14

ความรู้สึกที่เริ่มก่อตัว

๑๔ 

ความรู้สึกที่เริ่มก่อตัว

 

 แสงแดดสาดส่องบวกสายลมโชยเอื่อยยามเช้า ส่งผลให้คนนอนหลับสนิทในช่วงหลายชั่วโมงที่ผ่านมาค่อยๆ ลืมตา พอเริ่มขยับตัวก็หลุดปากร้องโอยออกมาเบาๆ ด้วยความเมื่อยขบไปทั่วสรรพางค์กาย จิรัศยากะพริบตาปริบๆ เพื่อตั้งสติอยู่ครู่ก็จำได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นและตอนนี้พักอาศัยอยู่ที่ไหน 

เธอยันกายขึ้นช้าๆ เพราะร้าวระบมไปหมด ข้อมือและต้นแขนเป็นรอยเขียวช้ำคง ตลบผ้าห่มออกก็เห็นข้อเท้าที่ถูกพันด้วยผ้ายืดพันไว้ อีกทั้งบริเวณแก้มก็รู้สึกตึงจนแทบจะขยับปากไม่ได้จึงเอื้อมไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่หัวเตียงเพื่อควานหากระจกมาส่องดู 

 “บวมเป่งเลยแฮะ” รอยแดงที่แก้มเขียวช้ำชัดเจน เธอคงโผล่ออกสื่อไม่ได้อีกหลายวันทีเดียว ดีหน่อยที่ช่วงนี้ไม่มีอีเวนต์เข้า เข้ากองถ่ายอีกทีก็อีกห้าวันข้างหน้าตอนนั้นก็คงหายเป็นปกติ 

 “แล้วยายเบนซ์ไปไหนละเนี่ย” เธอไม่เห็นแม้เงาของเพื่อนสนิท จึงคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงมาลองเปิดดู พบว่าใช่งานได้จึงคาดเดาว่าเตวิชคงเอามาวางไว้ให้เพราะเมื่อคืนเธอฝากให้เขาช่วยดู 

จิรัศยาส่งข้อความถามบุรัสกรว่าอยู่ที่ไหนซึ่งรอไม่นานก็ได้คำตอบว่าอยู่ที่สวนกับพิมพ์พิช ธนวัฒน์และเตวิช

 “พร้อมหน้าเชียว” บ่นด้วยความขัดใจที่บุรัสกรไม่คิดจะปลุกกันบ้าง ปล่อยให้เธอเป็นคุณนายตื่นสายอยู่คนเดียว “ขึ้นมาช่วยฉันหน่อย ฉันเดินไม่ถนัด” มือพิมพ์ปากก็พึมพำไปพอฝ่ายนั้นรับปากจึงวางโทรศัพท์แล้วมองสำรวจรอบไปพลาง ห้องนอนสำหรับแขกของบ้านวริทธิ์นันท์ไม่กว้างขวางนัก การตกแต่งให้สีโทนอ่อน โต๊ะ ตู้ เตียง สีสไตล์เข้ากันเป็นอย่างดีมีห้องน้ำในตัว ฝั่งซ้ายเป็นประตูกระจกสู่ระเบียงด้านนอกที่สูงจากพื้นจดเพดาน เปิดแง้มไว้เล็กน้อยทำให้สัมผัสถึงสายลมที่โชยเบาๆ 

จิรัศยาเห็นเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัววางอยู่เก้าอี้ปลายเตียง “เปลี่ยนเสื้อผ้าเลยดีกว่า” พอบุรัสกรมาถึงจะได้ให้ช่วยพยุงไปห้องน้ำเลย ฝ่ายนั้นจะได้ไม่ต้องรอนาน เธอปลดกระดุมชุดนอนที่เป็นเสื้อเชิ้ตความยาวคลุมเข่าออกจนหมดแผงยังไม่ทันถอดออกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

 “เข้ามาสิยะ จะเคาะทำไม” ปกติเธอกับบุรัสกรไม่จำเป็นต้องมีมารยาทระหว่างกันแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันยังเคยมาแล้วเลย “หยิบผ้าขนหนูให้หน่อยสิ” แม้จะวางอยู่ข้างกายแต่ความระบมตอนนี้ย่อตัวก็นับว่ายากแล้ว 

จิรัศยาตลบเสื้อออกจากไหล่ทั้งสองข้าง แต่จู่ๆ ก็โดนคว้าไว้หมับ “อะไรของแก”

 “ไปถอดในห้องน้ำ”

 น้ำเสียงห้าวเข้มบ่งบอกว่าไม่ใช่บุรัสกรแน่ จิรัศยาจึงกลับหลังหันในทันใด พอเห็นว่าเป็นใครดวงตาก็เบิกกว้าง 

 “คุณ!” สองขาขยับหนีแต่คงเผลอทิ้งน้ำหนักมากเกินไปจึงเสียหลักหงายหลัง และมือก็ดันว่องไวคว้าคนตรงหน้าล้มตามลงไปด้วย       

 “ว้าย!” สิ้นเสียงร้อง ภายในห้องก็เงียบกริบ...เงียบจนได้ยินเสียงบางอย่างที่ดังระรัว เตวิชล้มตามเธอลงมา ใบหน้าของเขาซุกอยู่ที่ลำคอของเธอ ส่วนใบหน้าเธอก็หันหนีไปอีกทางอย่างอัตโนมัติประวัติศาสตร์จูบกันจนปากแตกจึงไม่ซ้ำรอย

 “เป็นอะไรหรือเปล่า”

 คนเมินหน้าหนีใจยังสั่นไม่กล้าแม้แต่จะหันมาสบตา รับรู้ว่าเขายันตัวขึ้นเล็กน้อยจึงตวัดแขนกอดเขาให้ล้มลงมาเช่นเดิม

 “อะไรกันคุณ”

 จิรัศยาไม่กล้าตอบว่าไม่ได้ใส่ชุดชั้นใน “คุณ...หลับตาก่อน”

 “หา?”

 “เถอะน่า แล้วทำไมเป็นคุณล่ะ”

 “คุณเบนซ์บอกว่าคุณให้ผมขึ้นมา”

 ฟังคำตอบแล้วจิรัศยาก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพื่อนรักเธอนี่ช่างแสนรู้จริงๆ 

 “แต่คุณน่าจะให้คุณเบนซ์มาจะดีกว่า” เตวิชหลับตาตามที่จิรัศยาบอก ไม่อยากมองอะไรๆ ที่มันอะร้าอร่ามเชิญชวนสายตาเหมือนกันเพราะแค่สัมผัสก็ชวนให้อะไรๆ ตอบสนองแบบไม่ทันตั้งตัว

 “จินก็...” จิรัศยาไม่ทันแก้ต่าง จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดอีกรอบ พร้อมกับแขกที่กรูกันเข้ามา

 “อะไรๆ เกิดอะไรขึ้น” เป็นบุรัสกรที่นำมาคนแรก ตามด้วยพิมพ์พิชและปิดท้ายด้วยธนวัฒน์     

“เฮ้ย! ไอ้หมอหันไป” เตวิชโวยวาย ฟุบลงช่วยปิดบังร่างกายคนใต้ร่างอีกหน มือก็ควานหาผ้าห่มมาคลุม

 “โทษทีค่ะ พวกเราได้ยินเสียงร้องเลยวิ่งมาดูไม่ได้ตั้งใจขัดจังหวะนะคะ” พิมพ์พิชกล่าวอย่างขัดเขิน ก่อนจะดันสามีให้กลับออกไปด้วยกัน 

 “โทษทีนะแก ต่อเลยๆ” ปิดท้ายด้วยบุรัสกรที่มองทั้งคู่ตาลุกวาว ค่อยๆ ขยับถอยหลังคว้าลูกบิดประตูปิดให้ดังเดิม

 “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ” เตวิชแก้ต่างแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยินเสียแล้ว “ให้มันได้อย่างนี่สิ” จะเรียกว่าจังหวะนรกก็ไม่ผิด เตวิชถอนหายใจพอหันมองคนใต้ร่างนึกว่าจะขัดเขินจนไม่กล้าสู้หน้าแต่กลับนอนมองเขม็ง

 “อะไรคุณ”

 “ต่อไหม?” จิรัศยาแสร้งคนหน้าแดงอย่างนึกสนุก สองมือตวัดรอบลำคอ เปลือกตากะพริบปริบๆ อย่างเชิญชวน

 “อือ...ก็น่าสนใจอยู่” เตวิชตามน้ำ ค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมาแต่ยังไม่ทันได้สัมผัส คนกล้าหยอกเย้าเขาเมื่อครู่ก็เปลี่ยนท่าทีทันควัน 

 “จินไปอาบน้ำดีกว่า”

 เห็นคนปากเก่งหน้าแดงทำตัวไม่ถูกก็แอบขำ เตวิชหลับตาแล้วยันตัวขึ้น พอหันหลังก็คว้าผ้าเช็ดตัวยื่นให้ 

 จิรัศยาก็คว้ามาห่อตัวไว้ทันที “เสร็จแล้วค่ะ”

 เตวิชเหลือบมองพอเห็นว่าเรียบร้อยจริง จึงขยับมาขนาบข้าง มือวางหมับไปที่เอว

 “ทำอะไรคะ” คนใจเต้นระส่ำยังหวั่นๆ สายตาเมื่อครู่ติดตรึงเสียจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

 “พาคุณไปอาบน้ำไง”

 “ต้องใกล้ขนาดนี้เลยเหรอ” ถ้าเป็นบุรัสกรคงแค่จับแขนเธอไปพาดบ่าแล้วพยุงไป แต่นี่ตัวเธอแทบจะแนบสนิทไปกับคนตัวสูงใหญ่แล้ว

 “ผมกลัวคุณล้มน่ะ”

 คำกระซิบข้างหูทำให้ใจหวิวๆ อย่างบอกไม่ถูก จิรัศยาเอนหน้าหนีเมื่อเขาโน้มตัวลงมา สีหน้ากรุ้มกริ่มที่แทบไม่เคยได้เห็นทำเธอรับมือไม่ถูกจริงๆ    

 “หรือจะให้อุ้ม”

 ไม่ทันให้เวลาคิดตรึกตรอง ตัวเธอก็ลอยจากพื้นเสียแล้ว 

 “ต้องบริการอาบน้ำให้ด้วยไหม”

 “หา! ไม่ต้องๆ” จิรัศยาปฏิเสธเสียงหลง เขาเดินไม่กี่ก้าวก็พาเธอมาถึงห้องน้ำ พอเท้าสัมผัสพื้นก็รีบดันคนตัวโตออกไปแล้วรีบปิดประตูทันที “แค่ล้อเล่นเอง มาอารมณ์ไหนเนี่ย” เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เห็นเตวิชมีเสน่ห์ในแบบผู้ชายควรจะมี แววตาที่ได้จ้องมองระยะประชิดเมื่อครู่ร้อนแรงเสียจนเธอแทบหลอมละลาย

 “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูทำให้คนที่อยู่ในห้องน้ำสะดุ้ง

 “มะ...มีอะไรคะ”

 “เสื้อผ้าน่ะ คุณไม่ได้เอาเข้าไป”

 “วางไว้ตรงนั้นละค่ะ” เธอยังไม่อยากเจอเขา ยิ่งมองกระจกแล้วเห็นว่าสองแก้มแดงปลั่งขนาดไหนก็ไม่กล้าสู้หน้า 

 “บนพื้นนี่น่ะเหรอ”

 “ค่ะ วางๆ ไว้ตรงนั้นแหละ”

 “อือ แต่เหมือนจะมีชุดชั้นในด้วยนะ”

 จิรัศยาหน้าตาตื่น จำต้องค่อยๆ แง้มประตูแล้วยื่นมือออกไปรับ ซึ่งเตวิชก็ยังแกล้งไม่เลิก คว้ามือไปกุมก่อนจะวางเสื้อผ้าตามมา เธอรีบดึงมือกลับแล้วปิดประตูอย่างรวดเร็ว หันหลังพิงประตูแล้วยกมือกุมหัวใจที่เต้นกระหน่ำ

 “แย่แล้วยายจิน แย่แล้ว” เธอไม่เคยเจอใครที่ทำให้รู้สึกราวกับขึ้นรถไฟฟ้าเหาะได้ขนาดนี้ มันวูบๆ วาบๆ ยามเขาสัมผัสก็ชวนให้หวิวๆ แม้แต่กับชานนท์ก็ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เลย

 จิรัศยาใช้เวลาสงบจิตสงบใจอยู่นานกว่าจะไปอาบน้ำชำระร่างกาย พอเปิดประตูห้องน้ำออกมาก็พบว่าเตวิชยังนั่งรออยู่ที่ปลายเตียงพอเห็นเธอก็ลุกขึ้นมาช่วยพยุงไปนั่ง

 “คุณเบนซ์บอกว่าคุณต้องใช้ของพวกนี้ผมเลยไปยืมน้องพิชมาให้” เตวิชปรายตาไปทางตะกร้าบรรจุครีมทาผิวยี่ห้อดังหลายขวด “บางขวดน้องพิชก็ใช้ไปบ้างแล้วคุณคงไม่ถือ”

 “ไม่เลยค่ะ ขอบคุณมาก” จิรัศยาแอบบวกคะแนนให้คนเอาใจใส่

 “แต่ชุดชั้นใน น้องพิชบอกว่าเป็นของใหม่นะ คุณใส่ได้พอดีหรือเปล่า”

 “เอ่อ ไม่ต้องอยากรู้ก็ได้มั้งคะ” คำถามนี้จิรัศยาขัดเขินเกินกว่าจะตอบ คาดว่าไม่ใช่แค่เธอคนเดียวหรอกที่ต้องพึ่งพาเสื้อผ้าของพิมพ์พิช บุรัสกรก็คงไม่ต่างกัน แต่เพราะเป็นบ้านของดีไซเนอร์จึงค่อนข้างมีเสื้อผ้าหลายไซซ์และหลายแบบ

 “ครับ”

 คำสั้นๆ แต่เล่นเอาคนฟังไม่กล้าสบตา เธอหยิบตะกร้าครีมทาผิวไปจัดการตัวเองก่อนจะบอกเขาเมื่อเรียบร้อย

 “ทำอะไรคะ” จิรัศยาจำต้องถามเมื่อเขาย่อตัวคล้ายจะอุ้มเธออีกรอบ

 “ทำอย่างที่คุณคิดนั่นละ”

 “หา!” คนจินตนาการล้ำหน้าเหลอ แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายกลั้นยิ้มจึงแสร้งเมินไปทางอื่น

 “ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า”

 เขาคงเดาได้ว่าเธอฟุ้งซ่านขนาดไหน ยิ่งพอได้ฟังก็ดั่งกับหล่นตุบลงมาจากความเพ้อฝันยังไงไม่รู้            “มันยังไม่ถึงเวลา”

 จิรัศยามองคนพูดด้วยหางตาซึ่งเขาก็มองอยู่คล้ายอยากให้ถามต่อ แต่เธอเลือกที่จะนิ่งเฉยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินไปเสียอย่างนั้น

 นั่นสิ! ทุกอย่างมีเวลาของมัน ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาก็เช่นกัน

 

 จิรัศยาไม่รู้สึกขัดเขินต่อสายตาผู้คนมานานแล้ว แต่พอเตวิชอุ้มเธอมายังศาลากลางสวนสไตล์อังกฤษของบ้านวริทธิ์นันท์กลับทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญกับสายตาหลายสิบคู่ของคนนับสิบคน 

 เธอถูกวางลงข้างๆ บุรัสกรที่นั่งยิ้มแฉ่งอย่างล้อเลียน จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปหยิกต้นขาเบาๆ เพื่อปราม 

 “เป็นยังไงบ้างคะคุณจิน ดีขึ้นบ้างหรือยัง”

 “ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ขอบคุณคุณพิชกับคุณหมอมากนะคะ” จิรัศยากล่าวอย่างซาบซึ้งใจ ก่อนจะมองเลยไปทาง มินนภัสกับแสนศรันย์ที่นั่งอยู่ด้วย “ขอบคุณคุณมินกับคุณแสนด้วยค่ะ ถ้าไม่ได้ทุกคนจินคงแย่”

 “พูดอะไรอย่างนั้นล่ะคะ มินบอกแล้วไงว่าเราคนกันเอง” มินนภัสแย้มยิ้ม ด้วยได้ฟังความคืบหน้าจากพิมพ์พิชมาแล้วว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น

 “คุณจินทานอะไรรองท้องก่อนดีไหมคะ เดี๋ยวจะได้ให้หมอแทนดูแผลให้” พิมพ์พิชยื่นขนมปังกับนมให้ ควันที่ลอยกรุ่นบ่งบอกว่าเพิ่งเตรียมมาสดๆ ร้อนๆ “หรืออยากได้พวกข้าวต้มกับโจ๊กก็ได้นะคะ พิชสั่งแม่บ้านเตรียมให้ได้”

 “ไม่เป็นไรค่ะ มื้อเช้าจินก็ทานขนมปังกับนมนี่ละค่ะ”

 “เป็นอย่างที่คุณเตบอกจริงๆ ด้วย”

 มือที่ถือขนมปังเตรียมเข้าปากชะงัก จิรัศยาหันมองคนพูดอย่างมินนภัสก่อนจะมองเลยไปทางเตวิชที่บัดนี้ไปนั่งเงียบๆ อยู่ข้างแสนศรันย์

 “แบบนี้คุณเบนซ์ก็แพ้สินะคะ” พิมพ์พิชเป็นลูกคู่ แล้วสามสาวก็หัวเราะกันคิก

 “นั่นน่ะสิคะ เบนซ์อยู่กับยายจินมาตั้งหลายปี ไม่เห็นค่อยกินอาหารเช้าเลย ไม่คิดว่าไปอยู่กับคุณเตไม่นานพฤติกรรมจะเปลี่ยนไป” บุรัสกรร่วมด้วยช่วยเผาเพื่อนอย่างนึกสนุก

 จิรัศยาดึงชายเสื้อเพื่อนเพื่อให้หยุดเผา ก่อนจะกินขนมปังกับนมเพื่อหลบเลี่ยงความสนใจจากทุกคน 

ระหว่างนั้นก็มีเสียงเจื้อยแจ้วดังมาแต่ไกล พอหันไปมองก็พบว่าเป็นสรวิศที่อุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวอีกคน

 “ฉาหวัดดีค่าทุกคน ยิหวามาแล้ว” เด็กหญิงตัวน้อยส่งยิ้มร่า โบกไม้โบกมือมาแต่ไกล แถมยังดิ้นจะลงจนผู้เป็นพ่ออย่างสรวิศต้องยอม พอเท้าแตะพื้นเท่านั้นแหละเด็กน้อยก็วิ่งปร๋อเข้ามาหาทุกคนทันที 

 “ยิหวาหิวจังค่ะลุงแฉน” พี่ชายฝาแฝดของบิดาดูจะเป็นคนแรกที่โดนอ้อน และมินนภัสก็คือรายต่อไป “มีอะไรให้ยิหวากินบ้างคะอามิน”

แม้จะเป็นภรรยาของแสนศรันย์แต่ก็ยังถูกเรียกว่าอาอย่างติดปากตามที่มินนภัสขอ ด้วยไม่อยากถูกเรียกว่าป้าตั้งแต่อายุยังไม่สามสิบ

 “อาว่ายิหวาต้องถามอาพิชแล้วละค่ะ”

สิ้นคำของมินนภัส เด็กน้อยก็ถลาไปซบพิมพ์พิชต่อ

 “อาพิชขา”

 พิมพ์พิชอ้าแขนรับแล้วอุ้มมานั่งบนตัก ธนวัฒน์ที่นั่งข้างๆ ก็ยกมือลูบผมอย่างเอ็นดู

 “ยิหวาอยากกินอะไรคะ”

 “อือ...ยิหวาอยากกินคุกกี้กับเค้กค่ะ”

 “ได้สิคะ เดี๋ยวอาพิชบอกแม่บ้านทำให้”

 “เย้! ขอบคุณค่ะ” เด็กน้อยปรบมืออย่างดีอกดีใจ ก่อนจะหันไปเห็นว่ามีคนแปลกหน้านั่งอยู่ด้วยอีกสองคน สายตาใคร่รู้ทำให้พิมพ์พิชต้องเป็นฝ่ายแนะนำ

 “คนนี้อาจินค่ะ ส่วนนั่นอาเบนซ์เพื่อนของอาจิน”

 เด็กหญิงไถลตัวลงจากอกของพิมพ์พิชแล้วยกมือไหว้พร้อมแนะนำตัวอย่างเสร็จสรรพ

 “ซาหวัดดีค่ะ อาจิน อาเบนซ์ หนูชื่อยิหวาเป็นลูกของแม่ขวัญกับพ่อเฉือค่ะ” เด็กหญิงแก้มป่องส่งยิ้มแฉ่ง และดูจะให้ความสนใจกับจิรัศยาเป็นพิเศษ “อาจินเป็นแฟนอาเตใช่ไหมคะ”

 คำถามดังกล่าวเล่นเอาบรรดาผู้ใหญ่พากันอมยิ้ม ต่างรอฟังว่าจิรัศยาจะตอบเช่นไร

 “เอ่อ...คือ” คนโดนถามอึกอัก ไม่รู้จะอธิบายความสัมพันธ์ ณ ขณะนี้ต่อหน้าเพื่อนสนิทของเตวิชยังไง เพราะทุกคนน่าจะรู้เรื่องเงื่อนไขของเธอกับเขาอยู่แล้ว

 “ยิหวา อาว่า...” เตวิชคิดจะช่วย แต่ก็โดนคนตัวเล็กหันมองดุๆ

 “ชู่! ยิหวาไม่ได้ถามอาเตนะคะ อาเตห้ามแทรก”

 พวกผู้ใหญ่พากันกลั้นหัวเราะ พากันลุ้นคำตอบจากจิรัศยา

 “ใช่ไหมคะอาจิน” คราวนี้ยิหวาไม่พูดเปล่า เดินไปจับมือเขย่าราวกับคาดคั้นอีกต่างหาก

 คำถามย้ำทำให้จิรัศยายิ่งอึกอัก ก่อนจะยอมรับออกมาอย่างเสียไม่ได้ “ค่ะ”

 “เย้! อาเตมีแฟนแล้ว”

 อาการกระโดดโลดเต้นราวดีใจหนักหนาทำให้คนส่วนใหญ่พากันหัวเราะ มีแต่จิรัศยากับบุรัสกรที่ดูจะงงๆ ว่าแค่การมีแฟนของเตวิชจะน่าดีใจอะไรหนักหนา

 “ฉาวๆ จะได้เลิกมายุ่งกับยิหวาเฉียที อาจินรู้ไหมคะ เวลาไปงานแล้วมีคนรู้ว่าอาเตเป็นเพื่อนฉะหนิดพ่อเฉือจะชอบมาขอให้ยิหวาช่วยขอเบอร์อาเตอยู่เรื่อย”

 แล้วคำเฉลยก็ไม่ต้องรอนาน ซึ่งพอได้ฟังเตวิชถึงกับต้องลุกมาอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยออกไป “พูดอะไรนะเรา”

 “ก็จริงนี่คะ ขนาดคุณครูที่โรงเรียนยังชอบมาถามว่ามีเพื่อนคุณพ่อที่ยังโฉดไหม พอยิหวาบอกว่ามี ก็ขอเบอร์กันใหญ่ ยิหวาไม่ชอบเลย”

ทุกคนรู้ดีว่าเด็กน้อยไม่โกหกจึงหัวเราะครืน ส่วนเตวิชก็ได้แต่ก้มหอมแก้มหลานอย่างเอ็นดู

 “คุณแม่ถ่ายรูปอาจินให้ยิหวาด้วยนะคะ ยิหวาจะเอาไปให้ทุกคนดูเลย”

 พาขวัญส่ายหน้ากับความคิดความอ่านที่ดูจะเกินวัยของลูกสาว ก่อนจะเอ่ยปรามและขอโทษจิรัศยา      “อย่าถือสายิหวาเลยนะคะคุณจิน”

 “ไม่หรอกค่ะ ช่างเจรจาขนาดนี้น่ารักดีค่ะ” จิรัศยามองเตวิชกับยิหวาที่ยังหยอกล้อกันอยู่อีกมุม ก่อนสรวิศจะเข้ามาแจมและแนะนำภรรยาอย่างเป็นทางการ

 หลังจากพูดคุยกันพักใหญ่ๆ ก็เริ่มเข้าสู่ประเด็นที่เกิดขึ้นกับจิรัศยาเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา พาขวัญ มินนภัสและพิมพ์พิชจึงพายิหวาแยกตัวออกไป ที่เหลือจะได้หารือกันได้สะดวก

 “ลุงสุพลสั่งอายัดตัวนายกฤษกับพวกไว้แล้ว คงไม่ได้ประกันตัว” สรวิศเอ่ยถึงกลุ่มคนร้ายที่ถูกจับไปเมื่อคืน 

 “เดี๋ยวคุณจินคงต้องไปชี้ตัวผู้ต้องหา แล้วให้ปากคำเพิ่มอีกนิดหน่อยนะครับ”

 “ค่ะ” จิรัศยารับคำก่อนจะนึกอะไรออก หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา “จินแอบอัดเสียงไว้ด้วยค่ะ น่าจะพอเป็นหลักฐานได้” ว่าแล้วก็เปิดคลิปเสียงให้ทุกคนฟังซึ่งหลักฐานก็ชัดเจน

 “ที่น่าเป็นห่วงตอนนี้ก็เรื่องสตาร์บีนี่แหละ” ทุกคนพยักหน้าตามคำพูดของธนวัฒน์ เพราะนั่นเท่ากับว่าจิรัศยาต้องถูกตามล่าตัวอย่างหนักไม่แพ้กับที่เรนนี่และสตาร์บีคนอื่นๆ เคยเผชิญ

 “กูลองเข้าไปดูแล้ว ยังไม่มีภาพหลุดของจินแต่ก็เริ่มมีภาพในชีวิตประจำวันออกมา” เตวิชเอ่ยพลางวางโทรศัพท์อีกเครื่องที่เปิดห้องแชตดังกล่าววางลงกลางวง

 จิรัศยาคว้าไปดูพร้อมบุรัสกรเพื่อเช็กให้แน่ใจ พบว่าภาพที่อัปเดตล่าสุดเมื่อวานช่วงหัวค่ำ เป็นภาพตอนเธออยู่ที่กองถ่าย นั่นแสดงว่าความรู้สึกราวกับถูกจับจ้องอยู่ตลอดเวลาเป็นเรื่องจริง

 “ผมว่าคุณควรเลิกไปถ่ายละครสักพัก” สตาร์บีแต่ละคนมีวาระ ซึ่งที่ผ่านๆ มามักมีภาพหลุดออกมาก่อนจะครบสามเดือนหลังจากนั้นก็แทบไม่ถูกกล่าวถึงอีก แต่กรณีนี้เหมือนจิรัศยาจะถูกแต่งตั้งเพื่อล่าค่าหัวโดยเฉพาะ 

 คนฟังนึกกลัวขึ้นมาจริงๆ แต่ว่าจะเอาเหตุผลนี้ไปบอกกองถ่ายก็ดูเหมือนจะฟังไม่ขึ้น เพราะถ้าต้องแลกกับเม็ดเงินที่เสียหาย ความเดือดร้อนของเธอดูเล็กน้อยไปเลย 

 “คงยากค่ะ”

 “หรือแกถอนตัวจากละครเรื่องนี้ดี” บุรัสกรเสนอ เพราะเห็นว่าเพิ่งถ่ายได้ไม่นาน

 “คนอื่นจะพลอยเดือดร้อนไปด้วยนะสิ” จิรัศยาถอนหายใจ แม้จะไม่ได้เป็นนางเอกแต่ก็เป็นหนึ่งในตัวหลัก แถมฉากที่ถ่ายๆ ไปส่วนมากก็เป็นฉากในโรงเรียนซึ่งมีนักแสดงหลักและตัวประกอบค่อนข้างเยอะ  

 “ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ต้องมีตัวช่วย” เป็นความคิดของคนที่นานๆ จะเอ่ยออกมาทีอย่างแสนศรันย์ ซึ่งสรวิศ ธนวัฒน์และเตวิชต่างพยักหน้า ปล่อยให้สองสาวที่เหลือพากันงงว่าตัวช่วยที่ว่าคืออะไร

 “ฝากนายจัดการด้วยก็แล้วกัน” เตวิชเอ่ยสำทับ แสนศรันย์จึงลุกออกไปโทรศัพท์ในทันที

 จิรัศยาอดไม่ได้ที่จะถามไถ่ จึงเอนตัวไปถามเตวิชซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ “ตัวช่วยอะไรเหรอคะ”

 “บอดีการ์ด”

 “คะ? ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ หรือถ้าต้องมีจริงๆ เดี๋ยวจินให้ทางบริษัทจัดการให้” จิรัศยารีบปฏิเสธด้วยความเกรงใจ

 “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะครับ รับรองว่าไว้ใจได้”

 เมื่อสรวิศกล่าวเช่นนั้น แถมเตวิชยังพยักหน้าย้ำมาอีกจิรัศยาจึงพูดอะไรไม่ออก 

 “คนร้ายรู้จักคุณเบนซ์ด้วย ควรมีบอดีการ์ดเหมือนกันนะครับ” เตวิชแสดงความคิดเห็น เนื่องจากตอนเกิดเรื่องครั้งที่แล้วบุรัสกรก็อยู่กับจิรัศยา

 “เบนซ์ไม่ใช่คนมีชื่อเสียง คงไม่ต้องหรอกมั้งคะ”

 “ป้องกันไว้ไม่เสียหลาย เดี๋ยวฉันจ่ายเอง” จิรัศยากระซิบบอกเพื่อนก่อนจะหันไปบอกเตวิชให้ทำตามนั้น 

 ทั้งหมดปรึกษากันอยู่อีกพักใหญ่ พอใกล้เที่ยงก็มีเด็กน้อยวิ่งมาตามให้ไปรับประทานอาหาร ตกบ่ายเตวิชกับแสนศรันย์ก็พาจิรัศยาและบุรัสกรสถานีตำรวจ เสร็จจากนั้นมินนภัสก็มารับแสนศรันย์กลับไปก่อน เตวิชจึงพาสองสาวไปโรงพยาบาลต่อเพื่อให้จิรัศยาได้ตรวจร่างกายซึ่งก็ไม่พบว่ามีอะไรร้ายแรงนอกจากอาการภายนอกที่ได้ธนวัฒน์ช่วยรักษาเบื้องต้นให้แล้ว 

 “คุณเตช่วยแวะห้างให้จินหน่อยได้ไหมนะ” จิรัศยาเอ่ยขณะกำลังขับรถออกจากโรงพยาบาล เหตุเพราะเธอกับบุรัสกรตกปากรับคำว่าจะค้างที่บ้านสวนต่ออีกคืน แล้วค่อยเดินทางกลับพรุ่งนี้ช่วงเย็นพร้อมธนวัฒน์และพิมพ์พิช 

 “ครับ อยากไปห้างไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”

 “ไม่ค่ะ ที่ไหนก็ได้จินอยากซื้อของใช้ส่วนตัวนิดหน่อย”

 เตวิชพยักหน้าหันไปตั้งใจขับรถที่ยืมธนวัฒน์มา ส่วนจิรัศยาก็ได้รับข้อความจากคนที่นั่งอยู่เบาะหลังซึ่งขยันส่งสติกเกอร์มาแซวเธอเหลือเกิน

 ‘ตามใจเก่ง’

 จิรัศยาอ่านแล้วเหลือบมองผ่านกระจก เห็นบุรัสกรทำหน้าล้อเลียนก็ได้แต่เขม่นมองด้วยไม่อยากให้เตวิชระแคะระคายจนพานลำบากใจ

 แต่ท่าทางของเธอคงชัดเจนมากไป คนขับถึงหันมาถามด้วยความสนใจ “มีอะไรหรือเปล่า”

 “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” จิรัศยาตอบแล้วหันไปตวัดค้อนใส่เพื่อนเสียอีกหนึ่งที

 “ว่าแต่คุณจะไปเดินห้างสภาพนี้นะเหรอ ไม่น่าจะไหวนะ”

 พอเตวิชพูดจิรัศยาก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ นอกจากแก้มที่ยังบวมเปล่งแล้วขาก็ยังกะเผลกจนเดินไม่ถนัด ตอนอยู่โรงพยาบาลยังดีที่มีรถเข็นช่วยแต่ตอนนี้มีแค่เตวิชกับ...

 “ได้สิคะ เดี๋ยวจินให้ยายเบนซ์ช่วยประคองใช่ไหม?” จิรัศยาหันไปหาตัวช่วย ซึ่งก็ช่วยได้จริงๆ โดยการส่ายหน้าระรัว

 “ไม่ไหวหรอก แกสูงกว่าฉันตั้งเยอะ เดินสองสามก้าวคงล้ม”

 จิรัศยาชักสีหน้าใส่คนเปิดทางโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ

 “คุณเตไง คุณเตช่วยพายายจินไปซื้อหน่อยได้ไหมคะ เบนซ์ก็ว่าจะไปซื้อของใช้ส่วนตัวเหมือนกัน”

 เตวิชมองจิรัศยาเป็นเชิงถาม แต่แล้วสาวเจ้าก็มีทางออกดีกว่าที่คิด

 “งั้นแกก็ไปซื้อให้ฉันเลยก็แล้วกัน แกรู้อยู่แล้วนี่ว่าฉันใช้อะไรบ้าง”

 “หา!”

 “ตามนี้แหละ ฉันเจ็บขาไม่อยากเดินมาก” จิรัศยาขำเมื่อหันไปมองเพื่อนแล้วอีกฝ่ายทำปากขมุบขมิบใส่ที่แผนไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจ พอหันกลับมาก็พบเตวิชอมยิ้มมองเธอสลับกับมองถนนอยู่

 “ยิ้มอะไรคะ”

 “พวกคุณสนิทกันดีนะครับ” เตวิชกล่าวตามตรง ด้วยเพื่อนสนิทมีแต่ผู้ชาย ที่บริษัทแม้จะค่อนข้างสนิทแต่ก็ค่อนข้างมีระยะห่างเพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ยังถือว่าเป็นเจ้านาย 

 “ก็เหมือนคุณกับเพื่อนนั่นแหละ ขนาดต่างมีครอบครัวแล้วก็ยังพามาเจอกันจนสนิทกันขนาดนี้” จิรัศยาทึ่งกับมิตรภาพของเพื่อนทั้งสี่คน แอบคิดไว้เหมือนกันว่าถ้าอนาคตแต่งงาน มีลูกก็อยากให้สนิทกับครอบครัวของบุรัสกรและเรนนี่เช่นนี้บ้าง

 “ผมดีใจนะที่คุณเข้ากับเพื่อนๆ ผมได้”

 “แน่นอนสิ ก็จิน...” จิรัศยาสะดุดกับประโยคดังกล่าว หันมองคนพูดขวับพร้อมกับเสียงวิดวิ่วจากคนที่นั่งอยู่ทางเบาะหลัง

 “คุณเตกำลังจะสื่ออะไรคะเนี่ย” บุรัสกรหัวเราะคิก มองบรรยากาศที่กำลังอบอวลลุ้นๆ

 “เงียบไปเลยยายเบนซ์”

 “อ๊าย! แม่นักแสดงสาวเขิน นี่เบนซ์เพิ่งเห็นยายจินไปไม่เป็นก็ตอนนี้แหละค่ะ คุณเตดูสิคะ”

 “ยายเบนซ์!” จิรัศยาเอ็ดแต่ขานั้นก็หาได้สนใจไม่ ยังยิ้มล้อเลียนกระทั่งรถแล่นเข้าไปในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า 

 “จีบกันไปพลางๆ ก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา”

 จิรัศยามองคนที่วิ่งลงจากรถอย่างระอา แต่พอหันกลับมาก็รู้สึกประหม่าอย่างช่วยไม่ได้ที่ต้องอยู่กับเตวิชสองต่อสอง

 “คุณไปเดินเล่นก็ได้นะคะ จินอยู่ได้”

 “งั้นผมขอไปซื้อขนมให้ยิหวาหน่อยนะครับ”

 จิรัศยาพยักหน้า พอเขาลงจากรถก็พ่นลมหายใจพรืด วันนี้หัวใจเธอขยันทำงานเหลือเกิน กระเด็นกระดอนกับความอ่อนโยนที่ปกติไม่ค่อยได้สัมผัสหลายต่อหลายครั้ง ทั้งยามอยู่กับเพื่อนและกับเด็กน้อยอย่างหนูยิหวา ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายลุคเถื่อนๆ จะใส่ใจได้ถึงขนาดนี้

 “ถ้ามีลูกคงหลงน่าดู” คนจินตนาการล้ำแอบเคลิ้ม ในหัวผุดภาพเธอกับเตวิชจูงมือเด็กหญิงเด็กชาย เข้ามาสมทบกับครอบครัวของเพื่อนๆ เขาอย่างครึกครื้น

 แต่แล้วเสียงข้อความของโทรศัพท์ก็ทำให้ภวังค์สะดุด หยิบมาดูก็พบว่าเป็นข้อความจากเตวิช

 กินชาไหม ผมจำได้ว่าคุณเคยซื้อเจ้านี้

 “ใส่ใจไปอีก” คนอ่านยิ้มแก้มแทบปริ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปว่าเอา แล้วจากนั้นก็มีภาพร้านของคาว ของหวานส่งมาอีกหลายต่อหลายภาพจนเธอต้องเป็นฝ่ายบอกให้พอแล้วเลือกสองสามร้านที่อยากกิน ครู่ใหญ่เตวิชก็เดินกลับมาพร้อมของเต็มไม้เต็มมือ

 “ขอบคุณค่ะ” เธอรับแก้วชาแบรนด์ดังที่เขาส่งให้มาจิบ ความหวานที่นานๆ จะแหกกฎตัวเองยอมกินสักครั้งทำให้หลับตาพริ้ม

 “อร่อยขนาดนั้นเลย”

 “อร่อยสิคะ” พอได้กินของอร่อยเปอร์เซ็นต์ความสุขก็มากขึ้นอีกโข “คุณลองชิมสิ รับรองจะติดใจ” จิรัศยายื่นแก้วให้อย่างไม่คิดอะไรมาก แต่พอเห็นเตวิชนิ่งก็ราวกับนึกออก ‘ถ้าเขากินหลอดเดียวกับเธอไม่เท่ากับ จูบทางอ้อมหรอกเหรอ’

 จิรัศยาจะดึงกลับ แต่เตวิชคว้ามือเธอแล้วก้มลงมาดูดชาหน้าตาเฉย

 “อร่อยดี” เขาว่าพลางยืดตัวไปนั่งที่ตัวเอง “แต่ติดใจไหมไว้จะบอกอีกที”

 รอยยิ้มที่ประดับมุมปากทำให้หัวใจจิรัศยาเริ่มกระหน่ำอีกรอบ เธอเผลอมองเขาอยู่นานจนได้ยินเสียงเคาะกระจกรถจากบุรัสกรซึ่งพอเข้ามานั่งเรียบร้อยก็ยื่นถุงกระดาษให้

 “นี่ของแกเช็กดูว่าครบไหม”

 “อะ...อือ” จิรัศยารับมาเปิดดูคร่าวๆ แล้ววางไว้บนตัก

 พฤติกรรมแปลกๆ ของเพื่อนทำให้บุรัสกรสงสัยแต่ก็ไม่ใช่เวลาไต่ถาม เธอเห็นจิรัศยาถือแก้วเครื่องดื่มอยู่ด้วยจึงเอื้อมไปคว้ามา

 “กำลังคอแห้งเลย ขอกินหน่อย”

 “ไม่ได้!” จิรัศยาห้ามเสียงหลง มือกระชับแก้วไว้แน่น

 “ทำไมยะ แค่นี้ก็หวงเหรอ”

 “แกกินน้ำเปล่าแทนก็แล้วกัน ในรถน่าจะมี” จิรัศยาตอบปัด แล้วยกแก้วขึ้นดื่มแบบขัดๆ เขินๆ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวก็หาได้รอดสายตาเพื่อนไม่

 “แกแบ่งให้คุณเตกินแล้วสินะ”

 “แค็กๆ”

 อาการของจิรัศยาราวกับเป็นคำตอบได้ดี บุรัสกรแบะปากมองบน รู้สึกเหม็นความรักขึ้นมาครามครัน

 “ของคุณเบนซ์อยู่ในถุงครับ ลองค้นดู”

 “อุ๊ย ขอบคุณนะคะ” บุรัสกรลองเปิดๆ ดูไม่นานก็พบ ระหว่างเจาะกินก็ตวัดค้อนเพื่อนไปพลาง 

 ส่วนจิรัศยาก็มองคนนั่งอมพะนำอย่างหมั่นไส้ ซื้อมาเผื่อบุรัสกรทำไมไม่บอก ต้องหลอกให้เธอสารภาพทำไมว่าใช้หลอดเดียวกับเขา

 เห็นนิ่งๆ แบบนี้ร้ายกาจจริงๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น