14

ตอนที่ 14


 

ตอนที่ ๑๔

 

            อัศวินกำลังจะกลับบ้าน เขาผิวปากอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่ปลดล็อกจักรยาน แต่พอหันกลับมาก็ผงะตกใจเพราะเจมส์มายืนเงียบๆ อยู่ข้างหลังอีกแล้ว คราวนี้บรรยากาศยิ่งมาคุมากกว่าเดิม อัศวินเห็นแล้วรู้สึกขนลุกเลยทีเดียว

            “อะไรไอ้เจมส์ มีอะไร ตกใจหมด”

            “ฟ้ามาถามว่ากูเป็นแฟนมึงเหรอ”

            “เฮ้ย” อัศวินร้องเสียงหลง

            “เค้าหาว่ามึงกะกูเป็นคู่เกย์กัน เพราะมึงบอกว่าไม่ชอบผู้หญิง แล้วก็ชอบเข้าไปหากู ชอบอยู่กันสองต่อสองในห้องตัด”

            “เออ กูบอกเค้าเองว่าไม่ชอบผู้หญิง”

สิ้นเสียงอัศวิน เจมส์ก็จ้องหน้าเพื่อนนิ่ง แล้วจู่ๆ เขาก็ดึงอัศวินเข้ามาแล้วโน้มคอเพื่อจะพิสูจน์ความจริง

“เฮ้ย ไอ้เจมส์! ไอ้ห่- ทำอะไรวะ ไอ้เ-ยเอ๊ย!”

เจมส์ถอยออกมา อัศวินยังขนลุกไม่หาย

            “ทำอะไรวะ อี๋ ขนลุก มึงบ้าไปแล้วเหรอ”

“อ้าว มึงก็แมนดีนี่ แล้วมึงโกหกฟ้าทำไม” เจมส์พูดอย่างเคืองๆ

“กูอำ จะได้เลิกยุ่งกับกูซะที...เออ...ช่วยหน่อยได้ปะ ช่วยตามน้ำที กูไม่ไหวแล้ว กูไม่ได้ชอบฟ้า”

“ไอ้ใจดำ” เจมส์ด่าเพื่อน

            “จำเป็น ก็กูไม่ชอบ เค้าจะได้เลิกคิด ตัดใจซะ เสียเวลาเปล่าๆ” อัศวินถอนใจหนัก

เจมส์อึ้งไป เพราะจริงๆ แล้วเขาก็อยากให้พราวฟ้าเลิกชอบอัศวินเหมือนกัน

“ในฐานะที่มึงเป็นเพื่อนสนิทที่สุด ช่วยที ขอร้อง เดี๋ยวเลี้ยงข้าวขาหมู”

“กูไม่ได้เห็นแก่กิน” เจมส์พูดจบแล้วเดินออกไป

“แล้วจะช่วยปะเนี่ย” อัศวินตะโกนไล่หลัง

เจมส์หยุดแล้วหันมาทำหน้านิ่งๆ เหมือนเคย “คิดดูก่อน” แล้วก็หันกลับไปอีก

            “ซาลาเปาบ้านกูวันละห้าลูกสิบวัน” อัศวินเล่นมุกใหม่

คราวนี้ได้ผล เจมส์หันมาพูดทันที

“กูจะเอาติ่มซำด้วย” เจมส์ทำหน้าตาที่บ่งบอกว่าถ้าไม่มีติ่มซำก็อย่าหวังว่าเขาจะช่วย

“ไอ้ตะกละ!” อัศวินเบ้ปากใส่เพื่อน แต่เจมส์ไม่สนใจเดินออกไป

            อัศวินขี่จักรยานออกมาเจอมุลิลาที่นั่งรอรถเมล์อยู่นาน หญิงสาววางแผนประหยัดเงิน ไม่ซ่อมเจ้าบุญช่วยและไม่เสียเงินเติมน้ำมัน ใช้ระบบขนส่งสาธารณะจะได้เก็บเงินเพิ่มได้อีก ตอนนี้เธอต้องรีบไปโรงพยาบาลเพราะทิ้งน้องปลื้มไว้กับต้องตาและยักษ์นานแล้ว

“ป้า! ทำอะไรอยู่ตรงนี้ นึกว่ากลับไปนานแล้วซะอีก” อัศวินเห็นหญิงสาวแล้วร้องทัก

“รอรถเมล์ ยังไม่มาสักที”

“ขึ้นมาสิ”

“จะไปส่งเหรอ ไม่เอา เกรงใจ ไม่อยากกวนอะไรนายอีกแล้ว” มุลิลาพูดพลางยืนขึ้นเมื่อเห็นรถเมล์กำลังใกล้จะเข้าเทียบป้ายแล้ว แต่อัศวินกลับร้องสั่งเสียก่อน

“เร็ว!”

อารามตกใจเสียงของเขา มุลิลารีบขึ้นนั่งซ้อนท้ายจักรยานทันที อัศวินรีบปั่นหนีรถเมล์ที่บีบแตรไล่เสียงดังอย่างไว

มุลิลานั่งซ้อนท้ายจักรยานของอัศวินเลาะไปตามถนน ลมเย็นๆ ที่ปะทะหน้าทำให้หญิงสาวรู้สึกสบายใจขึ้น เธอมองบรรยากาศสองข้างทาง ชีวิตที่หลากหลายริมถนน ใบหน้าของมุลิลาค่อยๆ มีรอยยิ้มน้อยๆ อัศวินหันมาเห็น เขายิ้มให้เธอเช่นกัน พลันมุลิลาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมอัศวินถึงชอบขี่จักรยานนัก

 

            ชิษณุมาส่งตรีดาวที่บ้าน ตลอดเวลาที่รับประทานอาหารเย็นกัน เขาคอยเช็กข่าวเรื่องมุลิลาจากสุจินต์เท่าที่จะทำได้ สร้างความไม่พอใจให้ตรีดาวมาก ถึงชิษณุจะเห็นเธอเป็นแค่น้องสาว แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะทำให้เขาเปลี่ยนใจไม่ได้ถ้าไม่มีใครมาขวางซะก่อน

ชายหนุ่มเดินลงมาส่งเธอที่หน้าบ้าน “พี่กลับเลยนะ”

“ดื่มกาแฟก่อนมั้ยคะ” ตรีดาวพยายามยื้อเขาเอาไว้

            “ไม่ละ พอดีพี่มีธุระต่อ แล้วโทร.คุยกันนะ”

“ก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับโอกาส” หญิงสาวทำเป็นฝืนยิ้มรับคำตอบเขา

“พี่ก็ขอบใจสำหรับมื้อเย็นเหมือนกันนะ”

“อย่ากลับดึกนักนะคะ แล้วเจอกันที่ออฟฟิศค่ะ”

ชิษณุยิ้มรับ จงใจไม่บอกเรื่องที่เขาคิดจะไม่เข้าบริษัทสักพัก ชายหนุ่มโบกมือลาและขึ้นรถ ขับออกจากบ้านตรีดาว

พอท้ายรถของชิษณุลับตา ตรีดาวที่ยืนยิ้มส่งก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นไม่พอใจอย่างมาก

ชิษณุขับรถหรูของตัวเองไปตามถนนในกรุงเทพฯ ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยแสงสีและชีวิตยามราตรี ท่ามกลางเสียงและผู้คนมากมาย ชายหนุ่มกลับรู้สึกเหงาเหลือเกิน เขาไม่อยากกลับบ้าน...แต่ก็ไม่อยากไปนั่งแกร่วตามผับ ตามบาร์ที่ไหน เขาตัดสินหักรถมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งแทน ไม่นานนักชายหนุ่มก็มายืนอยู่ที่ริมแม่น้ำเพียงลำพัง แสงไฟจากเรือส่องสะท้อนผืนน้ำให้เป็นเป็นประกายระยับ

ร่างสูงหยุดนิ่ง คิดก่อนจะหยิบมือถือออกมาแล้วกดเบอร์โทร.หาเพื่อนสนิท เมื่อสายติดแล้วเขาก็เปิดปากพูดเรื่องที่ติดอยู่ในหัวตนเองมาตลอดตั้งแต่เย็น ชิษณุถามถึงมุลิลา

“กำลังนั่งรถมาแล้ว” ยักษ์ยืนอยู่ที่ระเบียงคุยโทรศัพท์กับเพื่อน

“โทร.เช็กหน่อยสิว่าถึงไหนแล้ว” ชิษณุนึกเป็นห่วง

“เช็กแล้ว บอกว่าใกล้ถึงแล้ว”

“แล้วเค้ามาไง”

“รถเมล์” ยักษ์ตอบ

“รถยังซ่อมไม่เสร็จอีกเหรอ ซ่อมอู่ไหน ทำไมชักช้า พรุ่งนี้เช้าก็ต้องโหนรถเมล์ไปอีก”

ชิษณุพูดออกมาเป็นชุดจนยักษ์ต้องยั้งเอาไว้

“เฮ้ยๆ ใจเย็นๆ”

            “โทษที อดเป็นห่วงไม่ได้”

“ก็แสดงตัวสักที จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอยู่ห่างๆ แบบนี้”

“ก็แกบอกเองว่า...เป็นไปได้สูงที่เค้าจะไม่เปิดใจ” ชิษณุพูดแล้วเงียบไป เขาคิดมากเรื่องที่เธอยังมีพันธะอยู่ แล้วอาจจะมีโอกาสกลับไปคืนดีกับสามีเก่าได้

            “กลัวผิดหวังก็เลยใช้วิธีนี้?”

“ใช่”

“ฉันว่าแกเริ่มที่การเป็นเพื่อนก่อนไม่ดีเหรอ ฉันว่าเขาโอเคนะ ถ้าจะมีแกเป็นเพื่อนเพิ่มมาอีกคน...อย่างบริสุทธิ์ใจและจริงใจ”

“หมายความว่ายังไง” ชิษณุถาม

“อยากให้มู่ลี่เปิดใจ แกก็ต้องเปิดใจก่อน บอกตรงๆ ฉันไม่ชอบที่แกไม่ให้ฉันบอกความจริงว่าแกเป็นใคร มันแสดงถึงความไม่จริงใจ แสดงตัวซะ ไม่งั้นฉันอาจไม่ช่วยแก” ยักษ์พูดอย่างตรงไปตรงมา

ชิษณุเงียบ อึ้งไป เขาถอนใจออกมา ครุ่นคิดเรื่องมุลิลา

 

มุลิลากระโจนลงจากจักรยานของอัศวิน หญิงสาวมองนาฬิกา...มาช้ากว่าที่คิดพอสมควร แต่เธอก็ยังรู้สึกดีที่ได้ซ้อนท้ายเขามา

“ขอบใจมากนะตี๋ ราตรีสวัสดิ์”

“ฝากทักทายน้องด้วยนะป้า” อัศวินว่า

“โอเค ไปแล้ว แล้วเจอกันนะ” มุลิลาพูดง่ายๆ สไตล์ตัวเอง ก่อนจะรีบเดินออกไป

ชายหนุ่มมองตามยิ้มๆ แล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ป้า!”

คนถูกเรียกหันกลับมาถามเสียงห้วน “อะไร”

“ป้าจะบอกเรื่องหย่ากับลูกยังไง”

“เรื่องของฉัน ยุ่งอะไรด้วย” มุลิลาสะบัดเสียง

“ก็ถูกลากเข้าไปยุ่งด้วยตั้งแต่กระบวนการแรกปะ กระบวนการสุดท้ายก็ต้องรู้ด้วย ไม่งั้นเหมือนขี้ไม่สุด”

“ไอ้บ้า!”

“ตกลงยังไง”          

“ยังคิดไม่ออก ยังไม่แน่ใจ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้แน่นอน จะบอกเมื่อไหร่แล้วจะบอกจะได้ฟิน พอใจมั้ย”

อัศวินถอนใจ พูดออกมานิ่งๆ “สงสารน้องเนอะ”

คนเป็นแม่ฟังแล้วสะเทือนใจ

“ไปละ แล้วเจอกัน” อัศวินขี่จักรยานออกไป

มุลิลามองตาม ความรู้สึกแย่ๆ ยังคงท่วมท้นในใจเมื่อคิดถึงลูก เธอเดินเข้าโรงพยาบาลขึ้นไปด้านบนลูกชายก็หลับไปแล้ว ต้องตาบอกว่าถ้าพรุ่งนี้ตรวจแล้วไม่มีอะไร บ่ายๆ หมอก็ให้กลับบ้านได้

เธอขอบคุณต้องตาและยักษ์ “พรุ่งนี้ฉันจะโทร.ลางาน”

            “แล้วเจ้านายแกเค้าจะยอมเหรอ” ต้องตาถาม

“ไม่ยอมก็เกินไปแล้วละ แต่ฉันไม่ให้เสียงานหรอก นั่งทำที่โรงพยาบาลก็ได้”

“เหนื่อยมั้ยมู่ลี่” ยักษ์ถามอย่างเป็นห่วง

“โอ๊ย สบาย” มุลิลาแสร้งยิ้มกว้างจนตาหยี

“ดี เข้มแข็งไว้นะ เดี๋ยวเรื่องดีๆ ก็จะเข้ามาเอง” คำพูดของยักษ์สร้างความแปลกใจให้มุลิลา

“จะบอกอะไรหนูเนี่ย...งวดนี้มีเลขเด็ดเหรอ”

“เฮ้ย! มีที่ไหน” ยักษ์ร้องตกใจขำๆ

“แกก็อย่าหัดระแวงให้มันมากนัก ระวังจะหลอน ใครพูดอะไรคิดว่ามีความหมายใต้บรรทัดไปซะหมด”

“ก็แกดูหน้าพี่ยักษ์” มุลิลาจับหน้ายักษ์ ปิดรอยยิ้มเอาไว้ไม่มิดให้ต้องตาดู “แบบนี้ มันแปลว่าอะไรอะ”

“แปลว่าอยากกินต้มเลือดหมูเยาวราช” ต้องตาว่า

“ถูก” ยักษ์ตอบพร้อมขยิบตาให้คนรัก

“งั้นเชิญไปกินกันเลยค่ะ ไม่กวนแล้ว ขอบใจมากนะแก ขอบคุณนะพี่ยักษ์”

“แล้วโทร.มานะ ขาดเหลืออะไรยังไงรีบโทร.นะ” ต้องตาว่าแล้วออกไป

เมื่อประตูปิดลง ความเงียบมาเยือน มุลลิลาที่ยืนคว้างกลางห้องค่อยๆ เดินมานั่งอย่างหมดแรง มองลูกที่กำลังนอนหลับ เธอหยิบใบหย่าในกระเป๋าเอกสารขึ้นมาพิจารณา กวาดตามองรายละเอียดแล้วมาจบลงตรงข้อความที่ว่า การสิ้นสุดการสมรส มุลิลามองที่ประโยคนั้นด้วยความเจ็บปวด

“แม่ครับ”

มุลิลาสะดุ้งเฮือกทันทีด้วยความตกใจ เห็นน้องปลื้มลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียงข้างตัว “ปลื้มตื่นมาทำไมลูก”

น้องปลื้มหันไปหยิบกล่องข้างเตียง เปิดแล้วยื่นซาลาเปาไส้ครีมที่ยังเหลืออยู่ในกล่องหนึ่งลูกให้มุลิลา “แม่หิวใช่มั้ยครับ”

มุลิลามองซาลาเปาในมือเล็กๆ แล้วค่อยๆ ยิ้มออกมา

“ขอบคุณครับลูก” เธอรีบหันไปซ่อนใบหย่า แล้วรับซาลาเปาเข้าปาก ยิ้มด้วยความปลื้มใจลูกชาย “แม่อิ่มแล้ว ขอบคุณมากนะลูก ปลื้มไม่ดูแลแม่ แม่แย่แน่ๆ นอนนะ พรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แม่จะลางาน”

“พี่ดอลลี่จะว่าแม่มั้ย”

“ไม่หรอก แม่บอกพี่ดอลลี่แล้ว เค้าอนุญาต นี่ไง” มุลิลายืนมือถือให้ปลื้มดูหน้าจอไลน์ที่คุยกับดอลลี่ น้องปลื้มมองแล้วยิ้ม มุลิลาลูบหัวลูก ก้มเก็บโทรศัพท์มือถือแล้วชะงักเมื่อลูกชายถามถึงพ่อขึ้นมา

“พรุ่งนี้ป๊าจะมามั้ย”

“ป๊าทำงานยังไม่เสร็จเลยลูก อาจจะถึงเช้า ถ้ามาไม่ไหวเดี๋ยวป๊าจะโทร.บอกนะครับ” หญิงสาวลุกขึ้นปิดไฟทีละดวง

น้องปลื้มนึกเสียใจ นอนหันหลังให้มุลิลา

            “ไอ้ผัวเฮงซวย...ไม่ใช่แล้วสิ...อดีตต่างหาก” มุลิลาพึมพำต่อว่าพงศ์พิศุทธิ์

           

คนที่เธอนึกถึงตอนนี้นั่งอยู่ในผับท่ามกลางเสียงคึกคัก พงศ์พิศุทธิ์กระดกเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่า แวดล้อมด้วยเพื่อนๆ และสาวสวย แต่ตัวเขากลับไม่รู้สึกสนุกเลยสักนิด นั่งไปสักพักเขาก็ตัดสินใจบางอย่างได้ พงศ์พิศุทธิ์ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากผับไปทันที

                                                                                                                                   

            ที่ร้านอาหารริมถนน พราวฟ้าร้องไห้เสียใจเรื่องอัศวิน เธอสั่งขี้มูกใส่กระดาษทิชชูแล้วขยำลงบนโต๊ะ ไม่เหลือสภาพเลขาฯ สาวเปรี้ยวแล้ว

ลูกพีชมองอีกฝ่ายที่น้ำตานองหน้าอย่างเซ็งๆ พลางจิ้มของกินบนโต๊ะไปเรื่อยๆ พลางพูด

“ก็ไม่รู้สินะ สมัยนี้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องคาดเดายาก บางคนที่เจ๊คิดว่าใช่ ก็ไม่ใช่ซะงั้น...จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเจ๊ถึงไม่รู้มาก่อนเลยว่าวิน...เป็น” ลูกพีชเน้นคำว่าเป็นหนักๆ ทั้งที่รู้แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่จากการที่เห็นพราวฟ้ากับอัศวินมานาน ลูกพีชก็ถือว่าเป็นการดี

“ถามจริงๆ นะเจ๊...มีกลิ่นว่าเป็นจริงๆ เหรอ ฮึก...” พราวฟ้าถามทั้งที่ยังสะอึกสะอื้นอยู่

“เป็นๆ ไปเถอะ” ลูกพีชจิ้มลูกชิ้นเข้าปาก เคี้ยวจั๊บๆ ซี้ดน้ำจิ้ม

            “อ้าว เจ๊ ทำไมพูดงี้อะ”

“ก็จะได้ชวนมันมาเป็นเพื่อนสาว”

“โฮ เจ๊! อย่าซ้ำเติมหนู หนูเจ็บอะ ฮื้อ...” พราวฟ้าปิดหน้าร้องไห้อีก

ลูกพีชชำเลืองมองแล้วถอนใจ หยิบทิชชูส่งให้อีก แต่พอพราวฟ้ารับปุ๊บ เจมส์ที่มาจากไหนก็ไม่รู้ก็นั่งลงระหว่างทั้งคู่ ลูกพีชกับพราวฟ้าตกใจมองเจมส์งงๆ

            “ไอ้วินไม่ได้เป็นอย่างที่คิด” เจมส์พูดสั้นๆ แต่ได้ใจความ “เฟิร์ม!”

เขาบอกอีกหลังจากที่พราวฟ้ามองเขาอย่างไม่แน่ใจนัก แล้วพอเจมส์ตบไหล่แบบเชื่อเจมส์เถอะ พราวฟ้าก็ได้สติ ร้องกรี๊ดลั่นด้วยความดีใจ โผเข้าไปกอดเจมส์ด้วยความลืมตัว

“กรี๊ด! จริงเหรอพี่เจมส์ กรี๊ด!”

เจมส์ตัวแข็งทื่อที่จู่ๆ ผู้หญิงที่ชอบก็มากอดแบบนี้ เขาได้แต่ทำตาปริบๆ จนกระทั่งลูกพีชสะกิด

“นี่แกไปเฟิร์มได้ไง”

เจมส์ตอบสั้นๆ “ลองแล้ว”

            “หา” พราวฟ้ากับลูกพีชถึงกับชะงัก เมื่อได้ยินคำตอบของเจมส์ที่กอดทำท่าภูมิใจในตัวเองที่ไปพิสูจน์มาเรียบร้อยแล้วนิดหน่อย

 

            “ฮัดเช้ย!”

อัศวินที่นั่งดีดกีตาร์ไปกินซาลาเปาไปจามหลายครั้งติดต่อกัน รู้สึกเหมือนมีใครพูดถึง เขามองไปที่แผ่นหลังของมารดาที่ร้องสั่งให้เจ๊สมเตรียมซาลาเปาที่เขาขอเอาไว้ให้เจมส์พรุ่งนี้อยู่ ในใจก็คิดถึงมุลิลาขึ้นมา เขาดีดกีตาร์ต่อสักพัก สายตาประหวัดไปเห็นภาพของบิดา อัศวินหันไปมองแม่ แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นมา

“ม้า” เขาเรียก

“หือ” ดวงใจหันมา

            “พอเตี่ยตายแล้ว นานมั้ยกว่าม้าจะทำใจได้”

ดวงใจมองลูกชายอย่างแปลกใจที่อัศวินถามเรื่องนี้ “ไม่นานหรอก เพราะม้าเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะเตี่ยไม่สบาย ยิ่งพอเห็นหน้าลูกๆ ม้ายิ่งบอกตัวเองว่าต้องรีบเข้มแข็ง ไม่มีเตี่ยไปคนนึงแล้ว จะให้ไม่มีแม่อีกเหรอ...ไม่ได้เด็ดขาด”

อัศวินพยักหน้ารับรู้ “แม่ทุกคนคงคิดแบบนี้ถ้าลูกต้องขาดพ่อ สัญชาตญาณของความเป็นแม่ใช่มั้ยม้า”

“ใช่ แต่ถ้าแม่บางคนที่ขาดสติ จะด้วยการถูกปลูกฝังมาผิดๆ คิดเห็นผิดๆ มาจนกลายเป็นนิสัย สัญชาตญาณยิ่งใหญ่ที่ธรรมชาติมอบให้อันนี้มันก็ไม่ทำงานนะ เคยเห็นข่าวมั้ย พอเลิกกับผู้ชายแล้วก็ไปทำแท้งบ้าง คลอดลูกแล้วเอาไปทิ้งบ้าง เด็กไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย แต่ต้องมารับกรรม” ดวงใจพูดแล้วก็ทำหน้าเศร้าเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ประเภทที่ตนเองพูดถึง

“ถ้าลูกต้องขาดพ่อ ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อตาย อันนั้นคงบอกกันง่าย เข้าใจง่าย แต่ถ้าต้องหย่ากันเพราะอยู่กันไม่ได้ ม้าคิดว่าควรบอกความจริงกับลูกหรือไม่ควรบอก” อัศวินถามต่อ

“อันนี้กรณีของใครอีกล่ะ” ดวงใจสงสัย

“พี่ที่ออฟฟิศครับ เค้าเพิ่งหย่าและก็ไม่อยากจะบอกความจริงลูกตอนนี้ ผมเลยสงสัย ถ้าเป็นผม ผมจะบอก ทุกคนต้องเผชิญหน้ากับความจริง ดีกว่าหลอกตัวเอง ซื้อเวลาไปวันๆ”

“เราต้องดูด้วยนะตี๋...ว่าสภาพจิตใจของเด็กพร้อมหรือยัง เราไม่ได้ปิดบังหรือหนีความจริง แต่ควรดูเวลาและวิธีการที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ความจริงทำร้ายเค้าจนเกินไป เวลาและวิธีการที่เหมาะสมเท่านั้นลูก จะเมื่อไหร่หรือยังไงก็แล้วแต่คน แม่ของเด็กน่าจะรู้ดีที่สุด” ดวงใจพูดให้ลูกฟัง

อัศวินนิ่งไป เขาไม่คิดถึงมุมที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้มาก่อน

“นั่นสิม้า...คงเป็นป้าคนเดียวที่รู้ดีที่สุด” อัศวินนึกถึงมุลิลาแล้วสงสาร เห็นใจ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น