15

ตอนที่ 15



ตอนที่ ๑๕

 

            มุลิลานั่งตบตัวลูกชายเบาๆ กล่อมให้นอนอย่างสงบ ในหัวครุ่นคิดถึงสิ่งที่อัศวินถามเรื่องที่เธอจะบอกลูกอย่างไรดี หญิงสาวคิดไม่ตก นั่งคิดจนผล็อยหลับไป แล้วสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกไม่สบายตัว มุลิลาหันไปจะลุกไปนอนที่โซฟา แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นพงศ์พิศุทธิ์ยืนอยู่ข้างหลังในแสงสว่างสลัว

“ลูกโอเคหรือยัง”

มุลิลามองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา แต่แทนที่จะตอบคำถามนั้น เธอก็พาพงศ์พิศุทธิ์เดินเลี่ยงไปที่โถงด้านหน้าซึ่งมีที่นั่งรออยู่

“มาเร็วไปมั้ย ลูกจะออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้อยู่แล้ว” มุลิลาเริ่มพูด

“ขอร้อง อย่าประชด”

“พายุลูกไหนพัดคุณให้มาถึงที่นี่ได้”

“นี่คุณ ถามแบบนี้ได้ไง ยังไงผมก็เป็นพ่อน้องปลื้มนะ”

“พ่อที่พยายามจะพรากแม่พรากลูก”

พงศ์พิศุทธิ์สะอึก “ไม่ได้อยากทำอย่างนั้นสักหน่อย” เขาแก้ตัว

“แล้วทำทำไม!”

“จะคุยกันดีๆ ให้มันนานเกินสองนาทีได้มั้ยมู่ลี่ ทำไมต้องโกรธผมตลอดเวลา”

“ก็คุณมันเลว! ทำไมผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตฉันถึงมีแต่คนไม่มีความรับผิดชอบ” มุลิลาพูดลอดไรฟัน พยายามจะไม่โวยวาย

“อย่าโยนความผิดของพ่อคุณมาที่ผม” พงศ์พิศุทธิ์พูดใส่หน้าเธอ “คุณมันมีปม! รู้มั้ยทำไมผมถึงไม่อยากอยู่บ้าน เพราะคุณเป็นแบบนี้ ต่อให้ผมทำดีแค่ไหนมันก็ไม่เคยพอ! ทำให้ผมไม่อยากทำอะไรเลยไง!”

มุลิลามองหน้าเขานิ่ง เธอกำมือแน่น รู้สึกโกรธมาก

“รับความจริงไม่ได้ละสิ” เขาว่า คราวนี้หญิงสาวสะบัดหน้าเดินหนี พงศ์พิศุทธิ์คว้ามือเธอเอาไว้

“อย่ามาแตะต้องฉันอีก บอกแล้วไง ฉันจะแจ้งตำรวจ!”

คำพูดเด็ดขาดของเธอ ทำให้เขาถอยออกมา

            “โอเค!”

“ถ้ามาเพราะแค่อยากเห็นหน้าลูก ได้เห็นแล้วนี่ กลับไปได้แล้ว”

“กลับแน่...ฟังที่ผมพูดเกี่ยวกับตัวคุณไว้บ้างนะ ถ้าไม่อยากเสียลูกไป นอกจากเรื่องความมั่นคงทางการเงินที่คุณต้องมี ความมั่นคงทางอารมณ์ก็ต้องมีเหมือนกัน ศาลคงไม่มั่นใจที่จะให้ลูกอยู่ในความดูแลของแม่ที่มีปัญหาทางจิต” พงศ์พิศุทธิ์ชี้หน้าเธอ

            “เข้าใจแล้ว...คงจะทำทุกวิธีสินะที่จะเอาลูกไปให้ได้ ไม่มีทาง! ฉันจะทำให้เห็นว่าฉันมั่นคงมากพอที่จะเลี้ยงลูกไม่ให้เป็นผู้ชายแบบคุณ!” มุลิลาแทบจะระงับอารมณ์ไม่ไหวแล้ว

พงศ์พิศุทธิ์ยิ้มเยาะที่มุมปาก เขาไม่พูดอะไร มองมุลิลาตั้งแต่หัวจดปลายเท้าด้วยสายตาที่ทำให้เธอหน้าชาขึ้นไปอีก หญิงสาวรีบสะบัดหน้าแล้วเดินหนีเข้าห้องไปก่อนที่ตัวเองจะพลั้งเผลอทำอะไร แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ สายตาที่พงศ์พิศุทธิ์มองตามเธอมานั้นอ่อนลง เพราะในหัวของเขาคิดแต่ว่าสิ่งที่เขาพูดกับมุลิลาเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว เพราะมันจะช่วยเตือนสติหญิงสาวไม่ให้บกพร่อง กลายเป็นช่องโหว่ให้แม่ของเขาเล่นงานได้

“ฉันมั่นคง ฉันไม่เคยเก็บปัญหาในอดีตมาเป็นปม ฉันคิดดี ทำดีแล้ว ฉันรู้ตัว ฉันมีสติ แต่ฉัน...ฉัน...ฉันก็แค่โกรธ” มุลิลาเป่าปาก พยายามลดอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงของตัวเอง หญิงสาวเข้าไปในห้อง ล้มตัวลงบนโซฟาแล้วนอนไม่หลับจึงเอาโทรศัพท์มาเปิดวิทยุฟังดีเจแสด แต่เปิดมาเจอโฆษณาพอดี เธอจึงหลับตารอฟังรายการ

“ท่านพุทธทาสได้เคยบรรยายธรรมเอาไว้ว่า...คนเราต้องรู้จักแสวงหาความสุขจากความทุกข์ค่ะคุณผู้ฟัง”

เสียงแสดดังขึ้นด้วยประโยคที่ทำให้มุลิลาลืมตาโพลงเลยทันที

“ท่องไว้ให้เป็นคาถาเลยว่า...ทุกข์มาก ได้เรียนรู้มาก สาธุ” พี่แสดที่วันนี้นั่งจัดรายการด้วยชุดขาว หน้าตาไม่แต่งดูสงบกว่าที่เคยเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะยกมือไหว้ท่วมหัว คนฟังอย่างมุลิลาก็ซาบซึ้งไปด้วย ยกมือขึ้นท่วมหัวอีกคน

“ถ้ามัวแต่คิดถึงความทุกข์ในอดีตและกังวลกับอนาคต จะกลายเป็นคนขาดทุน ฉิบหาย ล้มละลายชีวิต ใช้ชีวิตให้สนุกสนาน ทำได้ก็หัวเราะได้ ถ้าทำไม่ได้ก็เหมือนเป็นสัตว์นรก”

แสดพูดต่อ คราวนี้มุลิลาลุกพรวด เพราะมันช่างตรงใจ และตรงกับตัวเองไม่มีผิด

“ดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด เพราะความโกรธบ้าง โง่บ้าง เปลี่ยนจิตใจซะได้ ทุกข์ก็จะกลายเป็นสุข...สาธุ”

แสดยกมือไหว้สาธุอีกครั้ง มองไปยังบอล ผู้ช่วยที่ยังคงหลับต่อเนื่องด้วยสายตาสงบกว่าที่เคย

“ขอให้ตั้งปณิธาน จะเป็นผู้ที่ไม่หงุดหงิด ไม่รำคาญ ไม่อึดอัดขัดใจต่อสิ่งที่ไม่ได้อย่างใจใดๆ ทั้งสิ้น...สาธุ”

“สาธุ” มุลิลายกมือไหว้สาธุพร้อมกับเสียงแสดสาธุ

“จบการอ่านธรรมะบรรยายของท่านพุทธทาสภิกขุแต่เพียงเท่านี้...ขอให้ทุกคนมีความสุข จำไว้นะคะ หาแง่งามให้เจอ”

“ค่ะพี่แสด ต้องรู้จักแสวงหาความสุขจากความทุกข์” มุลิลาหันไปพูดกับโทรศัพท์ตอบรับแสดอย่างแข็งขัน

“สติคือคาถาที่วิเศษที่สุดค่ะคุณผู้ชม”

“สติมา ปัญญาเกิดค่ะพี่แสด” มุลิลาพูดขึ้นอีก ราวกับว่าเธอกำลังสนทนากับดีเจแสดตัวเป็นๆ ที่นั่งอยู่ตรงข้าม

“ใครอยากจะพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยน เรียกสติ แก้ตอนนี้ไม่ได้ อย่างน้อยก็ได้ระบาย มีเพื่อนช่วยรับฟัง โฟนอินเข้ามาเลยนะคะ ได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ เพราะความทุกข์เกิดขึ้นได้กับทุกคน”

สิ้นเสียงแสด มุลิลามองมือถือแล้วเกิดความคิดอยากจะคุยกับแสดขึ้นมาบ้าง ในขณะที่สตูดิโอจัดรายการหมดช่วงอ่านธรรมะเตือนใจแล้ว แสดก็หันไปสะกิดบอลจนผู้ช่วยหนุ่มสะดุ้งตื่น แล้วพอแสดให้สัญญาณ บอลก็เปิดเพลงคึกคัก แนวดิสโก้เลยทีเดียว แสดลุกขึ้นเต้นแล้วสะบัดผ้าขาวออกไปเพื่อให้เห็นคอสตูมแสบตา กลับมาเป็นแสดผู้ที่มีแครักเตอร์เหนือมนุษย์เหมือนเดิม

“ช่วงนี้ขอนุญาตเปลี่ยนโหมดสู่ความสดใสร่าเริง เพราะชีวิตเราต้องสนุก! ฮ่าๆ เพลงบิลต์มาฮ่ะน้องบอล”

บอลเปิดเพลงคึกคัก สดใส แสดคึกคักยิ่งกว่าเพลงที่เปิด

“โฟนอินมาเลยฮ่ะ ไม่กล้าเปิดเผยชื่อจริง ใช้นามแฝงก็ได้ เพื่อความสบายใจ เช่นชื่อ...น้องอ้อยควั่นปั่นรัวๆ หรือนางสาวข้าวเสาไห้ ไรงี้ เก๋ๆ”

            อัศวินกำลังนั่งฟังรายการของแสดอยู่เหมือนกันถึงกับขำออกมา เมื่อจู่ๆ แสดก็เปลี่ยนโหมดเป็นสดใสอย่างหักมุม

“แต่ละอย่างนะพี่แสด เอาฮาไปไหน...” ชายหนุ่มทำท่านึกขึ้นได้ “ให้ป้าฟังรายการพี่แสดมั่งดีกว่า น่าจะช่วยได้”

อัศวินหยิบมือถือต่อสายถึงมุลิลา แต่ไม่ว่าจะโทร.เท่าไหร่สัญญาณก็ไม่ว่าง ชายหนุ่มมองโทรศัพท์ นิ่วหน้า

“ให้ต่อเข้ารายการ แต่สายไม่ว่างเลยเนี่ยนะ แล้วเมื่อไหร่จะได้คุย” มุลิลากำลังกดโทร.ออกเบอร์รายการแสด แต่สายไม่ว่างก็เลยชักจะหงุดหงิด คิดจะเลิกโทร.

“อีกทีก็ได้ ถ้ายังไม่ว่าง เลิก” หญิงสาวก้มลงจะต่อสายอีกครั้ง แต่ก็มีสายเรียกเข้าที่เธอบันทึกเบอร์ว่า ‘ตี๋’ เข้ามา มุลิลาหน้ามุ่ย

“โอย อย่าเพิ่งไอ้ตี๋! ฉันกำลังจะยุ่ง” เธอกดตัดสาย ไม่สนใจอัศวิน

อัศวินมองโทรศัพท์แบบงงๆ ที่โดนกดตัดสาย แต่แล้วเขาก็คิดในแง่ดีว่าบางทีมุลิลาอาจจะหลับแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะส่งไลน์ให้หญิงสาวแทน เขากดเปิดแอปพลิเคชันแล้วก็พิมพ์ลงไปว่า

ฟังรายการ SINGLE LADIES’ CLUB ของพี่แสดดิ คลื่น ๘๖.๖ ผมฟังอยู่

ข้อความของอัศวินเด้งขึ้นมาตอนที่มุลิลาต่อสายได้พอดี

“ว้าย! ติดแล้วๆ” หญิงสาวร้องอย่างดีใจในขณะที่มองหน้าจอมือถือตัวเอง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นความแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะมีคนรู้จักฟังอยู่

“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ จากคุณอะไรคะเอ่ย” เสียงแสดดังมาตามสาย มุลิลาได้สติแต่ยังพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี

“สวัสดีค่ะ ยังอยู่มั้ยคะ...ไม่อยู่ขออนุญาตวางสายนะคะ”

มุลิลาเสียดายโอกาส ไหนๆ ก็โทร.ติดแล้ว เธอก็ดัดเสียงเล็กแหลมแบบแบ๊วมากๆ ตอบกลับไป “สวัสดีค่ะพี่แสด หนูชื่อ...ชื่อ...เอ่อ...”

“อุ๊ย...เสียงใสๆ เดาว่าวัยยังไม่น่าจะเกินยี่สิบห้าใช่ไหมคะ” พี่แสดเริ่มชวนคุยก่อน เพราะมีประสบการณ์เป็นอย่างดีว่าบางครั้งคนที่โทร.เข้ามาอาจจะยังเขินๆ อายๆ อยู่

“ยี่สิบห้าหยกๆ ยี่สิบหกหย่อนๆ ค่ะพี่” มุลิลารับลูกทั้งยังดัดเสียงอยู่เหมือนเดิม

“อุ๊ย..กำลังสะพรั่ง ตกลงชื่ออะไรคะ” พี่แสดทำเสียงเจ๊าะแจ๊ะน่ารักน่าคุยด้วย

“เอ่อ...ชื่อ...ชื่อ...” หญิงสาวอ้ำอึ้ง

            “แสดงว่ายังไม่ได้ตั้งชื่อให้ตัวเอง ให้พี่ตั้งชื่อให้มั้ยคะ”

“อ๊าย ดีค่ะ”

“เสียงใสๆ แบบนี้ พี่ว่าต้องชื่อ...น้องฟรุ้งฟริ้ง...อุ๊ย! ดี๊ดีอะ! น้องฟรุ้งฟริ้งเนาะ”

มุลิลาทำหน้างงว่าชื่ออะไรเนี่ย

“สงสัยชอบมากจนพูดไม่ออก กริบเชียว...ตื้นตันอยู่ใช่มั้ยคะ” แสดพูดอย่างอารมณ์ดี ร่าเริงสุดๆ ทั้งที่ตัวจริงกำลังตาเขียวปั้ดมองบอลที่หันกลับไปนอนอีกแล้ว

“ค่ะพี่” มุลิลาตามน้ำ

“โอเคค่ะ น้องฟรุ้งฟริ้ง...คืนนี้มีเรื่องคับอกคับใจอะไร จัดมาเลย รอฟังอยู่ค่ะ”

แสดเข้าเรื่อง และพอมีโอกาสพูด มุลิลาก็ใส่สิ่งที่อยู่ในใจออกมาเต็มที่

“หนูอยากฆ่าคนค่ะ!”

“อุ๊ย!” แสดตกใจอุทาน ตบอกผาง เริ่มซักต่อด้วยความกระตือรือร้น “ใครมาด่าพ่อด่าแม่น้องเหรอคะ!”

มุลิลาพูดไปพูดมาชักของขึ้น ลืมแอบใสๆ ฟรุ้งฟริ้งสวยๆ โพล่งออกมาว่า “ถ้ามาด่าพ่อด่าแม่หนูนะ ไม่ใช่แค่ฆ่ามันตอนนี้ มันตายไปแล้วก็จะตามไปฆ่ามันใหม่ในนรกให้ตายรอบที่สอง!”

แสดตกใจอ้าปากค้าง บอลที่ตื่นเพราะเสียงอุทานทันได้ยินคำพูดมุลิลาก็ตกใจอ้าปากค้างไปด้วย พอเสียงดีเจเงียบไปนาน มุลิลาก็รู้ตัวว่าพลาดไปแล้วที่ลืมแอ๊บ

“ทำไมน้องฟรุ้งฟริ้งนี่เสียงคุ้นจังวะ” อัศวินที่นั่งฟังอยู่เอียงคออย่างสงสัย

“เอ่อ...” มุลิลาพยายามจะกู้สถานการณ์ แต่น้องปลื้มขยับตัวก่อน

“แม่ครับ” เด็กชายเรียกมารดา ลุกขึ้นนั่งบนเตียงผู้ป่วยทั้งที่ยังไม่ลืมตา

“อุ๊ย หนูล้อเล่นค่ะพี่ แหม อย่าจริงจังนักสิคะ แต่ เอ่อ พ่อเรียกแล้วอะค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ แล้วหนูจะโทร.มาใหม่ค่า บาย” มุลิลารีบตัดจบบทสนทนาแล้ววางสาย ก่อนจะวิ่งไปเปิดไฟดวงเล็กแล้วเดินไปหาลูกชาย

“ครับลูก”

“แม่คุยกับใคร เสียงดัง” น้องปลื้มลืมตาขึ้นมาถาม

“อ๋อ แม่โทร.ไปขอเพลงจากพี่ดีเจครับ นอนนะนอน” เธอตอบแล้วจัดหมอน ค่อยๆ ดันให้ลูกชายกลับไปนอนเหมือนเดิม มุลิลาตบก้นลูกชายเบาๆ ไม่นานนักน้องปลื้มก็หลับไป เธอกดแอปพลิเคชันวิทยุฟังรายการต่อ แล้วกดเช็กข้อความเรื่อยเปื่อยอีกครั้ง พบข้อความของอัศวินก็นึกแปลกใจ

“ไอ้ตี๋ฟังรายการแบบนี้ด้วยเหรอ...ตุ๊ดปะเนี่ย”

คนที่เธอนึกถึงกำลังนั่งอึ้งฟังวิทยุที่จู่ๆ ก็เงียบกันไปหมด เขากำลังสงสัยและพยายามจะนึกให้ออกว่าเสียงที่ได้ยินนั้นไปเหมือนกับเสียงใครที่เขารู้จัก แต่ทันใดนั้นเอง! สายตาของอัศวินก็ไปเห็นตุ๊กแกที่ฝาผนัง ชายหนุ่มผงะเบิกตาโพลง ก่อนจะกรีดร้องเสียงแหลมออกมาด้วยความกลัว

“ว้าย! ตุ๊กแก!”

อัศวินวิ่งหนีออกจากห้องเลยทันที ยังร้องลั่นไม่หยุด ความแมนหายหมดเมื่อความกลัวตุ๊กแกขึ้นสมอง

            ที่ห้องจัดรายการวิทยุ แสดกับบอลนั่งอ้าปากค้างมาจะครบนาทีแล้ว เพราะว่าตกใจจริงๆ ไม่เคยมีใครโทร.เข้ามาแล้วเป็นเช่นนี้มาก่อน ในที่สุดบอลก็ได้สติก่อน ผู้ช่วยหนุ่มเดินไปเคาะกระจกเรียกสติแสดที่สะดุ้งมองไปรอบๆ เลิ่กลั่กก่อนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร รีบดึงไมค์เข้ามาพูด

 “อารมณ์โกรธของน้องฟรุ้งฟริ้งทำให้พี่แสดสตั๊นไปชั่วขณะ...แต่ตอนนี้พี่แสดได้สติแล้ว สติค่ะสติ รู้จักมั้ยคะ น้องฟรุ้งฟริ้ง! ส เสือ สระอิ อ่านว่า สติ!...ซาวนด์ยิ่งใหญ่มา!” แสดดีดนิ้ว บอลรีบกดซาวนด์แกรนด์ทันที แสดสูดลมหายใจเข้าฮึกเหิมเต็มที่

“ช่วยดึงสติกันหน่อยนะคะสังคม! สติคำเดียว...หยุดความเสียวทุกอย่างได้!” แสดประกาศแล้วพูดต่อ น้ำเสียงมีฟีลลิงสุดๆ

            “ถ้าความโกรธเกิดขึ้นมาแล้ว ความโกรธนั่นแหละที่จะทำร้ายเรา เป็นมะเร็งคอยกัดกินชีวิต ทำให้เราไม่มีความสุข...ซึ่งผิดคอนเซปต์ SINGLE LADIES’ CLUB ของเรานะคะ...ที่ต้องมีความสุขในทุกๆ วันของชีวิต” มุลิลาฟังแล้วก็ขยับเข้าไปซบลูกชาย เธอรู้สึกเครียดขึ้นมาเพราะรู้ตัวว่าคำแนะนำของพี่แสดเป็นสิ่งที่ดี แต่ใจของตนเองต่างหากที่ยังยอมลงไม่ได้

“ลองนึกถึงหน้าศัตรูของเรา...มันอาจจะกำลังแสยะยิ้ม มีความสุขที่ทำให้เราโกรธอยู่ก็ได้ จะยอมให้เป็นอย่างนั้นหรือไงคะ”

น้ำตามุลิลาค่อยๆ ไหลออกมา เธอรู้ตัวว่าควรพยายามทำใจและมีความสุข ทว่าบาดแผลในใจของเธอมันลึกและช้ำเหลือเกิน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น