15

ขยับสถานะ

๑๕ 

ขยับสถานะ

 

 จิรัศยาพักที่บ้านสวนวริทธิ์นันท์อีกหนึ่งคืนหนึ่งวัน บรรยากาศที่มีเด็กหญิงตัวน้อยคอยสร้างสีสันบวกกับความเป็นกันเองที่ครอบครัวของพาขวัญ มินนภัสและพิมพ์พิชมอบให้ ทำให้เธอกับบุรัสกรแทบไม่รู้สึกว่าเป็นคนนอก สิ่งที่ทำให้ประทับใจอีกเรื่องเห็นจะเป็นยามที่สรวิศ แสนศรันย์และธนวัฒน์ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนควงภรรยาของตนมาคุยกับเธอยามเตวิชไม่อยู่ เพื่อชี้แจงบรรดาข่าวเก่าๆ ที่เกิดขึ้นเพราะพวกตน เช่น กรณีถูกกล่าวหาว่าปล่อยคลิปหลุดของนักแสดงที่ชื่อ เมลินี นั่นก็ไม่ใช่เรื่องจริงเพราะฝ่ายนักแสดงสาวเป็นคนปล่อยเนื่องจากต้องการจับสรวิศให้อยู่หมัด แต่โดนเตวิชดัดหลังโดยการส่งผู้ชายคนอื่นไปแล้วตัดต่อหน้าตนไปใส่อีกทีเพราะไม่ต้องการให้ชายคนดังกล่าวเดือดร้อน 

ส่วนกรณีคดีความกับแฟนเก่านั่นก็ไม่มีมูลความจริงแต่ไม่ขอพูดถึงรายละเอียด บอกแต่เพียงว่าเป็นเรื่องที่เตวิชซวยที่สุดในชีวิตทั้งสามหนุ่มพากันย้ำว่าเตวิชชอบเธอจริงๆ โดยเอาความสัมพันธ์ยาวนานเกือบสิบปีเป็นข้อยืนยัน เธอจึงทำได้แค่ยิ้มรับแล้วบอกให้สบายใจ ว่าเธอไม่สนใจอดีตของเตวิชต่อให้เขาเคยพลาดพลั้งมาจริงๆ ก็ไม่มีผลกับอนาคตแน่นอน ทั้งสามจึงทั้งขอบคุณ ทั้งชื่นชม แล้วบอกว่ายินดีต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวใหญ่ของพวกตน พิมพ์พิชถึงขั้นเชื้อเชิญให้พวกเธอมาพักที่นี่ได้บ่อยตามต้องการ จะมาโดยไม่มีเตวิชก็ยังได้

เรื่องคดีความก็ได้รับความช่วยเหลือจากลุงสุพล ลุงแท้ๆ ของสรวิศกับแสนศรันย์ซึ่งเป็นนายตำรวจตงฉินจึงแทบไม่ต้องกลัวว่าจะโดนหลอกดังที่ผ่านมา สิ่งที่ต้องกังวลเห็นจะมีเพียงหลบเลี่ยงการถูกล่าตัวจากสมาชิกควีนบีที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใครและอยู่วงการไหนบ้าง ทุกคนจึงแนะนำให้เธอไปพักที่บ้านเตวิชเป็นการชั่วคราวเพราะน่าจะปลอดภัยกว่าอยู่คอนโดที่มีผู้อาศัยจำนวนมาก ซึ่งบุรัสกรก็ดันเห็นด้วยเสียอย่างนั้น

หลังจากธนวัฒน์กับพิมพ์พิชก็มาส่งที่คอนโด จิรัศยาจึงต้องเก็บของเพื่อย้ายไปบ้านเตวิชตามคำเร่งเร้าของเพื่อนรักที่แม้เธอจะบอกว่าไปพรุ่งนี้ก็ได้แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธ เพราะบุรัสกรต้องออกเดินทางไปประชุมแต่เช้าจึงไม่ไว้ใจให้เธอเดินทางไปบ้านเตวิชลำพัง

“แกไม่ต้องห่วงฉันหรอก ห่วงตัวเองเถอะต้องไปประชุมแทนหัวหน้าไม่ใช่เหรอ คนตั้งเยอะ” จิรัศยามองคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของเตียง มือก็พับเสื้อผ้าเข้ากระเป๋าเดินทางไปพลาง 

“มีอะไรต้องห่วง ฉันไม่ใช่ดาราอย่างแกกับเรนนี่สักหน่อย” บุรัสกรมั่นใจว่าไม่ใช่เป้าหมายที่น่าสนใจเพราะน้อยคนจะล่วงรู้ว่าเธอคือเพื่อนสนิทของจิรัศยา อีกทั้งบุคลิกหน้าตาก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น “อีกอย่างคุณแสนก็หาบอดีการ์ดมาให้ฉันแล้ว พรุ่งนี้นัดเจอกันที่ประชุมเลย” แสนศรันย์ส่งรูปพรรณสัณฐานบอดีการ์ดมาให้เธอเรียบร้อย แถมยังบอกว่าตอนอยู่กระทรวงก็ไม่ต้องกังวลเพราะ รปภ. ที่นั่นเป็นพนักงานของบริษัทเพื่อนแสนศรันย์เอง

“จะว่าไป คุณเตของแกนี่ก็กว้างขวางดีนะ”

“กว้างขวางอะไรยะ มีเพื่อนสนิทอยู่สามคนถ้วน” จิรัศยาแย้ง หลังจากสงสัยเรื่องเขาไม่มีใครคบเลยตั้งแต่รู้จักกัน พอได้รู้จักทั้งหมดก็ขอเปลี่ยนคำพูด อย่างน้อยเขาก็มีเพื่อนแท้ที่ร่วมเป็นร่วมตายกันได้

“สามคนแต่คุณภาพล้นมาก คุณเสือ คุณแสนสายบู๊ หมอแทนสายบุ๋นแค่นี้ก็พอแล้วไหม”

“ก็จริง” จิรัศยาเห็นด้วย อย่างน้อยก็ดีกว่าแก๊งพวกเธอที่มีเพียงบุรัสกรเป็นสายบุ๋น ส่วนเธอกับเรนนี่ไม่รู้จะจัดอยู่สายอะไร จะเรียกบู๊ก็ไม่น่าใช่ เรียกว่าขยันหาเรื่องน่าจะเหมาะกว่า “ฉันไปเรียนต่อยมวยหรือไม่ก็เทควันโดแบบจริงจังดีไหม”

“ฉันเห็นแกเรียนทุกอย่างที่พูดมา ยังมีฟันดาบ ยิงปืน ขี่ม้าอีก แต่ไม่ได้เรื่องสักอย่าง”

คนฟังคว้าหมอนทุ่มใส่อย่างขัดใจกับความรู้ทันของอีกฝ่าย “ก็ฉันเรียนแค่เบื้องต้นเพื่อถ่ายละครไงลองถ้าฉันเอาจริงนะ”

“จ้า! เอาเลย จริงจังสักอย่างเถอะ ฉันจะคอยดู...โอ๊ย!” เพราะหลบหลีกหมอนไม่พ้นในช่วงท้าย บุรัสกรจึงโดนฟาดไปเสียหนึ่งที “ตีฉันเหรอ”

“ใช่! พูดมากนัก” จิรัศยาลอยหน้าลอยตา จึงโดนหมอนฟาดกลับแบบไม่ทันตั้งตัว “ยายเบนซ์! ฉันบาดเจ็บอยู่นะ” แม้อาการบวมที่ใบหน้าจะลดลงมาก ขาก็ดีขึ้นแต่ก็ยังขยับเขยื้อนไม่ถนัดนัก

“เดี้ยงแล้วยังซ่า! ก็ต้องโดนแบบนี้ละ”

จิรัศยาไม่ยอมแพ้ วางมือจากการเก็บกระเป๋าคว้าหมอนข้างอีกใบขึ้นมาเตรียมพร้อม “ฉันไม่ยอมแพ้แกหรอก!”

“ฉันไม่อ่อนข้อให้แน่นอน!”

แล้วความวุ่นวายขนาดย่อมก็บังเกิดขึ้น มีทั้งเสียงร้องโอดโอยสลับกับเสียงหัวเราะและการเกทับกันต่างๆ นานา ก่อนทั้งคู่จะนอนแผ่หลาลงบนเตียงอย่างหมดสภาพ

“เหนื่อยจัง...”

“นี่เราไม่ได้ออกกำลังกายกันนานแค่ไหนแล้วเนี่ย”

“นั่นสิ”

สองสาวหายใจหอบกันอยู่นานกว่าจะกลับมาเป็นปกติ 

“คิดถึงเรนนี่เนอะ” ระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันหลายปีใช่ว่าจะไม่กระทบกระทั่งกันเลย ผู้หญิงสามคนต่างที่มา ต่างการเลี้ยงดูย่อมมีการกระทบกระทั่งและต่อล้อต่อเถียงเกิดขึ้น ทั้งเรื่องจริงจังและเรื่องงี่เง่า อย่างเธอเอาของฉันไปใช้ เธอกินของที่ฉันซื้อมา เธอทิ้งของใช้เรี่ยราด เธอพูดไม่เข้าหู ฯลฯ บางครั้งจึงมักจบลงด้วยการลงไม้ลงมือโดยใช้หมอนเป็นอาวุธ พอหายไปคนหนึ่งชีวิตจึงเหมือนขาดอะไรไป 

“อือ” บุรัสกรห่วงใยเรนนี่เหมือนจิรัศยา แต่ด้วยวุฒิภาวะที่เหมือนจะมีมากกว่านิดหน่อย จึงค่อนข้างระมัดระวังคำพูดคำจาเพราะรู้ว่าจิรัศยาค่อนข้างอ่อนไหวและใจร้อนเป็นทุน ที่ผ่านมาเธอจึงเลือกที่ไม่แสดงความรู้สึกมากนัก

“แกว่าเรนนี่จะเป็นอย่างไรบ้าง” ตอนได้ข้อความจิรัศยารู้สึกเหมือนว่าการรอคอยนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว พอพบว่าไม่เป็นอย่างที่หวังจึงเคว้งคว้าง ไม่รู้ต้องเริ่มนับหนึ่งที่ตรงไหน

“อย่าคิดมากเลย บางทีอาจเป็นแบบที่คุณแสนว่า การไม่ได้ข่าวก็นับว่าเป็นข่าวดี” บุรัสกรยกประโยคคนพูดน้อยที่สุดในกลุ่มของเตวิชออกมา โดยมีสรวิศอธิบายเพิ่มเติมว่าแสนศรันย์หมายถึงเรนนี่น่าจะยังคงปลอดภัย เพราะในกรุ๊ปแชตควีนบีก็ยังไม่มีภาพอัปเดตหรือข่าวคราวใดๆ 

“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”

จิรัศยาถอนหายใจ ระหว่างอยู่บ้านสวนนายตำรวจที่เป็นคนของลุงเตวิชก็มาสอบถามรูปพรรณสัณฐานและตำหนิต่างๆ ในร่างกายเพื่อนำไปพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลกับบรรดาศพนิรนามที่เสียชีวิตช่วงเดือนที่ผ่านมา แม้จะเป็นหนทางที่ไม่อยากใช้นักแต่ก็นับว่าเป็นการสืบหาคนหายอีกหนึ่งวิธี 

“อย่ามัวโอ้เอ้เลย แกรีบเก็บของเถอะเดี๋ยวจะยิ่งดึก” บุรัสกรลุกขึ้นแล้วหยิบเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายมาสุมไว้ “ว่าแต่คุณเตของแกจะมารับไหม”

“คงไม่หรอกฉันไม่ได้บอก อีกอย่างเขามีแค่บิ๊กไบค์จะขนกระเป๋าได้ไง” แม้จะมีแค่ใบเดียวแต่ก็ค่อนข้างใหญ่ หิ้วซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ย่อมไม่ใช่ทางออกที่ดี

“มานั่งรถไปเป็นเพื่อนก็ยังดี” บุรัสกรชี้ช่องทางและหยิบโทรศัพท์ส่งให้ “รีบโทร. เลย”

จิรัศยารับมาอย่างชั่งใจ แค่ไปอยู่บ้านเขาก็ถือว่าเป็นการรบกวนแล้วนี่ยังจะให้มารับอีก “เอาจริงเหรอ”

“อือ! ฉันว่าคุณเตยิ่งกว่าเต็มใจ”

“แกไปรู้ใจเขาได้ไง”

“เอาน่า! เซนส์ฉันแรง” บุรัสกรเย้า ตอนอยู่บ้านสวนวริทธิ์นันท์เตวิชก็คอยเอาใจใส่ดูแลจิรัศยาอย่างออกหน้าออกตา อุ้มพาไปนู่นไปนี้แทนการพยุง ลับหลังเขาบรรดาเพื่อนยังเมาท์เลยว่าเตวิชคงยอมทิ้งสถานะหนุ่มโสดจริงๆ แล้ว

จิรัศยายังลังเลแต่ระหว่างนั้นเองก็มีข้อความเข้า “คุณเต...” เธอพึมพำก่อนจะเปิดอ่าน ซึ่งบุรัสกรก็ยื่นหน้ามามองอย่างใคร่รู้ด้วย

‘ผมใกล้จะถึงคอนโดคุณแล้ว อีกประมาณสิบนาที’

“ว้าย! เห็นไหมๆ”

“พอเลยรีบช่วยฉันเก็บของสิ” จิรัศยากลบเกลื่อนความเขิน รีบคว้าเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวมายัดใส่กระเป๋า โดยมีเพื่อนสนิทคอยกระเซ้าเย้าแหย่ไม่ห่าง 

บุรัสกรมองคนหน้าแดงแล้วแอบขำ อย่าว่าแต่เตวิชที่ตั้งท่าจะสละโสดเลย เพื่อนรักของเธอก็คล้ายจะเตรียมบันไดเพื่อรอลงจากคานแล้ว

 

บุรัสกรลงไปรับเตวิชเมื่ออีกฝ่ายโทร. มาว่าถึงแล้ว พอขึ้นมาถึงห้องสาวๆ เขาก็รักษามารยาทอย่างดี ระหว่างนั่งรอบุรัสกรก็แอบเข้าไปกระซิบบอกจิรัศยาว่าเตวิชขับรถยนต์มาหาใช่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์แต่อย่างใด 

กระเป๋าของจิรัศยามีเพียงใบใหญ่ใบเดียวเตวิชจึงเป็นฝ่ายถือลงมาบุรัสกรจะได้ไม่ต้องลงมาด้วย แต่กระนั้นก็ไม่วายย้ำบอกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลให้แจ้ง รปภ. ได้ตลอด เพราะเป็นพนักงานของบริษัทเพื่อนแสนศรันย์เช่นกัน

“คุณเอารถใครมา” จิรัศยาถามขณะ ถูกประคองมาจนถึงรถคันหรูที่มีโลโก้รูปดาวสามแฉกสีดำขลับ

“ไอ้หมอให้ยืมมาใช้ช่วงที่คุณอยู่บ้านผม” เตวิชตอบพลางเอากระเป๋าไปเก็บที่ท้ายรถแล้วเดินมาเปิดประตูฝั่งซ้ายให้คนที่ขายังเดินไม่ถนัดนัก

“หมอแทนใจดีจัง”

“ผมว่าน่าจะเป็นความคิดคุณพิชมากกว่า ดูเหมือนจะถูกคอกับคุณมาก”

“อยู่แล้วสิ ผู้หญิงมีเรื่องให้คุยกันเยอะแยะ ทั้งแฟชั่น ทั้งคาเฟ่สวยๆ ทั้งพระเอกซีรีส์หรือแม้แต่เรื่องลับๆ ในวงการบันเทิง” จิรัศยาหัวเราะคิก ช่วงอยู่บ้านพิมพ์พิชนี่เมาท์กันเพลิน มีคนนอกวงการที่ใช้เวลากับงานและครอบครัวเป็นส่วนใหญ่อย่างบุรัสกร มินนภัสและพาขวัญนั่งฟังด้วยความสนใจ โดยเฉพาะข่าวกอสซิปในวงการบันเทิงที่พอได้ฟังก็พากันแปลกใจ เช่นใครคบใคร ใครตีท้ายครัวใคร หรือใครเลิกรากับใคร

เตวิชเดินไปนั่งประจำที่คนขับแล้วเอ่ยถาม “ผมก็คงโดนเผาเยอะเลยใช่ไหม”

จิรัศยาหัวเราะคิก “ก็นิดหนึ่ง” ด้วยความที่สามสาวรู้จักเตวิชมาก่อนเธอ โดยเฉพาะมินนภัสที่รู้จักเตวิชมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย จึงค่อนข้างรู้เยอะ ทั้งความฮอตฮิตตามประสาหนุ่มโสดที่สาวๆ พร้อมใจกันมาขายขนมจีบ ทั้งเรื่องอกหักช้ำรักที่ทำให้แทบเตวิชเสียผู้เสียคน ทำตัวเป็นเพลย์บอยไม่เปิดใจให้ใครมานานจนกระทั่งเจอเธอ

“น้องมินเผาอะไรบ้างล่ะ” เตวิชเอ่ยอย่างรู้ทัน บรรดาเพื่อนสนิทไม่น่าจะมีเวลาไปนั่งเมาท์ประวัติของเขาเพราะเขาก็เฝ้าสังเกตอยู่ตลอด จึงเหลือผู้ต้องสงสัยแต่คนเดียว

“ความลับค่ะ”

“แต่มันเป็นเรื่องของผม?”

“เพราะฉะนั้นคุณถึงไม่ควรรู้ไง รีบไปเถอะค่ะ” จิรัศยาตัดบท แม้จะอยากรู้มากว่าผู้หญิงที่ทำให้เขาแทบเสียคนเป็นแบบไหนแต่ก็คิดว่ายังไม่ใช่เวลาสมควรที่จะถาม มินนภัสก็ไม่เจาะจงว่าเป็นใคร บอกแต่เพียงว่ารอให้เตวิชบอกเองจะดีกว่า

“คุณอยากรู้อะไรก็ถามผมตรงๆ ได้นะ ผมไม่มีอะไรต้องปิดบัง”

จิรัศยาเหล่มองคนพูด เห็นเขายกยิ้มมุมปากแล้วหันมายักคิ้วใส่เธอก่อนจะขับรถออกจากลานจอดรถของคอนโดเพื่อเข้าสู่ถนนที่การจราจรแสนจะแออัด 

 

การจราจรยามค่ำวันอาทิตย์ค่อนข้างโล่ง ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงบ้านของเตวิชซึ่งเขาก็กระตือรือร้นช่วยทุกอย่าง เปิดประตูบ้าน ถอยรถเข้าบ้าน ปิดประตูบ้าน กระทั่งมาเปิดประตูรถให้แถมทำท่าจะอุ้มเธออีกด้วย

“จินเดินเองได้” จิรัศยาแตะหน้าอกเขาเบาๆ เป็นเชิงห้ามปราม “คุณเตช่วยหิ้วกระเป๋าให้ก็พอค่ะ”

เตวิชรับฟังโดยง่าย ช่วยเอากระเป๋าออกจากท้ายรถแล้วลากเดินมาหาเธอ จากนั้นก็คว้าหมับมาที่เอวบาง

“ทำอะไรคะ” จิรัศยาถามเสียงหลง ก็เขาดึงเข้าไปใกล้เสียจนแนบชิด

“ช่วยประคองไง”

“แค่ให้จินเกาะแขนก็พอ” ใจเธอเพิ่งหายเต้นรัวไปเมื่อไม่นานนี่เอง เตวิชก็มากระตุ้นให้มีปฏิกิริยาเสียอีกแล้ว

“เดี๋ยวคุณล้ม”

“ไม่...”

“รีบเข้าบ้านเถอะ”

คำแย้งของเธอเป็นอันต้องกลืนลงคอไป พอถึงหน้าประตูเขาก็ยังคงไม่ปล่อยมือกลับบอกให้เธอป้อนรหัสเพราะรู้อยู่แล้ว พอเข้าไปในบ้านได้ก็มีเสียงดังต้อนรับมาจากผู้ช่วยอัจฉริยะที่ไม่ได้ยินมาหลายวัน

“สวัสดีจิน, ยินดีต้อนรับ เธอโอเคใช่ไหม”

จิรัศยายิ้มกว้าง คล้ายได้กลับบ้านตัวเองจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น “สวัสดีจีนี่ ฉันโอเค” เธอตอบขณะเดินไปนั่งยังโซฟาห้องรับแขก ไม่ลืมที่จะมองตามคนป้อนประโยคดังกล่าวที่ตอนนี้เดินหายเข้าไปในห้องครัว แล้วนาทีต่อมาเพลงโปรดที่เธอฟังบ่อยๆ ก็ดังขึ้นเบาๆ

“ขอบคุณค่ะ” จิรัศยารับแก้วน้ำที่เตวิชยื่นให้ขึ้นจิบ ก่อนจะวางลง “รู้ได้ไงว่าจินชอบฟังเพลงนี้” เธออดสงสัยไม่ได้ ปกติตอนอยู่ที่นี่ดูเขาแทบจะไม่ใส่ใจอะไรเลย

“จีนี่บอก”

คนฟังพยักหน้าหงึกหงัก อมยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ แม้จะโยนให้ผู้ช่วยอัจฉริยะแต่ถ้าไม่ใส่ใจสำรวจตรวจสอบมีหรือจะรู้ว่าลิสต์ที่เธอสั่งให้จีนี่ช่วยมีอะไรบ้าง

“คุณไปพักเถอะ ดึกมากแล้ว”

“ค่ะ” จิรัศยาเห็นด้วย ไม่ใช่แค่เธอที่เพลียเตวิชเองก็ทั้งขับรถกลับมาจากบ้านสวน ทั้งขับไปรับเธอที่คอนโดน่าจะเพลียมากกว่า

“ว้าย!” คนที่ตั้งใจจะเดินเขย่งกลับห้องตัวเองเป็นอันต้องหวีดร้องเมื่ออยู่ๆ ตัวก็ลอยหวือขึ้นจากพื้น 

“ผมไปส่ง”

“แต่...”

“พักนี้คุณแย้งผมบ่อยจังนะ”

คนต้องการจะเถียงเลยจำต้องเงียบงันอีกรอบ กระทั่งเขาพาเธอมาถึงห้องแล้ววางลงบนเตียง 

“คุณทำดีกับจินขนาดนี้ เพราะรู้สึกผิดใช่ไหม” จิรัศยาถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดก็หลังจากเกิดเรื่องกับเธอที่บ้านสวนนั่นละ “ถ้าแค่สงสาร หรือเห็นใจละก็...”

คำพูดใดๆ ที่เหลือถูกกลืนลงคอลงไปทันที เมื่อจู่ๆ คนที่ยืนอยู่ก็โน้มตัวลงมาจุมพิตที่ริมฝีปาก 

สัมผัสแรกเริ่มแผ่วเบาหวานละมุน ก่อนจะยื่นมือมาประคองศีรษะแล้วย้ำน้ำหนักลงมาพร้อมขยับเปลี่ยนมุมชิมความหวานให้แนบแน่นและเนิ่นนานขึ้น

คนโดนจูบตะลึงพรึงเพริดในตอนแรก ก่อนจะหลับตาลงเมื่อความแนบชิดเพิ่มมากขึ้น หัวใจดวงน้อยแกว่งไกวราวกับนั่งอยู่บนชิงช้า   

เขาขบเม้มส่งท้ายก่อนจะผละห่างไปพร้อมลมหายใจกระเส่า “ผมไม่ได้สงสาร” เขาพูดแผ่วเบา หัวแม่มือเกลี่ยอยู่ข้างแก้ม “ผมรู้สึกผิดจริงๆ ที่ไม่ดูแลคุณให้ดี”

“ในฐานะอะไรคะ” แม้จะโดนจูบเสียขนาดนี้ แต่สถานะระหว่างเราก็ยังไม่เคยชัดเจน เธอจ้างเขาเพื่อช่วยให้พ้นจากวิกฤติ สัญญาระหว่างเราเป็นหลักฐานยืนยัน ถ้าสิ่งที่เขาแสดงออกเป็นเพียงแค่ทำตามพันธสัญญาละก็ เธอคงต้องเขียนเงื่อนไขเพิ่มเติมแล้วละ

“คุณอยากให้ผมอยู่ในฐานะอะไร ผมก็เป็นได้ทั้งนั้น”

“งั้นเป็น...สามี?”

มุมปากเขายกสูง โน้มใบหน้าลงมาจนจิรัศยาต้องเอนหนีกระทั่งล้มลงไปบนเตียงนอนซึ่งเขาก็คร่อมตามลงมาอีก มือเกลี่ยข้างแก้มเธอแผ่วเบา

“ก็ได้นะ ผมยินดี ไหนๆ เราก็จดทะเบียนกันแล้ว”

“แค่ของปลอมไหม” จิรัศยาว่าแล้วผลักเขาให้ล้มลงไปนอนข้างๆ แทน ทั้งสองเงียบงันกันอยู่ครู่ก่อนจะเป็นจิรัศยาที่พลิกตะแคงหันไปมองหน้าเขาที่มองเธออยู่เช่นกัน “พูดจริงเหรอคะ คุณ...ชอบจิน?”

“อือ”

“ไหนตอนแรกบอกไม่ใช่สเปกไง”

“ไม่ใช่สเปกแล้วชอบไม่ได้เหรอ”

โดนย้อนมาเช่นนี้ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน ยิ่งสบสายตาแพรวพราวก็ยิ่งรับรู้ถึงจังหวะหัวใจตัวเองที่เต้นกระหน่ำยังกับกลองเพลจึงรีบผุดลุกขึ้นนั่ง “งั้นเป็นแฟนกันก่อนก็แล้วกัน”

เตวิชลุกตามมา “แสดงว่าคุณก็ชอบผมเหมือนกัน”

‘ถ้าไม่ชอบจะยอมให้จูบทำไม!’ เป็นประโยคที่ดังในใจ ส่วนปฏิกิริยาที่แสดงออกมีแค่แอบเลียริมฝีปากด้วยความประหม่า ก่อนรวบรวมความกล้าตอบกลับแบบฉะฉานตามสไตล์ “ใช่! ฉันชอบคุณ ชอบมากด้วยยิ่งได้อยู่ใกล้ๆ ยิ่งชอบ โอเคไหม”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ไม่รู้...รู้ตัวอีกทีก็ชอบไปแล้ว” จิรัศยาตอบกลับอย่างเร็ว ก่อนจะนึกขึ้นได้หันไปมองคนหลอกถามอย่างเอาเรื่อง “นี่คุณ!” มือง้างสูงเตรียมทุบแก้เขินเสียหน่อย แต่กลับถูกคว้าไว้แล้วเขาก็ดึงตัวเธอจนลอยเข้าไปในอ้อมอก 

“ผมก็ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะนานมาแล้วก็ได้”

“คุณต้องชอบฉันตั้งแต่แรกพบอยู่แล้ว ก็ฉันน่ะ...”

“จิน จิรัศยา นักแสดงรางวัลดาวทองอวอร์ดสามปีซ้อน” เตวิชช่วยต่อให้ ซึ่งคนฟังก็ยิ้มกว้างแล้วเป็นฝ่ายจุ๊บริมฝีปากเตวิชเสียหนึ่งที

 “ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่อยู่ข้างจินและช่วยจินมาตลอด”

“ผมยินดี ถ้ามีอะไรก็บอกผมกับเพื่อนๆ ผม ห้ามไปวุ่นวายกับคนอื่นอีกก็พอ”

“ทำไมคะ หึงเหรอ” จิรัศยาเอียงคอมองอย่างใคร่รู้

“ผมไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อนโอ๊ย!” เตวิชหลุดร้องอย่างช่วยไม่ได้เมื่อโดนหยิกที่ต้นแขนเต็มแรง แถมคนในวงแขนก็แก้มป่องขึ้นอย่างแสนงอน “ผมจริงจังนะ รับปากก่อนสิ”

“ก็ได้ค่ะ จินจะทำให้คุณเดือดร้อนแค่คนเดียวโอเคไหม” จิรัศยากระแทกกระทั้นพร้อมออกแรงผลักคนตัวโตให้ออกห่าง แต่มีเหลืออีกฝ่ายจะยอมกลับรั้งเธอให้นอนลงไปบนเตียงด้วยกัน

“ง่วงแล้ว นอนกันเถอะ”

“หา!” จิรัศยาร้องเสียงหลง ก่อนจะดิ้นจนหลุดแล้วกลิ้งไปอยู่อีกฝั่ง “ไม่เอานะคะ ยังไม่ใช่เวลานี้”

“คิดอะไรของคุณ ผมหมายถึงนอนเฉยๆ”

“คุณเต!” คนโดนดักคอหน้าตูมอีกรอบ ยิ่งเห็นเขาหัวเราะร่าก็ยิ่งไม่ชอบใจแม้นานๆ จะเห็นก็เถอะ “กลับห้องไปได้แล้วค่ะ พรุ่งนี้คุณต้องไปทำงานนี่”

“ครับ มีอะไรเรียกผมได้ตลอด” เตวิชผมกลุ่มผมยาวอย่างอ่อนโยน ยอมลุกเดินไปที่ประตูห้องแต่โดยดี

 “คุณเต...”

เสียงเรียกทำให้เตวิชหันกลับมา เห็นจิรัศยากวักมือเรียกช้าๆ จึงเดินกลับไปหยุดยืนตรงหน้าแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่พอใจส่งสัญญาณมือไหวๆ ให้ก้มลงไปหา พอทำตามจนอยู่ในระยะที่ใกล้พอสมควรจิรัศยาก็จูบที่หน้าผาก สองแก้มซ้ายขวา และแช่นิ่งที่ริมฝีปากอยู่ครู่ 

“ประทับตราแล้วนะคะ ห้ามยุ่งกับผู้หญิงคนอื่นเด็ดขาด!”

เตวิชยิ้มกว้างกับการโดนจับจองจึงจูบที่หน้าผาก สองแก้ม และริมฝีปากแบบย้ำหนักอีกหนึ่งครั้ง “คุณก็เป็นของผมแล้วเหมือนกัน”

ทั้งสองส่งยิ้มให้กัน เป็นความรู้สึกที่มาจากหัวใจส่งถึงริมฝีปากและดวงตา ดั่งกับเป็นสัญญาณการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่แท้จริง 

 

สถานะที่เปลี่ยนภายในข้ามคืนทำให้จิรัศยานอนไม่ค่อยหลับ พอสะดุ้งตื่นจึงหยิบโทรศัพท์มาดูเวลาพบว่าแปดโมงกว่าเข้าไปแล้ว

“ทำไมจีนี่ไม่ปลุกนะ” เธอสั่งผู้ช่วยอัจฉริยะให้ปลุกตอนแปดโมงเพื่อที่จะได้ลุกไปเตรียมอาหารเช้าให้เตวิชแต่วันนี้กลับเงียบกริบ แม้จะเลยเวลาแต่ก็คิดว่ายังทันเพราะปกติเตวิชจะออกจากบ้านในเวลาเก้าโมงเธอจึงรีบลุกแล้วเดินเขย่งๆ ไปที่ห้องครัว

“คุณเต” การได้เห็นผู้ชายตัวโตในห้องครัวยามเช้าเช่นนี้ทำให้จิรัศยาแปลกใจนิดๆ 

เตวิชวางถ้วยโจ๊กแล้วเดินมาช่วยประคองเธอไปนั่ง “รีบตื่นทำไมครับ น่าจะนอนพักอีกหน่อย”

“จินกะจะมาทำอาหารเช้าให้คุณแต่คงไม่ทัน...” เมนูบนโต๊ะมีทั้งโจ๊ก ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ บ่งบอกว่าเขาออกไปซื้อมาเรียบร้อย

“ของที่คุณซื้อมาเก็บไว้หมดอายุแล้วครับ”

จิรัศยาหันไปมองทางเคาน์เตอร์ครัวก็พบขนมปังกองอยู่หลายห่อ “งานยุ่งจนไม่ได้กลับมานอนบ้านเลยเหรอคะ”

เตวิชพยักหน้าก่อนจะหันไปแกะโจ๊กอีกถุงให้จิรัศยา ช่วงปิดโพรเจกต์มักมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอจึงจำต้องสแตนด์บายตลอด ที่บริษัทก็มีห้องสำหรับให้พนักงานได้พักยามต้องค้างคืน เขาจึงเลือกนอนแทนการเสียเวลาเดินทางกลับมาบ้าน 

“แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วละ ผมแค่เข้าไปเซ็นเอกสารนิดหน่อยก็กลับมาอยู่เป็นเพื่อนคุณได้”

“จินอยู่คนเดียวได้” จิรัศยาแย้ง ขณะรับถ้วยโจ๊กมาวางตรงหน้า “อีกอย่างกล้องวงจรปิดออกเต็มบ้าน ถ้ายังไม่วางใจอีกจินยอมให้คุณลงแอปฯ เลยเอา” เธอยื่นโทรศัพท์ให้อย่างใจป้ำ แต่นอกจากเขาจะไม่รับแล้วยังอมยิ้มกรุ้มกริ่ม ลางสังหรณ์จึงเริ่มทำงานทันที

“ไม่ทันอีกแล้วใช่ไหมคะ”

สีหน้าเตวิชไม่เปลี่ยนไปจากเดิม นั่นเท่ากับเป็นการยืนยันว่าโทรศัพท์ของเธอไม่ปลอดภัยอีกต่อไป จิรัศยาจึงวางลงแล้วตวัดค้อนอย่างเสียไม่ได้ เตวิชก็คือเตวิชร้ายกาจไม่เปลี่ยน!

“คุณห้ามดักฟังฉันตลอดเวลานะ!”

“ผมไม่ได้ว่างขนาดนั้น”

“งั้นคุณรู้ได้ยังไงว่าข้อมูลตรงไหนสำคัญ ตรงไหนไม่สำคัญ” นี่เป็นสิ่งที่จิรัศยาข้องใจมาตลอด เขาลงแอปฯ บันทึกเสียงก็จริงแต่คงไม่บ้านั่งฟังเธอตลอดทั้งวันหรอก

เตวิชเหลือบมองคนตรงข้าม เห็นว่าอยากรู้จริงๆ จึงอธิบายหลักการไปคร่าวๆ “ผมแปลงเสียงสนทนาของคุณเป็นตัวหนังสือแล้วใช้คำที่น่าจะเกี่ยวข้องค้นหาอีกที เช่น ควีนบี คมกฤษ เรนนี่ ก็จะช่วยกรองมาได้ระดับหนึ่ง”

จิรัศยาพยักหน้าช้าๆ “คล้ายกับการดักฟังของโซเชียลต่างๆ สินะคะ เวลาบ่นว่าอยากได้อะไรสักอย่างก็จะขึ้นมาให้เลือกเต็มเลย”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” แม้จะไม่เหมือนทั้งหมด แต่ก็ถือว่าหลักการเดียวกัน

“น่ากลัวจริงๆ” จิรัศยาพึมพำพลางตักโจ๊กเข้าปากบ้าง ส่วนคำนั่งตรงข้ามก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เสียอย่างนั้น 

หลังมื้ออาหารเตวิชก็ออกไปทำงาน ตอนแรกเขาจะเรียกบอดีการ์ดที่แสนศรันย์แนะนำมาอยู่เป็นเพื่อนแต่เธอปฏิเสธเพราะเตวิชไม่อยู่แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น และเธอก็รับปากว่าจะไม่ออกไปไหนแน่นอนอีกฝ่ายเลยวางใจ 

“ถ้ามีอะไรก็โทร. หาผมนะ เดี๋ยวผมให้จะ รปภ.ในหมู่บ้านแวะมาบ่อยๆ” นั่นเป็นประโยคย้ำก่อนเตวิชจะขับบิ๊กไบค์ออกไป และเธอเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านก็เป็นของบริษัทเพื่อนแสนศรันย์

“กว้างขวางกันจริงๆ” แค่คิดว่าเอาตัวมาพัวพันกับใครก็อดขนลุกไม่ได้ แถมตอนแรกยังคิดมาหลอกลวงเสียจนใหญ่โตอีก เธอรนหาที่เองแท้ๆ

 

บุรัสกรมาถึงที่สถานที่ประชุมในสภาพสะโหลสะเหล นอกจากจะนอนน้อยแล้วหัวข้อในวันนี้ยังนอกเหนือจากความรับผิดชอบของเธอเสียอีก พอจับจองพื้นที่ด้านหลังห้องแบบหลบมุมได้ก็ฟุบลงบนโต๊ะอย่างเบื่อหน่าย

 “จะมีใครซวยเท่าฉันบ้างเนี่ย” อดที่จะบ่นไม่ได้ นับตั้งแต่เกิดเรื่องของคมกฤษเธอรู้สึกว่าโดนเพ่งเล็งจากหัวหน้ากองยังไงก็ไม่รู้ งานเล็กงานน้อยยิบย่อยล้วนโยนมาให้ รับผิดชอบตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ขนาดงานของคนอื่นบางทีก็ได้รับมาแบบงงๆ พอแย้งไปก็ไม่ฟังบอกเพื่อนร่วมงานต้องช่วยกัน แต่เจ้าหน้าที่คนนั้นกลับได้ลาพักร้อนสบายใจ

คิดแล้วก็ตีอกชกหัว ช่วงนี้สงสัยเธอจะดวงตกพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกแน่ๆ

“กาแฟหน่อยไหมครับ”

น้ำเสียงนุ่มละมุนที่ไม่คุ้นหูทำให้คนนอนฟุบค่อยๆ แหวกผมตัวเองออกมามอง พอเห็นว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่ไม่เคยรู้จักก็ยืดตัวขึ้น รีบจับผมเผ้าตัวเองให้เข้าที่ พอเขามองแก้วเป็นเชิงพยักพเยิดบุรัสกรจึงรับมาถือไว้เพราะเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายถือมาสองแก้ว 

“ขอบคุณค่ะ เอ่อ...เรารู้จักกันไหมคะ” จะเรียกว่าระมัดระวังตัวก็ได้เพราะโดนย้ำมาจากจิรัศยาและบรรดาเพื่อนของเตวิชว่าเธอก็อาจเป็นหนึ่งในเป้าหมายของแก๊งควีนบี

เขาไม่ตอบแต่กลับยื่นนามบัตรให้ พอได้อ่านและเงยหน้าสำรวจอีกฝ่ายดีๆ ก็เริ่มเข้าเค้าและเข้าใจสถานการณ์

“คุณ...”

“เรียกผมว่าป้องก็ได้ครับ”

รอยยิ้มของคนตรงหน้าดูหวานละมุนไม่มีพิษมีภัย แทบไม่เชื่อเลยว่าจะเป็นสายสืบที่แสนศรันย์แนะนำมาให้เป็นบอดีการ์ดของเธอ

“ค่ะ คุณป้อง น้องมินเล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังบ้างแล้ว” ตอนที่แสนศรันย์เอารูปภาพมาให้เธอยังแทบไม่เชื่อว่าหน้าตาแบบนี้จะมีประวัติโชกโชน มินนภัสยังว่าตอนเกิดเรื่องกับเธอปกป้องก็เป็นกำลังสำคัญในการเข้าช่วยเหลือ “ที่จริงคุณป้องไม่ต้องมาเองก็ได้ค่ะ เบนซ์ไม่ใช่คนสำคัญอะไรขนาดนั้น คุณควรไปเป็นบอดีการ์ดให้ยายจิน”

“ไม่ต้องห่วงครับ ขานั้นนายเตเลือกเฟ้นไปเองกับมือ”

ท่าทางอมยิ้มแบบมีเลศนัยทำให้บุรัสกรคิ้วขมวด 

“นายเตเรกคอมเมนด์มาว่าต้องเป็นผู้หญิงน่ะครับ”

“อ๋อ!” บุรัสกรเข้าใจในทันที ไม่ยักรู้ว่าเตวิชก็มีมุมเช่นนี้เหมือนกัน ปกติเห็นค่อนข้างจะนิ่ง

“ผู้ชายแก๊งนี้ขี้หวงครับ คุณเตนี่ยังน้อย นายแสนนี่หวงน้องมินกระทั่งผู้หญิงด้วยกัน”

“จริงเหรอคะ” คำบอกเล่าดังกล่าวดูจะเหลือเชื่อ แต่พอนึกย้อนดีๆ แล้วก็รู้สึกว่าเป็นไปได้เพราะเธอมักได้รับสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ยามอยู่ใกล้มินนภัส ตอนแรกๆ ยังว่าตัวเองคิดมากไป

“ขานั้นขี้หึง ขี้หวงที่หนึ่ง”

“คุณป้องสนิทกับคุณแสนมากเลยสินะคะ” ใบหน้าอีกฝ่ายยังคงมีรอยยิ้มอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมแววตาวูบไหวแปลกๆ

“ครับ ก็รู้จักกันมาเกือบสิบปี”

“ดีจังค่ะ เบนซ์ก็รู้จักจินกับเรนนี่มานานแล้วเหมือนกัน”

แล้วบทสนทนาของคนทั้งสองก็ติดพัน สรรหาเรื่องมาคุยไม่ขาดทั้งเพื่อน ลมฟ้าอากาศ โดยเฉพาะเรื่องที่ปกป้องมาปรากฏตัวที่นี่ซึ่งเขาก็แฝงตัวอยู่ร่วมกับเธอแบบไม่มีใครสงสัย นั่นทำให้เธอค่อนข้างแปลกใจเพราะการประชุมวันนี้ค่อนข้างภายใน ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ขององค์กรหรือผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นที่เข้าร่วมได้ แต่ถึงแม้จะใคร่รู้เพียงใดก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม รับรู้แต่เพียงว่า ปกป้องน่าจะกว้างขวางและมีอิทธิพลพอตัวเลย

 

เตวิชกลับมาถึงบ้านในช่วงบ่ายคล้อย พอเข้ามาในห้องนั่งเล่นกลับพบจิรัศยานั่งดูซีรีส์อยู่พร้อมกับถุงขนมกองโต

“คุณต้องเพิ่มน้ำหนักเหรอ”

คำถามดังกล่าวทำให้คนดูซีรีส์เพลินๆ ตวัดค้อน ก็แค่ขนมขบเคี้ยวจากร้านสะดวกซื้อไม่กี่อย่างเอง

“กินอะไรมาหรือยังคะ กินด้วยกันก็ได้นะ” เบื่อจะต่อล้อต่อเถียงจึงเชิญชวนแทน เธอสั่งของพวกนี้ผ่านแอปพลิเคชันจากร้านใกล้บ้าน ไม่ได้ผิดคำพูดที่ให้ไว้กับเขาแม้แต่น้อย

เตวิชเดินมานั่งข้างๆ แล้วหยิบกองขนมขึ้นมาดู แล้วก็สะดุดตากับบางสิ่ง “คุณนี่ใจร้อนไม่เบาเลยนะ”

“อะไรคะ” คำถามแปลกๆ ทำให้จิรัศยาละสายตามาเหลือบมอง พบว่าเตวิชชูกล้องสีดำมีรูปสตรอว์เบอร์รีเด่นหราขึ้นมาก็ไม่สนใจมากนัก “ก็แค่หมากฝรั่ง”

“ดูดีๆ สิ”

เขาว่าพลางยัดใส่มือมาให้ จิรัศยาจำต้องหันมาสนใจอีกครั้ง “ไม่เห็นจะมี...” คำพูดสะดุดอยู่แค่ตรงนั้นเมื่อได้อ่านชัดๆ ว่าสิ่งที่อยู่ในมือคืออะไร

“หมากฝรั่งคุณมีแบบผิวเรียบด้วยเหรอ” สีหน้าของคนซื้อของผิดทำให้เตวิชกลั้นขำ ไม่วายขยับเข้าหาแล้วกระแซะต่อ “ไหนขอดูหน่อยสิว่าใช่ไซซ์ผมหรือเปล่า”

จิรัศยารีบเอาไปซ่อนไว้ข้างหลัง สองแก้มแดงปลั่ง ตอนซื้อของเธอไม่ทันสังเกตเห็นโพรโมตผ่านตาว่าราคาเท่ากับที่ขาดอยู่พอดีจึงกดสั่งเพราะอยากได้ส่วนลดเพิ่ม

“จินไม่ได้ตั้งใจซื้อมานะ”

“ผมคิดว่าคุณตั้งใจเสียอีก”

“บ้าเหรอ! จินยังไม่อยากได้ตัวคุณตอนนี้หรอก” จิรัศยายืนยันขันแข็ง อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองกล้ามอกและหน้าท้องที่เคยเห็นยามไร้เสื้อผ้า แม้จะเชิญชวนให้อยากรู้อยากลองแต่เธอก็จะอดทนไว้

“อือ...งั้นผมควรระวังตัวไว้สินะ เกิดวันไหนคุณอยากได้ผมขึ้นมา”

“ถึงตอนนั้นคุณก็ไม่มีทางหนีพ้น” จิรัศยาว่าแล้วผุดลุกขึ้น

“คุณจะไปไหน”

“ง่วง! จะไปงีบสักหน่อย”

แล้วคนขาเจ็บก็กะเผลกด้วยความเร็วสูงหายเข้าห้องไปทันที เตวิชจึงได้แต่หลุดขำ ภาพที่เคยเห็นผ่านหน้าจอทีวียามเจ้าหล่อนสวมบทบาทนางร้ายสุดแซ่บหรือภรรยาน้อยสุดเซ็กซี่ดูจะห่างไกลจากตัวจริงเสียเหลือเกิน 

ก็ยังเป็นสาวน้อยคนนั้นเหมือนเดิม...

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น