3

บทสวดที่ ๓

บทสวดที่ ๓

 

“มองโกเลีย?”

พัดพารัดชานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงนอน เรือนผมหยักศกสีน้ำตาลยุ่งเหยิงเพราะถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง ตาทั้งสองข้างยังลืมไม่ขึ้นเสียด้วยซ้ำ

“ใช่ ไปคืนพรุ่งนี้เลยนะลูก นี่แม่จัดกระเป๋าให้พลอยบางส่วนแล้ว พลอยจะเอาของใช้ส่วนตัวอะไรไปเพิ่มก็ดูเอา ส่วนพวกเสื้อขนเป็ดสำหรับอุณหภูมิติดลบสามสิบองศาขึ้นไป แม่โทร. ไปขอยืมน้าณีให้แล้ว ลูกสาวน้าณีเพิ่งกลับมาจากทริปดูแสงเหนือเมื่ออาทิตย์ก่อนพอดี ขาดเหลืออะไรก็ค่อยไปซื้อที่โน่นเอาก็แล้วกัน”

“หา?” มือที่กำลังยกขึ้นขยี้ตาชะงัก หญิงสาวแทบหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ดวงตาหรี่ปรือในคราแรกเบิกกว้างอย่างตื่นตกใจ “เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนนะคะคุณแม่ เราจะไปมองโกเลียคืนวันพรุ่งนี้เหรอคะ”

เธอมองไปยังพื้นที่ว่างกลางห้องนอนก็เห็นกระเป๋าเดินทางขนาดกลางเปิดอ้าอยู่หนึ่งใบ ด้านในมีเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้จำนวนหนึ่งจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

“เราที่ไหน พลอยไปคนเดียวต่างหากเล่าลูก”

พรประภาพูดโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตากับลูกสาวตรงๆ เธอเสทำเป็นหยิบเสื้อกันหนาวสีชมพูตัวเก่งของลูกขึ้นมาพับแล้ววางใส่กระเป๋าและตีสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด แม้จะรู้สึกโหวงๆ ในอกจนเกือบควบคุมอาการมือสั่นไม่อยู่แล้ว

“ไปคนเดียว?!” คราวนี้พัดพารัดชาร้องเสียงหลง เธอกระโจนลงจากเตียงมานั่งพับเพียบแต้อยู่ข้างๆ มารดาด้วยสีหน้าเหลอหลาเหมือนถูกหมัดอัปเปอร์คัตของนักมวยมืออาชีพเสยเข้าที่คางจนมึนตื้อไปหมด “นี่มันเรื่องอะไรกันคะคุณแม่ พลอยไม่เข้าใจ ทำไมพลอยถึงต้องไปมองโกเลียคนเดียวด้วย”

“ก็ไปเป็นตัวแทนของแม่ไงลูก” พรประภาลอบระบายลมหายใจยาว “พลอยจำคุณปู่อัลตันได้ไหม คนที่เป็นเพื่อนสนิทของคุณพ่อของเราน่ะ ตอนนี้เขาป่วยหนักมาก อาการไม่ดีเท่าไหร่ ญาติทางฝั่งนั้นติดต่อมาว่าคงเหลือเวลาอีกไม่มาก ถ้าไม่รีบไปตอนนี้คงไม่ทัน แต่แม่รับปากคุณน้าณีเรื่องตัดเสื้อไปงานวันเกิดท่านผู้ว่าไปแล้ว ต้องเสร็จในวันสองวันนี้ แม่ก็เลยยังไปเองไม่ได้ คงต้องให้พลอยบินไปก่อน แล้วแม่ค่อยตามไป”

“คุณปู่อัลตัน? ไม่คุ้นชื่อเลยค่ะ”

พัดพารัดชานึกหน้าเจ้าของชื่อแทบไม่ออกเลยสักนิด ความทรงจำสมัยเดินทางไปเยือนมองโกเลียสมัยยังเยาว์วัยนั้นเลือนรางมาก แน่ละ...ตอนนั้นเธออายุเพียงสามสี่ขวบ จะไปจำอะไรได้กันเล่า สิ่งเดียวที่พอจำได้ก็น่าจะเป็นได้นั่งตักใครสักคนขี่ม้าในทุ่งกว้างกระมัง

“เรานี่น้า คุณปู่อัลตันรู้เข้าเสียใจแย่ ท่านรักและเอ็นดูพลอยมากเลยนะลูก”

มากถึงขนาดจับคู่ให้หมั้นกับหลานชายหัวแก้วหัวแหวนทีเดียว แต่ก็อย่างว่าละ เป็นการหมั้นที่จบไปก่อนที่พัดพารัดชาจะรู้เสียอีกว่าตนเองถูกจับจองไว้ตั้งแต่ยังไม่รู้ความ เธอเองก็เห็นว่าเรื่องมันผ่านมานานมากแล้ว แถมยังเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ตกลงกันเองจึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องบอกลูก

“ก็พลอยจำคุณปู่คนที่ว่านี้ไม่ได้จริงๆ นี่คะ” พัดพารัดชารู้สึกผิดนิดๆ ที่จำอัลตันไม่ได้ แต่ไม่มากมายอะไรนัก “ไม่เอาหรอกค่ะ พลอยไม่ไปมองโกเลียคนเดียวแน่ พลอยจะรอไปพร้อมคุณแม่”

“ไม่ได้” พรประภาพูดเสียงเบา ทว่าจริงจังและหนักแน่นอย่างที่สุด “คุณปู่อัลตันถือเป็นผู้มีพระคุณของคุณพ่อเรานะ ถ้าไม่ได้ท่านช่วยเหลือ งานวิจัยของคุณพ่อก็คงไม่สำเร็จจนได้ตีพิมพ์แน่ๆ แถมยังเป็นงานเล่มที่ขายดีที่สุดของคุณพ่อด้วย แล้วก็เพราะเงินจากหนังสือเรื่องนี้ที่คุณพ่อแบ่งไว้ให้พวกเรานี่แหละ เราถึงได้มาเริ่มต้นตั้งหลักกันที่เมืองไทยได้ แบบนี้ก็เท่ากับคุณปู่อัลตันเป็นผู้มีพระคุณของเรากลายๆ ด้วยนะพลอย”

พัดพารัดชาฟังมารดาพูดแล้วนิ่งอึ้งไป นานหลายปีแล้วที่แม่ไม่เคยเอ่ยถึงพ่อเลยแม้แต่คำเดียว ไม่ว่าจะในแง่ดีหรือแง่ร้าย เธอเดาเอาว่าเป็นเพราะแม่ยังคงเจ็บปวดเสียใจเรื่องของพ่ออยู่ ทั้งเรื่องการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพ่อและเรื่องที่ถูกคู่ชีวิตหลอกลวงมาตั้งแต่วันแรกที่พบหน้ากัน เป็นความจริงที่แม่รู้อยู่แล้วว่าพ่อเคยมีลูกกับภรรยาเก่าที่เลิกรากันไปหลายปีก่อนหน้าที่จะพบรักใหม่กับแม่ ที่ไม่รู้ก็คือพวกเขายังไม่ได้หย่าร้างกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้แม่ของเธอกลายเป็น ‘บ้านเล็ก’ ไปโดยไม่รู้ตัว

และตอนที่ได้รู้ความจริง...หัวใจของแม่ก็แหลกสลาย

“เงินนั่นก็ไม่ได้มากมายอะไรเสียหน่อย” หญิงสาวหลุบตาลงมองมือที่ประสานกันอยู่บนตักของตนเอง “คุณพ่อแทบไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้พวกเราเป็นชิ้นเป็นอันด้วยซ้ำ”

“พลอย แม่บอกกี่ครั้งแล้ว...”

“ว่าอย่าพูดแบบนี้”

พัดพารัดชาต่อประโยคให้เสร็จสรรพ เรียวปากอิ่มเม้มแน่นอย่างพยายามข่มอารมณ์ เธอไม่เคยเกลียดพ่อ เพราะแม่คอยพร่ำพูดเสมอว่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพ่อกับแม่นั้นจะจบลงอย่างไม่สวยงามอย่างไรก็ช่าง แต่ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าความรักที่พวกท่านมีให้เธอนั้นจริงแท้อย่างไม่ต้องสงสัย 

เธอรู้ว่าพ่อรักเธอปานแก้วตาดวงใจ เธอเองก็รักท่านมากไม่ต่างกัน แต่จะให้ไม่รู้สึกขุ่นเคืองใจกับสิ่งที่ท่านทำเลยสักนิดจะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า...

“จะยังไงก็เถอะ พลอยจำอะไรเกี่ยวกับมองโกเลียแทบไม่ได้เลย จู่ๆ จะให้พลอยไปคนเดียวได้ยังไงกันคะ” หญิงสาวรีบเปลี่ยนเรื่องพูดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคำพูดของตนเองอาจกระทบจิตใจของคนฟังเข้า “มันฉุกละหุกเกินไป พลอยยังไม่ได้ตั้งตัวเลย ไหนจะต้องทำวีซ่า ไหนจะต้องไปเข้าค่ายอาสากับเพื่อนๆ อีก”

“พูดอะไรกัน คนไทยไปมองโกเลียไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าเสียหน่อย ยายเด็กคนนี้นี่เรียนหนังสือยังไงความรู้รอบตัวไม่มีเลย” พรประภาหยิกแก้มของลูกสาวเบาๆ อย่างเอ็นดู “แล้วไอ้กิจกรรมออกค่ายอาสาไปสอนหนังสือเด็กบนดอยน่ะ เว้นไว้สักครั้งสองครั้งคงไม่เป็นไรมั้งลูก ไหนๆ ก็สอบเสร็จแล้วด้วย ถือว่าเป็นการไปเที่ยวพักผ่อนหลังสอบก็ได้”

“เรามีเงินมากขนาดนั้นเสียที่ไหนกันล่ะคะ ค่าตั๋วเครื่องบินแพงจะตาย ไหนจะค่ากินค่าอยู่อีก”

พัดพารัดชามองดูมารดาปิดกระเป๋าให้ด้วยความรู้สึกโหวงๆ อยู่ในอก เมื่อก่อนตอนที่อยู่ปารีส พ่อเดินทางบ่อยมาก แม่จึงต้องรับหน้าที่จัดกระเป๋าให้เช่นนี้เสมอจนเรียกได้ว่าเป็นมือวางอันดับหนึ่งด้านนี้ไปแล้ว ทว่าตั้งแต่กลับมาอยู่เมืองไทย เธอก็ไม่เคยมีโอกาสเดินทางไกลข้ามประเทศไปไหนอีกเลย ที่เคยไปไกลที่สุดก็เป็นจังหวัดใกล้เคียงในภาคเหนือเท่านั้น

“เรื่องพวกนั้นไม่ต้องห่วงหรอก คุณปู่อัลตันจะจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้ทั้งหมด ส่วนที่พักก็อยู่กับคุณปู่นั่นละ ท่านจะดูแลพลอยเอง เดี๋ยวแม่ให้เงินค่าขนมเราติดตัวไปนิดๆ หน่อยๆ เผื่อซื้อของใช้ส่วนตัวก็น่าจะพอแล้ว”

“ดูแลพลอย?” หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “ไหนคุณแม่ว่าคุณปู่อัลตันป่วยไงคะ พลอยน่าจะต้องเป็นคนดูแลเขามากกว่าสิ แล้ว...ถ้าเขาป่วยขนาดนั้นก็น่าจะเก็บเงินไว้รักษาตัวมากกว่าเอามาซื้อตั๋วเครื่องบินให้เรา”

“คุณปู่อัลตันไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินเลย” พรประภายิ้มเจื่อน ที่จริงควรเรียกว่าเกินระดับมีกินมีใช้ไปมากโขเชียวละ “อย่างที่แม่บอกนั่นละลูก คุณปู่เอ็นดูพลอยจะตาย ท่านก็แค่อยากเจอหน้าพลอยก่อนที่อะไรๆ จะสายเกินไปเท่านั้น”

“ถ้าเอ็นดูพลอยขนาดนั้น ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่ชวนพลอยไปเที่ยวมองโกเลียหรือมาเยี่ยมพลอยที่นี่บ้างล่ะคะ คุณแม่ก็ไม่เคยพูดถึงคุณปู่คนนี้เลยสักคำ”

“นี่เราคิดว่าตัวเองเป็นสายสืบหรือไง ฮึ ช่างซักจริง” คนเป็นแม่แสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน “คุณปู่อัลตันน่ะติดต่อกับแม่อยู่เรื่อยๆ นั่นละ ท่านเคยชวนพวกเราไปอยู่ที่มองโกเลียด้วยกันตั้งหลายครั้ง แต่แม่ปฏิเสธไป”

แต่ครั้งนี้...คงปฏิเสธไม่ได้อีกแล้ว...

“ชวนไปอยู่ด้วยกันที่มองโกเลีย?” พัดพารัดชาแทบไม่เชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยิน คุณปู่อัลตันคนที่ว่านี้ต้องสนิทกับพ่อของเธอขนาดไหนกันนะ ถึงได้เอ่ยปากเชิญให้แม่กับเธอไปอยู่ด้วย “ทำไมคุณแม่ไม่เคยเล่าให้พลอยฟังเลย”

“ก็มันไม่มีอะไรต้องเล่านี่ลูก แม่ไม่เคยคิดอยากไปรบกวนคุณปู่อัลตันถึงที่โน่นอยู่แล้ว เราสองคนแม่ลูกอยู่กันเองก็พอไหวไม่ใช่หรือไง” พรประภาเอื้อมมือไปลูบศีรษะของลูกสาวอย่างรักใคร่ เธอพยายามเก็บซ่อนความกังวลไว้ใต้รอยยิ้มนุ่มนวลเช่นทุกที “ฟังแม่นะพลอย คุณปู่อัลตันเป็นคนดีมาก ท่านมีน้ำใจให้ครอบครัวของเราเสมอมา ถึงไม่ได้เจอหน้ากันก็ไม่เคยลืมเราเลย แม่เสียอีกที่แทบไม่เคยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของท่านเท่าที่ควร ครั้งนี้ท่านป่วยหนัก แม่ก็ดันมาติดงานสำคัญอีก ถ้าพลอยไม่ไปเป็นตัวแทนของแม่ครั้งนี้ แม่ก็คงไม่มีโอกาสได้ตอบแทนน้ำใจของท่านแล้ว”

“คุณแม่พูดแบบนี้กะไม่ให้พลอยปฏิเสธเลยใช่ไหมคะ” หญิงสาวทำหน้ายุ่ง “คุณแม่ไม่ห่วงพลอยบ้างเหรอคะ จะให้พลอยไปมองโกเลียคนเดียวทั้งที่ไม่รู้จักใครเลยได้ยังไง”

“พูดเหมือนเราเป็นคนขี้กลัวอย่างนั้นละ เราน่ะแสบอย่างกับอะไร” พรประภาหัวเราะเสียงแผ่วด้วยรู้ว่าพัดพารัดชาเริ่มคล้อยตามแล้ว ถึงจะเป็นเด็กดื้อรั้นจนน่าหยิกในบางครั้ง แต่โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา เรียกว่าติดจะขี้สงสารเสียด้วยซ้ำไป “ถ้าขี้กลัวจริงๆ จะกล้ารับของขวัญมาจากคนแปลกหน้าแบบนี้เหรอ”

เธอเลื่อนมือลงมาช้อนจี้กิเลนที่หญิงสาวสวมติดคอมานานแรมเดือน หยกแกะสลักชิ้นนี้ให้ความรู้สึกพิเศษอย่างที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ สงบเยือกเย็น ทว่าทำให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างน่าประหลาด...ตอนแรกที่พัดพารัดชานำจี้หยกมาให้ดูพร้อมบอกว่าญาตาวีกับแฟนหนุ่มให้มาเป็นของขวัญ คนเป็นแม่ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก คนเราไม่ควรรับของขวัญจากใครมาเปล่าๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของมีราคาสูงเช่นนี้ แต่เมื่อโทรศัพท์กลับไปสอบถามญาตาวีแล้วเจ้าตัวยืนยันหนักแน่นว่าต้องการให้จี้หยกเป็นของขวัญแก่พัดพารัดชาจริงๆ หากไม่รับไว้จะเสียใจมาก เธอจึงต้องยอมเลยตามเลยไปด้วย

ว่าก็ว่าเถอะ ทำไมญาตาวีถึงให้ของขวัญราคาแพงแก่คนที่แทบไม่รู้จักกันเลยเช่นนี้เล่า...

“แหม...มันเหมือนกันเสียที่ไหนเล่าคะ”

พัดพารัดชาทำปากยื่นอย่างแสนงอน เธอรีบดึงจี้หยกคืนมาจากมารดาแล้วเก็บเข้าไปในคอเสื้อยืดอย่างรวดเร็วด้วยกลัวว่าจะถูกสั่งให้นำกลับไปคืนที่ร้าน...ตั้งแต่ได้รับจี้กิเลนชิ้นนี้มา หญิงสาวก็สวมมันติดตัวไว้แทบจะตลอดเวลา ไม่ใช่แค่เพราะมันเป็นของมีราคาหรือว่าสวยงามถูกใจ แต่เพราะรู้สึกเหมือนได้รับการปกป้องคุ้มครองจากมันอยู่เสมอ แถมยังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเธอติดๆ กันบ่อยครั้ง แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างรอดจากอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนก็ตามที

“เอาเถอะ อย่ามัวพูดมากอยู่เลย รีบลุกไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว เดี๋ยวแม่จะไปซื้อกับข้าวที่ตลาด พลอยก็ลองเช็กข้าวของดูเอาก็แล้วกันว่าขาดเหลืออะไรบ้าง เรายังพอมีเวลา อยากได้อะไรจะได้ไปซื้อเพิ่มเติมได้”

พรประภาทำอาหารไม่เก่ง ไม่ว่าจะไทยหรือเทศก็ทำไม่ได้เรื่องทั้งสิ้น ดังนั้นอาหารสำเร็จรูปในซูเปอร์มาร์เกตหรือแกงถุงตามตลาดจึงเป็นทางออกที่ง่ายที่สุดแถมยังประหยัดเวลาอีกด้วย

“พลอยยังไม่ได้รับปากว่าจะไปสักคำ” พัดพารัดชาทำหน้าม่อย รู้ในทันทีว่าถูกมัดมือชกเสียแล้ว

“แม่ก็ไม่ได้บอกว่าอนุญาตให้เราปฏิเสธได้นี่” พรประภาดีดจมูกของหญิงสาวเบาๆ “ไปเยี่ยมคุณปู่อัลตันให้แม่หน่อยนะพลอย ถือว่าแม่ขอก็แล้วกัน ทำเพื่อแม่สักครั้งนะลูก”

“คุณแม่...” หญิงสาวพูดไม่ออก ไม่บ่อยครั้งนักที่มารดาจะใช้ท่าทางและน้ำเสียงเช่นนี้กับเธอ ดูเหมือนคุณปู่อัลตันคนนี้คงเคยมีความสำคัญสำหรับแม่ไม่น้อย “โอเคค่ะ พลอยไปก็ได้ แต่คุณแม่ต้องสัญญานะคะว่าจะรีบตามไป ไม่ใช่ปล่อยให้พลอยไปนั่งหงอยอยู่ที่โน่นคนเดียว”

สุดท้ายเธอก็ต้องยอมจำนนอย่างไม่มีทางเลือก ตอนนี้สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนจัดกระเป๋าคือหาวิธีพูดกับเพื่อนๆ อย่างไรไม่ให้งอนเรื่องที่เธอไม่ได้ไปออกค่ายด้วยกัน

“หงอยคนเดียวที่ไหนกันเล่าลูก เดี๋ยวหลานชายของคุณปู่อัลตันก็จะมารับพลอยที่นี่แล้วบินไปมองโกเลียด้วยกัน พลอยไม่เหงาแน่ ตอนเด็กๆ สนิทกันอย่างกับอะไร ตัวติดกันเป็นตังเมเลย”

“หลานชาย?” พัดพารัดชาทำหน้างง “คุณปู่อัลตัน...พลอยยังจำไม่ได้เลย นี่มีหลานชายโผล่มาอีกคนเหรอคะ”

“ช็อนไง จำไม่ได้อีกละสิ” พรประภาส่ายหน้าอย่างระอาใจ “คนที่พลอยบอกว่าโตขึ้นแล้วอยากเป็นเจ้าบ่าวให้เขาไงลูก”

“พลอยเป็นผู้หญิงนะคะคุณแม่ ทำไมต้องอยากเจ้าบ่าวให้ผู้ชายด้วยล่ะคะ” หญิงสาวหัวเราะ 

“ตอนเด็กๆ น่ะ ช็อนเป็นเด็กผู้ชายที่สวยกว่าเด็กผู้หญิงอีกจ้ะ” ดวงตาของพรประภาหม่นแสงลงยามนึกถึงอดีตอันไม่หวนคืน “สวยจนพลอยเข้าใจว่าเขาเป็นเด็กผู้หญิงด้วยซ้ำ พลอยติดเขามากนะ บอกอยู่นั่นละว่าโตขึ้นจะเป็นเจ้าบ่าว จะปกป้องไม่ให้ใครรังแกเขา แม่กับพ่อน่ะขำจะแย่”

“มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอคะ จำไม่เห็นได้เลยค่ะ”

พัดพารัดชาพยายามนึกเท่าใดก็นึกไม่ออกว่า ‘คนสวย’ ที่มารดากำลังพูดถึงอยู่นี้มีรูปร่างหน้าตาแบบไหน เหมือนมีเมฆหมอกบดบังไว้ไม่ยอมให้เธอเห็นใบหน้าของเขา

“เดี๋ยวพรุ่งนี้เขามาพลอยก็จำเขาได้เองนั่นละลูก” พรประภาหยัดกายขึ้นยืน “ไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว เดี๋ยวแม่จะไปตลาดก่อน สายกว่านี้น้ำเต้าหู้ร้านโปรดของพลอยก็ขายหมดกันพอดี ยิ่งขายดีอย่างกับแจกอยู่”

พูดจบเจ้าของมือแสนอบอุ่นก็ลูบศีรษะของลูกสาวเบาๆ แล้วเดินออกจากห้องไป พัดพารัดชามองกระเป๋าเดินทางที่จัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วได้แต่นั่งอึ้ง ทั้งงุนงงและสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะตั้งสติได้ แล้วไปอาบน้ำชำระร่างกายตามที่มารดาบอก

กิ๊งก่อง...

พัดพารัดชายังไม่ทันซับน้ำจากผิวกายให้แห้งดี เสียงกริ่งก็ดังขึ้น หญิงสาวรีบคว้าเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นจากตู้มาสวมทับเนื้อตัวที่ยังเปียกชื้นลวกๆ พลางมองผ่านผ้าม่านโปร่งบางของหน้าต่างห้องนอนไปยังรั้วไม้เตี้ยๆ ด้านหน้าบ้าน แต่กลับเห็นเพียงเงาคนรางๆ มองไม่ชัดว่าเป็นใคร

“หรือว่าคุณแม่ลืมกุญแจบ้าน”

เธอพึมพำพลางวิ่งลงบันไดจากชั้นสองตรงไปยังประตูบ้าน แต่ยังไม่ทันจะแตะลูกบิดทองเหลืองก็มีมือขาวจัดเอื้อมมาคว้าข้อมือของเธอเอาไว้เสียก่อนทำเอาเธอสะดุ้งสุดตัว

“อย่าเปิด อันตราย”

หญิงสาวหมุนตัวกลับไปหาเจ้าของเสียงทันควัน แต่ยังไม่ทันได้มองหน้าของเขาชัดๆ ร่างระหงก็ถูกดันเข้าไปในช่องว่างแคบๆ ระหว่างผนังห้องรับแขกกับห้องครัวที่มีไว้สำหรับเก็บของ เพียงเธอเผยอปากจะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ฝ่ามือร้อนจัดก็ตะปบริมฝีปากของเธอเอาไว้แน่น

“อย่าเพิ่งส่งเสียงนะชาช่า เดี๋ยวพวกมันได้ยิน”

พัดพารัดชาตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนด้วยชื่อเล่นที่ไม่มีใครเรียกนานแล้วนับตั้งแต่บิดาเสียชีวิตไป ตัวของเธอสั่นระริกยามเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มแปลกหน้า ทั้งตกใจ ทั้งหวาดกลัวจนแทบบ้า แต่เมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าอมม่วงราวดอกพยับหมอกของคนตรงหน้า ความรู้สึกก่อนหน้านั้นกลับค่อยๆ สงบรำงับลงอย่างน่าอัศจรรย์

ช่างเป็นดวงตาที่งามประหลาดเหลือเกิน...

“หายใจไม่ออกเหรอ” ชายหนุ่มคลายมือออกนิดหนึ่งเมื่อเห็นว่าเนื้อตัวที่แนบชิดกันอยู่สั่นนิดๆ “ฉันจะปล่อยมือ แต่เธอต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ร้องโวยวาย เข้าใจไหม”

หญิงสาวพยักหน้าช้าๆ เหมือนเพิ่งหลุดออกมาจากห้วงภวังค์ เธอเพิ่งรู้ตัวในตอนนั้นเองว่าเขาพูดกับเธอเป็นภาษาฝรั่งเศสด้วยสำเนียงที่ไพเราะราวกับเจ้าของภาษาจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเขาเป็นคนเอเชียดังที่เห็น ที่จริงเธอไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนเอเชียแท้ๆ หรือไม่ เพราะสีดวงตาของเขาแตกต่างจากคนเอเชียทั่วไป แต่ใบหน้างดงามราวกับภาพศิลป์ของเขาไม่มีส่วนใดที่ดูเหมือนมีเชื้อชาติทางตะวันตกหรือแขกเจือปนอยู่เลยแม้แต่น้อย 

เขาเหมือน...ภาพวาดของสาวงามจากพู่กันจีนที่ศิลปินจงใจแต้มสีฟ้าอมม่วง แทนภาพสะท้อนของมวลบุปผาไว้ในดวงตายาวเรียวตวัดเฉียงคู่นี้

“คุณ...เป็นใคร...”

คำถามแรกที่หลุดออกมาทันทีที่ริมฝีปากเป็นอิสระทำเอาชายหนุ่มหน้าตึงขึ้นทันตา ริมฝีปากได้รูปเม้มนิดๆ อย่างพยายามข่มอารมณ์ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังแข็งกร้าวขึ้นหนึ่งระดับ

“เทียนหลาง แม่ของเธอคงบอกแล้วใช่ไหมว่าฉันจะมารับเธอไปขึ้นเครื่อง”

“อะ...เอ่อ...” พัดพารัดชาพูดไม่เป็นคำ แม้เขาจะปล่อยมือจากริมฝีปากของเธอแล้ว แต่ท่อนแขนแข็งแรงอีกข้างยังคงโอบรัดอยู่รอบเอวของเธอแนบแน่นเสียจนร่างกายด้านหน้าแทบจมหายเข้าไปอยู่ในแผงอกของเขา “คุณ...คุณแม่บอกว่าคนชื่อช็อนจะมารับ...”

“ก็ฉันนี่ละช็อน”

เทียนหลางกระซิบแล้วกระชับวงแขนแน่นมากเข้าไปอีก เนื้อตัวนุ่มนิ่มที่แนบสนิทอยู่กับตัวเขาทำให้รู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจอย่างประหลาด เขาหลับตาสูดกลิ่นหอมหวานที่ลอยกรุ่นจากกายของหญิงสาว เธอยังคงใช้เจลอาบน้ำกลิ่นดอกไลแลคเหมือนเคย

ไลแลค...ดอกไม้ซึ่งเป็นตัวแทนของรักแรก

ให้ตาย...ผ่านมา ๗ ปีแล้ว เขาก็ยังไม่อาจตัดใจจากใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาของเธอได้เลย...

เขายังคงรู้สึกเช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยน

ชาช่า...รักแรกของเขา

“เอ๊ะ...แต่เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณชื่อเทียนหลาง...”

“ชู่...” ชายหนุ่มยกนิ้วชี้ขึ้นทาบริมฝีปากอิ่มเต็มของหญิงสาว ดวงตาของเขาหรี่ลงนิดๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินวนเวียนอยู่รอบตัวบ้าน “ตรงนี้เป็นมุมอับ คนข้างนอกคงมองเข้ามาไม่เห็นแน่”

“นี่...นี่มันเรื่องอะไรกันคะ...” พัดพารัดชามองข้ามไหล่ของเขาไปยังหน้าต่างครัวก็เห็นเงาคนขยับวูบไหวอยู่ด้านนอก “แล้วข้างนอกนั่นใคร ทำไมคุณถึงได้บอกว่าอันตราย”

“ถ้ายังไม่อยากตายก็เงียบก่อน” ริมฝีปากชุ่มฉ่ำที่ขยับพูดชิดปลายนิ้วชี้นั้นทำเอาเขาต้องรีบชักมือหนีราวถูกนาบด้วยถ่านร้อนๆ “อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ เดี๋ยวจะอธิบายทีหลัง”

“ตะ...ตาย...”

หญิงสาวหน้าซีด เธอตั้งท่าจะถามต่อ แต่ต้องรีบหุบปากฉับเมื่อเห็นเทียนหลางขึงตาดุใส่ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแจ็กเกตยีนสีดำแล้วหยิบตุ๊กตารูปร่างหน้าตาพิลึกออกมาถือไว้ มันมีขนาดใหญ่ไม่เกินฝ่ามือและตัดเย็บจากหนังสัตว์สีน้ำตาลที่มองเผินๆ อาจดูเหมือนตุ๊กตาขนมปังขิงในเวอร์ชันสยองขวัญ ดวงตาทั้งสองข้างเป็นกระดุมสีดำเก่าๆ เย็บติดกับส่วนที่เป็นใบหน้าด้วยเส้นเอ็นของกวางแบบลวกๆ ไม่ประณีตนัก

พัดพารัดชากะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง นี่เขาพกของน่าเกลียดแบบนี้ติดตัวด้วยหรือ อย่าบอกนะว่าคิดจะเล่นตุ๊กตาตอนนี้ ความคิดของหญิงสาวยังไม่ทันขาดห้วง ชายหนุ่มก็โยนมันลงบนพื้น

“กำบัง”

เขาเอ่ยสั้นๆ ด้วยภาษาที่หญิงสาวไม่เข้าใจ เพียงครู่เดียวตุ๊กตาหน้าตาพิลึกก็ขยับลุกขึ้นยืนได้เองราวมีชีวิต มันเดินไปข้างหน้าสองก้าวแล้วอ้าปากกว้างปล่อยลำแสงสีขาวให้พวยพุ่งออกมาจากปาก แสงนั้นเจิดจ้าประหนึ่งติดสปอตไลต์อย่างไรอย่างนั้น

“นี่...นี่...ตัวอะไร ตุ๊กตาใส่ถ่านเหรอคะ”

รู้ว่าที่ถามไปนั้นโง่มากแค่ไหน แต่จะให้คิดว่ามันมีชีวิต ขยับได้เองหรือไงเล่า!

“นั่นคือผู้ช่วย” คำตอบของเขาสั้นและแทบไม่อธิบายใดๆ เลย

“ผะ...ผู้ช่วย?”

พัดพารัดชาทำหน้าเหลอหลา แต่ชายหนุ่มไม่สนใจที่จะไขความกระจ่างใดๆ ทั้งสิ้น เขาคว้าข้อมือของเธอแล้วดึงให้ออกเดิน

“เรามีเวลาไม่มาก พาสปอร์ตอยู่ที่ไหน รีบไปหยิบมาเร็วเข้า เราต้องเดินทางกันเดี๋ยวนี้เลย”

“หา! เดินทางเดี๋ยวนี้?” หญิงสาวพยายามแกะมือของเขาออกจากข้อมือ แต่ไม่เป็นผล เห็นนิ้วเรียวสวยราวลำเทียนแบบนี้ ไม่คิดเลยว่าจะแข็งแรงราวกรงเล็บเหล็กไม่มีผิด เธอจึงต้องเปลี่ยนมาจิกเท้ากับพื้นปาร์เกต์ขัดมันแทน “เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนค่ะ เราต้องเดินทางกันคืนวันพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอคะ”

“เปลี่ยนแผนแล้ว” เทียนหลางตอบด้วยน้ำเสียงติดรำคาญนิดๆ เขากระตุกมือเพียงนิดเดียว ร่างบางระหงก็แทบจะปลิวตามแรงเขาไปอย่างง่ายดาย “ห้องเธออยู่ชั้นบนใช่ไหม จะหยิบอะไรก็รีบหยิบ”

เขาดึงหญิงสาวให้เดินตรงไปยังบันไดโดยไม่สนใจอาการดิ้นรนของเธอแม้แต่น้อย

“เรา...เรายังไปไม่ได้ ฉันหมายถึง...เราควรรอคุณแม่กลับมาก่อน...”

ถึงเขาจะบอกว่าตนเองคือช็อน คนที่มารดาบอกว่าจะมารับเธอไปมองโกเลียด้วยกัน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็โผล่พรวดพราดเข้ามาในบ้านแต่เช้าตรู่พร้อมตุ๊กตาผีใส่ถ่าน จะให้เธอเชื่อใจเขาง่ายๆ ได้อย่างไรกันเล่า อย่างน้อยก็ต้องรอให้คุณแม่มายืนยันก่อนว่าเขาคือช็อนตัวจริง ไม่ใช่คนร้ายหรือว่าคนบ้า!

“คุณแม่ของเธอไม่กลับมาที่นี่แล้ว” เทียนหลางลากพัดพารัดชาถูลู่ถูกังขึ้นบันไดบ้านไปได้ในที่สุด “คนของปู่...ฉันหมายถึงท่านอัลตันพาตัวไปไว้ในที่ปลอดภัยเรียบร้อย เธอไม่ต้องเป็นห่วง”

“ไม่กลับมาที่นี่แล้ว?” ใบหน้าของหญิงสาวเผือดสีจนไร้สีเลือด “ไม่จริง...คุณแม่ไม่มีทางไปไหนโดยไม่บอกฉันก่อนแน่ ไม่...ฉันไม่ไปกับคุณ!”

เธอรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีสะบัดจนหลุดจากการเกาะกุมของชายหนุ่ม แล้ววิ่งจ้ำพรวดนำหน้าขึ้นบันไดไปก่อน จุดหมายของเธออยู่ที่ห้องนอน โทรศัพท์มือถือของเธออยู่ในนั้น เธอต้องล็อกห้องแล้วโทรศัพท์เรียกตำรวจเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยต่อสายหามารดาเพื่อเตือนให้ไปอยู่ที่สถานีตำรวจก่อน อย่าเพิ่งกลับมาที่บ้าน

“ชาช่า!”

เสียงคำรามดังขึ้นจากเบื้องหลังพร้อมกับวงแขนแข็งแรงรวบเอวบางเอาไว้แล้วยกขึ้นจนปลายเท้าลอยขึ้นจากพื้น มิไยที่พัดพารัดชาจะดิ้นพราด ไม่ยอมตกอยู่ใต้อาณัติของคนแปลกหน้าง่ายๆ เธอทั้งทุบทั้งถองคนที่อยู่ด้านหลังสุดกำลัง แต่ยิ่งทุบเขาก็ยิ่งกอดรัดแน่นเข้า แถมยังใช้ฝ่าเท้ากระแทกบานประตูดังโครมจนลูกบิดหลุดกระเด็นแล้วพาเธอเข้าไปในห้องนอน

“เลิกบ้าได้แล้ว! คิดว่าเรามีเวลาเหลือเฟือนักหรือไง!”

เทียนหลางโยนคนในอ้อมแขนลงบนเตียงอย่างไม่ออมแรงเลยสักนิด เล่นเอาหญิงสาวจุกจนพูดไม่ออก ถึงกระนั้นเธอก็ยังคลานหนีไปนั่งคู้ตัวซุกอยู่กับหัวเตียง 

“คุณ...คุณ...เป็นใครกันแน่ พวกคนข้างนอกนั่นด้วย” เสียงของเธอสั่นเทาพอๆ กับร่างกาย เธอพยายามกวาดตามองหาโทรศัพท์มือถือก่อนจะพบว่ามันอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือใกล้ๆ กับผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ จบกัน! “แล้ว...แล้วคุณทำอะไรกับแม่ของฉัน แม่...แม่ของฉันอยู่ที่ไหน”

เพียงแค่คิดว่ามารดาอาจกำลังตกอยู่ในอันตรายไม่ต่างกัน ขอบตาทั้งสองข้างก็ร้อนผ่าว เพียงวินาทีถัดมาน้ำตาก็เริ่มไหลลงมาอย่างสุดที่จะกลั้นเอาไว้ได้

“ร้องทำไมกัน ยายเด็กขี้แย ก็บอกแล้วไงว่าแม่ของเธอปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง”

เทียนหลางมองดวงหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาของหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกสับสนวุ่นวายใจ...เธอสวยกว่าในรูปถ่ายที่เห็นในวันนั้นมาก...มากจนไม่รู้ว่าควรใช้ถ้อยคำใดอรรถาธิบายความงามของหยาดน้ำตาที่กลิ้งลงมาอาบแก้มของเธอได้ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนเต้นระริกด้วยความหวาดกลัวยามช้อนขึ้นมองเขา กลีบปากแดงอิ่มสั่นและเผยอขึ้นน้อยๆ คล้ายจะเอื้อนเอ่ยบางสิ่ง ทว่าไม่มีแม้แต่เสียงที่เบาที่สุดเล็ดลอดออกมา

วูบหนึ่งความคิดบ้าๆ ก็บังเกิดขึ้นในเบื้องลึกของจิตใจ เขาอยากลักพาตัวเธอไปเสียเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แค่เพียงหนีจากไอ้เศรษฐีบ้าอย่างหลินเจิ้งหู่ แต่หนีจากสายตาของผู้ชายทุกคนในโลก หากทำได้ เขาจะซ่อนเธอไว้ที่สุดขอบจักรวาล ไม่ให้ใครหน้าไหนได้มีโอกาสเห็นดวงตางดงามของนางกวางขี้ตื่นตัวนี้อีกเลย

“ฉัน...ฉันไม่เชื่อ...” พัดพารัดชาทำหน้าเหยเก “ฉันไม่มีทางเชื่อจนกว่าจะได้คุยกับแม่ก่อน”

“เรื่องมากจริ๊ง” เทียนหลางแสร้งทำเป็นแยกเขี้ยวทั้งที่เสียงอ่อนลงมากแล้วโดยไม่รู้ตัว เขาหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงยีนด้านหลังออกมากดปุ่มโทร. ด่วนแล้วพูดภาษามองโกเลียสั้นๆ อยู่สองสามประโยค ก่อนจะกดเปิดลำโพงแล้วหันไปทางหญิงสาว “คุณป้าครับ ช่วยพูดกับชาช่าที เธอไม่ยอมไปกับผม ตอนนี้ไอ้พวกนั้นเข้ามาในรั้วบ้านแล้ว ถ้าไม่ไปตอนนี้ได้บรรลัยแน่”

“พลอย ได้ยินแม่ไหมลูก”

“คุณแม่!” ทันทีที่ได้ยินเสียงมารดา พัดพารัดชาก็กระโจนพรวดจากเตียงไปยืนตรงหน้าของชายหนุ่มทั้งที่น้ำตายังนองหน้า “คุณแม่อยู่ที่ไหน แล้วนี่มันเรื่องอะไรกันคะ”

“แม่ไม่มีเวลาอธิบายแล้วลูก พลอยฟังนะลูก คนที่อยู่กับพลอยตอนนี้คือช็อนที่แม่บอกว่าจะมารับลูก พลอยไปกับเขานะ ไม่ต้องกลัว อยู่กับเขา พลอยจะปลอดภัย”

“เรื่องนั้น...พลอยไม่ค่อยแน่ใจเลยค่ะ” เธอเหลือบตามองใบหน้าถมึงทึงของเจ้าของโทรศัพท์นิดหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าเขาคงไม่เข้าใจภาษาไทยแน่ๆ แล้วจึงพูดต่อ “นี่...นี่เขาบังคับให้คุณแม่พูดแบบนี้หรือเปล่าคะ หรือว่า...มีคนทำร้ายคุณแม่...”

เธอจินตนาการเหลวไหลไปถึงขนาดว่ามีคนจ่อปืนสั่งให้แม่พูดอย่างที่ต้องการเสียด้วยซ้ำไป

“ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกลูก แม่ปลอดภัยดี” เสียงของพรประภาสั่นนิดๆ คล้ายพยายามกลั้นสะอื้น “เอาไว้เราค่อยคุยกันต่อทีหลัง ตอนนี้พลอยต้องรีบออกจากบ้านก่อน”

“แต่...แต่พลอยไม่เข้าใจเลย นี่มันเรื่องอะไรกันคะ พลอยงงไปหมดแล้ว”

“อีกเดี๋ยวก็จะเข้าใจ” พรประภาถอนใจ “จำเอาไว้นะลูก ในโลกนี้นอกจากแม่แล้ว คนที่เชื่อถือได้ก็มีแค่คุณปู่อัลตันกับช็อนเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ไม่มีใครไว้ใจได้ทั้งสิ้น”

เป็นอีกครั้งที่พัดพารัดชาต้องเงยหน้าขึ้นมองคนที่มารดาบอกว่า ‘ไว้ใจได้’ อย่างไม่ค่อยเชื่อถือเท่าใดนัก

“แต่...” หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นอย่างลังเล

“ไม่มีแต่” เสียงของพรประภาเข้มขึ้น “ตอนนี้ชีวิตของพลอยตกอยู่ในอันตรายมากกว่าที่ลูกคิด ดังนั้นอย่าไว้ใจใครเป็นอันขาด แม้แต่เพื่อนๆ ของเราเอง”

“เพื่อนๆ? คุณแม่หมายความว่ายังไงคะ”

พัดพารัดชาทำท่าจะคว้าโทรศัพท์มือถือจากมือของชายหนุ่ม แต่เขาหมุนตัวหนีแล้วกดตัดสายไปเสียเฉยๆ

“หมดเวลา”

“คุณ! ฉันยังพูดกับแม่ไม่จบเลยนะ”

“จะตายอยู่รอมร่อแล้วยังจะพิรี้พิไรอะไรอีก” เทียนหลางทำหน้าเมื่อย “เราต้องไปกันแล้ว หยิบพาสปอร์ตมาแค่อย่างเดียวก็พอ อย่างอื่นไม่ต้อง เกะกะ เดี๋ยวค่อยไปหาซื้อเอาข้างหน้า เร็วสิ ยืนบื้ออะไรอยู่เล่า!”

หญิงสาวสะดุ้งเมื่อโดนเขาเอ็ดเสียงดุ เธอรีบเปิดลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ หยิบพาสปอร์ตมาใส่ย่ามไหมพรมสีรุ้งใบเก่ง จากนั้นจึงคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่กลับถูกชายหนุ่มแย่งไปเสียก่อน

“โทรศัพท์มือถือไม่ต้องเอาไป เดี๋ยวถูกแกะรอย”

“แต่...แต่ฉันต้องติดต่อคุณแม่...”

แกะรอย? เขาพูดอะไรของเขา ทำอย่างกับหนังสายลับไปได้

“เอาไว้ถึงสนามบินแล้วฉันค่อยต่อสายให้คุยกับแม่ของเธอยาวๆ ก็แล้วกัน” เทียนหลางโยนโทรศัพท์ของพัดพารัดชาเก็บใส่ลิ้นชักแล้วล็อกกุญแจหน้าตาเฉย “ทำหน้าแบบนั้นทำไม หรือว่าอยากจะโทร. บอกลาคนรักก่อน เราไม่มีเวลาทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นหรอกนะ”

“ฉัน...ฉันไม่มีคนรักเสียหน่อย” เธอมัวแต่จมอยู่ในความสับสนวุ่นวายใจจนไม่ทันได้เห็นประกายวิบวับในดวงตาของชายหนุ่ม “ฉัน...งงไปหมดแล้วจริงๆ”

“ไม่มีอะไรต้องงงนี่” เทียนหลางเอื้อมมือไปปาดคราบน้ำตาบนแก้มของหญิงสาวอย่างนุ่มนวล “รู้ไว้แค่ว่าต่อจากนี้ไป ฉันจะปกป้องเธอเป็นอย่างดีที่สุดก็พอ”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น