9

บทสวดที่ ๙


 

บทสวดที่ ๙

 

“ขึ้นรถ”

เทียนหลางเปิดประตูแล้วดันพัดพารัดชาขึ้นไปนั่งบนเบาะหน้า สีหน้าของเขาดุดันเสียจนเธอนึกกลัว ไม่กล้ามองตรงๆ ดวงตาของเขาลุกโรจน์ราวมีเพลิงโทสะสุมอยู่ภายใน หากเขาพ่นไฟออกทางดวงตาได้ เธอคงถูกเผาจนไหม้เกรียมเป็นตอตะโกไปตั้งแต่ตอนที่ถูกลากออกมาจากวิหารแล้ว

“อะไรกัน พูดเล่นนิดเดียว ต้องโกรธขนาดนี้เลยเหรอวะ” อเล็กไซคว้ากรอบด้านบนของประตูไว้ก่อนจะถูกกระแทกปิด เขายื่นหน้าเข้าไปหาหญิงสาวในรถแล้วฉีกยิ้มกว้าง “ที่บอกให้มีลูกกับไอ้หมอนี่เร็วๆ เป็นแค่เรื่องโจ๊กขำๆ เท่านั้นละ แต่ก็เป็นทางเลือกที่ดีอยู่นะ”

“อเล็กไซ หุบปากไปเลย!” เทียนหลางคำราม เขากระชากประตูปิด แต่อีกฝ่ายกลับยึดไว้แน่นไม่ยอมปล่อยง่ายๆ “อย่ามาพล่ามไร้สาระแถวนี้ มาทางไหนไสหัวกลับไปทางนั้น ฉันมีธุระต้องไปทำ ไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำกับแก”

“แหม ฉันก็แค่อยากช่วยหาทางออกให้เท่านั้นเอง” มือของอเล็กไซเกร็งสู้แรงของเทียนหลางจนเส้นเลือดปูดโปน เขาไม่นึกว่าไอ้คนเจ้าสำอางจะแรงเยอะเอาเรื่องแบบนี้ “นี่ คุณพัดพารัดชา คุณรู้ไหมว่าเครื่องรางมนุษย์จะต้องเป็นภาชนะที่สะอาดเอี่ยมอ่อง ไร้มลทิน ถ้าแปดเปื้อนขึ้นมาคุณสมบัติก็จะลดลงหรืออาจจะกลายเป็นว่าไม่มีคุณสมบัติไปเลยก็ได้”

“คะ?” พัดพารัดชาเงยหน้าขึ้นมองคนพูดอย่างไม่เข้าใจ

“ถ้าอยากแปดเปื้อนสกปรกก็บอกผมได้นะ รับรองว่าคุณจะลืมช็อน...”

พูดยังไม่ทันจบประโยค เทียนหลางก็ยกขากระแทกฝ่าเท้าเข้ากลางยอดอกของอเล็กไซเต็มรักจนหงายหลังลงไปนอนวัดพื้น แต่แทนที่หนุ่มชาวยาคูเทียจะโกรธ เขากลับนอนหัวเราะร่วนเหมือนได้ฟังเรื่องตลกที่สุดในรอบปี

“อู๊ย...แตะไม่ได้เลยสินะ”

รอยรองเท้าที่ประทับอยู่บนเสื้อพาร์กาสีแดงนั้นฟ้องชัดว่าอารมณ์ของชายหนุ่มทะลุจุดเดือดไปเรียบร้อยแล้ว

“อย่าพูดเรื่องสกปรกต่อหน้าเธอ” น้ำเสียงของเทียนหลางเย็นเยียบ เขากดฝ่าเท้าลงบนอกของคนที่นอนอยู่บนพื้น คนทั่วไปมองด้วยตาเปล่าอาจไม่เห็นว่ามีแรงกดดันมหาศาลอยู่ใต้ฝ่าเท้านั้นซึ่งทำให้คนที่ตัวใหญ่กว่าเกือบครึ่งไม่อาจแม้แต่จะขยับตัวได้ “ไม่สิ ต่อไปอย่าโผล่หน้าเหม็นๆ ของแกมาใกล้เธออีก”

ชาแมนหนุ่มหมุนข้อมือเพียงครู่ก็ดึงดาบสั้นสีดำสนิทออกมาจากความว่างเปล่าในอากาศ อเล็กไซมองของในมือของเทียนหลางแล้วแสยะยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านสักนิด

“ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเลยเรอะ หวงขนาดนี้แสดงว่าไม่ได้กุเรื่องคู่หมั้นขึ้นมาเป็นข้ออ้างจริงๆ สินะ”

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขามีโอกาสได้เห็น ‘อาวุธหยก’ ของผู้สืบเชื้อสายจากซารันเกเรลด้วยตาของตนเอง เรื่องราวของชาแมนหญิงผู้เป็นบรรพบุรุษต้นตระกูลของเทียนหลางนั้นเล่าขานต่อๆ กันมาในหมู่ชาแมนนานนับร้อยปี บางเรื่องฟังแล้วเหลือเชื่อจนน่าขบขัน บางเรื่องเหมือนนิทานพื้นบ้านไร้มูลความจริงโดยสิ้นเชิง รวมไปถึงเรื่องที่ซารันเกเรลสามารถสร้างอาวุธขึ้นจากอากาศธาตุได้ดังใจ และใช้ปราบกิเลนฟ้าที่ออกอาละวาดเมื่อ ๖๖๖ ปีก่อนจนพ่ายแพ้ราบคาบ แต่วันนี้เขารู้แล้วว่าเรื่องอาวุธนั่นเป็นเรื่องจริง หลักฐานก็เห็นคาตาอยู่ในมือของเทียนหลางนี่อย่างไรเล่า!

เคยได้ยินว่านอกจากซารันเกเรลแล้ว ก็ไม่มีทายาทรุ่นใดเรียกอาวุธหยกได้อีกเลยไม่ใช่หรือ...ดูท่าจะมีอีกหลายเรื่องที่ไอ้หน้าสวยเก็บเงียบเป็นความลับไม่ยอมบอกใครสินะ

“ฉันจะโกหกเรื่องแบบนั้นไปเพื่ออะไร”

เทียนหลางสะบัดมือเบาๆ ดาบสั้นสีดำก็สลายหายไปในพริบตา จากนั้นจึงถอนเท้าออก เริ่มรู้ว่าตนเองนอตหลุดจนเผลอเผยไต๋สิ่งที่ควรเร้นจากสายตาของผู้คนออกไปเสียแล้ว 

“ใครจะไปรู้ แกมันเจ้าเล่ห์ ไม่เคยทำอะไรตรงไปตรงมา ใครจะเดาได้ว่ามีแผนชั่วอะไรในหัวบ้าง”

อเล็กไซลุกขึ้นยืน เขาเสทำเป็นปัดรอยรองเท้าออกจากอก ทั้งที่จริงๆ แล้วปัดพลังงานที่ยังคงหลงเหลืออยู่ทิ้งไปต่างหาก หากถอดเสื้อออกมารับรองว่าจะต้องมีรอยรองเท้าประทับไว้ทั้งที่อกและทะลุไปจนถึงแผ่นหลังแน่ 

ไอ้หมอนี่มีพลังเวทสูงกว่าที่เคยคิดไว้มากทีเดียว

“คนที่มีแผนชั่วน่าจะเป็นแกมากกว่าไหม อเล็กไซ” เมื่อได้สติเทียนหลางก็กวาดตามองไปรอบๆ แม้จะเป็นเวลาเช้าตรู่แทบไม่มีผู้คน แต่ก็เริ่มมีรถทัวร์พานักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมวัดเลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถกันบ้างแล้ว “ฉันไม่รู้ว่าแกกำลังคิดทำอะไร แล้วก็ไม่สนด้วย ขอแค่หุบปากให้สนิทตามที่ตกลงกันไว้ เงินก็จะเป็นของแก แต่ถ้าไม่...ก็เตรียมใจไว้ด้วยแล้วกัน”

“โอ้โห กลัวจนขนลุกซู่ไปหมดแล้วเนี่ย”

อเล็กไซแสร้งทำเป็นกอดตัวเองแล้วลอยหน้าลอยตาทำท่าหนาวสั่นเกินจริง คนที่เติบโตมาในแถบไซบีเรียเช่นเขา ต่อให้อยู่ในอุณหภูมิติดลบมากกว่านี้เขาก็ยังใส่ยีนตัวเดียวแล้วเดินปร๋อได้สบายๆ

“คุณเทียนหลางคะ”

พัดพารัดชาก้าวลงมายืนเกาะประตูรถด้วยความเป็นห่วง เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเดาได้จากภาพที่เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอเล็กไซคงไม่แนบแน่นเท่าใดนัก 

“กลับขึ้นไปบนรถแล้วปิดประตูเสียด้วย”

เทียนหลางหันมาสั่งหญิงสาวเสียงเข้ม เธอมองผู้ชายสองคนที่ตั้งท่าจะห้ำหั่นกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจถอยกลับขึ้นไปนั่งบนรถตามคำสั่งของชายหนุ่มด้วยสีหน้ากังวล

 

“พลอย!” 

เสียงตะโกนเรียกชื่อเล่นนั้นทำเอาพัดพารัดชาสะดุ้ง เผลอหันกลับไปมองต้นเสียงด้วยความลืมตัว หญิงสาวเจ้าของเสียงสวมเสื้อกันหนาวขนเป็ดสีชมพูสะท้อนแสงยิ้มกว้าง และโบกไม้โบกมืออย่างเริงร่าขณะก้าวลงมาจากรถทัวร์ที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม 

“นั่นน้องพลอยใช่ไหมจ๊ะ!”

“พี่วาห์...”

พัดพารัดชาจำเดือนวิวาห์ รุ่นพี่ที่เรียนจบจากคณะเดียวกันได้ในทันที แต่ยังไม่ทันที่เธอจะขยับตัว เทียนหลางก็ปราดมาปิดประตูรถดังโครม สีหน้าถมึงทึงของเขาเตือนให้เธอระลึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ ‘พัดพารัดชา’ ควรอยู่ที่ปารีส ส่วนผู้หญิงที่อยู่ตรงนี้คือ อเล็กซานดร้า อีวานอฟนา โอบลอนสกายา สาวรัสเซียที่ไม่ควรเข้าใจภาษาไทย และไม่รู้จักคนที่กำลังเดินตรงมาทางตนเองอย่างตื่นเต้นด้วย

“เฮ้ ช็อน อย่าดุนักสิวะ เดี๋ยวคืนนี้ก็ถูกไล่ไปนอนนอกห้องหรอก”

อเล็กไซส่งเสียงล้อเลียนพลางขยิบตาให้หญิงสาว เทียนหลางยกนิ้วกลางให้โดยไม่มองหน้าคนพูดแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งคนขับอย่างรวดเร็ว

“ช็อน! จะไปไหน ทำไมรีบไปจัง”

ตูยาปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลัง สีหน้าของชาแมนหนุ่มมืดครึ้มราวท้องฟ้าที่กำลังมีพายุก่อตัว เขาตวัดตามองสิงโตสาวที่ถือไอศกรีมโคนรสสตรอว์เบอร์รีอยู่ในมือแล้วเคาะกะโหลกเธออย่างไม่ออมแรงแม้แต่นิด

“โอ๊ย! เจ็บนะ!” ตูยาร้องประท้วง

“แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ” เทียนหลางคำราม “ไว้ฉันจะกลับมาคิดบัญชีกับป้าทีหลัง ล้างคอรอไว้ได้เลย ฉันหักคอป้าแน่”

“หักคอฉันทำไม ฉันทำอะไรผิด” ตูยามองเลยไปยังสาวน้อยที่นั่งทำหน้าไม่ถูกอยู่ในรถแล้วบีบโคนไอศกรีมในมือเสียแตกละเอียด “นังเด็กนั่นมันฟ้องอะไรเธอใช่ไหม!”

คนมีชนักติดหลังแสร้งทำเป็นโมโหเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตนเอง เธอแค่หายไปกินขนมแป๊บเดียว ยายตัวซวยก่อเรื่องอะไรอีกเนี่ย!

“ไม่ต้องโทษคนอื่นเลยป้า ถามจริง ป้าไว้ใจอะไรได้บ้างไหมเนี่ย”

เทียนหลางกระโดดขึ้นไปนั่งบนรถแล้วสตาร์ตเครื่องยนต์ เขาประทับมือบนกระจกรถก่อให้เกิดตัวอักษรมองโกลสีทองเรืองแสงที่กระจกรถทุกด้าน ตูยาตั้งท่าจะกระโดดตามขึ้นไปบนรถ ทว่าเพียงแค่แตะถูกบานประตู ไฟฟ้าก็ชอร์ตดังเปรี๊ยะจนสะดุ้งโหยง

“ช็อน!” สิงโตสาวกระทืบเท้าเต้นเร่าๆ อย่างโกรธเกรี้ยว ไอ้เด็กบ้า! นี่กล้าร่ายมนตร์ขับไล่สิงโตเทพอย่างฉันเชียวหรือ! “กลับมาเดี๋ยวนี้นะ ช็อน!”

ไม่ว่าเธอจะตะโกนอย่างไร ชายหนุ่มก็ไม่สนใจ พอเท้าแตะคันเร่งได้ก็เข้าเกียร์ถอยหลังพารถออกจากลานจอดไปด้วยความเร็วที่ทำเอาคนเดินถนนพากันกระโดดหลบแทบไม่ทัน

“ยังไม่รู้อีกเรอะว่าตัวเองน่ะกลายเป็นสิงโตหัวเน่าแล้ว”

อเล็กไซกอดอกมองสาวผมสีชมพูแล้วหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ

“ปากมาก!” ตูยาแหวเข้าให้ “แล้วสะเออะมาทำอะไรที่นี่ เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอารามกันดันไม่ต้อนรับชาแมนนอกรีตแบบแก!”

“นอกรีต?” อเล็กไซแบะปาก “อย่าสองมาตรฐานไปหน่อยเลยน่า ถ้าแบบเรียกว่าฉันนอกรีต แล้วแบบไอ้ช็อนเรียกว่าอะไร คุณชายหัวขบถงั้นสิ ขำตายละ ไอ้หมอนั่นแหกกฎมากกว่าฉันไม่รู้เท่าไหร่ อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้หน่อยเลยป้า”

“อย่ามาเรียกฉันว่าป้านะ ไอ้มนุษย์สามหาว!” ตูยาทำตาพองใส่ เขี้ยวโง้งค่อยๆ งอกยาวออกมาช้าๆ “อย่างน้อยช็อนก็ไม่ขายพี่น้องของตัวเองแลกเศษเงินเหมือนแก!”

“อะไรที่ขายแล้วได้เงิน ฉันก็ขายทั้งนั้นแหละป้า ตัวฉันยังขายเลย” ดวงตาของอเล็กไซทอประกายแข็งกร้าวอยู่ชั่วเสี้ยววินาที ก่อนจะถูกรอยยิ้มกว้างที่ผุดขึ้นประดับใบหน้าลบเลือนไปในชั่วพริบตา เขาจงใจเรียกขานเธอในแบบที่เธอไม่ชอบเพื่อกวนประสาท “ป้าจะลองไหมล่ะ กับป้านี่ฟรีก็ได้นะ ฉันอยากลองมีอะไรกับสิงโตหินมานานแล้ว ท่าจะสนุกพิลึก”

“ต่ำช้า!”

ตูยากางกรงเล็บหมายจะข่วนหน้าชาแมนชาวยาคุตสค์ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นอาร์สลานยืนกอดอกมองมาจากด้านหน้าประตูทางเข้าอาราม เธอกัดกรามกรอดๆ จนฟันหินแทบแตกก่อนจะตัดใจหายตัวไปเสียเฉยๆ อเล็กไซหันกลับไปมองสิงโตหนุ่มผู้มีอายุเก่าแก่ที่สุดในอาราม แล้วค้อมศีรษะลงนิดๆ คล้ายทำความเคารพ ทว่าอีกฝ่ายทำเป็นมองเมินเหมือนไม่เห็นแล้วเดินกลับเข้าไปในเขตอาราม

ไม่แปลกที่สิงโตหินพวกนี้จะเกลียดเขา บางครั้งเขายังเกลียดตัวเองเลย พับผ่า...

“เมื่อกี้เจอคนรู้จักเหรอคะน้องวาห์”

อเล็กไซหันกลับไปหาต้นเสียงก็เห็นหญิงสาวชาวเอเชียสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก คนหนึ่งมีการ์ดมัคคุเทศก์ห้อยคอไว้อยู่ ส่วนอีกคนคือคนที่เดินลงมาจากรถทัวร์แล้วโบกไม้โบกมือให้พัดพารัดชา และเป็นสาเหตุให้ไอ้หมอนั่นรีบร้อนพาเธอขึ้นรถหนีไปอย่างรวดเร็ว

“รุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยค่ะพี่ น้องเป็นเด็กกิจกรรมตัวยง เคยไปออกค่ายอาสาด้วยกันตลอดเลย แต่ตั้งแต่วาห์เรียนจบมาก็ไม่ได้เจอกันอีก เอ...หรือว่าวาห์จะจำคนผิดก็ไม่รู้นะคะ อยู่กันไกลๆ เสียด้วย” เดือนวิวาห์ทำท่านึกพลางเปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือหันให้อีกฝ่ายดู “แต่น้องพลอยหน้าสวยขนาดนี้ เดือนไม่น่าจำผิดหรอกค่ะ เห็นที่ไหนก็จำได้”

“อุ๊ย สวยจริงๆ ด้วย สงสัยน้องเขาคงมาเที่ยวกับเพื่อนมั้งคะ ไม่แน่ว่าเดี๋ยวอาจจะได้ไปเจอกันตามสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ก็ได้”

มัคคุเทศก์ร่างท้วมพูดจบก็เดินไปเรียกลูกทัวร์ที่เดินตัวสั่นลงจากรถให้มารวมกลุ่มกันโดยไม่สนใจเดือนวิวาห์อีก 

อเล็กไซจ้องหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มตรงหน้าแล้วเดาะลิ้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสาวเท้าเดินตรงไปหาเธอด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

“สวัสดีครับ” เขาเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษอย่างนุ่มนวล “ไม่ทราบว่าคุณเป็นเพื่อนกับคุณพัดพารัดชาใช่ไหมครับ”

“คะ?” เดือนวิวาห์เงยหน้ามองคนตัวโตเป็นตึกอย่างประหลาดใจ “นี่...นี่คุณรู้จักพัดพารัดชาด้วยเหรอคะ”

“พอดีคุณพัดพารัดชาฝากผมส่งโปสต์การ์ดให้เพื่อนน่ะครับ แต่ผมทำชื่อ-ที่อยู่ที่เธอให้ไว้หายไป เมื่อกี้เธอคงรีบจริงๆ ถ้ายังไงผมฝากคุณเอากลับไปให้เพื่อนของเธอที่เมืองไทยทีได้ไหมครับ”

อเล็กไซล้วงมือหยิบกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ในอกเสื้อ ทันทีที่แตะถูกแผ่นกระดาษ มันก็กลายเป็นโปสต์การ์ดสี่สีมีลวดลายสวยงามในชั่วเสี้ยววนาทีก่อนที่เขาจะหยิบออกมายื่นให้หญิงสาว ด้านหลังมีข้อความภาษาอังกฤษเขียนไว้เพียงว่า ‘คิดถึง’

“เพื่อนเหรอคะ” เดือนวิวาห์ทำหน้างุนงงในตอนแรก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหวาดระแวงผู้ชายแปลกหน้า...แต่เขาก็รู้จักชื่อจริงของน้องพลอยด้วยนี่นา ไม่น่าใช่คนร้ายหรอกกระมัง “ตายจริง เพื่อนของน้องพลอยมีตั้งเยอะ ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าคนไหน”

“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะชื่อ-ที่อยู่ที่เธอให้ผมมาหล่นหายไปเสียแล้ว ผมไม่ได้เอาโทรศัพท์มา จะโทร. หาตอนนี้ก็คงไม่ได้ แล้วผมก็ไม่ทราบช่องทางติดต่ออื่นๆ ด้วยสิ” อเล็กไซทำหน้าหนักใจ “เอาอย่างนี้ดีไหมครับ ถ้าคุณจะกรุณาก็ช่วยส่งข้อความถามเพื่อนๆ ของเธอทีว่าจะให้ส่งไปที่ไหน หรือไม่ก็ถ่ายรูปโพสต์ลงเฟซบุ๊ก ไอจี แล้วแท็กเพื่อนๆ ของเธอก็ได้ แบบนี้เพื่อนๆ ของเธอจะได้เห็นกันครบทุกคน”

แล้วคนที่ตามหาพัดพารัดชากันอยู่ก็จะได้รู้ด้วยว่าเธออยู่ที่มองโกเลีย 

เขาไม่ได้ผิดสัญญากับเทียนหลางนี่ เขาปิดปากสนิท ไม่ได้บอกอะไรใครเลย แต่คนอื่นเป็นคนปูดความลับออกไปต่างหาก

“ก็...ก็ได้อยู่หรอกค่ะ” เดือนวิวาห์รับโปสต์การ์ดมาด้วยสีหน้างุนงง ดวงตาหลุบมองภาพหนุ่มมองโกลบนหลังม้าในมือด้วยความรู้สึกเคลือบแคลง “แปลกนะคะ มีเพื่อนตั้งเยอะ แต่ฝากส่งโปสต์การ์ดแค่ใบเดียวเอง...”

หญิงสาวชะงักเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วไม่พบตัวชายหนุ่มผู้ส่งสาร 

“คนอะไรเดินเร็วจัง”

สายลมเย็นเฉียบพัดมาวูบหนึ่ง ทำเอาเดือนวิวาห์รู้สึกหนาวยะเยือกแปลกๆ เธอหยุดคิดครู่หนึ่งว่าควรเอาอย่างไรกับของในมือดี ก่อนที่จะมีความคิดแปลกๆ แทรกเข้ามาในสมองทำให้เธอเบลอไปชั่วขณะ...มันไม่ใช่ความคิดของเธอ มันทรงพลังและแข็งแกร่งพอที่จะบังคับให้มือของเธอหยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายภาพโปสต์การ์ดใบนั้น เธอโพสต์มันลงบนแพลตฟอร์มออนไลน์ของตนเองทุกช่องทางและแท็กเพื่อนๆ ของพัดพารัดชาพร้อมกับแคปชันกำกับสั้นๆ 

พลอยฝากสวัสดีทุกคนจากมองโกเลียจ้ะ

 

“ต่อไปถ้าอเล็กไซโผล่หน้ามาให้เห็นตอนที่ฉันไม่อยู่อีก ให้เดินหนีทันที อย่าพูดอะไรกับมันทั้งนั้น เข้าใจไหม”

เทียนหลางกำพวงมาลัยแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดโปนเห็นได้ชัด เขาขับรถเร็วมากจนพัดพารัดชานึกกลัว เธอต้องฝังแผ่นหลังของตนเองไว้กับพนักพิงแล้วจิกมือกับเบาะแน่น ตั้งแต่ออกมาจากลานจอดรถ เขาก็เร่งเครื่องตรงดิ่งไปตามถนนแคบๆ และขรุขระผิดกับเส้นทางราบเรียบเมื่อเช้าลิบลับ

ทางลัด...

ชายหนุ่มอธิบายสั้นๆ เพียงแค่นั้น แต่ไม่ขยายความว่าเป็นทางลัดไปสู่ที่ใด ต่อให้เธอถามก็คงไม่ได้คำตอบอยู่ดี

อึดอัดชะมัด...

“ฉันนึกว่าพวกคุณเป็นเพื่อนกัน...”

“อเล็กไซเป็นเพื่อนกับทุกคนที่จ่ายเงินให้มากพอ และตอนนี้มันก็ยังเป็นเพื่อนกับฉันอยู่ แต่พรุ่งนี้ไม่แน่”

เทียนหลางขบกรามแน่น ถ้าทำได้เขาก็อยากวนรถกลับไปสับตูยาให้เป็นร้อยชิ้น เขาไม่เคยไว้ใจให้แม่สิงโตเฒ่าดูแลพัดพารัดชาเป็นเรื่องเป็นราวอยู่แล้ว ขอแค่อยู่เป็นเพื่อนเธอสักสิบนาทีเท่านั้น แค่สิบนาที! ยายป้านั่นยังทำไม่ได้ หากคูคัลเตไม่ส่งสัญญาณแจ้งข่าว ป่านนี้ไอ้เวรอเล็กไซคงหาทางพาเธอไปขึ้นรางวัลกับหลินเจิ้งหู่แล้ว!

“ฉันไม่เข้าใจเลย” พัดพารัดชาหลับตาปี๋ตอนที่ชายหนุ่มหมุนพวงมาลัยเลี้ยวโค้ง ถนนหนทางเริ่มขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อมากขึ้นทุกที นี่มันทางลัดประเภทไหนกัน “ถ้า...ถ้าเป็นแบบนั้น...เขาก็น่าจะนับเป็นศัตรูมากกว่าไม่ใช่เหรอคะ”

“ไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น” ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง “คนในวงการนี้ไม่มีใครเป็นมิตรแท้หรือศัตรูถาวรกันจริงๆ หรอก ทุกคนล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยเงินและผลประโยชน์ ตราบใดที่ไม่มีใครข้ามเส้นหรือเหยียบตาปลากันก็ยังใส่หน้ากากเป็นคนดีมีศีลธรรม ยิ้มแย้มให้กันได้ แต่เมื่อถึงเวลาต้องห้ำหั่นกันขึ้นมาก็ไม่มีใครปรานีใครเหมือนกัน”

“คุณเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันเหรอคะ”

รู้ว่าไม่ควรถามแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าทำไมลึกๆ แล้วถึงอยากได้ยินคำปฏิเสธจากเขากันหนอ

“คิดว่ายังไงล่ะ ถ้าเธอคิดว่าฉันเป็นแบบคนพวกนั้น ก็คงใช่มั้ง” เทียนหลางเม้มริมฝีปากนิดๆ อย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก หน็อย...เอาตัวเข้าไปเสี่ยงเพื่อเธอขนาดนี้แล้ว ยังคิดว่าเขาเป็นพวกหิวเงินแบบไอ้อเล็กไซอีกเรอะ ยายเด็กบ้า! “อเล็กไซไว้ใจไม่ได้ก็จริง แต่มันเป็นชาแมนที่เก่งขึ้นชื่อคนหนึ่งของยาคุตสค์ เผินๆ เห็นทำตัวเรื่อยเปื่อยเหมือนไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรก็เถอะ มันร้ายเอาเรื่อง ไม่มีใครอยากปะทะกับมันตรงๆ นักหรอก ถ้าไม่เพราะที่อารามกันดันมีอาร์สลานคุ้มครองอยู่ เรื่องมันอาจจบไม่ง่ายอย่างวันนี้หรอก”

“เขาตัวโตกว่าคุณอาร์สลานตั้งเยอะนะคะ คุณอาร์สลานน่าจะเป็นฝ่ายกลัวเขามากกว่า”

เรื่องที่อเล็กไซดูร้ายกาจนั้นเธอไม่เถียง แต่ร้ายแบบชาแมนนี่มันเป็นยังไงกันนะ เสกของ วาดยันต์ ร่ายเวทสู้กันอย่างนั้นหรือ ไม่เข้าใจเลย

“อย่าเชื่อแค่สิ่งที่ตาเห็น ชาช่า จะถูกหลอกไม่รู้ตัว” เทียนหลางไม่รู้จะอธิบายเรื่องเหนือธรรมชาติให้หญิงสาวเข้าใจได้อย่างไร ขนาดเธอเห็นไอ้คูคัลเตไต่ขึ้นขาเต็มๆ ตา เธอยังคิดว่ามันเป็นแค่ตุ๊กตาใส่ถ่านเลย ให้ตายเถอะวะ! “อาร์สลานน่ะเป็นเจ้าถิ่น ไม่มีใครกล้าแหย็มกับเขาหรอก”

ตัดบทด้วยคำอธิบายง่ายๆ เสียเลยด้วยรู้ดีว่า ณ เวลายังเร็วไปที่จะให้เธอทำความเข้าใจกับ ‘เรื่อง’ ที่เขาเผชิญมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกนี้ อาจต้องรออีกสักพัก

“จะบอกว่าคุณอาร์สลานเป็นนักเลงเจ้าถิ่นเหรอคะ มาดไม่ให้เลยสักนิด เขาดูใจดีจะตายไป”

แค่คิดว่าหนุ่มน้อยผมสีฟ้าอมเขียวคนนั้นไปทำหน้าโหดใส่ใครก็แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วกระมัง 

“อาร์สลานไม่ได้ใจดีกับทุกคนหรอก” เขาจะบอกเธอได้อย่างไรกันเล่าว่าร่างจริงของอาร์สลานคือสิงโตหิมะผู้พิทักษ์อารามประจำเมืองอูลานบาตอร์ แล้วก็เป็นสิงโตที่ไม่ได้หวานแหววเหมือนหน้าตาเสียด้วย “เอาละ ถึงแล้ว”

เทียนหลางพูดสั้นๆ ขณะจอดรถด้านหน้าอาคารกลางเก่ากลางใหม่สูงสี่ชั้น บริเวณโดยรอบมีอาคารตั้งกระจายอยู่ประปราย ไม่หนาแน่นเท่าในตัวเมืองอูลานบาตอร์ที่เธอเห็นเมื่อเช้า แถมยังมีบรรยากาศเงียบสงบ ไม่มีผู้คนหรือรถราขวักไขว่ให้ลานตา

“คุณปู่อัลตันอยู่ที่นี่เหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยถามพลางก้าวลงจากรถ อากาศภายนอกยังค่อนข้างเย็นอยู่มาก แต่แสงแดดที่เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ช่วยให้อบอุ่นขึ้นกว่าเมื่อช่วงเช้าตรู่หลายเท่า

“ท่านอัลตันผู้ยิ่งใหญ่ไม่ลดตัวลงมาอยู่ที่แบบนี้หรอก ที่นี่เป็นหลุมหลบภัยของฉันเอง”

ชายหนุ่มเดินนำหน้าไปที่บันไดทางขึ้นอาคาร พัดพารัดชาเพิ่งเห็นเดี๋ยวนั้นเองว่าอาคารแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินสูง เมื่อมองลงไปจะเห็นตัวเมืองหลวงที่มีอาคารต่างๆ ตั้งเรียงรายกันอย่างแออัดและมีถนนหนทางที่ดีกว่าพื้นที่ที่เธอยืนอยู่นี้มาก เธอก้มลงมองพื้นที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นดินสีแดงดูแห้งแล้งแล้วอดนึกประหลาดใจไม่ได้ที่ห่างออกมาจากตัวเมืองเพียงไม่มาก แต่กลับดูเหมือนอยู่คนละโลกอย่างไรอย่างนั้น

“ฉันนึกว่าคุณจะพาฉันไปหาคุณปู่ของคุณเสียอีก”

ดวงตาคมหวานมองสำรวจไปรอบๆ จนไปสะดุดเข้ากับรั้วไม้เตี้ยๆ ที่ล้อมกั้นอาณาเขตรอบกระโจมทรงกลมขนาดใหญ่ ถ้าจำไม่ผิดนี่เป็นกระโจมแบบมองโกเลียที่เรียกว่า...

“นี่คือเกร์” เทียนหลางพูดเหมือนอ่านใจเธอออก “คนที่นี่ส่วนมากอยากจับจองพื้นที่ตรงไหนก็ล้อมรั้วปักหลักมันตรงนั้นละ ไม่มีเงินสร้างบ้านก็ตั้งเกร์ไว้ก่อน พอมีเงินก็ค่อยขยับขยายเอา แต่ก็มีบางคนที่ต่อให้มีบ้านแล้วก็ยังชอบตั้งกระโจมไว้ตามความเคยชิน พวกเราเป็นชนเผ่าเร่ร่อนมาแต่ไหนแต่ไร ถนัดนอนในกระโจมกันมากกว่า ฉันเองก็กางเกร์ไว้บนดาดฟ้าเอาไว้นอนเล่นเวลาเบื่อๆ เหมือนกัน”

“ดาดฟ้าตึกเหรอคะ แปลกดีจัง” พัดพารัดชาทำตาโตอย่างสนอกสนใจ ก่อนจะนึกได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรให้ความสำคัญ ณ เวลานี้นี่ “เดี๋ยวนะคะ คุณปู่ของคุณไม่ได้อยู่ที่นี่ แล้วคุณพาฉันมาที่หลุมหลบภัยอะไรนี่ทำไม”

“เราคงต้องเปลี่ยนแผนกันนิดหน่อย อเล็กไซเห็นเราแล้ว ไม่แน่ที่บ้านของปู่อาจถูกจับตาดูด้วย เปลี่ยนที่นัดเจอน่าจะปลอดภัยกว่า ขอฉันคุยกับปู่ก่อน ส่วนเธอไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวให้สบาย เดี๋ยวฉันจะให้คนที่ไว้ใจได้จัดการเรื่องเสื้อผ้าให้”

ชายหนุ่มกดรหัสเปิดล็อกประตูกระจก แล้วผายมือให้หญิงสาวเดินเข้าไปด้านในก่อน แต่เธอยืนนิ่งคล้ายกำลังลังเล

“เข้าไปเถอะน่า ฉันไม่ได้หลอกเธอมาฆ่าหรอก” เขาทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคออย่างรำคาญใจแล้วคว้าข้อมือของเธอดึงให้เดินเข้าไปพร้อมกัน “จนป่านนี้แล้วยังไม่ไว้ใจฉันอีกหรือไง”

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ” หญิงสาวทำหน้าเหย “ฉันแค่...ตั้งตัวไม่ทัน เมื่อเช้าคุณบอกว่าจะรีบพาฉันไปหาคุณปู่อัลตัน แล้วอยู่ๆ ก็พาไปที่อารามกันดัน พอมาตอนนี้ก็มาที่นี่อีก”

“ฉันต้องพาเธอไปหาปู่แน่ ไม่ต้องห่วง ปู่ก็อยากเจอหน้าเธอจะแย่อยู่แล้ว เพียงแต่ในสถานการณ์ตอนนี้ต้องคิดให้รอบคอบ จะให้ใครตามรอยพวกเราไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นทั้งเธอทั้งแม่ไม่มีทางปลอดภัยอย่างแท้จริงแน่”

ภายในอาคารชั้นหนึ่งนั้นว่างเปล่าไม่มีข้าวของใดๆ เลย ทั้งที่ดูสะอาดสะอ้านมากเหมือนได้รับการดูแลปัดกวาดเป็นอย่างดีอยู่เสมอ เทียนหลางพาหญิงสาวไปขึ้นลิฟต์บ้านขนาดเล็กซึ่งตั้งอยู่ข้างบันได ลิฟต์นี้แคบมากขนาดที่ชายหนุ่มต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของเธอ และมันทำให้เธอรู้สึกอึดอัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่เขาเอื้อมมือผ่านตัวเธอไปกดปุ่มลิฟต์ไปยังชั้น ๔  ลมหายใจที่เป่ารดกระหม่อมเพียงชั่วเสี้ยววินาทีพาให้ใจของเธอเต้นรัวตึ้กตั้กอย่างไม่อาจควบคุมได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือหลับตากลั้นหายใจ พร้อมกับภาวนาว่าอย่าให้เสียงดังก้องในอกนี้เล็ดลอดไปให้เขาได้ยินเลย

ในความรู้สึกของพัดพารัดชา ลิฟต์ช่างทำงานช้าเสียจนเธอรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจตายไปเสียเดี๋ยวนั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วใช้เวลาไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ พอประตูลิฟต์เปิดปุ๊บ เธอก็แทบวิ่งปรู๊ดออกจากลิฟต์ปั๊บ 

“ห้องน้ำอยู่ทางซ้าย” เทียนหลางเห็นหญิงสาวกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดออกจากลิฟต์ก็เข้าใจว่าเธอคงรีบร้อนไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดหมายเลขโทร. ออก “ฉันจะไปโทรศัพท์ประเดี๋ยว เธอไปทำธุระของเธอเถอะ”

พูดจบเจ้าของร่างสูงก็ก้าวขายาวๆ ตัดข้ามห้องออกไปยังระเบียงด้านนอก พัดพารัดชาอายจนแทบมุดแผ่นดินหนี นี่เธอทำให้เขาเข้าใจไปว่าเธอปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำจนทนไม่ไหวอย่างนั้นหรือ บ้าที่สุด!

“ชาช่า ทางซ้าย”

ก่อนก้าวออกจากประตูกระจกบานเลื่อน ชายหนุ่มยังไม่วายหันมาบุ้ยใบ้ชี้ไปทางซ้ายมือ หญิงสาวได้แต่ยิ้มแหยๆ แล้วเสทำเป็นเดินไปยังทิศที่เขาบอกแก้เขิน ระหว่างนั้นก็ลอบมองสำรวจรอบๆ ห้องไปพร้อมๆ กัน เธอรู้สึกผิดคาดนิดหน่อยที่หลุมหลบภัยของเทียนหลางดูเรียบง่ายกว่าที่คิดไว้มาก ถึงประตูลิฟต์เป็นสีทอง แต่เครื่องเรือนที่มีอยู่น้อยชิ้นกลับเป็นโทนสีเทาและดำแทบจะกลืนไปกับผนังปูนเปลือยสไตล์อินดัสเทรียลลอฟต์ เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นชั้นลอยที่ขึ้นโครงจากเหล็กหล่อสีดำสนิท ส่วนพื้นของชั้นลอยกรุกระจกหนาแบบรับน้ำหนักพิเศษใสแจ๋วมองเห็นเตียงขนาดคิงไซซ์ตั้งอยู่ด้านบน

เห็นชอบของแบรนด์เนมหรูหราฟู่ฟ่า ไม่นึกว่าจะมีพื้นที่ส่วนตัวที่ดูเรียบง่ายเหลือเชื่อแบบนี้ด้วย...

พัดพารัดชาเดินเข้าไปในห้องน้ำซึ่งตกแต่งด้วยโทนสีขาวดำและทองดูสมตัวเจ้าของห้องขึ้นมาอีกนิด สิ่งที่สะดุดตาเธอที่สุดในห้องน้ำนี้คือขวดสบู่เหลวล้างมือสีม่วงที่วางอยู่ในโซปโฮลเดอร์สีทอง เธอจำได้ทันทีว่าเป็นยี่ห้อและกลิ่นเดียวกันกับที่เธอใช้ประจำมาตั้งแต่เด็กจนมาถึงทุกวันนี้

กลิ่นดอกไลแลค...

“กลิ่นหวานแหววไม่เห็นเข้ากับความโหดเลย”

หญิงสาวพึมพำพลางวางสบู่ล้างมือกลับคืนที่เดิม แล้วหันไปมองอ่างจากุซซีลายหินอ่อนสีดำก็เห็นสบู่เหลวอาบน้ำกลิ่นเดียวกันกับสบู่ล้างมือวางอยู่ด้วย ไม่ต้องเดาเลยว่าทั้งยาสระผมและครีมนวดจะเป็นกลิ่นอะไร...กลิ่นดอกไลแลคอย่างไรเล่า...

ท่าทางจะชอบกลิ่นนี้จริงๆ แฮะ...

เธอสำรวจข้าวของในห้องน้ำอยู่พักหนึ่งจนพอใจแล้วจึงถอดเสื้อโคตขนเป็ดออกแขวนไว้ที่ตะขอบนบานประตูไม้สีดำ จัดแจงดึงแขนเสื้อขึ้นจากนั้นจึงเปิดน้ำอุ่นวักน้ำล้างหน้าล้างตาให้พอรู้สึกสดชื่นขึ้น ถึงจะรู้สึกว่าผิวหน้าแห้งตึงเพราะสภาพภูมิอากาศหนาวเย็นและไม่ได้รับการบำรุงใดๆ ทั้งสิ้น แต่เธอก็ไม่มีเวลาใส่ใจรายละเอียดยิบย่อยพวกนั้นนัก สิ่งที่เธอคิดตอนนี้คืออยากพบหน้าคุณปู่อัลตันไวๆ เผื่อว่าท่านจะใจดีอธิบายทุกอย่างให้กระจ่างแจ้งมากกว่าที่เทียนหลางเคยเล่าแบบครึ่งๆ กลางๆ ไว้...แล้วก็อยากคุยกับแม่อีกสักครั้ง

“ตั้งสติไว้พลอย ตั้งสติไว้” พัดพารัดชาตบแก้มของตนเองแรงๆ ก่อนที่จะร้องไห้ออกมา ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ เธอเผชิญกับเรื่องราวหนักหน่วงและเหลือเชื่อติดกันจนยากทำใจรับไหว แค่ยังครองสติไว้ได้ ไม่ร้องไห้โฮเป็นบ้าเป็นหลังก็ถือว่าจิตแข็งมากแล้วไม่ใช่หรือ “ดูไม่จืดเลยแฮะเรา”

เธอเงยหน้ามองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกแล้วเม้มริมฝีปากแน่น คนในเงาสะท้อนที่มองตอบกลับมานั้นเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ใต้ดวงตามีร่องรอยของความอิดโรยประทับอยู่บางเบา ผมเปียที่ถักไว้เริ่มหลวมและรุ่ยร่ายเหมือนไปเผชิญกับลมพายุมาอย่างไรอย่างนั้น 

‘ผมรุงรังเป็นรังนกไปหมดแล้ว...’

จู่ๆ เสียงของเทียนหลางก็ดังก้องขึ้นมาในสมอง ภาพตอนที่เขาถักเปียให้อย่างนุ่มนวลลอยเด่นอยู่ในห้วงความคิด ทำเอาหญิงสาวรีบลนลานแกะเปียใช้มือสางลวกๆ คล้ายจะไล่สัมผัสอบอุ่นนั้นออกไปจากความทรงจำ แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งไล่ก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นทุกที เหมือนมันไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ทว่าเคยเกิดขึ้นซ้ำๆ มาหลายต่อหลายครั้งจนร่างกายจดจำมันได้เสียแล้ว ขนาดถักเปียใหม่เสียตึงเปรี๊ยะก็ยังรู้สึกว่ายังคงเป็นผมเปียที่ชาแมนหนุ่มถักให้อยู่ดี

“เพ้อเจ้อ”

พัดพารัดชาส่ายศีรษะเร็วๆ แล้วหันไปหยิบเสื้อโคตมาพาดไว้บนท่อนแขน เธอไม่รู้ว่าตนเองใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานเท่าใด พอออกมาอีกทีก็ได้ยินเสียงสนทนาดังแว่วมาจากทางลิฟต์โดยสาร เธอจึงค่อยๆ สืบเท้าไปเบื้องหน้าช้าๆ อย่างระแวดระวัง เธอกลัวว่าหากทะเล่อทะล่าออกไปพบหน้าคนที่ไม่ควรพบแบบอเล็กไซอีกจะถูกเทียนหลางเอ็ดจนหูชาเป็นรอบที่สอง

“มาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย”

หญิงสาวจำเสียงของเทียนหลางได้ เพียงแต่เขาพูดภาษามองโกลเธอจึงไม่เข้าใจ

“ก็อยู่แถวนี้พอดี” เสียงนุ่มนวลของผู้หญิงตอบกลับมา “คิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีกนานอย่างที่คุณบอกซะแล้ว คิดถึงจัง”

พัดพารัดชาชะงักเมื่อเห็นว่าชาแมนหนุ่มหันหลังให้เธออยู่ ส่วนแขกผู้มาเยือนเป็นหญิงสาวชาวมองโกลที่สวยเปี่ยมเสน่ห์ ใบหน้าของเจ้าหล่อนแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างประณีตงดงาม พอเห็นว่าเธอกำลังมองอยู่ สาวสวยคนนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งก่อนจะวาดวงแขนโอบรอบคอของเทียนหลาง และเขย่งปลายเท้าในรองเท้าบูตทรงสูงขึ้นประทับจุมพิตเขาอย่างดูดดื่ม

“เฮ้ ซาร์นาย นี่ไม่ใช่เวลาที่มาทำเรื่องแบบนี้นะ”

เทียนหลางผลักร่างของอีกฝ่ายออกแทบจะในทันที หญิงสาวชาวมองโกลกระตุกยิ้มขณะมองเขาใช้หลังมือถูรอยลิปสติกสีแดงสดออกจากริมฝีปากของตนเอง

“แหม ขอโทษที ฉันคิดถึงคุณมากไปหน่อยนี่คะช็อน” ซาร์นายเอียงคอมองข้ามไหล่ของชายหนุ่มมาทางพัดพารัดชา “อ้อ...นั่นคงเป็นสาวคัปซีที่คุณบอกให้ฉันซื้อชุดชั้นในให้ใช่ไหม ดูยังไงก็ไม่น่าถึงหรอกนะ น่าจะสัก...คัปบีมากกว่า... ซานแบนอ (สวัสดีจ้ะ)

เทียนหลางหันขวับกลับมามองพัดพารัดชาทันควัน หัวใจของเขาหล่นวูบเมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเธอ

ฉิบหายแล้ว...

“อะ...เอ่อ...” หญิงสาวไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเห็นเรื่องส่วนตัวของชายหนุ่มกระจะตาเช่นนี้จึงปรับสีหน้าไม่ทัน “ฉัน...ฉันไม่เข้าใจภาษามองโกลค่ะ”

เป็นเรื่องยากที่จะเสแสร้งประหนึ่งว่าไม่ได้เห็นฉากเลิฟซีนเมื่อครู่ พัดพารัดชาไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดเดาไม่ออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างสาวสวยคนนี้กับเทียนหลางเป็นแบบไหน และเจ้าตัวก็ไม่ลังเลสักนิดที่จะแสดงออกให้เธอรู้ คิดแล้วก็น่าปวดหัวเป็นบ้า ตั้งแต่ลงเครื่องบินมา เธอก็เจอกับสายตาไม่เป็นมิตรจากผู้หญิงของเทียนหลางสองคนติดๆ กันในเวลาไม่ถึงชั่วโมง อีตาคนนี้ท่าจะมีปัญหาเรื่องผู้หญิงจริงๆ นั่นละ!

“อ้อ...อย่างนั้นเหรอ” ซาร์นายคลี่ยิ้มหวานแล้วเปลี่ยนมาพูดภาษาอังกฤษ “สวัสดีจ้ะ ฉันชื่อซาร์นาย เป็นแฟนของช็อน”

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น