10

บทสวดที่ ๑๐

บทสวดที่ ๑๐

 

“ซาร์นาย อย่าพูดจาเหลวไหล”

เทียนหลางหันไปขึงตาใส่หญิงสาวชาวมองโกล แต่นอกจากเธอจะไม่กลัวสักนิดแล้วยังยักไหล่ใส่อย่างยียวนอีกต่างหาก แถมยังกล้าเดินฉับๆ สับขาเหมือนนางแบบเดินบนแคตวอล์กตรงมาหาพัดพารัดชาด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจล้นปรี่

“อะ...เอ่อ...สวัสดีค่ะ” พัดพารัดชามองมือของอีกฝ่ายที่ยื่นมารอให้เชกแฮนด์ทักทายครู่หนึ่งก่อนจะรีบยื่นมือไปจับด้วยตามมารยาท “ยินดีที่รู้จักนะคะ ฉันชื่อ...ชาช่าค่ะ”

หญิงสาวนึกชื่อยาวเหยียดที่เทียนหลางตั้งให้ไม่ทันก็เลยบอกชื่อเล่นที่คนต่างชาติน่าจะออกเสียงง่ายออกไป ซาร์นายชะงักนิดหนึ่ง ไม่คิดว่าสาวน้อยหน้าหวานจะไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ กับการแนะนำตัวของเธอเลยแม้แต่นิด กระทั่งขนคิ้วยังไม่กระดิก...เหมือนไม่ใส่ใจอย่างไรอย่างนั้น

“ฉันเป็นแฟนของช็อนค่ะ”

ซาร์นายพูดย้ำอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม เธอหวังว่าสาวน้อยตรงหน้าจะทำหน้าหงิกหน้างอแสดงความไม่พอใจให้เห็นบ้าง แต่ต้องผิดหวังที่เจ้าตัวพยักหน้าตอบเป็นเชิงรับรู้ด้วยสีหน้าปกติเสียจนน่าหงุดหงิดใจ

“อ้อ...ค่ะ” พัดพารัดชายิ้มตามมารยาท ไม่เข้าใจว่าซาร์นายจะพูดย้ำทำไมตั้งสองครั้ง เรื่องส่วนตัวระหว่างเจ้าหล่อนกับเทียนหลาง เธอไม่อยากมีส่วนรับรู้ด้วยเสียหน่อย

“นี่ไม่สนใจจริงๆ หรือแกล้งไม่สนใจกันแน่”

ซาร์นายบีบมือของหญิงสาวแน่น พลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตใสแจ๋วของเธอ พยายามอ่านความรู้สึกซ่อนเร้นภายใน 

“แกล้งไม่สนใจเรื่องอะไรเหรอคะ ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูด”

พัดพารัดชาชักมือคืนด้วยสีหน้าเป็นปกติทุกประการ โดยพื้นฐานเธอถูกมารดาสอนให้ประนีประนอมและหลีกเลี่ยงการปะทะทุกรูปแบบ แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมนิ่งเฉยทุกครั้งที่ถูกหาเรื่องซึ่งหน้าโต้งๆ เสียเมื่อไหร่ มีครั้งนี้นี่ละที่เธอปล่อยให้อีกฝ่ายออกฤทธิ์ออกเดชได้ตามใจชอบ เพราะไม่อยากสร้างศัตรูทั้งที่ตนเองกำลังอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ อีกประการหนึ่ง ตราบใดที่เธอยังอยู่ที่มองโกเลีย ทั้งตูยาและซาร์นายน่าจะไม่ใช่ผู้หญิงสองคนสุดท้ายที่จะมาหาเรื่องเธอแน่ ฉะนั้นรีบกันตนเองจากเรื่องรักร้อยเส้าของอีตาเทียนหลางไว้ก่อนเป็นดีที่สุด

“ไม่เข้าใจ?” ซาร์นายขมวดคิ้ว “ชัดแบบนี้ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”

“เลิกพูดเล่นไร้สาระได้แล้วซาร์นาย ชาช่าเป็นแขกคนสำคัญของปู่” เทียนหลางก้าวเข้ามายืนบังพัดพารัดชาเอาไว้จากสายตาอยากรู้อยากเห็นของสาวชาวมองโกล “สรุปว่าของที่ให้ช่วยเตรียมน่ะเรียบร้อยดีใช่ไหม”

“แขกของท่านอัลตัน? แต่คุณดันรู้ไซซ์เสื้อผ้าของหล่อนเนี่ยนะ”

ซาร์นายหรี่ตามองชายหนุ่ม ประโยคภาษาอังกฤษของเธอทำเอาพัดพารัดชาต้องกะพริบตาปริบๆ อย่างคาดไม่ถึง

“ไซซ์เสื้อผ้าของฉันเหรอคะ”

“ชั้นนอกยันชั้นในเลยละ”

ซาร์นายไม่ยอมลดละ เธอเอียงตัวยื่นหน้ามาคุยกับสาวน้อยที่หลบอยู่ด้านหลังของเทียนหลางจนเขาต้องขยับตัวมาบังเอาไว้

“ของแบบนั้นแค่เห็นก็เดาได้แล้วไหม ไซซ์เอสเอ็มแอล มันจะไปยากอะไร” ชาแมนหนุ่มกระแอมกระไอแก้เขิน เขาคว้าข้อมือของพัดพารัดชาแล้วลากให้เดินตรงไปยังถุงกระดาษอาบมันห้าหกถุงที่วางอยู่หน้าลิฟต์ “ตกลงของที่สั่งให้เตรียมมาครบหรือเปล่า คุณยังไม่ได้ตอบผมเลย”

“เวลามีน้อย ก็ได้เท่าที่ได้นั่นละค่ะ”

ซาร์นายปรายตามองมือของเทียนหลางที่ไม่ยอมปล่อยข้อมือของพัดพารัดชาแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ 

แหม...อย่างกับทากาวติดเอาไว้เลยนะยะ!

“เสื้อผ้าพวกนั้นเป็นของฉันเอง ฉันไปชอปปิงแก้เซ็งมาเมื่อวันก่อน ทิ้งเอาไว้ในรถ ยังไม่ได้ยกขึ้นไปเก็บเลย ฉันขี้เกียจฟังเสียงสามีบ่นน่ะ ว่าจะรอให้เขาบินไปติดต่องานที่ยุโรปวันพรุ่งนี้ก่อนค่อยจัดการ แต่พอดีช็อนโทร. มาก่อนฉันก็เลยเอามาให้เธอ รับรองว่าเป็นของใหม่ทุกตัว ฉันยังไม่ได้ใส่เลย เธอคงไม่รังเกียจใช่ไหม”

สา...สามี?

พัดพารัดชาคิดว่าหูฝาดไป คำว่า ‘สามี’ ทำเอาเธอแทบไม่ได้ฟังส่วนอื่นๆ ของประโยคยาวเหยียดเหล่านั้นเลย เมื่อครู่ซาร์นายเพิ่งพูดอยู่หยกๆ ว่าเป็น ‘แฟน’ ของเทียนหลาง แล้วทำไมจู่ๆ ถึงมี ‘สามี’ ขึ้นมาได้เล่า เธอเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม เขาตีสีหน้าเฉยเมย ทว่าไม่ยอมสบตากับเธอตรงๆ เหมือนคนมีชนักติดหลัง

นี่อย่าบอกนะว่า...เขาเป็นชายชู้!

เทียนหลางรู้ดีว่าหญิงสาวกำลังมองมาด้วยสายตาแบบไหน และเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกละอายใจกับการใช้ชีวิตเฮงซวยแบบหัวหกก้นขวิดของตนเอง หากรู้ว่าวันหนึ่งจะได้กลับมาพบหน้าเธอ เขาก็อาจจะดำเนินชีวิตแตกต่างออกไปจากนี้อยู่หรอก แต่เขาไม่อาจล่วงรู้อนาคตและไม่มีวันเปลี่ยนอดีตได้ เขาจึงจำต้องแบกรับความรู้สึกกระอักกระอ่วนนี้ต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก

“เสื้อผ้าอาจจะหลวมตรงช่วงอกหน่อยนะจ๊ะ ไม่เป็นไรใช่ไหม”

ซาร์นายพูดกลั้วหัวเราะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอไม่เคยรู้เลยว่าสเปกของเทียนหลางเป็นแบบไหน เพราะเขาควงผู้หญิงมากหน้าหลายตา แถมยังหลากเชื้อชาติเสียจนเดารสนิยมไม่ถูก แต่พอรู้เป็นเลาๆ ว่าเขาน่าจะ ‘ปลื้ม’ สาวลูกครึ่งเป็นพิเศษ ส่วนมากควงกันประเดี๋ยวประด๋าว หมดเสน่หาก็แยกทางกันไป มีแค่เธอเท่านั้นที่เขามีสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัดยาวนานกว่าแม่ต่างชาติพวกนั้น จนบางทีก็เผลอนึกว่าตนเองคงพิเศษสำหรับเขาบ้างอยู่เหมือนกัน ทว่าเมื่อเห็นท่าทางห่วงใยที่เขามีต่อแม่เด็กที่ชื่อชาช่าในวันนี้ ความมั่นใจของเธอเริ่มสั่นคลอนอย่างหนัก 

บางทีเธออาจจะไม่ใช่คนที่เทียนหลางเรียกหาในเวลาเหงาอีกต่อไปแล้วก็ได้ 

“กลับไปได้แล้ว” ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างที่เป็นอิสระรวบหูหิ้วของถุงบนพื้นขึ้นมาถือไว้อย่างรวดเร็ว ส่วนอีกมือยังคงยึดข้อมือของพัดพารัดชาไว้แน่น “แยกกันตรงนี้เลยนะซาร์นาย ขอบคุณที่เป็นธุระให้ ผมจะให้คนจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้ให้ภายในวันนี้”

“แหม เย็นชาจังนะคะ ฉันนึกว่าเราจะพาแขกของท่านอัลตันไปเลือกซื้อชุดชั้นในมิกกี้เมาส์ด้วยกันเสียอีก ฉันรีบมาหาคุณก็เลยยังไม่ได้แวะซื้อเลยสักตัว ฉันไม่กล้าซื้อมั่วๆ ถ้าไม่เห็นขนาดจริงเสียก่อน จะว่าไปฉันก็คิดถูกอยู่นะ ถ้าให้ใช้ของฉันก็คงจะไม่พอดีแน่”

ซาร์นายกอดอกมองใบหน้ามึนตึงของเทียนหลางพลางแค่นหัวเราะ เธอฉลาดพอที่จะมองออกว่าเขากำลังบอกลาความสัมพันธ์ฉาบฉวยระหว่างกันอยู่กลายๆ และไม่คิดจะยื้อเขาไว้ด้วยรู้ดีว่าเขาไม่ชอบผู้หญิงงี่เง่าที่เกาะติดเขาเหมือนปลิง...และเพราะเธอรู้ว่าเมื่อใดควรรุก เมื่อใดควรถอยนี่ละ เธอจึงเป็นคนเดียวที่เขาสบายใจที่จะคบหากันแบบไม่ผูกมัดมากที่สุด

“พูดจบหรือยัง” สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนทว่าน้ำเสียงกระด้างขึ้นอีกหลายระดับ มือข้างที่หอบข้าวของรุงรังกดปุ่มเปิดประตูลิฟต์โดยสาร “ถ้าจบแล้วก็กลับได้เลย มาทางไหนกลับไปทางนั้น ผมไม่ส่งนะ”

พัดพารัดชารู้สึกเหมือนตัวหดลีบเหลือนิดเดียว เธอไม่ชอบเลยที่ต้องมายืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศหนักอึ้งชวนอึดอัดเช่นนี้ น่าแปลกที่เทียนหลางพูดจาไร้มารยาทใส่ถึงเพียงนี้แล้ว ซาร์นายยังคงยิ้มเหมือนไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ร่างสูงเพรียวก้าวเข้าไปยืนในลิฟต์ด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำ มิหนำซ้ำยังหันกลับมาส่งจูบให้ชายหนุ่มอย่างยั่วเย้า

“ไว้เบื่อซุปจืดๆ แล้วอยากกินอาหารรสจัดก็โทร. มาหาฉันได้ทุกเมื่อนะคะช็อน”

ประตูเลื่อนปิดก่อนที่ลิฟต์จะเคลื่อนลงสู่ชั้นล่างช้าๆ ทิ้งเทียนหลางกับพัดพารัดชาเอาไว้กับความเงียบงันชนิดที่ว่าหากมีเข็มหล่นลงบนพื้นสักเล่มคงได้ยินเสียงดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ

“ซาร์นายไม่ใช่แฟนของฉัน”

ชาแมนหนุ่มระบายลมหายใจยาว เขารอจนลิฟต์ลงไปถึงชั้นล่างสุดแล้วกดปุ่มเรียกขึ้นมาใหม่ พัดพารัดชาทำหน้าไม่ถูก เธอจำได้ว่าเขาเคยพูดประโยคคล้ายๆ กันนี้ต่อหน้าตูยาอย่างไร้เยื่อใยที่สุด แต่กับผู้หญิงที่ชื่อซาร์นาย...เขากลับเลือกที่จะพูดลับหลัง ไม่ฉีกหน้าตรงๆ แสดงว่าน่าจะมีอะไรในกอไผ่อยู่ไม่มากก็น้อยนั่นละ

ผู้ชายเจ้าชู้!

“คุณไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องส่วนตัวให้คนนอกอย่างฉันฟังหรอกค่ะ แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าฉันจะเที่ยวเอาไปพูดต่อให้คุณกับคุณซาร์นายเสียหายด้วย ฉันไม่ใช่คนชอบพูดนินทาเรื่องของคนอื่น เรื่องนี้ฉันรับรองได้”

หญิงสาวค่อยๆ แกะมือแข็งราวคีมเหล็กของเขาออกจากข้อมือ ไม่น่าเชื่อว่านิ้วเรียวสวยเหมือนลำเทียนแต่กลับแข็งแรงปานนี้ ถ้าเขาบีบแรงอีกนิด ข้อมือของเธอต้องหักเป็นแน่

“ฉันไม่สนว่าเธอจะเอาเรื่องของฉันไปพูดที่ไหนหรือกับใคร ฉันสนแค่เธอต้องไม่เข้าใจผิดเรื่องของฉันกับซาร์นาย ฉันกับเขาไม่ได้เป็นแฟนกัน ไม่เคยเป็น และจะไม่เป็นด้วย”

เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องรีบอธิบายให้เธอฟังเหมือนร้อนตัวแบบนี้ด้วย จริงอยู่ที่เขาไม่อาจปฏิเสธเรื่องที่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับซาร์นายได้ แต่เขาไม่เคยผูกพันทางใจกับเจ้าหล่อนหรือผู้หญิงหน้าไหนทั้งนั้น เพราะภาพเงาของสาวน้อยคนหนึ่งประทับแน่นอยู่ในใจไม่เคยลบเลือนทำให้ไม่มีพื้นที่เหลือไว้ให้ใครอื่น

สาวน้อย...ที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะฝันถึงเธอตลอดระยะเวลา ๗ ปีที่ผ่านมา

“ก็บอกแล้วไงคะว่าไม่ต้องอธิบายเรื่องส่วนตัวซับซ้อนหมิ่นเหม่ศีลธรรมของคุณให้ฉันฟังก็ได้”

พัดพารัดชาชะงักเมื่อหลุดปากพูดสิ่งที่ใจคิดออกไป จริงอยู่ที่คำว่า ‘สามี’ ของซาร์นายทำให้คิดเป็นอื่นไม่ได้เลย แต่เธอไม่รู้รายละเอียดทั้งหมดครบถ้วนเพียงพอที่จะตัดสินอะไรได้ แถมยังตัดสินเขาไปแล้วทั้งที่ยังไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จด้วยซ้ำไป คิดแล้วก็น่าละอายเสียจริง

“เอ่อ...ฉันขอโทษ...ฉันไม่ควร...”

“ขอโทษทำไม มันก็จริงอยู่ครึ่งหนึ่งนี่”

เทียนหลางแค่นหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ เขาไม่เคยสนใจว่าใครจะมองหรือตัดสินการใช้ชีวิตของเขาแบบไหน แต่พอนึกว่าพัดพารัดชาอาจมองว่าเขาเป็นผู้ชายสารเลว เขาก็รู้สึกอยากหนีไปบวชเป็นลามะขึ้นมาเสียเฉยๆ

ครึ่งหนึ่ง? เขาหมายความว่าอะไร เขาไม่ได้เป็นชายชู้? ซาร์นายไม่มีสามี? ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องล้อเล่น?

พัดพารัดชาอยากรู้แต่ไม่กล้าถาม ด้วยกลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทมากขึ้นไปอีกจึงได้แต่ยืนนิ่งเงียบ ไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้เพียงครึ่งคำ

“หิวหรือยัง เมื่อเช้าเธอกินอาหารไปนิดเดียวเอง เดี๋ยวฉันออกไปซื้อของมาทำอะไรง่ายๆ ให้กินก็แล้วกัน ในตู้เย็นน่าจะมีแต่น้ำกับเบียร์ ไม่มีของสดอย่างอื่น”

ชายหนุ่มยังคงพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงและท่าทางปกติเสียจนเธออดรู้สึกผิดไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนอย่างไร ใช้ชีวิตแบบไหนก็ไม่เกี่ยวข้องกับเธอเลยสักนิด สิ่งสำคัญในตอนนี้คือเขาคอยให้ความช่วยเหลือและดูแลเธอเป็นอย่างดีมาตลอด ถึงจะดุจนชวนขนหัวลุกอยู่บ้างแล้วก็ไม่ค่อยอธิบายอะไรให้เธอเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง แต่เขาก็ไม่เคยปฏิบัติต่อเธอไม่ดีเลยแม้แต่ครั้งเดียวไม่ใช่หรือ

“ฉันยังไม่ค่อยหิวเลยค่ะ”

หญิงสาวมองประตูลิฟต์ที่เลื่อนเปิดแล้วอดรู้สึกโหวงๆ ในอกไม่ได้ ถ้าเทียนหลางออกไปข้างนอกก็เท่ากับเธอถูกทิ้งไว้เพียงลำพังน่ะสิ 

“ฉันไปเดี๋ยวเดียวก็กลับแล้ว มีซูเปอร์มาร์เกตอยู่ใกล้ๆ นี่เอง เดินไปแค่สิบนาทีก็ถึง” เทียนหลางอ่านความกังวลในแววตาของพัดพารัดชาออก “เธอไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ในรถใช่ไหม เดี๋ยวฉันจะให้คนมารับรถไป อเล็กไซเห็นทะเบียนรถคันนี้แล้ว เราคงต้องเปลี่ยนไปใช้คันอื่นแทน”

“ฉันมีแค่กระเป๋าย่ามใบเดียวค่ะ”

หญิงสาวชี้ไปยังกระเป๋าที่สะพายอยู่ เธอไม่เคยคิดเลยว่าเพียงแค่คนชื่ออเล็กไซเห็นทะเบียนรถจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดนี้  ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ แล้วยื่นบรรดาถุงกระดาษอาบมันในมือให้เธอรับไว้

“ดีแล้ว ระหว่างนี้ก็อาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าไปก่อนก็แล้วกัน ลองดูว่าเสื้อผ้าในถุงพวกนี้ใช้ได้ไหม ผ้าเช็ดตัวกับเสื้อคลุมอาบน้ำอยู่ในตู้บนชั้นลอย เธอหยิบใช้ได้ตามสบาย หรือถ้าเพลียก็นอนพักเอาแรงที่เตียงชั้นบนได้เลย บางทีเราอาจต้องค้างกันที่นี่สักคืนระหว่างรอให้ทางปู่เคลียร์ที่ทางที่กุดไซให้เรา”

“กุดไซ?” พัดพารัดชากะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ ไอ้กุดไซที่ว่านี่มันที่ไหนกันอีกเล่า “แล้ว...คุณปู่อัลตันล่ะคะ คุณบอกว่าจะนัดเจอกับท่าน...”

“ที่กุดไซ” เทียนหลางต่อประโยคให้เสร็จสรรพ เขาปล่อยให้ประตูลิฟต์ปิดระหว่างที่บทสนทนายังดำเนินต่อไป “อย่างที่บอกนั่นละว่าเราไว้ใจอเล็กไซไม่ได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้มันคิดทำอะไรบ้าง ฉะนั้นเราต้องเตรียมการทุกอย่างให้รอบคอบก่อนจะเดินทางไปที่นั่น ทำหน้าแบบนั้นทำไมฮึ หรือว่ากลัวที่ต้องค้างคืนที่นี่กับคนที่มีเรื่องส่วนตัวซับซ้อนหมิ่นเหม่ศีลธรรมแบบฉัน”

“ไม่...ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”

โอเค ตอนแรกก็ไม่ได้คิดหรอก แต่พอเขาพูดขึ้นมาก็เริ่มคิดแล้ว!

“วางใจเถอะ ถึงที่นี่จะมีเตียงแค่หลังเดียว แต่ถ้าเธอไม่อนุญาต ฉันก็จะนอนที่โซฟาข้างล่างนี่ ไม่ปีนขึ้นไปนอนบนเตียงเดียวกับเธอแน่” เทียนหลางหัวเราะเมื่อเห็นดวงหน้าเล็กแดงแจ๋เหมือนมะเขือเทศ “หรือว่าจะใจดีอนุญาต?”

“โนเวย์ค่ะ!”

พัดพารัดชาตอบเสียงดังฟังชัดโดยไม่หยุดคิดแม้แต่วินาทีเดียว ทำเอาชายหนุ่มหลุดหัวเราะเสียงดังไม่แพ้กัน สีหน้าของเธอน่ารักเสียจนเขาเผลอโน้มตัวลงจุมพิตกลางกระหม่อมบางเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเธอยืนตัวแข็งทื่อขณะเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาเต้นระริก

“ฉัน...จะรีบไปรีบกลับ”

เทียนหลางรีบกดปุ่มเปิดประตูลิฟต์แล้วก้าวเข้าไปยืนด้านในโดยไม่มองหน้าของพัดพารัดชาตรงๆ อีก ส่วนหญิงสาวได้แต่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก สัมผัสนุ่มนวลและไอร้อนผ่าวที่เขาทิ้งไว้ทำเอาหัวใจของเธอเต้นไม่เป็นส่ำ

ไม่ได้สิยายพลอย ห้ามหวั่นไหวนะ เขาเป็นผู้ชายเจ้าชู้ มีผู้หญิงแขวนไว้เต็มรอบเอวไปหมด เขามันตัวอันตรายชัดๆ!

 

“คูคัลเต ดูแลชาช่าให้ดี ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ฉันจะเลาะตะเข็บแกทิ้ง” 

เทียนหลางกระซิบขณะที่ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นล่าง คูคัลเตเชื่อมโยงกันด้วยมนตร์ผูกจิต ไม่ว่าอยู่ห่างกันแค่ไหนมันจะได้ยินคำสั่งของเขาเสมอ การใช้มนตร์นี้จำเป็นต้องทิ้งเสี้ยวหนึ่งของดวงจิตไว้ในร่างตุ๊กตาและเสียพลังเวทมากโดยไม่จำเป็น หากไม่ใช่เรื่องสำคัญเขาไม่มีวันยอมสูญพลังในสถานการณ์ที่ต้องคอยระวังหลังตลอดเวลาเช่นนี้แน่

แต่พัดพารัดชาสำคัญมากพอ ต่อให้เขาต้องสูญสิ้นพลังชาแมนทั้งหมดก็ต้องปกป้องชีวิตของเธอเอาไว้ให้ได้...

’พี่ช็อน...’

เสียงเล็กๆ ของเด็กน้อยที่เรียกขานเขาด้วยชื่อมองโกลดังขึ้นมาในห้วงความคิด เทียนหลางเผลอแตะปลายนิ้วบนริมฝีปากราวละเมอ เส้นผมนุ่มลื่นของเธอยังคงให้ความรู้สึกเหมือนขนนุ่มนิ่มของลูกแมวไม่เปลี่ยน เขาเคยชอบช่วงเวลาที่จับแม่เด็กตัวกลมป้อมขึ้นนั่งตักแล้วถักเปียบิดๆ เบี้ยวๆ ให้เธอที่สุด กลิ่นหอมจากเรือนผมของเธอทำให้ความสับสนวุ่นวายใจของเขาในวัย ๑๐ ปีสงบรำงับลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ตอนนี้กลิ่นหอมของเธอทำให้เขาเสียสมาธิจนอยากจะบ้าตาย!

ชาแมนหนุ่มสลัดภาพจินตนาการอกุศลที่เริ่มลอยแวบเข้ามาในหัวทิ้งไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ควานหาบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อโคตขนเป็ดขึ้นมาจุดสูบ นานแล้วที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนทำให้เขาเป๋จนแทบลืมตัวลืมตนได้แบบนี้ นานจนเขาคิดว่าลืมเธอไปได้อย่างหมดจดแล้วจริงๆ...แต่ไม่เลย เธอยังคงเป็นส่วนหนึ่งของแสงสว่างที่อบอุ่นที่สุดเมื่อครั้งเยาว์วัยอยู่เสมอ

ตั้งสมาธิไว้ช็อน แกต้องไม่ลืมจุดมุ่งหมายแรกเริ่ม ปกป้องชาช่าแล้วจบแค่นั้น...เขาต้องไม่ดึงเธอกลับมาสู่วงจรชีวิตเส็งเคร็งนี้อีก!

เทียนหลางเดินออกมาจากอาคารแล้วหันกลับไปพ่นควันบุหรี่สีเทาใส่บานประตู ดวงตาสีดอกพยับหมอกเรืองแสงวาบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ควันบางเบานั้นจะขยายตัวแล้วเลื้อยขึ้นไปโอบล้อมตัวอาคารไว้อย่างแน่นหนาราวอสรพิษหวงไข่ 

“ก้าวหน้าไม่เลวนี่ เดี๋ยวนี้ใช้มนตร์ใหญ่ขนาดนี้ได้โดยไม่ต้อง ‘อัญเชิญ’ แล้วเรอะ ไอ้ตัวดี”

ร่างสูงใหญ่ของชาแมนเฒ่าที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นข้างกายไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจแม้แต่นิด ตรงกันข้าม เขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าอย่างไร ‘ปู่’ ก็ต้องโผล่มาเฉ่งเขาอยู่ดี ต่อให้ถอดมาแค่ดวงจิตแบบนี้ก็เถอะ

“ต้องขอบคุณปู่นั่นละที่ฝึกหนักจนผมเหมือนตกนรกทุกวัน”

เทียนหลางหันมายักคิ้วยียวนใส่อัลตันที่อยู่ในชุดดีลหรือชุดพื้นเมืองของมองโกเลียสีน้ำเงินเข้ม ปากอาจพูดพล่อยๆ ออกไปเช่นนั้น ทว่าในใจรู้ดีว่าพลังอันมหาศาลที่ไหลเวียนอยู่ในกายนี้เป็นผลมาจาก ‘เนตรกิเลน’ ที่ได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษสติไม่เต็มเต็งอย่างหลู่ 

ดวงตาน่ารังเกียจที่เขาไม่เคยร้องขออยากครอบครอง แต่กลับถูกบังคับให้ต้องแบกรับหน้าที่อันหนักอึ้งเพียงเพราะถือกำเนิดมาพร้อมกับมัน

“ไม่ต้องมาแดกดันฉัน ไอ้หลานเวร มีเวลามายืนเอ้อระเหยลอยชายสูบบุหรี่ได้ แต่ไม่มีเวลาคุยโทรศัพท์กับฉันอย่างนั้นเรอะ”

อัลตันเงยหน้าขึ้นมองควันสีเทาที่ปกคลุมอาคารเบื้องหน้าแล้วลอบถอนใจ ตามปกติแล้วการจะใช้มนตร์ที่ทรงพลังระดับนี้ได้ ชาแมนผู้ร่ายมนตร์จำเป็นต้องสวมชุดทำพิธีเต็มยศเพื่ออัญเชิญ ‘ออน-กอน’ หรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่มีหลายลำดับชั้นตั้งแต่วิญญาณของบรรพบุรุษไล่ไปจนถึงเทพเจ้าที่สถิตอยู่ ณ สถานที่ต่างๆ ซึ่งต้องใช้ทั้งเวลาและสละพลังวิญญาณมหาศาล แต่เทียนหลางกลับทำได้ในพริบตาโดยไม่ต้องสวมซัมลากาหรือม่านบังหน้าเพื่ออัญเชิญให้เทพมาสถิตด้วยซ้ำไป การจะร่ายมนตร์ด้วยวิธีนี้จำเป็นที่จะต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักนานนับแรมปีจนมีตบะแก่กล้า ซึ่งในมองโกเลียมีชาแมนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้

เทียนหลางเป็นหนึ่งในนั้น และเขาร่ายมนตร์โดยไม่ต้องอัญเชิญพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ตั้งแต่อายุ ๑๓ ปี!

หลายคนอาจมองว่าเป็นพรสวรรค์ แต่เทียนหลางเรียกมันว่าคำสาปจากนรกที่ไม่มีวันหลุดพ้น

“ผมก็โทร. รายงานปู่ไปหมดแล้วไม่ใช่หรือไง จะเอาอะไรอีก”

ชายหนุ่มออกเดินไปตามถนนที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นดินสีแดงพลางอัดบุหรี่เข้าปอดอย่างหนักหน่วง โชคดีที่ถนนสายนี้ค่อนข้างเปลี่ยวไม่มีผู้คน ไม่เช่นนั้นคงมีคนคิดว่าเขาเป็นบ้าแน่ที่พูดคนเดียวเป็นวรรคเป็นเวร คนไร้พลังวิญญาณไม่มีทางมองเห็นดวงจิตของชาแมนอยู่แล้ว เว้นแต่ชาแมนที่ถอดจิตมาหาจะอยากให้เห็น

“แกเรียกไอ้ที่พูดห้วนๆ ไม่กี่ประโยคนั่นว่าการรายงานเรอะ” อัลตันแยกเขี้ยว เขาสาวเท้าเดินเคียงคู่ไปกับหลานชายอย่างสง่างาม “‘ปู่ ผมไปรับชาช่ามาแล้ว ไปเจอกันที่กุดไซ เราต้องทำพิธีปิดผนึกธาตุทองคำของชาช่าด่วนที่สุด’ แกพูดแค่นี้แล้วก็วางหูใส่ฉันเนี่ยนะ ไอ้เด็กบ้า!”

“โอ้โห ปู่จำแม่นแฮะ เป๊ะทุกคำไม่มีตกหล่นเลย” เทียนหลางปรบมือแกนๆ สองสามครั้งอย่างประชดประชัน “ของแบบนี้ไม่ต้องบอกอะไรมากก็ได้นี่ เหมือนที่ปู่ทำนั่นละ บอกเท่าที่จำเป็นต้องรู้ก็พอ รายละเอียดอื่นๆ ข้ามไปบ้างก็ไม่เป็นไร”

“แกโกรธเรื่องที่ฉันไม่บอกเรื่องที่เคยทำพิธีปิดผนึกธาตุทองคำของชาช่างั้นเหรอ”

“โกรธทุกเรื่องนั่นละ ปู่จะให้ผมเริ่มจากเรื่องไหนก่อนดี” เทียนหลางพ่นควันออกทางจมูก “ปู่รู้มาตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมว่าชาช่าเกิดมาพร้อมธาตุทองคำเหมือนผม”

“รู้ตั้งแต่วันที่ชาช่าลืมตาดูโลกแล้ว ฉันอยู่ที่โรงพยาบาลตอนที่เด็กคนนั้นเกิดด้วย”

อัลตันทอดถอนใจ เขายังจำวินาทีที่เห็นรัศมีเรืองรองรอบตัวทารกน้อยในอ้อมแขนของมารดาได้ เด็กน้อยผู้แสนงดงามประดุจของขวัญจากเทงกรี เทพเจ้าแห่งท้องฟ้า ริมฝีปากแดงย้อยและแก้มยุ้ยน่ารักทำเอาเขาทั้งรักทั้งเอ็นดูพัดพารัดชาตั้งแต่แรกเห็น และเพราะรักนี่ละ เขาจึงอยากหาทางช่วยปกป้องคุ้มครองเด็กคนนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

“อ้อ รู้ตั้งแต่ตอนนั้นก็เลยจับจองให้มาหมั้นกับผมเหมือนจับคู่พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ม้าชั้นดีไว้ผลิตลูกขายว่าอย่างนั้นเถอะ” สีหน้าของเทียนหลางอาจเฉยเมย แต่ในน้ำเสียงอัดแน่นไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างไม่อาจเก็บงำไว้ได้มิดเม้น “ตกลงไอ้ที่เคยพูดว่าอยากให้หมั้นกันเพราะเป็นลูกสาวของเพื่อนรักน่ะโกหกทั้งเพใช่ไหม ปู่ก็แค่อยากได้ทายาทสืบสกุลที่โคตรพิเศษเหนือมนุษย์ทั่วไปไว้รองมือรองเท้าเท่านั้น”

ชายหนุ่มขบกรามแน่นจนแทบแตก มนุษย์ที่มีธาตุทองคำเป็นเหมือนภาชนะศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรองรับพลังเหนือธรรมชาติได้ทุกรูปแบบ ซารันเกเรลบรรพบุรุษต้นสายของตระกูลของเขาเป็นชาแมนหญิงหนึ่งเดียวที่เกิดมาพร้อมความพิเศษนั้น...พิเศษถึงขนาดที่ตั้งท้องมีทายาทกับกิเลนฟ้า สัตว์เทพในตำนานได้เชียวละ ตามปกติธรรมดาแล้วกายเนื้อของมนุษย์ทั่วไปไม่อาจก่อกำเนิดครรภ์พิสดารมีบุตรข้ามเผ่าพันธุ์ แต่หากมีธาตุทองคำที่ว่านี้ในกายย่อมเกิดความเป็นไปได้หลายอย่าง

และไอ้ความเป็นไปได้เฮงซวยก็เกิดขึ้นมาบนโลกเป็นลูกหลานของซารันเกเรลกับไอ้หลู่อย่างเขานี่อย่างไรเล่า แถมยังแบกรับความซวยสองเด้ง ทั้งได้ดวงเนตรกิเลนที่ไม่เคยปรากฏในทายาทรุ่นไหนมาก่อน ทั้งมีธาตุทองคำ...ไอ้ดวงตาเส็งเคร็งคู่นี้เขาไม่เคยปรารถนาเลยสักนิด!

“พ่อพันธุ์ชั้นดี? หลงตัวเองไปหน่อยมั้ง ไอ้เด็กเวร คนเฮงซวยอย่างแกใครเขาจะอยากให้ไปแปดเปื้อนวงศ์ตระกูลเขากันวะ”

อัลตันแค่นหัวเราะ เขาไม่โกรธคำพูดเสียดสีของหลานชายตัวดี ไม่เคยโกรธและจะไม่โกรธ ด้วยรู้ดีว่าที่ผ่านมาเจ้าตัวต้องเผชิญความทุกข์ทรมานแสนสาหัสมามากเพียงไหน 

“ถึงผมจะเป็นแค่สัตว์เลี้ยงของปู่ ก็น่าจะให้เครดิตผมหน่อยสิ” เทียนหลางก้าวยาวๆ ไปตามถนนขรุขระด้วยสีหน้าเหมือนอยากจะถล่มโลกทั้งใบให้ย่อยยับ “ถามจริง ลืมไอ้ศีลธรรมสวยหรูน่าคลื่นไส้ที่พร่ำพูดไปหมดแล้วหรือไงถึงได้คิดดึงคนบริสุทธิ์มารับเคราะห์เพิ่มอีก ปู่ก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าแม่ของผมทุกข์ทรมานใจขนาดไหนที่ต้องคลอดลูกอย่างผมออกมา แล้วทำไมถึงต้องให้ชาช่ามาเจอเรื่องแบบเดียวกันด้วย หรือปู่ยังคิดว่าผมเจ็บไม่พอ อยากให้ผมกับคนที่ผม...”

พูดตรงนี้ชายหนุ่มก็ชะงัก เขาเกือบหลุดปากออกไปแล้วว่า ‘คนที่ผมรัก’ ประโยคถัดมาจึงอยู่ในลำคอจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์

“ทำไมอยากให้ผมกับชาช่าต้องมาจมอยู่ในวังวนของละครสัตว์บ้าๆ นี่เหมือนพ่อกับแม่ด้วย”

“พูดจบแล้วใช่ไหม ถ้าจบแล้วฉันจะได้พูดบ้าง” คนเป็นปู่ทำเป็นหูทวนลมทั้งที่รับรู้ถึงความคับแค้นใจของอีกฝ่ายครบทุกคำ “ตอนที่ฉันรู้ว่าชาช่าเกิดมาพร้อมธาตุทองคำ ความรู้สึกแรกที่ลอยเข้ามาในหัวไม่ใช่ตื่นเต้นดีใจ แต่เป็นความกลัว ชาช่าเป็นคนธรรมดา ไม่มีสัมผัสพิเศษหรือพลังวิญญาณ ไม่สามารถซ่อนหรือควบคุมรัศมีไม่ให้คนอื่นเห็นได้ต่างกับแก หากผู้ใช้เวททั้งหลายรู้เข้าชีวิตย่อมตกอยู่ในอันตราย 

“ฉันบอกเรื่องนี้กับแบร์นาร์ แน่นอนว่าคนเป็นพ่อแท้ๆ ย่อมกลัวมากกว่าฉันไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า เราสองคนปรึกษากันว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้แม้แต่แม่ของชาช่า ฉันตัดสินใจใช้มนตร์บังตาซ่อนรัศมีทองคำเอาไว้ชั่วคราวเพราะชาช่ายังเล็กเกินกว่าที่จะใช้มนตร์ปิดผนึกได้ ร่างกายของเธอบอบบางเกินกว่าจะรับมนตร์ทรงพลังขนาดนั้นไหว 

“แต่อย่างที่แกรู้นั่นละว่ายิ่งเจ้าของธาตุทองคำโตขึ้นเท่าใด รัศมีก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นเท่านั้น แบร์นาร์ต้องพาชาช่าบินมามองโกเลียทุกปีเพื่อให้ฉันร่ายมนตร์กำกับให้ใหม่ เพื่อรอเวลาให้ชาช่าโตจนถึงอายุที่เหมาะสมจะใช้มนตร์ปิดผนึกได้”

“หมายความว่าดอกเตอร์เลอบลองก์ไม่ได้มาที่มองโกเลียเพื่อเขียนงานวิจัยถูกไหม”

ชายหนุ่มชะงักแล้วหันกลับไปมองร่างจิตของอัลตันตรงๆ...เขารู้ว่า แบร์นาร์ เลอบลองก์ เป็นเพื่อนต่างวัยของปู่มาตั้งแต่สมัยยังเป็นศาสตราจารย์หนุ่มไฟแรงจากปารีสแล้ว ก่อนที่เขาจะถูกส่งตัวมาอยู่กับปู่หลายปีทีเดียว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกแปลกแต่อย่างใดที่เห็นแบร์นาร์หอบลูกและภรรยามาฝังตัวทำงานวิจัยที่มองโกเลียครั้งละนานๆ จนแทบจะนับได้ว่าเป็นชาวมองโกลไปเสียแล้ว

“งานวิจัยคือข้ออ้างให้เขาพาชาช่ามาทำพิธีที่มองโกเลีย ฉันร่ายมนตร์บังตาให้สองสามปีจนกระทั่งมนตร์นั่นไม่อาจปกปิดธาตุทองคำได้อีกต่อไป ฉันจำเป็นต้องทำพิธีครั้งใหญ่ตอนที่ยายหนูชาช่าอายุ ๔ ขวบ โชคดีที่พิธีสำเร็จด้วยคำแนะนำของอาร์สลานที่ให้อัญเชิญเทพีโกอา มาราลมาช่วย ฉันเลยเสียพลังวิญญาณไปเพียงหนึ่งในสี่ ไม่อย่างนั้นฉันอาจตายไปแล้วก็ได้” อัลตันทำเหมือนเดินไปพร้อมกับหลานชาย แต่ฝ่าเท้าของเขาลอยอยู่เหนือพื้นราวครึ่งนิ้ว “ถึงครั้งนั้นฉันจะปิดผนึกได้สำเร็จ แต่ก็รับรองไม่ได้ว่าผนึกนั้นจะคงทนถาวร ไม่มีวันเสื่อม ฉันเองก็ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับชาช่าที่ฉันรักเหมือนหลานแท้ๆ ตอนที่ฉันจากโลกนี้ไปแล้วจะทำยังไง”

“ปู่ก็เลยใช้เป็นข้ออ้างจับชาช่ากับผมหมั้นกันว่าอย่างนั้นเถอะ คลาสสิกจริงจริ๊ง”

เทียนหลางอัดควันเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะดีดก้นบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ดับ

“ตอนนั้นมันก็ดูเป็นความคิดที่ดีที่สุดใช่ไหมล่ะ” อัลตันถอนใจ “แบร์นาร์กับฉันคิดเห็นพ้องกันว่าแกเป็นคนเดียวที่น่าจะเต็มใจปกป้องดูแลชาช่าไปตลอดชีวิต แต่ก็อย่างว่าละ ใครจะไปรู้ว่าแกโตขึ้นมาแล้วจะเป็นคนเฮงซวยขนาดนี้ แบร์นาร์ผิดหวังมากที่แกทิ้งน้องอย่างไม่ไยดี แต่ฉันกลับคิดว่าเป็นโชคดีของชาช่าแล้วที่หลุดพ้นจากแกไปได้”

สีหน้าผิดหวังเสียใจของแบร์นาร์ยังคงหลอกหลอนเขามาจนทุกวันนี้ แบร์นาร์เชื่อว่าเทียนหลางคือความหวังหนึ่งเดียวที่เขามี เป็นคนเดียวที่เขาวางใจให้ดูแลลูกสาวไปจนชั่วชีวิต 

“เออ ผมมันสารเลว เฮงซวย พอใจหรือยัง ย้ำอยู่ได้” ชาแมนหนุ่มจุดบุหรี่มวนใหม่ขึ้นสูบ “ปู่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าผมไม่ได้ทอดทิ้งชาช่า ผมทำเพื่อเธอ เธอจะมีชีวิตที่ดีกว่าถ้าไม่มีผม”

เขาไม่อยากทนเห็นเธอต้องมาร่วมทุกข์ทนเพราะชะตากรรมของเขา...

“แล้วชีวิตของชาช่าตอนนี้เรียกว่าดีกว่าเมื่อไม่มีแกหรือเปล่าล่ะ”

อัลตันหยุดยืนกุมหน้าอกของตนเองอยู่ครู่หนึ่ง กายทิพย์ของเขาสั่นไหวคล้ายจะเลือนหายราวเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับสู่สภาวะปกติ เทียนหลางมองออกในทันทีว่า ‘สภาวะปกติ’ ที่เห็นนั้นไม่ปกติเอาเสียเลย 

“ปู่เป็นอะไรหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้น”

“อัลตันผู้ยิ่งใหญ่อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อีกแล้วละมั้ง” ชาแมนเฒ่าหัวเราะเสียงแผ่ว “ร่างกายของฉันถดถอยมากแล้ว ช็อน ฉันไม่รู้ว่าจะอยู่โขกสับหลานชั่วอย่างแกไปได้ถึงเมื่อไหร่ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากให้ความปรารถนาสุดท้ายของฉันสัมฤทธิผล”

“ถ้าจะให้ผมมีหลานกับชาช่าไว้สืบสกุลละก็ โนเวย์นะปู่” ถึงจะห่วงปู่เพียงไหน แต่คนปากไวก็ไม่วายกวนประสาทไม่เลิก “ปู่ก็รู้ว่าผมไม่อยากให้มีเด็กแบบผมเกิดขึ้นมาบนโลกนี้อีกแล้ว”

“ตั้งแต่รู้ว่าแกสันดานเสียแค่ไหน ฉันก็ไม่คิดฝากฝังเด็กน่ารักอย่างชาช่าไว้กับแกอีกต่อไปแล้ว ฉันแค่อยากปกป้องชาช่าให้ปลอดภัยและมีชีวิตที่มีความสุขอย่างที่แบร์นาร์ฝากฝังไว้ ก่อนตายฉันอยากจะปิดผนึกธาตุทองคำให้สำเร็จ จากนั้นก็หาชาแมนดีๆ สักคนแต่งงานกับชาช่า ให้เขาดูแลเธอไปตลอดชีวิต ฉันจะได้หมดห่วงเสียที”

“หา? เดี๋ยวนะ นี่ปู่ยังคิดจะให้ชาช่าแต่งงานกับชาแมนอีกเหรอ” บ้าไปแล้ว! ที่เขายอมผลักไสเธอออกไปจากชีวิตก็เพราะอยากให้เธออยู่ห่างไกลจากโลกลี้ลับนี้ให้มากที่สุด ไม่ใช่โยนจากนรกหนึ่งไปยังนรกอีกแห่งหนึ่ง “ไม่ได้ ผมไม่มีวันยอมให้ปู่ทำแบบนั้นกับชาช่าเป็นอันขาด”

“ไม่ยอม? ทำไม เห็นยายหนูชาช่าสวยก็เลยหวงก้างขึ้นมาหรือไงช็อน แกถอนหมั้นน้องไปแล้วนะโว้ย ไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นเรื่องนี้” อัลตันพูดเสียงกลั้วหัวเราะ “สมมุติว่าครั้งนี้เราปิดผนึกธาตุทองคำสำเร็จก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตต่อจากนี้อีกสิบปีหรือยี่สิบปีผนึกจะไม่เสื่อมอีก ตอนนั้นฉันอาจไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ส่วนแกก็อาจจะไปมุดหัวสำเริงสำราญกับผู้หญิงอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วจะมีใครหน้าไหนปกป้องชาช่ากันเล่า ฉันก็ต้องหาชาแมนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนมาดูแลชาช่าสิถึงจะถูก”

“โธ่เว้ย ปู่! ถ้าผมรู้เรื่องธาตุทองคำบ้าๆ นี่ผมก็คงไม่...” เป็นอีกครั้งที่เทียนหลางเกือบหลุดปากพูดความรู้สึกที่มีต่อพัดพารัดชาออกไป

“ถ้ารู้จะไม่ถอนหมั้นอย่างนั้นเหรอ” อัลตันดักคอเสียจนชายหนุ่มได้แต่ยืนกำหมัดแน่น “แกรู้ไหมว่าเหตุผลที่ฉันให้แกหมั้นกับชาช่า ไม่ใช่แค่เพราะฉันอยากให้แกคอยปกป้องดูแลชาช่าหรอกนะ แต่เพราะชาช่าเป็นคนเดียวที่ทำให้แกยิ้มได้”

ฟังถึงตรงนี้เทียนหลางก็เงยหน้าขึ้นสบตากับผู้สูงวัยกว่าตรงๆ ความรู้สึกปวดแปลบกลางอกกวนตะกอนแห่งความทรงจำให้ลอยฟุ้งขึ้นมาอีกครา ความทรงจำหวานอมขมกลืนที่มีทั้งรอยยิ้มและคราบน้ำตา เขาคิดไม่ออกเลยว่าหากไม่มีมือน้อยๆ ของพัดพารัดชาคอยเกาะกุมมือของเขาไว้ในตอนนั้น เขาจะผ่านพ้นความปวดร้าวเมื่อครั้งวัยเยาว์มาได้อย่างไร

“ฟังฉันให้ดีนะช็อน ฉันรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับแกเมื่อตอนเด็กๆ มันโหดร้ายแค่ไหน แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าแกห่วงใยชาช่าจากใจจริงจนไม่อยากดึงเธอเข้ามาข้องเกี่ยวกับเส้นทางนี้ แต่ในทางกลับกัน แกจะแน่ใจได้ยังไงว่าคนอื่นจะจริงใจกับชาช่าหรือดูแลเธอได้ดีเท่าแก”

“ชาช่าจะต้องได้ใช้ชีวิตแบบคนปกติ และตราบใดที่ผมยังมีลมหายใจอยู่ ผมจะปกป้องเธอจากใครหรืออะไรก็ตามที่จะทำร้ายเธอ แต่ไม่ ผมจะไม่ดึงเธอลงมาอยู่ในนรกกับผมแน่ปู่”

ใช่ว่าเขาไม่เจ็บปวด ในใจของเขามีเสียงกู่ก้องร้องตะโกนอยู่แทบตลอดเวลาว่าเขาอยากยืนอยู่เคียงข้างพัดพารัดชาเพียงใด แต่เขาคงทำได้เพียงเป็นคนในเงามืดที่คอยติดตามคุ้มครองเธออยู่ห่างๆ เท่านั้น 

เป็นได้เท่านั้นจริงๆ...

“เอาอย่างนั้นก็ตามใจ” อัลตันผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก เขามองออกว่าความรู้สึกที่เทียนหลางมีต่อพัดพารัดชานั้นหยั่งรากลึกเกินกว่าที่ตาเห็น แต่จำต้องหักใจเพราะความยึดมั่นถือมั่นไม่รู้จักปล่อยวางของตนเอง “ถ้าอย่างนั้นฉันคงไม่ต้องห่วงความรู้สึกของแกเรื่องที่ชาช่าจะลืมแกอีกครั้งแล้วละนะ”

“ลืมผมอีกครั้ง?” เทียนหลางขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง”

“ก็หมายความตามนั้นทุกคำ” ชาแมนเฒ่ายิ้มเนือยๆ “ทุกครั้งที่ใช้มนตร์ปิดผนึกร่วมกับพลังของเทพีกวางเผือก โกอา มาราล ความทรงจำล่าสุดที่เกิดขึ้นในช่วงหกเดือนถึงหนึ่งปีก็อาจจะถูกผนึกไปด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่ชาช่าแทบไม่มีความทรงจำเรื่องที่เคยอยู่ที่มองโกเลียกับแกและฉันเหลืออยู่เลย”

“ไม่มีความทรงจำ...”

ชายหนุ่มปวดหน่วงๆ ที่อกข้างซ้ายขณะทวนคำพูดที่ทำให้เจ็บนั้นช้าๆ นี่คือสาเหตุที่พัดพารัดชามองเมินเขาตอนที่พบกันที่หลุมศพของแบร์นาร์อย่างนั้นหรือ...เธอไม่มีเขาหลงเหลืออยู่ในความทรงจำเลยสินะ

“ใช่ หลังจากใช้มนตร์ปิดผนึกธาตุทองคำแล้ว ชาช่าก็จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับฉันและแกรวมไปถึงมองโกเลียทั้งหมดอีกครั้ง และครั้งนี้แกก็จะได้เป็นคนแปลกหน้าของเธอเต็มรูปแบบสมใจแกละ ไอ้หลานเวร”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น