3

พิรุธ

๓ 

พิรุธ

 

 “แกต้องไม่เชื่อแน่ๆ ยายเบนซ์ พอถามว่าทำไมต้องติดกล้องวงจรปิดในห้องฉันด้วย หมอนั่นตอบหน้าตาเฉยว่าเพื่อความปลอดภัยของฉัน ฮึ! ความปลอดภัยอะไรล่ะ ต้องการจับผิดมากกว่า”

จิรัศยาปล่อยอารมณ์ความรู้สึกผ่านวิดีโอคอลเต็มที่ แม้จะพิมพ์ระบายเป็นข้อความให้บุรัสกรรับรู้ตลอดอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้อารมณ์เท่าการได้เห็นสีหน้าอีกฝ่ายที่มีอารมณ์ร่วมด้วย

 “ก็บอกแล้ว แกทะนงตัวมากไป”

 “ฉันไม่คิดว่าหมอนั่นจะน่ากลัวแบบนี้นี่นา แล้วพรุ่งนี้เย็นก็ต้องกลับละ ยังไม่ได้เบาะแสอะไรสักอย่าง”

 “ใจเย็นก่อน อย่างน้อยก็รู้แล้วไงว่ามันไม่ง่าย”

 จิรัศยาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แบบนี้ก็เสียเวลาเปล่าน่ะสิ”

 “ถือว่าไปดูลาดเลาก็แล้วกัน” อีกฝั่งของหน้าจอยังคงปลอบใจ

 คนฟังยังหงุดหงิด เวลาของเธอเป็นเงินเป็นทอง การมาเสียเวลาที่นี่สองวันหนึ่งคืนแล้วกลับไปมือเปล่ารู้สึกไม่คุ้มกับที่เสียไปเลยจริงๆ 

 “แล้วโทร. มาแบบนี้ไม่กลัวพ่อของลูกแกรู้เหรอ ไหนบอกห้องนี้ก็มีกล้อง”

 จิรัศยาถือโทรศัพท์มือถือไปยังจุดตั้งกล้องวงจรปิดและยกสายไฟที่เธอถอดไว้ชูให้ดู ซึ่งพอบุรัสกรเห็นก็หลุดขำ  

 “แกมันร้าย”

 “ก็นี่มันห้องพักส่วนตัว ใครจะไปยอม เออ...แล้วฉันก็ให้หมอนั่นเซ็นสัญญาด้วยว่าถ้ามีภาพของฉันในบ้านนี้หลุดออกสู่สาธารณชน จะต้องจ่ายค่าปรับสิบเท่าของค่าตัว”

 “หา! แล้วคุณเตยอมเซ็นไหม”

 “ยอมสิ เดี๋ยวฉันส่งให้ดู” จิรัศยาปิดกล้องแล้วส่งไฟล์ภาพให้บุรัสกรได้อ่าน ซึ่งเนื้อหาก็มีเพียงไม่กี่บรรทัด

 

 ข้าพเจ้า นายเตวิช คณาธิป ขอยืนยันว่าถ้ามีภาพใดๆ หลุดออกสู่สาธารณชนจากบ้านของข้าพเจ้า จะชดเชยความเสียหายให้แก่ นางสาวจิรัศยา สุทธิภัทร เป็นจำนวนสิบเท่าของราคาค่าตัวในเรตปัจจุบันของบริษัทต้นสังกัด

 

 บุรัสกรหายเงียบไปไม่ถึงนาทีก็ส่งเสียงกลับมา “นี่เขารู้หรือเปล่าเนี่ยว่าค่าตัวแกเรตเท่าไหร่”

แม้จะไม่ใช่ตัวแม่ของวงการ แต่ค่าตัวของจิรัศยาก็สูงไม่น้อยเลย

 “ไม่เห็นถามนะ”

 “สงสัยเขาคงแค่ห่วงแกจริงๆ ละมั้ง ถึงได้ยอมเซ็น”

 “นี่ยังไม่ทันเจอ แกก็เข้าข้างหมอนี่แล้วเหรอ” จิรัศยาเสียงแหลม แม้สัญญาจะเป็นประโยชน์ต่อเธอ แต่เอาเข้าจริงก็เกิดเพราะเขาละเมิดความเป็นส่วนตัวเธอก่อนต่างหาก

 “ก็เหมือนจะดีกว่าไอ้คุณนนท์นิดหนึ่ง”

 “อย่าเอาหมอนี่ไปเทียบกับพี่นนท์ของฉันนะ พี่นนท์ดีกว่าเยอะ”

 “หรา...เมื่อกี้ยังเห็นข่าวซุบซิบว่าออกไปกินข้าวกับน้องญิ๋งญิ๋งอยู่เลย”

 “อะไรนะ!” จิรัศยาหน้าเหลอ เหตุเพราะตั้งแต่สั่งอาหารให้เตวิชก็ยังไม่ได้เข้าโซเชียลใดๆ อีก

 “ยังไม่เห็นสินะ เดี๋ยวฉันส่งให้”

 “ไม่ต้องย่ะ แค่นี้ก่อนนะ” จิรัศยากดวางสาย แล้วเข้าหาข่าวอ่านทันที 

 

‘หรือว่าข่าวลือจะมีมูล ชานนท์ควงญิ๋งญิ๋งดินเนอร์สองต่อสอง’

 

 เห็นแค่พาดหัวข่าว หัวจิตหัวใจคนอ่านก็แฟบลง มือตกลงข้างลำตัว ดวงตาเหม่อมองผ่านผนังกระจกไปยังสระว่ายน้ำ ทุกวันนี้เธอก็เคยถามตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าสถานะระหว่างเธอกับเขาคืออะไร เหมือนจะมากกว่าเพื่อนแต่เขาไม่เคยเห็นความสำคัญ พอเธอถอยหลังเขาก็ขยับเข้าหา แต่พอเธอเดินหน้าเขาก็ถอยห่าง เหมือนเล่นชักเย่อที่ดึงกันไปดึงกันมาจนเธอใกล้จะเหนื่อยล้าเต็มที

 ตึ๊ง!

 เสียงข้อความเข้าทำให้คนเหม่อสะดุ้ง พอหงายโทรศัพท์มือถือขึ้นดูก็พบว่าเป็นข้อความจากคนที่เธอกำลังนึกถึง

 นอนหรือยังครับ

 วันนี้จินไปไหน ทำไมเงียบทั้งวัน

 ไม่สบายหรือเปล่า

 จิน...โอเคใช่ไหม

 ข้อความที่แสดงบนหน้าจอโดยที่ยังไม่ได้กดอ่าน จิรัศยานั่งมองนิ่งอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตอบข้อความเขาแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือบอกเขาไปตรงๆ ว่าเธอไม่โอเค เพราะอยากรู้เหลือเกินว่าสถานะของเธอกับเขาควรไปต่อหรือปล่อยมือจากกันเสียที

 พี่โทร. หาได้ไหม

 จิน

 ข้อความใหม่ที่เข้ามาทำให้จิรัศยาตัดสินใจกดปิดเครื่องแล้วเอนกายลงบนเตียง วันนี้เธอเหนื่อยมากพอแล้ว เหนื่อย...จนยังไม่พร้อมรับเรื่องใดๆ อีก

 

 เพราะเรื่องวุ่นๆ และความแปลกที่ทำให้จิรัศยาเพิ่งจะผล็อยหลับเอาตอนใกล้รุ่งจึงออกมาจากห้องในเวลาค่อนข้างสาย เธอเห็นเตวิชกำลังนั่งทำอะไรสักอย่างในแลปทอปอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่นจึงย่างกรายเข้าไปเงียบๆ 

 “หิวหรือเปล่า”

 “คะ?” จิรัศยาสะดุ้ง เมื่อได้ประสานสายตากับคนที่เงยหน้ามาแบบฉับพลัน “เออ...ฉันตื่นสายนิดหน่อยนะคะ” ด้วยความที่ไม่ได้ฟังคำถามจึงตอบกลับแบบส่งๆ

 เตวิชปิดหน้าจอ แล้วถามย้ำประโยคเดิม “หิวหรือเปล่า”

 “คะ? ก็นิดหน่อยค่ะ คุณก็ยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม งั้นเดี๋ยวฉันสั่ง...”

 “ผมกินแล้ว ส่วนของคุณอยู่ในครัว”

จิรัศยาอึ้งต่อความมีน้ำใจที่ไม่คิดว่าจะได้รับ กระทั่งอีกฝ่ายสะบัดใบหน้าส่งซิกไปทางครัว 

“อ้อ ค่ะๆ” เธอรีบเผ่นออกมาทันทีด้วยกลัวเขารู้ทันว่าหวังผลอะไรอยู่ “ยังไม่ทันเห็นหน้าจอเลย ฮึ!”

ริมฝีปากสีพีชยื่นออกอย่างเซ็งๆ...สงสัยเย็นนี้ต้องกลับบ้านมือเปล่าจริงๆ เสียกระมัง

 “เอาเถอะ กินก่อนดีกว่า” ว่าแล้วก็เดินไปที่โต๊ะกินข้าวซึ่งกลางโต๊ะมีฝาชีครอบอยู่ พอเปิดก็พบโจ๊กปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้วางอยู่ แม้จะเป็นเมนูง่ายๆ แต่ด้วยความที่ต้องอยู่ในวงการที่ใช้รูปร่างหน้าตาทำมาหากินจึงไม่ได้แตะมาหลายปี 

 “กินสักหน่อยก็แล้วกัน” เพราะกลิ่นหอมที่ยั่วยวนเกินห้ามใจทำให้ละทิ้งกฎเกณฑ์ของตัวเองไปชั่วคราว เธอหมุนตัวไปคว้าชามมาแกะโจ๊กใส่ แกะน้ำเต้าหู้ใส่แก้วเสร็จสรรพก็ตั้งท่าจะรับประทาน แต่แล้วก็รู้สึกตงิดใจ 

 “หมอนั่นใจดีแปลกๆ คงไม่ใส่ยาพิษไว้หรอกนะ” เธอตักขึ้นมาพิสูจน์กลิ่นใกล้ๆ อย่างกังวล

 “ไม่มีหรอกค่ะ”

 เสียงแหวที่ดังมาจากทางด้านหลังทำให้จิรัศยาสะดุ้งจนช้อนหล่นกระทบชาม พอหันขวับไปมองก็พบหญิงวัยกลางคนยืนกอดอกมองเธอด้วยสีหน้าถมึงทึง แต่เสี้ยววินาทีที่ได้สบตากันชัดๆ สีหน้าของหล่อนก็เริ่มเปลี่ยนไป 

 “คุณจิน!” หญิงวัยกลางคนยกมือทาบอกก่อนจะปรี่เข้ามาหา “คุณจิน จิรัศยาใช่ไหมคะ ที่เล่นเป็นนังไลลา เมียน้อยคุณอธิปจากละครกรงดอกงิ้ว

 จิรัศยายังไม่ทันตอบ อีกฝ่ายก็ตบอกผาง

 “ใช่จริงๆ ด้วย โอ๊ย! น้าได้เจอดาราตัวเป็นๆ ขอจับมือได้ไหม แล้วก็ขอถ่ายรูปด้วย น้าจะเอาไปอวดเพื่อน”

 จิรัศยาไม่ทันคิดว่าจะมีคนอื่นในบ้านของเตวิช ยิ่งอีกฝ่ายจำตนได้แม่นยำขนาดนี้ก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก

 “เอ๊ะ! ว่าแต่...คุณจินมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”

 “เอ่อ คือ...” จิรัศยาหาคำอธิบายไม่ทัน จะอ้างเหตุผลตามที่บอกกับเตวิชคงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่

 “น้านุช!”

 เหมือนสวรรค์มาโปรดเมื่อเตวิชเดินเข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน จึงส่งสายตาหาเขาอย่างขอความช่วยเหลือ

 “ผมบอกให้กลับบ้านไปก่อนไงครับ ทำไมยังอยู่อีก”

 “ก็แกมีลับลมคมใน น้าก็สงสัยน่ะสิ”

 เตวิชถึงกับยกมือขึ้นเสยผม น้านุชหรือนุชฤดีเป็นน้องสาวของมารดา ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่เทศบาลในเขตพื้นที่ที่ไม่ไกลจากบ้านตนนัก จึงมักถูกมารดาไหว้วานให้เข้ามาช่วยดูแลตนทั้งเรื่องอาหารการกินและความสะอาด ปกติแล้วจะมาทุกวันหยุด แต่วันนี้เขาแจ้งไปแล้วว่าไม่สะดวก ใครจะคิดว่าจะยังดื้อดึงมาเซอร์ไพรส์พร้อมอาหารเต็มไม้เต็มมือแต่เช้า เขาพยายามหาเหตุผลให้อีกฝ่ายรีบกลับก่อนจิรัศยาตื่นจนท่านยอม ไม่คิดเลยว่าจะย้อนกลับมาโดยเข้าทางประตูหลังของห้องครัวซึ่งลัดเลาะมาจากรั้วหน้าบ้านได้ 

 “อีกอย่างน้าก็เห็นว่ามีรองเท้าผู้หญิงอยู่ในตู้รองเท้าตั้งแต่แรก เลยอยากเห็นหน้าผู้หญิงที่แกพามาบ้านสักหน่อย ไม่คิดเลยว่าจะเป็น...” น้านุชหันมายิ้มกว้างใส่จิรัศยาที่ยังคงทำตัวไม่ถูก

 “มันไม่ใช่อย่างที่น้าคิดนะครับ คือ...”

 “คืออะไร”

 โดนถามย้ำอย่างนี้เตวิชถึงกับใบ้กิน หันมองหน้าจิรัศยาก็ดูจะยังตั้งสติไม่ได้

 “เรามีงานต้องทำร่วมกันนะครับ ที่จริงก็มีคนอื่นมาค้างด้วยแต่ออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว”

 “อ๋อ...เหรอ...”

 เตวิชรู้ว่าเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด แต่ยามนี้ขอจบปัญหาเฉพาะหน้านี้ก่อน ขืนน้านุชรู้เหตุผลจริงๆ ที่จิรัศยามาอยู่ที่นี่ละก็ มารดาเล่นงานเขาตายแน่

 “น้านุชกลับไปก่อนนะครับ อาทิตย์นี้ไม่ต้องทำความสะอาดบ้านให้ผมก็ได้”

 “แต่น้าว่า...”

 “นะครับ” เตวิชเข้าไปโอบน้านุชให้เดินไปทางประตูหลังของห้องครัว 

 “แต่น้ายังไม่ได้ลายเซ็น”

 “เดี๋ยวผมขอไปให้”

 “น้า...”

 “ไปครับ ผมเดินไปส่ง” เตวิชรั้งแกมบังคับพาอีกฝ่ายเดินไปส่งจนถึงหน้าบ้าน เมินคำบ่นกระปอดกระแปดตลอดทางของหญิงวัยกลางคน พอกลับมาก็พบว่านักแสดงสาวยังนั่งหน้าซีดอยู่ที่เดิม

 “คุณ...คุณ...” เขาเรียกถึงสองครั้ง อีกฝ่ายถึงได้สติแล้วสีหน้าก็ค่อยๆ เข้มขึ้น ดวงตาจ้องเขาเขม็ง “อะไร คุณจะโทษผมไม่ได้นะ”

 “ถ้ามีข่าวฉันหลุดออกไปละก็ ปรับสิบเท่า”

 มุมปากเตวิชกระตุก ยกมือขึ้นกอดอก “เท่าที่จำได้ สัญญาครอบคลุมแค่ภาพถ่าย”

 “ฉันจะเขียนเพิ่ม”

 “ผมไม่เซ็นใหม่”

 เจอเขาพูดมาแบบนี้จิรัศยาก็กัดฟันกรอด พยายามกล้ำกลืนอารมณ์ที่คุกรุ่นแล้วหันไปสนใจชามโจ๊ก...ไม่เห็นเป็นไร แค่ข่าวซุบซิบเธอเจอจนชินแล้ว แค่อดทนอีกหน่อยได้หลักฐานแน่นหนาก็จะโบกมือลาที่นี่ทันที

 “ค่อยๆ กินสิคุณ”

 จิรัศยาเมินหน้าหนี ยังตั้งหน้าตั้งตาตักโจ๊กใส่ปาก กินคลายอารมณ์คุกรุ่นที่ใกล้จะปะทุเต็มที

 “เดี๋ยวลูกผมจะเป็นอันตราย”

 “แค็กๆ” เธอยกมือขึ้นทุบอกแล้วคว้าแก้วน้ำมาดื่ม เงยหน้าอีกทีเตวิชก็เดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะเสียแล้ว

 หมอนี่มันร้ายจริงๆ

 

 หลังอาหารมื้อสายผ่านไป จิรัศยาก็คิดแผนการบางอย่างออกจึงเมียงๆ มองๆ ขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้าน พื้นที่ที่เตวิชย้ำหนักหนาว่าห้ามขึ้น 

 “จะไปไหน”

 ก้าวขึ้นบันไดไม่ทันถึงสามก้าว น้ำเสียงห้าวๆ ที่ไม่รู้ลอยมาจากมุมไหนก็ดังขึ้น จิรัศยาหมุนตัวมองรอบๆ ก็ไม่เห็นเจ้าของเสียง

 “ติดกล้องอีกแล้วสินะ” เธอบ่นอุบ เสียงของเขาคงไม่พ้นดังผ่านกล้องวงจรปิดจากจุดไหนสักแห่ง

 “เปล่า”

 จิรัศยาสะดุ้ง หันมองรอบๆ อีกทีจนพบว่าเตวิชนั่งอยู่บนโซฟาข้างกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งบดบังสายตาได้เป็นอย่างดี เธอจึงค่อยๆ ก้าวเข้าไปหา เห็นเขากำลังนั่งทำอะไรสักอย่างกับแลปทอปไม่หันมามองเธอด้วยซ้ำ

 “คุณ...อยู่ตรงนี้นี่เอง” คนมีชนักติดหลังยิ้มสู้ แม้จะเตรียมตัวมาประมาณหนึ่ง แต่พอเจอตัวเป็นๆ กลับรู้สึกขนลุกแปลกๆ

 “มีอะไร”

 “คือ...น้านุชยังไม่ได้ทำความสะอาดบ้านเลยใช่ไหม ฉันเลยมาอาสาทำให้”

 คิ้วคนฟังเลิกสูง ก่อนจะเงยหน้ามามองเธอ

 “ก็ฉันเป็นต้นเหตุที่คุณไม่อยากให้น้านุชอยู่ที่นี่นานใช่ไหมล่ะ” จิรัศยาถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ ปากถาม สายตาก็ชำเลืองมองหน้าจอไปพลางแต่ก็เห็นเพียงตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่อ่านไม่รู้เรื่อง

 ดูเหมือนเขาจะระวังตัวอยู่เหมือนกันจึงพับหน้าจอแลปทอปลง จิรัศยาถึงได้เงยหน้าสบตา

 “ไม่ต้องเกรงใจนะคะ ฉันทำงานบ้านเก่งจริงๆ”

 “แน่ใจ?”

“ค่ะ ฉันจะปัดกวาดเช็ดถูให้สะอาดเอี่ยมอ่องทั้งหลังเลย”

“แต่คุณกำลังท้องอยู่”

คนท้องลมยิ้มค้าง ยกมือขึ้นจับหน้าท้องตัวเองโดยอัตโนมัติ “แค่ท้อง ไม่ได้ป่วยนี่คะ ออกกำลังเสียบ้างเด็กจะได้แข็งแรง”

เตวิชมองประเมินอยู่ครู่ก่อนจะพยักหน้า

‘เยส!’ จิรัศยาบอกตัวเองในใจ แค่นี้เธอก็มีข้ออ้างเข้านอกออกในทุกห้องของชั้นสองแล้ว

“เริ่มจากชั้นล่างก็แล้วกัน”

“คะ?”

“มีปัญหาเหรอ ก็คุณบอกเองว่าจะทำความสะอาดทั้งหลัง” เขาหันมาจ้องเธอเขม็งดั่งจับผิดก็ไม่ปาน

“ไม่ค่ะ ฉันจะไปทำเดี๋ยวนี้แหละ” ในเมื่อหลุดปากไปแล้วจิรัศยาจะทำอะไรได้ อย่างน้อยก็รีบทำที่ชั้นล่างแล้วค่อยทุ่มเทเช็ดถูทุกซอกทุกมุมที่ชั้นบน โดยเฉพาะห้องนอนกับห้องทำงานของเขา มันต้องมีอะไรแน่ๆ

แต่แล้วความหวังของเธอก็ไม่สัมฤทธิผล เพราะเพียงทำชั้นล่างเสร็จก็หมดสภาพ จากที่คิดจะทำลวกๆ กลับโดนเจ้าของบ้านนั่งกำกับ ดูดฝุ่นแล้วดูดฝุ่นอีก ถูแล้วถูอีก ตรงนู้นยังไม่สะอาด ตรงนั้นฝุ่นยังหนา ถึงขนาดถือกระดาษชำระเดินตามเพื่อเช็กฝุ่น สุดท้ายก็เป็นเธอที่ทนไม่ไหว พอใกล้สี่โมงเย็นก็ขอตัวกลับคอนโด

 

จิรัศยาเอนกายลงบนโซฟาอย่างหมดสภาพ หน้ามัน ผมเผ้ายุ่งเหยิง นอกจากจะไม่ได้หลักฐานอะไรแล้วยังโดนเตวิชปั่นหัวสารพัด 

“หมอนั่นมันปีศาจร้ายชัดๆ” เธอยกมือทุบแขนตัวเองอย่างเมื่อยขบ แม้ปกติจะทำความสะอาดคอนโดทุกอาทิตย์แต่ก็มีบุรัสกรกับเรนนี่ลงมือลงแรงด้วย จึงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเท่าไหร่

 “ไหวไหมแก ฉันว่าเราลองหาแผนอื่นเถอะ” บุรัสกรวางแก้วน้ำแล้วมองสภาพเพื่อนอย่างเป็นห่วง 

 “ไม่!” จิรัศยาเด้งตัวขึ้นมาคว้าน้ำไปดื่มแบบรวดเดียวหมด “ฉันไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก”

 “แกบอกว่าเขาระวังตัวแจเลยไม่ใช่เหรอ”

 “เพราะแบบนี้แหละถึงน่าสงสัย ถ้าไม่มีอะไรทำไมต้องระวังจริงไหม” จิรัศยาตาเป็นประกาย ลางสังหรณ์บอกเธอว่าเตวิชต้องปิดบังอะไรอยู่แน่ๆ โดยเฉพาะแลปทอปที่ไม่เคยห่างกายเครื่องนั้น

 “แต่ฉันกลัวแกจะโดนจับได้เสียก่อน”

 “โอ๊ย! มือชั้นนี้แล้ว สบมยห.”

 “โดนจิกใช้ขนาดนี้ไม่ให้ห่วงได้ไง” บุรัสกรพึมพำ แต่ดูเหมือนคนที่นั่งอยู่ไม่ห่างจะได้ยิน จึงหรี่ตามองด้วยหางตา

 “พูดมาก! ฉันไปนอนก่อนละ พรุ่งนี้จะไปสปาแต่เช้า ตอนบ่ายมีงาน” จิรัศยาคว้ากระเป๋าคู่กายเดินตรงไปยังห้องนอนส่วนตัว

 “อ้าว แกไม่มาสรุปกับฉันก่อนเหรอ”

 “เอาแค่นี้ก่อน ฉันเหนื่อย ไว้พรุ่งนี้เย็นละกัน”

 บุรัสกรได้แต่มองตามประตูที่ปิดลงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากคว้าโทรศัพท์มือถือมากดส่งข้อความบอกคมกฤษ เพราะฝ่ายนั้นก็รอฟังความคืบหน้าแบบใจจดใจจ่อเช่นกัน

 

 งานอีเวนต์เปิดตัวน้ำยาปรับผ้านุ่มสูตรใหม่กำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า หลังเวทีตอนนี้จึงค่อนข้างชุลมุน จิรัศยามาเตรียมตัวนานแล้ว ตอนนี้จึงนั่งรออย่างสบายใจ หยิบโทรศัพท์มือถือมาอ่านข่าวสารในวงการบันเทิงไปพลาง

 

 ‘ชานนท์ใกล้เปิดตัว ควงญิ๋งญิ๋งดินเนอร์สองต่อสอง’

 

 จิรัศยาอธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไร เพราะนักแสดงดาวรุ่งคนนี้ไม่ใช่คนแรกที่ตกเป็นข่าวกับชานนท์ และเขาเองก็ไม่เคยให้ความชัดเจนใดๆ แก่ผู้หญิงคนไหน คงคล้ายกับกระเป๋าน้ำร้อนกระมัง ใครหยิบไปใช้ก็ให้ความอบอุ่นแก่คนนั้น 

 “และผู้หญิงก็ต้องการกระเป๋าน้ำร้อนแค่ตอนปวดท้องเมนส์ด้วยสิ” เธอยิ้มมุมปากนัยตาเศร้า ช่วงนี้เธอไม่ได้เป็นรอบเดือน กระเป๋าน้ำร้อนของเธอถึงไปอยู่กับคนอื่น

ขณะคิดอะไรเพลินๆ อยู่ๆ ก็มีแก้วกาแฟแบรนด์ดังยื่นมาตรงหน้า พอเงยขึ้นขึ้นมองก็พบว่าเป็นคนที่เธอกำลังนึกถึงนั่นเอง

 “กาแฟครับ”

 จิรัศยายิ้มบางแล้วรับแก้วมาถือไว้ อยากบอกเหลือเกินว่าเวลาหัวค่ำแบบนี้เธอไม่ดื่มกาแฟ

 “มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า” ชานนท์ถามพลางเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือ

 จิรัศยาเห็นดังนั้นก็พลิกหน้าจอแล้วนำมาวางไว้ที่เก้าอี้ข้างกาย “เปล่าค่ะ อ่านข่าวบันเทิงทั่วไป พี่นนท์มาทำไมเหรอคะ” เธอถามอย่างใคร่รู้ เพราะแขขวัญ...ผู้จัดการส่วนตัวของเธอบอกว่าวันนี้ชานนท์มีงานเลี้ยงลูกค้า

 “พี่มาดูแลเด็กในสังกัดไงครับ”

 จิรัศยาสบตาอีกฝ่ายนิ่งๆ เพราะคำพูดเช่นนี้แหละที่ทำให้เธอตัดใจไม่ได้เสียที หากมองเผินๆ ก็เหมือนไม่มีนัย แต่สำหรับคนมีใจคำพูดเหล่านั้นราวกับบอกว่าเธอเป็นคนสำคัญ

 “ไปทำงานเถอะครับ เสร็จแล้วไปหาอะไรกินกัน”

 ดูท่าเธอคงมองเขานานเกินไป ขนาดสตาฟวิ่งมาตามจึงไม่รู้ตัว 

“ค่ะ” เธอยื่นแก้วกาแฟคืนเขาแล้วลุกตามผู้ร่วมแสดงคนอื่นไปยังหลังเวที จิรัศยาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองด้านหลัง เห็นชานนท์ยังมองตามพร้อมยกมือขึ้นส่งสัญญาณบอกสู้ๆ ใจที่มันแห้งเหี่ยวไปเมื่อครู่ก็คล้ายถูกบางสิ่งค่อยๆ เติมเต็มจนฟูฟ่องขึ้นมาอีกครั้ง

 

 “ทานเยอะๆ นะครับ”

ชานนท์ส่งยิ้มขณะบอกคนที่กำลังหั่นสเต๊กเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อนำเข้าปาก 

 “ยังอร่อยเหมือนเดิมเลยนะคะ” จิรัศยาออกปากชม ไม่ใช่ตามมารยาทแต่ร้านสเต๊กชื่อดังสัญชาติอเมริกันนี้เธอเคยมากับชานนท์บ่อยครั้ง ฝีมือเป็นที่ยอมรับในแวดวงนักชิมจริงๆ 

 “พี่รู้อยู่แล้วว่าจินต้องชอบ หายเครียดแล้วเนอะ”

 รอยยิ้มจิรัศยากระตุกไปนิดก่อนจะเลิกคิดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่อง บอกตัวเองไปว่าคงไม่มีอะไร ชานนท์เป็นผู้บริหารย่อมต้องดูแลพนักงานหรือคู่ค้าบ้างเป็นธรรมดา และตราบใดที่เขายังไม่เปิดเผยว่าคบหาใครเป็นตัวเป็นตน เธอก็อาจเป็นใครคนนั้นที่อยู่ข้างกายเขาก็ได้

 “แล้วจินหายไปไหนมาตั้งสองวัน”

 มืดในมือคนถูกถามชะงัก ก่อนจะหั่นเนื้อต่อไปอย่างไม่ให้มีพิรุธ

 “พักร้อนไงคะ จินบอกพี่นนท์แล้ว” เธอแจ้งเขาว่าของดรับงานช่วงเสาร์-อาทิตย์เป็นเวลาหนึ่งเดือน เพื่อจัดการเรื่องเตวิชโดยเฉพาะ และพอเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ทำให้เธออดเงยมองหน้าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ แม้เธอจะเชื่อว่าเขาบริสุทธิ์ แต่บุรัสกรก็ย้ำหนักหนาว่าเขาเป็นอีกคนที่น่าสงสัย 

 “พี่นนท์ได้ข่าวเรนนี่บ้างไหมคะ”

ชานนท์มีปฏิกิริยาหลังจบคำถาม ซึ่งถึงแม้จะน้อยนิดเธอก็สังเกตเห็นได้

“เรนนี่ยังไม่ติดต่อจินมาอีกเหรอ” ชานนท์พยายามทำตัวให้เป็นปกติ ตัดเนื้อกินโดยไม่หันสบตาอีกฝ่าย

“ไม่เลยค่ะ จินส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน โทร. หาก็ปิดเครื่องตลอด”

“เรนนี่คงไม่อยากให้ใครรบกวน”

“แต่เรนนี่ไม่เคยหายเงียบไปนานขนาดนี้เลยนะคะ” จิรัศยาย้ำอีกครั้ง แม้เรนนี่จะโลกส่วนตัวสูงอยู่บ้างตามประสาคนที่เติบโตและต่อสู้มาเพียงลำพัง แต่พอสนิทกันแล้วกำแพงนั้นก็ค่อยๆ ทลายลง มีบ่อยครั้งที่เรนนี่อยากจะคิดอะไรคนเดียวแต่ก็จะส่งข้อความมาบอกเสมอว่าอยู่ที่ไหนและทำอะไร ผิดกับครั้งนี้ที่มีเพียงข้อความก่อนจะหายตัวไปเท่านั้น

“พี่นนท์คะ”

“เรนนี่แค่ลาพักผ่อน” ชานนท์ย้ำ ก่อนจะก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร ไม่เงยหน้าสนทนากับเธออีก

เมื่อกลับมาถึงห้องพักจิรัศยาก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้บุรัสกรฟัง รวมถึงข้อสงสัยและสิ่งที่พบเจอทั้งหมดจากบ้านของเตวิชด้วย สองสาวตัดสินใจโทร. หาคมกฤษ ซึ่งฝ่ายนั้นก็สรุปสั้นๆ ว่าแค่ความสงสัยคงทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือหลักฐาน จิรัศยารับปากว่าครั้งต่อไปต้องได้แน่นอน ซึ่งคมกฤษก็ให้กำลังใจแล้วย้ำว่าพร้อมช่วยเหลือเสมอ

“ส่วนฝั่งนายนนท์...” บุรัสกรจะเอ่ยถึงผู้ต้องสงสัยคนต่อไป แต่ก็โดนจิรัศยาเอามือปิดปากตัดบทบอกลาคมกฤษแล้วกดวางสายไปทันที

“ไม่ใช่พี่นนท์”

บุรัสกรรีบแกะมือออกแล้วจ้องเพื่อนเขม็ง “แกจะลำเอียงเกินไปแล้ว ก็เห็นๆ อยู่ว่าไอ้คุณนนท์ของแกก็น่าสงสัยไม่แพ้กัน”

“ฉันรู้จักพี่นนท์มานาน เขาไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก” จิรัศยาย้ำประโยคนี้มาหลายสิบรอบ แม้ความเชื่อมั่นจะลดถอยลงทุกทีก็ตาม

“แกเคยดูซีรีส์ไหม คนร้ายเป็นคนใกล้ตัวที่ตอนแรกก็ไม่น่าสงสัยทุกที”

“แต่พี่...”

“พอ! หยุดพูด ฉันขี้เกียจฟังคำแก้ตัวข้างๆ คูๆ ของแก” บุรัสกรหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วเดินหายเข้าไปในห้องส่วนตัวบ้าง 

จิรัศยาได้ยินแว่วๆ ว่าฝ่ายนั้นเอ่ยถึงความสงสัยเกี่ยวกับชานนท์ คงไม่พ้นโทร. ไปหารุ่นพี่คนเมื่อครู่ เธอได้แต่ถอนหายใจ พอดีกับหน้าจอทีวีกำลังรายงานข่าวบันเทิงเรื่องที่ชานนท์ไปหาเธอที่งานอีเวนต์และพาออกไปรับประทานมื้อค่ำตามลำพังพอดี จึงได้แต่นั่งมองภาพข่าวด้วยสายตาเหม่อลอย

เธอสามารถเชื่อมั่นในตัวชานนท์ได้จริงๆ ใช่ไหม

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น