15
กุลสตรีหาวปากกว้างขณะออกมาจากห้องนอนของนันท์นพินกลางดึกเพราะรู้สึกคอแห้ง หลังจากนั่งรอนัทธ์อยู่ด้านนอกห้อง อีกฝ่ายไม่ยอมออกมา ด้วยความห่วงในความแปลกของพี่ชายของนันท์นพิน เธอเลยอยู่ค้างที่นี่ด้วยเสียเลย
ตอนที่ลงมาเอาน้ำที่ห้องครัว ขากลับผ่านห้องทำงานด้านล่าง นัทธ์เปิดประตูออกมาพอดี เขาก็ยังดูหล่อเหลา ดูดีอย่างเดิม แต่ที่ต่างจากความหล่อเหลาอย่างทุกทีคือ ผมที่เคยถูกรวบเอาไว้อย่างเป็นระเบียบด้านหลังบัดนี้ถูกรวบมัดเป็นจุกเอาไว้บนกระหม่อม เสื้อม่อฮ่อมตัวเดิมถูกปกปิดเอาไว้ด้วยผ้ากันเปื้อน ในห้องมีกลิ่นสีรุนแรงออกมา
“เชี่ย! นี่กูวาดมากไปจนตาลายเลยหรือไงวะ” เปรยออกมาราวกับละเมอ
“เจอกี่ทีคุณก็ยังคงความปากหมาเอาไว้ได้อย่างเต็มที่เลยนะคะ”
พอได้ยินอีกคนเอ่ย นัทธ์ถึงกับขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นแตะแก้มของกุลสตรีเบาๆ ก่อนจะรับรู้ว่าตรงหน้านี่คือคนจริงๆ ผิวแก้มใสๆ นั่นก็นุ่มนิ่มมือ และเพราะเขาลูบคลำแก้มอยู่นาน กุลสตรีเลยยกมือขึ้นปัดแรงๆ
“อะไรของคุณ หื่นหรือไง ฉันแต่งตัวเรียบร้อยมากเลยนะวันนี้”
กุลสตรีก้มมองตัวเองที่สวมกางเกงวอร์มเสื้อยืดของนันท์นพิน เธอดูไม่รังเกียจท่าทีแสดงออกเกินเลยของนัทธ์ ไม่รู้ว่าเพราะรู้จักตัวตนจริงๆ ของเขาแล้วเลยไว้ใจก็เป็นได้หรือเปล่า
และเพราะแรงปัดนั้นทำให้นัทธ์รู้สึกตัว
“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ไง”
“ก็คุณขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานตั้งแต่บ่ายจนตอนนี้ รู้ไหมว่าน้องสาวคุณเป็นห่วงแค่ไหน”
ดุอีกฝ่ายขณะที่นัทธ์เพียงบิดขี้เกียจ แย่งน้ำในมืออีกคนมา แล้วเดินเข้าไปในห้อง แต่ครั้งนี้ไม่ได้ล็อกห้องอย่างทุกที กุลสตรีชั่งใจไม่นานก็เดินตามเขาเข้าไป ก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นภาพวาดขนาดเต็มผนังห้องที่ทาสีขาวดำครึ่งหนึ่งกับสีสันแสบตาอีกครึ่งหนึ่งบรรจบกันลงตรงกลาาง เป็นรูปผู้ชายกับผู้หญิงจูบกัน แต่ทำไม...
“คุณ! ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม ผู้หญิงดูเหมือนฉัน แล้วผู้ชายดูเหมือนคุณ”
“ถูก!”
กุลสตรีไปหยุดยืนอยู่ตรงรูปภาพที่ยังลงสีไม่เสร็จดี แต่มันสวยมากๆ บวกกับกลิ่นสีที่คลุ้งไปทั่วห้องทำให้เธอตื่นเต้น รู้สึกอัศจรรย์กับนัทธ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เขาเหมือนหนังสือที่เดาตอนจบไม่ถูก ยิ่งอ่านยิ่งตื่นเต้น
“ผมไม่รู้สึกอยากวาดอะไรมานานมากแล้ว จนมาเจอคุณ”
หัวใจกุลสตรีเต้นแรงจนแทบหลุดออกมาจากทรวงอก สีสันแสบตาในห้องนั้นบาดลึกในความรู้สึก บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ไม่ได้รังเกียจ
นันท์นพินที่หลับสนิทตื่นมาแต่เช้ามืด ไม่เจอกุลสตรีก็คิดว่าคงอยู่บริเวณบ้าน แต่ไม่มีเวลาตามหา เพราะพี่ชายเข้าห้องทำงานชั้นล่างอีกแล้ว นั่นแปลว่าอีกนานกว่าจะออกมา หญิงสาวเคลียร์ตารางงานพี่ชายเมื่อวานใหม่ โทร. ไปเลื่อนการสอนออกไป งานออกร้านก็แจ้งให้ทางนั้นทราบแต่เนิ่นๆ ว่านัทธ์ไม่ได้ไปคุมงาน โทร. หาลูกค้าวีไอพีที่จองอาหารฝีมือนัทธ์ล่วงหน้าเพื่อขอยกเลิก และใครที่ต้องการอาหารวีไอพีเต็มคอร์สอยู่ นันท์นพินรับหน้าที่เหล่านั้นเต็มที่
หญิงสาวเร่งรีบอาบน้ำ ตรงเข้าครัวใหญ่แต่เช้ามืดเพื่อตรวจดูเมนูอาหารที่จะทำในวันนี้ และตรวจเครื่องปรุง ของสด ของแห้ง เตรียมความพร้อมของอาหาร ตรวจอุณหภูมิแม่ครัวคนครัวทุกคน แล้วเริ่มเตรียมเครื่องปรุงทุกอย่าง ก่อนจะเข้าเรือนอาหารหวาน
เธอกับนัทธ์เทรนเด็กในเรือนขนมหวานมาดีมาก อาหารที่ส่งออกจากที่นี่เลยมีความเป็นมืออาชีพมาก ไม่ต้องคุมอะไรมากมายนัก เพียงแต่ต้องคอยควบคุมความสะอาดและความสวยงาม
“รอบส่งโรงแรมพร้อม รอบของงานจัดเลี้ยงพร้อม งานสัมมนาครบ” เปิดไล่รายการอาหาร ชิมรสชาติ เช็กสี และความสวยงาม ผ่านครบทั้งหมด
“เมนูใหม่ อ้าวพี่นัทธ์เขาจัดเมนูใหม่อะไรคะวันนี้”
“เมนูใหม่ที่โรงแรม Bangkok Sirirungson Hotel เพราะตามสัญญาต้องมีเมนูใหม่ทุกๆ เดือนเพื่อกระตุ้นยอดขาย” แกงไก่รายงาน
“พี่นัทธ์คิดอะไรไว้บ้างคะ”
“เขาว่าถึงวันจะทราบเอง”
นันท์นพินชะงักมือที่ตรวจรายการอาหาร เงยหน้าขึ้นมองแกงไก่ นี่ละที่ลำบาก และตอนนี้แล้วเธอจะจัดเตรียมอะไรทันกันเล่า
“มีแบบสำรวจตลาดโดยรอบร้านค้าไหมคะพี่แกงไก่ หนามจะได้ดูให้ว่าเดือนนี้ควรทำอะไรดี แล้วดูด้วยว่าพี่นัทธ์สั่งอะไรเพิ่มมามากช่วงนี้”
แกงไก่หาเอกสารในห้องทำงานของนัทธ์มาให้นันท์นพินดู เห็นว่าเดือนนี้เขาสั่งเพิ่มทุเรียน แตงไทย มะม่วง สตรอว์เบอร์รี และสั่งแป้งทำอาหารเพิ่ม
“ทำขนมพระพายนะคะ ส่วนน้ำราดก็แยกตามผลไม้ที่เอามากวนทำไส้ ถ้าไส้ถั่ว ทุเรียน มะม่วง แตงไทย ก็ขอน้ำราดเป็นกะทิ ส่วนสตรอว์เบอร์รี ขอน้ำราดเป็นน้ำเชื่อมสตรอว์เบอร์รี เสิร์ฟในใบตองเจียนตัดกลม จัดเป็นคำๆ”
นันท์นพินสอนเมนูขนมพระพายง่ายๆ แก่คนในครัว ก่อนจะเริ่มลงมือทำ และเธอก็กลับมาครัวของคาวอีกหน
“ทำไมเป็นขนมพระพายล่ะคะคุณหนาม พี่ว่าพวกขนมครกท่าจะง่ายกว่านะ”
“มีร้านขนมญี่ปุ่นเปิดใหม่ในโรงแรมใช่ไหมคะ ตอนนี้เขาฮิตไดฟฟูกุ โมจิ ซึ่งก็คล้ายขนมพระพายของเรานี่แหละ แต่ของเขาเสิร์ฟลูกใหญ่ใส่กล่อง แพ็กเกจจิงสวยงาม ตัวขนมคลุกแป้งเก็บความนุ่มนิ่มของเนื้อแป้งไว้ เน้นไส้เยอะๆ พี่นัทธ์ก็คงอยากทำสไตล์ไทยๆ หนามก็เกือบลืมไปแล้วนะคะ จำได้ว่าตอนเด็กคุณแม่กับคุณป้าเคยทำให้ทาน”
พอคิดถึงอดีตที่อบอวลไปด้วยกลิ่นขนมหวาน ดวงตาคู่สวยก็เศร้าสลดครู่ใหญ่ คิดถึงความอบอุ่นครั้งนั้นเหลือเกิน
“แต่หน้าตาเหมือนขนมญี่ปุ่นจริงๆ นะคะ”
นันท์นพินพยักหน้าเห็นด้วย “ตรงนี้คงไม่ยุ่งแล้วนะคะพี่แกงไก่ เดี๋ยวหนามคุยกับแม่ครัวพ่อครัวก่อนว่าจะรับมือไหวไหม”
นันท์นพินแวะเข้าครัวอาหารคาว ก่อนย้อนกลับเรือนพักด้านหลัง ทว่าตอนที่ขึ้นเรือนไปถึงกับตะลึงงันเมื่อเห็นทีปกรนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารร่วมกับพี่ชายและกุลสตรี
“แกไปไหนมาไอ้หนาม แกรับงานนอกทำอาหารเช้าอาหารเย็นส่งคุณทีปเขา ลืมหรือไง เขาต้องขับรถตามมากินอาหารเช้าถึงนี่”
‘อย่าบอกว่าพี่เชื่อเขานะ’
นันท์นพินรู้สึกร้อนตัวอย่างบอกไม่ถูก เหลือบตามองคนที่แต่งชุดทำงานเรียบร้อยนั่งจิบกาแฟด้วยท่าทีหล่อบาดใจ
“พี่เพิ่งทราบว่าหนามทำอาหารให้พี่ทีปเขา มิน่าวันนั้นถึงลากกลับด้วยกัน” กุลสตรีเอ่ยพร้อมยิ้มแย้ม แต่นันท์นพินนี่สิสะดุ้งโหยง หันมองพี่ชายและทีปกรเลิ่กลั่ก ดีที่พอมีสาวสวยอยู่ด้วย พี่ชายเธอก็จะหูแว่วสักหน่อย ฟังอะไรจับประเด็นไม่ค่อยได้
“ผมมีงานเช้า คุณมีอาหารอะไรเสิร์ฟบ้าง”
ทีปกรก้มหน้าก้มตาดูเอกสารที่กางบนโต๊ะ ขณะที่กุลสตรีเองก็อาบน้ำแต่งตัวมาแล้วเช่นกัน ตอนนี้ก็นั่งจิบกาแฟ ก้มดูเอกสารบนโต๊ะเช่นกัน มีเพียงพี่ชายเธอที่อยู่ในชุดเดิม
“ครู่หนึ่งนะคะ หนามเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ตอนตื่นแล้ว ตุ๋นไว้ในครัว ให้เด็กดูให้อยู่ค่ะ”
นันท์นพินส่งข้อความบอกทีปกรไปแล้วเมื่อคืนว่ามีธุระด่วนต้องกลับบ้าน เขาอ่าน แต่ไม่ตอบ เธอก็เช็กโทรศัพท์อยู่จนตอนตื่น ก็ไม่เห็นว่าเขาจะว่าอะไร
ไม่นานหญิงสาวก็ได้ข้าวต้มกุ้งสูตรชาววังที่จัดเครื่องเคียงเรียงกันมาพร้อมอย่างสวยงาม ขนาดผักชียังจัดเป็นช่อดอกไม้ ทีปกรถึงกับลอบยิ้มขำ จนนันท์นพินแกล้งยกเท้าเตะขาเขาใต้โต๊ะ
“วันนี้หนามขอเสิร์ฟข้าวต้มกุ้งสูตรในวังนะคะ เครื่องเคียงหนามขอจัดรวมจานเดียวกลางโต๊ะนะคะ สามารถหยิบเติมได้”
ตอนแรกกุลสตรีจะไม่รับอาหารเช้าเพราะดื่มกาแฟแล้ว แต่ทนกลิ่นหอมเย้ายวนไม่ไหว จนต้องขอรับสักถ้วย
“กลิ่นหอมมากค่ะน้องหนาม น้ำซุปหวานกลมกล่อม อร่อยจนบอกไม่ถูกจริงๆ ก็แค่ข้าวต้มแท้ๆ แต่มันอร่อยมาก”
“นี่ข้าวต้มหรือโจ๊ก”
เสียงเจ้ากี้เจ้าการของพี่ชายดังมา ทำเอานันท์นพินที่มีคดีติดหลังอยู่สะดุ้งโหยง ก็นึกว่าเห็นสาวสวยแล้วพี่จะมองผ่านความไม่มืออาชีพของเธอ
“ตอนแรกหนามจะทำข้าวต้มค่ะ แต่เพราะต้องเข้าครัวอาหารคาวและครัวของหวาน สั่งงานแทนพี่นัทธ์นั่นแหละ เตรียมเครื่องเสร็จก็ตุ๋นไว้ให้เด็กเฝ้าเท่านั้น มันเลยออกจะเละสักหน่อย”
ยอมรับผิดแค่ครึ่งหนึ่ง เธอผิด นัทธ์ก็ต้องผิดด้วย ทำหน้ามุ่ยใส่พี่ชายเรียกคะแนนความน่าเห็นใจสักหน่อย
นันท์นพินไม่กลัวเสียหน้าต่อหน้าทีปกรหรอก เขารู้ดีว่าเธอน่ะขี้เกียจมากแค่ไหน ซึ่งเขาก็ดูชื่นชอบอาหารเช้าที่ดูดีกว่าพวกไข่เจียวที่เธอชอบกินยามเช้าเสียอีก
“วันนี้หนามให้พี่เกเรได้แค่ถึงบ่ายนะคะ อย่างน้อยแวะเข้าครัวบ้าง เด็กๆ ในครัวเขาต้องการกำลังใจจากหน้าหล่อๆ ของพี่บ้าง ส่วนเรื่องอื่นๆ หนามสั่งเอาไว้หมดแล้ว ตารางงาน หนามก็จัดให้ใหม่แล้ว”
ทีปกรนั่งเงียบ มองสีหน้าอ่อนล้าของอีกฝ่าย ก่อนพลิกข้อมือดูเวลาด้วยสีหน้านิ่งๆ
“คุณมีเรียนเช้านิ เดี๋ยวผมแวะส่งที่สถานีรถไฟฟ้าให้ รีบสิ”
ตอนนั้นละนันท์นพินถึงรู้ว่าตนเองต้องไปเรียน จำต้องรีบวิ่งขึ้นห้อง อาบน้ำแต่งตัว หอบหนังสือวิ่งลงมาหน้ายุ่งพร้อมบอกทีปกรว่า “หนามต้องกลับไปเอาหนังสือที่ห้องพักอีกค่ะ สงสัยต้องไปพี่วิน ต่อด้วยรถไฟฟ้า”
“พี่ไปส่งดีกว่าไหมคะ” กุลสตรีเสนอ เพราะยังไงเธอก็ต้องออกไปทำงาน แวะส่งนักศึกษาตัวเล็กน่ารักสักคนคงจะดี
แต่คนหน้านิ่งอย่างทีปกรก็เอ่ยทะลุกลางปล้อง ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม “ผมไม่ได้รีบอะไร”
นันท์นพินลอบมองพี่ชายทั้งกลืนน้ำลายลงคอ เห็นแบบนี้ก็กลัวพี่ชายอยู่มากทีเดียว ทว่านัทธ์นั้น...
“ให้ไวเลยไอ้หนาม นานทีมีหนุ่มหล่ออยากไปส่ง ส่วนสาวๆ สวยๆ ทิ้งไว้ให้ฉันที่นี่”
นัทธ์พูดทีเล่นทีจริง ทำเอานันท์นพินอยากร้องแหมยาวไปจนถึงหน้าเรือนคุณนัทธ์ เจอสาวสวยทีไร พี่ชายเธอเป็นแบบนี้ทุกที ไหนล่ะที่หวงน้องจนไล่ให้ไปค้างที่คอนโดแทนที่เรือน
แล้วนี่มีผู้ชายมาถึงบ้าน ถามหน่อยไหมว่าคือใคร มาทำไม
ความยุติธรรมอยู่ที่ไหนกัน!
รถยนต์สุดหรูแล่นไปตามถนน ไม่มีวี่แววจะแวะจอดที่สถานีรถไฟฟ้าอย่างที่ตกลงกัน นันท์นพินเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องสักเท่าไร จะอ้างว่าไปเอาหนังสือ ทีปกรก็เตรียมมาให้ครบแล้ว
รู้ทันไปอีก
และนันท์นพินก็เพิ่งทราบว่าเมื่อคืนเขาไปค้างที่คอนโดเธอ ซึ่งว่าไปแล้วเนื้อที่คอนโดของเธอถือว่าเล็กกว่าคอนโดเขามาก แต่ทำไมทีปกรขยันไปค้างที่คอนโดเธอเสียจริง
“สรุปคือรับเดินแบบ?”
คนขับหน้าตึงมากเพราะอารมณ์ไม่ค่อยดี จนนันท์นพินลอบกลืนน้ำลาย นี่ต้องบอกกุลสตรีไหมว่าผ่านด่านนัทธ์แล้ว ต้องมาผ่านด่านท่านผู้นี้ด้วย
นี่แฟนฉันใช่ไหม ไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่
“ก็พี่นัทธ์เขาอนุญาตไปแล้วนิคะ หนามก็ซ้อมเดินไปแล้วด้วย สนุกดี”
“อยากเดินว่างั้นสิ เพิ่งมีพวกโรคจิตตามแอบถ่ายมาหมาดๆ ไม่เข็ด?”
คนกำลังจะลืมเรื่องแอบถ่าย เขาก็มากระตุ้นให้จำได้ขึ้นมาอีกแล้วสิ นันท์นพินหน้าเหยเกขึ้นมาทันที ก่อนจะถอนหายใจยาว
“หนามไม่อยากเอาแต่กลัวจนไม่กล้าทำอะไร ตีกรอบตนเองไปหมดนี่คะ หรือคุณทีปจะเก็บหนามเอาไว้แต่ในห้อง เพื่อไม่ให้พวกสตอล์กเกอร์ตามอีกล่ะคะ”
‘หนูน้อย ฉันแทบอยากสร้างห้องนิรภัยซ่อนเธอจากสายตาทุกคน’ นั่นคือความจริงที่แม่หนูน้อยขนมหวานไม่มีทางรู้หรอก
แล้วทีปกรก็นึกโมโหนตนเอง เขาเป็นบ้าอะไรพานันท์นพินไปคุยงานกับแม่ตอนที่กุลสตรีจัดแฟชั่นโชว์ เห็นสายตาที่กุลสตรีมองนันท์นพินอย่างสำรวจแบบนั้นก็มีลางสังหรณ์มาแต่ต้นแล้วว่าจะออกมารูปนี้
ลำบากใครที่ต้องตามหวง ถ้าไม่ใช่เขา แต่จะบ่นกับใครได้เมื่อตนเองพลาดไปแล้ว
“คุณนี่ใจสู้ดี”
ทีปกรรู้สึกชื่นชมในความกล้าสู้ของอีกฝ่าย แม้จะผ่านช่วงเวลาที่ไม่ดีมาหมาดๆ แต่ก็ผ่านมันมาได้ด้วยความกล้าและเข้าใจมัน พร้อมอยู่กับมันได้อย่างดีและสวยงามทีเดียว
เขาอยากมีความกล้าแบบนี้ที่พร้อมจะกระโจนออกมาจากความกลัวเช่นเธอจัง
ดวงตาอบอุ่นทอดมองคนข้างกายอยู่นาน รอยยิ้ม ดวงตา หัวใจนักสู้ตราลงลึกในอกเขา จากที่อยากบอกว่า ‘มีคนแถวนี้หวง ไม่อยากให้เดินแบบ’ ก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะยืดจนสูงเท่าตึกเรียน ยิ่งตอนนี้หัวใจเขาแง้มออกมาบ้างแล้ว
“ชอบหนามแล้วใช่ไหมล่ะ”
เมื่อเขาเปิดช่องก็รีบหยอดให้ไวพร้อมหันมามองคนข้างๆ เกาะแขนเขาไว้
“ถ้าไม่ชอบจะคบเป็นแฟนไหม จะคบได้ก็ต้องมีพื้นฐานจากความชอบทั้งนั้น”
แม้จะยังไปไม่ถึงคำว่า ‘รัก’ แต่ก็เข้าใกล้ไปอีกก้าว ถึงจะเป็นแค่ก้าวสั้นๆ เหลือก้าวที่ไกลมากๆ กว่าจะเข้าใกล้หัวใจเขาได้ แต่กระนั้นหัวใจคนตัวเล็กก็เต้นแรงจนแทบออกมานอกอก หน้าก็ซับสีเลือดไปทั่ว และตอนที่รถติดไฟแดงข้างหน้า แก้มแดงปลั่งก็ถูกปลายจมูกโด่งกดลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
“เรียนเสร็จโทร. บอกผมแล้วกัน”
“แต่ตอนเย็นจนดึกหนามมีนัดซ้อมเดินแบบนะคะ”
ทีปกรขับรถผ่านสี่แยกตรงไปส่งนักศึกษาที่หน้าตึกเรียน ก่อนหันมาหยิบหนังสือจากด้านหลังส่งให้คนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม
“ตอนเย็นผมว่าง”
แค่คำพูดธรรมดา ทำไมหัวใจนันท์นพินทำงานหนักจัง เคยแต่ตื๊อเขามาตลอด ไม่ชินกับทีปกรที่เป็นแบบนี้จริงๆ
“แต่สตูดิโอที่ไปซ้อมมีแต่ผู้หญิงนะคะ สวยๆ ทั้งนั้น”
“นี่คุณหวงผมหรือ”
แก้มที่ยังไม่ทันซาจากความแดงระเรื่อซับสีเลือดอีกหน ลมหายใจสะดุดตอนแอบชำเลืองมองเขา แน่นอนว่าเธอเคยตามข่าวเขา เขาคบหาแต่คนสวยๆ เธอไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าหนึ่งในเซเลบที่มาเดินแบบด้วยนี่มีใครเคยคั่วกับทีปกรมาบ้าง
“ไม่ได้หวงค่ะ เพียงแต่ไม่อยากวางหน้าลำบากถ้าต้องรู้ว่าหนึ่งในเซเลบคนดังที่มาเดินแบบด้วยเคยคบหาคุณทีปมาก่อน หนามก็เข้าใจนะคะว่าคนเรามีอดีตกันได้ แต่หนามยังไม่อยากเจออดีตของคุณทีปตอนนี้ ตอนตื๊อผ่านไอจี พอคุณทีปมีแฟนทีไร หนามก็เลิกเล่นโซเชียลไปสักพักทุกที”
ทีปกรเขย่าศีรษะเล็กเบาๆ และที่เธอเลิกเล่นโซเชียลไปช่วงหนึ่งก็มีคนบ้าอัปรูปจนถูกแซวว่าติดโซเชียลมาแล้ว
“แค่ไปส่งเท่านั้น แล้วจะรอรับกลับด้วย มันดึก อันตราย”
นันท์นพินพยักหน้ารับในที่สุด
และทีปกรก็รับส่งเธออยู่จนถึงวันซ้อมเดินแบบวันสุดท้าย ทุกเช้าเขาจะไปกินข้าวที่บ้านเธอ โดยบอกนัทธ์ว่าจ่ายค่าอาหารล่วงหน้าไปแล้ว และด้วยความงกมหาศาลของพี่ชายเธอก็เลยไม่ว่าอะไร ไม่แปลกใจที่จะมีผู้ชายหน้าตาดีบุกเข้ามาบ้านแบบนี้
วันงานตอนสายๆ เหล่านางแบบต้องไปซ้อมบล็อกกิงและฟิตติงชุด แล้วซ้อมเดินเสมือนจริง นันท์นพินเดินกับรองเท้าส้นสูงได้ชำนาญพอจะเดินเคียงคู่ไปกับนางแบบคนอื่นๆ แล้ว ผ่านไปแบบสบายๆ
“สาวๆ พักเบรกนะจ๊ะ อาหารอยู่ที่อีกห้องข้างๆ จากร้านเรือนคุณนัทธ์ เจ้าของร้านมาเองเลย บอกเลยว่าหล่อมากๆ งานดีสุดๆ”
ทีมงานประกาศบอกหลักพักเบรก ก่อนจะไปแต่งหน้า เตรียมการเดินแบบของแบรนด์ในตอนบ่ายๆ ซึ่งต้องเดินออกนอกห้องจัดงานแสดงไปเปิดตัวในห้าง
ตอนที่ทุกคนไปกินอาหารอีกห้อง นันท์นพินก็หยิบโทรศัพท์ออกไปที่ด้านหน้าเวที มองภาพวาดสีขาวดำปะทะกับสีสันสดสวย มองอีกมุมก็คล้ายชายหญิงจูบกัน
เห็นภาพเหล่านั้นก็น้ำตาซึม นานเท่าไรแล้วที่ไม่เห็นพี่ชายวาดอะไรแบบนี้นับแต่เสียครอบครัวไป
“เป็นไงฝีมือพี่ชายเธอ”
นัทธ์ซึ่งสวมชุดเสื้อม่อฮ่อม ผมสลวยรวบเอาไว้ด้านหลัง เปิดหน้าหล่อหวานล้ำหาตัวจับยากยืนเยื้องอยู่ด้านหลังนันท์นพิน
“สวยค่ะ แต่...”
“สวยแล้วไม่มีแต่ไอ้น้อง”
“นี่รูปพี่จูบกับพี่กุลนิคะ”
กอดอกข่มขู่ใส่พี่ชายที่ริอ่านเอาภาพแบบนี้มอบให้คนอื่นเอามาใช้ในงานสำคัญ กุลสตรีเองก็เถอะ เอามาใช้ได้อย่างไรกัน
แต่มีหรือพี่ชายหน้าทนของตนจะเกรงกลัวหรือรู้สึกรู้สา ยังวางภูมิเป็นจิตรกรเอกอยู่เลย
“การจูบมันก็คือศิลปะแขนงหนึ่ง”
“ไม่ใช่พี่ไปจูบเขามาแล้วหรอกหรือคะ”
“ก็อยากอยู่ แต่ไม่มีเวลาขนาดนั้น ยังมีหนี้ต้องจ่ายมากมาย”
แน่นอนว่าที่สองพี่น้องดิ้นรนหาเงินตัวเป็นเกลียวขนาดนี้ก็เพราะหนี้สินมากมายที่พ่อแม่ก่อขึ้นตอนเมาแล้วขับรถชน สร้างความเสียหายแก่ครอบครัว ‘ศิริรังสรร’ เพราะพ่อของเขาเมาแล้วขับชนรถของครอบครัวศิริรังสรรที่กำลังจะก้าวขึ้นรถ แล้วรถเตลิดเข้าร้านเฟอร์นิเจอร์ของภรรยาของทีปกร เกิดเพลิงไหม้อย่างรวดเร็ว มีศพสี่ศพ แต่สูญเสียห้าชีวิต ทางศิริรังสรรเสียหายจากเหตุการณ์นั้นกว่าร้อยล้าน
ในตอนนั้นป้าและลุงของนัทธ์เข้าไกล่เกลี่ยค่าเสียหาย ตกลงกับทางครอบครัวศิริรังสรรจะรับผิดชอบค่าเสียหายทุกอย่าง ซึ่งทางนั้นเรียกมาสองร้อยล้านถ้วน
ในปีแรกก็พอจะผ่อนจ่ายไปได้ แต่ไม่นานป้ากับลุงก็แบกรับไม่ไหว ถูกฟ้องล้มละลาย ปีต่อมาสองป้าลุงที่รับหลานชายหลานสาวมาใช้นามสกุลด้วยเครียดหนัก ต้นปีลุงเส้นเลือดในสมองแตกตาย ปลายปีป้าก็ตรอมใจตายตามไป ทิ้งหลานชายหลานสาวเอาไว้
นัทธ์ที่เพิ่งเรียนจบกำลังจะได้ทำงาน และงานที่ส่งเข้าประกวดได้รับรางวัลระดับโลกก็ถูกขัดแข้งขัดขาจากเด็กเส้น แม้แต่เรื่องงานที่ได้ในต่างประเทศก็ถูกเด็กเส้นตัดหน้า และการสูญเสียต่อเนื่องเกินรับไหว นัทธ์เลยเลิกวาดรูปไปเลย แม้ครั้งหนึ่งเคยก้าวไปถึงระดับโลกมากแล้ว
“พี่คิดถึงการวาดภาพไหม”
นันท์นพินเอ่ยตอนที่แหงนเงยมองภาพนั้น มือโอบเอวพี่ชาย นัทธ์เองก็แหงนเงยมองภาพนั้นดวงตาเปล่งประกายนิดๆ ตอบเสียงเบามาก ทว่าบ่งบอกถึงความต้องการมากมายล้นหลามในใจ
“มาก”
กุลสตรีเข้ามาเห็นสองพี่น้องยืนอยู่บนเวทีแหงนมองภาพตรงหน้าก็แอบถ่ายภาพสองพี่น้องกอดกันมองภาพ แล้วอัปลงไอจี แท็กไอจีเรือนคุณนัทธ์ แคปชันว่า
จิตรกรที่หล่อที่สุด ทำอาหารเก่งที่สุด รักน้องสาวมากที่สุด
ความคิดเห็น |
---|