติดมือไว้ทำไม พอเงยหน้าขึ้นก็ต้องถอนหายใจหนัก เพราะตรีดาวยังจ้องหน้านิ่งอยู่ ไม่พูดอะไร บรรยากาศตอนนี้ช่างน่าอึดอัด เธอไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี

 

ขณะที่ในห้องทำงานกำลังมาคุอยู่ ที่หน้าห้องทำงานของดอลลี่ อัศวินพิมพ์ไลน์ถึงมู่ลี่อย่างขะมักเขม้น มีข้อความว่า ‘ใจเย็นนะป้า...นึกถึงหน้าลูกไว้’

พราวฟ้านั่งมองอัศวินอย่างไม่พอใจอยู่ข้างๆ แต่อัศวินก็ไม่สนใจ เขากดส่งข้อความ ก่อนจะเดินพล่านหาทางช่วยมุลิลาออกจากสถานการณ์ แล้วก็คิดขึ้นมาได้ พราวฟ้าลุกขึ้นเดินหนีไป

            “อย่าให้ถึงกับต้องไล่ออกเลยค่ะ คุณตรีดาว ดิฉันเห็นว่า...” ภายในห้องดอลลี่เริ่มพูดจาไกล่เกลี่ย ทั้งน้ำเสียง สีหน้าบ่งบอกว่านางฟ้าสุดๆ

“เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างฉันกับผู้หญิงคนนี้ ไม่ต้องการความเห็นใคร” ตรีดาวมองดอลลี่ด้วยสายตาที่คนถูกมองเห็นว่าถ้าไม่เป็นใหญ่ในบริษัทขนาดนี้ แม่จะพุ่งเข้าไปตบๆ ให้หน้าหันแล้ว

“แต่ดิฉันอยู่ในเหตุการณ์ และดิฉันก็คิดว่า...” ดอลลี่พยายามสวมบทนางฟ้าต่อไป

“พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ว่าไม่ต้องการความคิดความเห็นของใคร ท่าจะเข้าใจอะไรยาก ไปขายของตลาดนัดน่าจะเหมาะกับคุณมากกว่าที่นี่นะคุณดอลลี่”

ดอลลี่ปรี๊ด พยายามข่มอารมณ์เหลือเกิน แต่มุลิลาเดือดจัดแล้วอ้าปากพูดว่า

“ดอลลี่ ถ้าฉันจะต้องทำงานให้คน...”

แต่ยังไม่ทันจบประโยคอัศวินเปิดประตูผลัวะเข้ามาพอดี ทุกคนถูกขัดจังหวะ หันไปมองเป็นตาเดียวกัน

“ป้ามู่ลี่ต้องซ้อมสคริปต์ครับ เดี๋ยวไม่ทันออนแอร์สดตอนบ่ายสอง” อัศวินทำท่าร้อนรอน

ดอลลี่รู้ทัน รับลูกทันที ลุกขึ้นไปดันหลังเพื่อน “โอ๊ย! ตายแล้ว! ลืมไปเลย เธอต้องซ้อมก่อนออกอากาศรายการสดนี่นา รีบไปๆ เร็ว ยังไงก็ต้องเอาเรื่องงานไว้ก่อน จอจะมืดไม่ได้”

“แต่...”

มุลิลาพูดได้แค่นั้น เพราะดอลลี่กับอัศวินร้องสั่งพร้อมกันว่า

“เดี๋ยวนี้!”

อัศวินรีบคว้ามือ จูงมุลิลาออกไปทันที

“แต่ฉันยัง...”

ตรีดาวตั้งท่าจะแว้ดใส่อีกครั้ง แต่สุจินต์เดินเข้ามาขัดจังหวะ เขามาถึงพร้อมกับชิษณุและได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากลูกพีชแล้ว ทว่าชิษณุไม่อยากยุ่งอย่างเปิดเผยนัก สุจินต์เลยถูกสั่งให้ออกรับหน้าเรื่องนี้แทน ตรีดาวเห็นสุจินต์แล้วก็อึ้งไป ต่างจากดอลลี่ที่ดีใจมาก

“คุณสุจินต์ So glad to see you มาก” ดอลลี่ลากเสียงยาว

สุจินต์ยิ้มนิ่งๆ ตรีดาวฮึดฮัด ยังเกรงใจสุจินต์อยู่มาก จำใจต้องปล่อยมุลิลากับอัศวินไป

“ยังจะมีอารมณ์ให้ฉันไปซ้อมอีกเหรอไอ้ตี๋!”

“นี่อยากจะถูกไล่ออกจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย” จบคำพูดของเขา มุลิลาอึ้งไป

            “คิดไว้ไม่ผิด ถ้าผมไม่เข้าไปจกตัวออกมา คงไร้สติยืนด่าเจ้านายไฟแลบ ส่งข้อความเตือนเข้าไป ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”

            “ด่าฉันไม่เป็นไร แต่ด่าคนที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันทนฟังไม่ได้! ไม่มีเหตุผล!”

            “เหตุผลก็คือเค้าเป็นเจ้านาย”

มุลิลาอึ้งไปอีก

“รู้ไว้นะ พี่ดอลลี่ไม่มีทางยอมให้ป้าถูกไล่ออกแน่ แต่ถ้าป้าไม่ใจเย็น เอะอะก็ของขึ้นใส่คนไม่ดูตาม้าตาเรือ...สิบพี่ดอลลี่ก็ช่วยป้าไม่ได้!”

มุลิลาพูดไม่ออก ท่าทางเย็นลง “ฉัน...คุมตัวเองไม่ได้เลย”

“ผมรู้ว่าป้าแบกเรื่องเครียดมา แต่ช่วยแยกแยะหน่อย อย่าเอาอารมณ์ส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน...อย่าแก่กะโหลกกะลา”

“อ้าว ไอ้ตี๋นี่...เตือนได้ แต่อย่าแตะเรื่องอายุ และฉันยังไม่แก่! แค่มีลูกเร็ว!”

“ถ้าไม่อยากให้แตะก็ช่วยมีสติหน่อย อย่าให้เด็กถอนหงอก” อัศวินเพ่งมองไปที่ผมด้านหน้าของมุลิลา “ตอนนี้ก็เห็นอยู่สองสามเส้น”

            “ตรงไหน” มุลิลาอึ้ง ตกใจ

“ขมับซ้าย”

มุลิลารีบจัดผมปิดแล้วมองค้อนอีกฝ่าย

“ผมให้เวลานอกป้าครึ่งชั่วโมง ไปจัดการตัวเองให้พร้อมทำงาน แล้วเจอกันที่สตู” อัศวินพูดจบแล้วเดินไปเลย

มุลิลายืนถอนใจ รู้สึกเซ็งตัวเองแล้วเดินไปอีกทางหนึ่ง

 

ในห้องทำงานของดอลลี่ ตรีดาวกำลังฮึดฮัดอยากจะระเบิดออกมาให้ได้ มองหน้าสุจินต์อย่างไม่พอใจหนัก แม้พยายามเก็บอารมณ์แล้ว

            “คุณสุจินต์ต้องลงโทษยายนั่นนะคะ”

            “ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรกันครับ” สุจินต์ถามเรียบๆ ราวกับว่าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ดอลลี่จึงรีบเล่าตามความจริงทุกอย่าง

            “นั่นละค่ะ ต้องมีการลงโทษที่ไม่รู้จักมารยาทด้วย อ้อ ไม่ใช่ไม่มีมารยาทสินะ ยังมายืนต่อว่าเจ้านายฉอดๆ อีก มีอย่างที่ไหน นี่...ไปเรียกยายนั่นมา” ท้ายประโยคตรีดาวหันไปสั่งดอลลี่

            “แต่กำลังจะเริ่มออกอากาศนะคะ คงเรียกให้มาเดี๋ยวนี้ไม่ได้”

            “ฉันไม่สน หาคนอื่นทำไปก่อนสิ ฉันจะต้องไล่ยายนั่นออกเดี๋ยวนี้ให้ได้” ตรีดาวสั่งเสียงเข้ม เธอโมโหจนลืมไปว่าสุจินต์อยู่ตรงนั้นด้วยแล้ว...จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียบๆ แต่หนักแน่น

            “ผมจะรายงานเรื่องนี้ให้คุณชิษณุฟังก่อน แล้วเราค่อยตัดสินกัน”

ตรีดาวหันขวับมาทางคนพูดทันที ดวงตาเข้มขึ้นอีกเพราะแรงโกรธ

“ก็แค่พนักงานระดับล่าง ทำไมคุณสุจินต์จะต้องเข้ามาจัดการ แจ้งให้คุณชิษณุรับทราบ อะไรกัน มันมีความสำคัญมากเลยเหรอ” ตรีดาวถาม ท้ายประโยคมีความเคลือบแคลง

“มันเป็นขั้นตอนครับ ตอนนี้อยู่ในช่วงฟื้นฟูที่ผมและท่านจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดจนกว่าจะนิ่ง สต็อกสินค้าทุกชิ้น แม้จะเป็นแค่กระปุกไม้จิ้มฟันผมก็ต้องรายงานให้ท่านทราบ”

สุจินต์ตอบตามคำพูดที่เตรียมมาไว้เป็นอย่างดี ซึ่งมันก็ดีพอที่จะทำให้ตรีดาวอึ้งไป เพราะเป็นเหตุผลที่แม้กระทั่งอารมณ์โกรธของตรีดาวยังเอาชนะไม่ได้ ขณะดอลลี่ลอบยิ้มอย่างพอใจ

“ผมจะรายงานตามความเป็นจริง แล้วให้ท่านเป็นผู้ตัดสินใจ ว่าคุณมุลิลามีความผิดจนถึงขั้นต้องถูกไล่ออกหรือไม่” สุจินต์ว่า

“ไม่เลยค่ะ มู่ลี่ทำไปเพราะไม่รู้” ดอลลี่รีบแทรก

“อย่าสอด!” ตรีดาวหันไปแว้ดใส่ ดอลลี่เก็บอารมณ์ที่พุ่งปรี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง

“ก็ได้ เชิญรายงานตามความเป็นจริงไปได้เลย เดาว่าผลมันคงไม่ได้ออกมาอย่างที่ฉันคาดหวังไว้หรอก” ตรีดาวสะบัดเสียงอย่างไม่พอใจก่อนหันไปทางดอลลี่ “ให้มันอยู่ให้ห่างๆ ฉัน อย่าเสนอหน้ามาให้เห็นอีก”

ตรีดาวคว้ากระเป๋าเดินเชิดออกไป ดอลลี่และสุจินต์ถอนใจออกมาพร้อมกัน

“เฮ้อ”

           

ที่มุมพักผ่อนพนักงานออฟฟิศ WOW พราวฟ้ากับรัชนกยืนคุยกันอย่างอยากรู้อยากเห็น พราวฟ้านั้นค่อนข้างจะอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิดที่อัศวินให้ความสนใจต่อกับมุลิลามากกว่าตน

“ตกลงว่าไง” รัชนกถามพราวฟ้า

“ว่าไง เรื่องอะไรคะ”

“ก็เรื่องยายมู่ลี่ด่าคุณตรีดาว”

พราวฟ้ากลอกตาเซ็งก่อนตอบ “ยังไม่รู้เรื่อง ยังไม่ออกมากันเลย”

“แล้วเธอมาหงุดหงิดเรื่องอะไรเนี่ย ทำไมไม่ไปสอดแนมล่ะ เห็นปกติตามติดข่าวสารจะตายนี่” รัชนกถามแล้วจิบกาแฟในมือ

            “รมณ์เสียน่ะ พี่วินเป็นห่วงยายป้านั่นออกนอกหน้ามาก ไม่อยากจะคิดเลยนะว่าพี่วินจะชอบกินของมีตำหนิ” พราวฟ้าระบายออกมา

“เหรอ” รัชนกเลิกคิ้วสูง

“คอยดูนะ ถ้าสิ่งที่ฟ้าคิดเป็นจริง ฟ้าจะ..จะ...จะ...โอ๊ย! เครียดอะ!”

“คงไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมาก คนอย่างวินไม่กินของเน่าอย่างยายนั่นหรอก” รัชนกปลอบใจ จะว่าไปเธอก็เห็นใจคนที่แอบรักเขาข้างเดียวเหมือนกัน

“นี่ พี่ไม่ชอบยายป้านั่นเหมือนหนูใช่มะ” พราวฟ้าหันไปถามคนข้างตัว

รัชนกแบะปากทันที “ใครจะชอบเด็กเส้น คงคิดว่าเป็นเพื่อนผู้บริหารเลยกร่าง ด่ากราด ไม่สนใจว่าใครเป็นใคร สมน้ำหน้า เจอของแข็ง”

“ด่าหนูด้วยนะ บอกว่าไม่ใช่เพื่อนเล่น...หมั่นไส้! ขอให้ถูกไล่ออก!” พราวฟ้าผสมโรงทันที ด้านรัชนกแอบยิ้มกริ่ม มีทีมเกลียดมุลิลาแล้ว

 

มุลิลาเดินเหม่อออกมาถึงประตูทางเข้าออฟฟิศ WOW เธอดูเหม่อลอย ชิษณุที่ปลีกตัวออกมายืนรีรออยู่ด้านหน้า หันมาเห็นมุลิลากำลังจะออกจากออฟฟิศ ชายหนุ่มมองตาม ค่อยๆ เดินตามไปห่างๆ ไม่ให้หญิงสาวรู้ตัว มุลิลาเดินตรงดิ่งเหม่อไปเรื่อยๆ เหมือนไม่รู้ตัว เจอสิ่งกีดขวางก็ข้ามมันตรงไป เจอคนขวางก็เดินดุ่มๆ ฝ่าไป

ชิษณุที่เดินตามมองด้วยความเป็นห่วง จนกระทั่งหญิงสาวเดินมาจนถึงริมถนน ชิษณุเห็นท่าไม่ดีเพราะมุลิลายังไม่มีวี่แววจะหยุดเดิน เขารีบเดินเข้าไป ในจังหวะนั้นมุลิลาก้าวขาจากทางเท้าจะลงไปบนพื้นถนน ชายหนุ่มตั้งใจจะคว้าตัวมุลิลาให้ขึ้นมา แต่มุลิลาชะงักเท้าหันหลังกลับ เผชิญหน้ากับชิษณุที่วิ่งเข้ามาหาพอดี ชิษณุเบรกตัวโก่ง หยุดได้ทัน ประชิดตัวมุลิลาพอดิบพอดี หญิงสาวตกใจมองหน้า

“คุณอีกแล้วเหรอ” มุลิลาเอ่ย แต่ก็เพียงเท่านั้นเพราะเธอไม่มีอารมณ์จะคุยด้วย หญิงสาวเดินหนี ชิษณุยังเป็นห่วง รีบเดินตาม

            “ย่างซ้ายหนอ ก้าวขวาหนอ ย่างซ้ายหนอ ก้าวขวาหนอ” มุลิลา พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองด้วยการเดิน

“คุณเป็นอะไรมั้ย” ชิษณุถามอย่างเป็นห่วง แต่คนที่กำลังเดินอย่างตั้งใจไม่ได้สนใจเลยสักนิด

“ย่างซ้ายหนอ ก้าวขวาหนอ ย่างซ้ายหนอ ก้าวขวาหนอ”

ชายหนุ่มเดินไปดักหน้า มุลิลาชะงักกึกเงยหน้ามองเขาสายตาขุ่น

“คุณทำอะไรน่ะ” เขาถาม

“เดินจงกรม”

“เดินจงกรม ริมถนน ตอนนี้เนี่ยนะ” ชิษณุงง

“แล้วจะให้ไปเดินตอนไหน”

“คิ้วคุณไปโดนอะไรมา” ชายหนุ่มเห็นผ้าปิดแผลแล้วก็เป็นห่วง

มุลิลายกมือขึ้นแตะที่ผ้าก๊อซอย่างเบามือ สีหน้าเธอเคร่งขรึมลงอีก “คุณอย่ามายุ่งกับฉันได้มั้ย ขอฉันอยู่คนเดียว” เธอตอบพร้อมกับเดินเลี่ยงไปอีกทาง

ชิษณุอึ้งที่เธอตัดรอน แต่ก็ยังเดินตามแล้วชวนคุยต่อ “ไม่คิดจะทักทายกันบ้างหรือไง หรือไม่ก็...ไม่สงสัยหรือแปลกใจบ้างหรือไงว่าทำไมผมถึงมาเจอคุณได้”

“ไม่คิด ไม่สน กรุงเทพฯ ไม่ได้กว้าง จะบังเอิญเจอกันเมื่อไหร่ก็ได้...ย่างซ้ายหนอ ก้าวขวาหนอ ย่างซ้ายหนอ ก้าวขวาหนอ” หญิงสาวออกเดินต่อ

ชิษณุมองตามมุลิลา ทั้งขำทั้งถอนใจ เออ...ไม่สนใจใครเลยจริงๆ ด้วย “งั้น...ผมลาเลยละกัน”

มุลิลายกมือตอบรับไม่ได้พูดอะไรนอกจากสนใจแค่การเดินจงกรมของตัวเอง “ย่างซ้ายหนอ ก้าวขวาหนอ...”

ชิษณุลองพูดต่ออีกครั้ง รู้สึกไม่อยากจะยอมแพ้เพียงแค่นี้ “แล้วเจอกันอีกนะ”

ถึงแม้จะพูดอย่างนั้น แต่เขาก็ยังรู้สึกอยากให้เธอเห็นใจหันมาพูดด้วยนิดหน่อยก็ดี ทว่ามุลิลาก็ไม่พูดอะไร

ชิษณุเดินกลับแต่ก็ทำได้เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น เขาอดหันกลับไปมองมุลิลาที่พยายามสงบใจอีกไม่ได้ แล้วสายตาที่กำลังจับจ้องแผ่นหลังเล็กๆ นั่นก็อ่อนโยนลง

ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เขาคุยกับมุลิลานั้น ถูกตรีดาวซึ่งนั่งรถผ่านมาเห็นพอดี และทำให้เธอยิ่งแค้นเคืองมากขึ้นไปอีก

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น