13

เหยื่อรายต่อไป

๑๓ 

เหยื่อรายต่อไป

 

 หลังแถลงข่าวจิรัศยาใช้เวลาอยู่คอนโดเป็นส่วนใหญ่ เพราะข่าวที่เธอเข้าไปเกี่ยวข้องกับแก๊งควีนบีถูกข่าวการประกาศตัวคบหาแฟนหนุ่มกลบเสียมิด ส่วนเรื่องขอให้เตวิชช่วยเรนนี่ก็ยังไม่ได้การตอบรับใดๆ หรืออีกเหตุผลคือยังไม่มีโอกาสเจรจา เพราะหลายวันที่ผ่านมามัวแต่วุ่นวายกับเรื่องของตัวเอง 

ช่วงที่กลับมาพักคอนโดเธอก็ไม่ได้ติดต่อเตวิชเพราะรู้สึกถึงแปลกๆ ที่หลุดพูดอะไรต่อมิอะไรไปหลายคำ แถมยังตั้งตัวไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเตวิชเป็นอะไรที่เกินความคาดหมายเอามากๆ เพียงแค่นึกย้อนถึงห่วงเวลาดังกล่าวหัวใจก็เริ่มมีปฏิกิริยาที่เด่นชัดสุดก็คือ พอไม่ได้เจอเขาหลายวันเธอก็กระวนกระวาย หยิบโทรศัพท์มือถือมาดูบ่อยๆ เพราะใครบางคนก็ไม่ยอมติดต่อมาเลย

ทำไมเธอไม่ติดต่อไปก่อนน่ะหรือ...จะว่าเล่นตัวก็ได้ เพราะนับตั้งแต่รู้จักกันไม่มีครั้งไหนเลยมั้งที่เตวิชโทร. มาก่อนหรือมาหาก่อน ราวกับว่าเรื่องระหว่างทั้งคู่ไม่ได้มีผลอะไรต่อเขาเลย ผิดกับเธอที่วันๆ มองแต่โทรศัพท์มือถือหรือไม่ก็เข้าไปอ่านข่าวเดิมๆ เพื่อดูว่ามีใครโพสต์ภาพใหม่ๆ ของเขาบ้างไหม อีกทั้งยังเข้าเว็บไซต์ของบริษัทเขาเพื่อดูว่ามีความเคลื่อนไหวหรือเปล่า

“ฉันทำอะไรอยู่เนี่ย” พึมพำอย่างห่อเหี่ยว รู้สึกไม่มีกะจิตกะใจทำงานทำการเท่าไหร่เลย “หรือว่า...จะส่งข้อความไปดี” นิ้วชี้เคาะโทรศัพท์อย่างครุ่นคิด แต่ถ้าส่งไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเขาต้องรู้แน่ๆ ว่าเธอเห็นความสำคัญ “ไม่ได้ๆ ฉันจิน จิรัศยา นักแสดงรางวัลดาวทองอวอร์ดสามปีซ้อนเลยนะ จะเห็นความสำคัญของผู้ชายที่เพิ่งรู้จักมากเกินไปไม่ได้”

ใบหน้าที่แต่งเติมไปด้วยเครื่องสำอางส่ายระรัว ก่อนจะตัดสินใจวางโทรศัพท์แล้วหยิบบทละครมาท่อง วันนี้เหลืออีกเพียงไม่กี่ฉากเธอก็จะกลับไปนอนพักผ่อนได้แล้ว นึกมาถึงตรงนี้คนที่เครียดเมื่อครู่ก็เกิดไอเดีย

“พรุ่งนี้วันเสาร์นี่นา หาข้ออ้างไปนอนบ้านนายเตดีกว่า” แล้วมือก็ไวกว่าความคิด หยิบโทรศัพท์มาพิมพ์โดยไม่ไตร่ตรอง จนเกือบจะกดส่งแล้วถึงได้ชะงัก “เรารอให้หมอนั่นติดต่อมาอยู่ไม่ใช่เหรอจะส่งไปหาก่อนได้ไง” ราวกับคนที่สับสนในตัวเอง ทั้งอยากทำตามที่ใจต้องการแต่อีกใจก็ยังลังเล

 แชะ! แชะ! แชะ!

เสียงชัตเตอร์ทำให้คนสาละวนกับตัวเองสะดุ้งพอหันมองรอบๆ ก็พบว่ามีสองนักแสดงอย่างโบกี้กับเมเปิ้ลกำลังถ่ายเซลฟีกันอยู่ไม่ไกลนัก พอสองสาวรู้ว่าเธอมองอยู่ก็เชิดใส่ซะงั้น

“อะไรของเขา” จิรัศยายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ การเขม่นกันในวงการนี้นับเป็นเรื่องธรรมดาเพราะนั่นหมายถึงเธอโดดเด่นจนบุคคลอื่นไม่ชอบหน้า การมีเพื่อนแท้สักคนจึงเรียกได้ว่ายากพอควรเลย

จิรัศยาหันมองรอบๆ ตัวอีกครั้งเพราะรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องอยู่แต่พอไม่พบใครก็เลิกสนใจ ประจวบเหมาะกับแขขวัญเอาของว่างมาให้กินแก้หิวเพราะฉากที่เหลือเป็นฉากใหญ่ของวันน่าจะต้องใช้เวลานาน ทานเสร็จก็จดจ่อกับไดอะล็อกและถูกเรียกเข้าฉากในเวลาต่อมา 

เกือบสองทุ่มกว่าจะเสร็จงาน จิรัศยาเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บของเตรียมกลับคอนโด ระหว่างนั่งรถก็หยิบโทรศัพท์มาเช็กข่าวสารตามปกติ จึงได้เห็นว่ามีสายเรียกเข้าหลายสาย และข้อความใหม่มาจากเบอร์เดียวกันซึ่งเธอไม่ได้บันทึกชื่อไว้ 

“หรือจะเป็น...” จิรัศยาอมยิ้มกรุ้มกริ่ม บางทีเตวิชอาจใช้เบอร์อื่นโทร. มาถามว่าจะไปค้างบ้านเขาหรือเปล่าก็ได้ คิดดังนั้นจึงโทร. กลับเป็นลำดับแรก พอไม่มีคนรับจึงเปิดข้อความอ่าน แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้ตัวเย็นวาบ

จิน!

เรนนี่นะ แกมาพบฉันตามที่อยู่นี้ได้ไหม

ฉันต้องการความช่วยเหลือด่วนมาก!

อย่าบอกใครนะ ฉันเชื่อใจใครไม่ได้เลยนอกจากแก

“เรนนี่...” จิรัศยาตื่นเต้นระคนดีใจ และก็แทบไม่ต้องคิดอะไรมาก ออกคำสั่งกับคนขับรถทันที “จอดรถด้วยค่ะ”

“เกิดอะไรขึ้นคะน้องจิน” แขขวัญถามอย่างข้องใจ เพราะเพิ่งขับออกมาจากสถานที่ถ่ายทำละครได้ไม่นาน

“พอดีจินมีธุระด่วน ต้องรีบไปค่ะ”

“ธุระอะไรคะ ให้พี่ไปด้วยดีไหม” อาสาด้วยความที่พักนี้ถูกชานนท์ตำหนิกลายๆ มาหลายรอบว่าดูแลศิลปินไม่ดี

“ไม่เป็นไรค่ะ จินจะไปหาเพื่อน”

จิรัศยาดูรีบร้อนเสียจนแขขวัญไม่กล้าซักไซ้มาก พอคนขับรถจอดให้ที่ป้ายรถเมล์ข้างทางจิรัศยาก็ลงไปอย่างรีบร้อน แถมวิ่งขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดอยู่ทันที

“จะรีบร้อนอะไรขนาดนั้น”

“นั่นสิครับ แล้วเราเอาไงดี” คนขับรถถามอย่างขอความเห็น เพราะหัวหน้าตนก็กำชับมาเช่นกันว่าให้ดูแลจิรัศยาให้ดี

“กลับบ้านสิ ดึกขนาดนี้คงไม่ไปก่อเรื่องที่ไหนหรอก”

คนขับยังมองผ่านกระจกอย่างไม่ใคร่เห็นด้วย แต่พอแขขวัญย้ำอีกรอบก็จำต้องทำตามเพราะตนก็มีครอบครัวที่ต้องกลับไปดูแลเช่นกัน

 

จิรัศยานั่งอยู่ในรถแท็กซี่อย่างร้อนใจ เธอพยายามโทร. กลับไปเบอร์เดิมแต่ก็ไม่มีคนรับสายจึงเปลี่ยนไปโทร. หาบุรัสกรเพื่อให้ตามมาสมทบทว่าฝ่ายนั้นก็ไม่รับสายอีก จึงส่งข้อความและที่อยู่ไปให้รวมทั้งย้ำหนักแน่นว่าห้ามบอกใครตามข้อความที่เรนนี่ส่งมา

ผ่านไปกว่าสิบห้านาทีบุรัสกรก็โทร. กลับมาซึ่งเจ้าตัวบอกว่ามัวแต่อาบน้ำอยู่

“แกอยู่ไหนแล้วเนี่ย!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความร้อนรน หลังจากบ่นขนานใหญ่ที่เธอใจกล้าบ้าบิ่นมาเพียงลำพัง

“กำลังมุ่งหน้าไปทางนนทบุรี น่าจะครึ่งทางแล้วละ”

“แกลงรถแล้วไปรอที่ห้างหรือร้านสะดวกซื้อแถวนั้นก่อน ฉันกำลังตามไป” บุรัสกรใช้ศีรษะหนีบโทรศัพท์ขณะที่เปลี่ยนเสื้อผ้าไปด้วย

“แกรีบมาก็แล้วกัน ฉันขอไปเจอเรนนี่ก่อน” จิรัศยาไม่ยอมฟัง เหตุเพราะข้อความถูกส่งมาตั้งแต่หัวค่ำนี่ก็ผ่านไปหลายชั่วโมงจึงกลัวว่าจะคลาดกับเรนนี่ไปเสีย

“แค่นี้ก่อนนะ ฉันพยายามโทร. หาเรนนี่อยู่”

“ยายจิน!” บุรัสกรค้านเสียงหลงแต่ก็โดนตัดสายไปทันที “โอ๊ย! จะใจกล้าบ้าบิ่นไปไหนย่ะ” หัวเสียไปก็เปลี่ยนเสื้อผ้าไป พอเสร็จก็ลงลิฟต์เพื่อไปลานจอดรถ ก่อนจะสตาร์ตรถก็พลันนึกขึ้นได้ “แล้วจะไปกันแค่ผู้หญิงสองคนเหรอ อันตรายไปไหมเนี่ย” ไม่ต้องตรึกตรองให้มากความยังไงเรื่องนี้ก็ต้องการผู้ช่วย บุรัสกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาเบอร์ที่เคยโทร. ออก

“สวัสดีค่ะ คือ...ฉันมีเรื่องให้คุณช่วย”

 

บ้านไม้กลางสวนมะพร้าวคือจุดมุ่งหมายตามที่อยู่ที่เรนนี่ส่งให้ จิรัศยามองตามแท็กซี่ที่แล่นกลับออกไปด้วยหัวใจที่หวาดหวั่น แต่เพราะเบาะแสของเพื่อนรักจึงฮึดสู้ หันมองรั้วไม้ที่ไฟติดๆ ดับๆ อีกครั้ง

“เอาน่า! เดี๋ยวยายเบนซ์ก็มา” เรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองเสร็จก็ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป ระยะห่างจากรั้วถึงตัวบ้านเกือบสิบเมตร ถนนโรยด้วยกรวดคนใส่ส้นสูงจึงเดินไม่ค่อยถนัดนัก แถมมีเสียงลมหวีดหวิวกระทบใบไม้ปลิวไสว บรรยากาศชวนให้นึกถึงหนังผีสักเรื่อง

จิรัศยามองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง กระทั่งไปถึงตัวบ้านซึ่งเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง 

“เรนนี่! แกอยู่ข้างในไหม” เธอตะโกนเรียกแต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมาจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปด้านบน ถึงประตูบ้านก็เคาะเรียกอีกครั้งแต่ก็เงียบเช่นเดิมจึงเปิดเข้าไป ซึ่งภายในก็มืดสนิทจนต้องเปิดไฟฉายจากมือถือ สภาพบ้านค่อนข้างเรียบร้อยสะอาดสะอ้านบ่งบอกว่ามีคนอยู่จริงๆ 

“เรนนี่! ได้ยินฉันไหม” จิรัศยายังมองหา พอเห็นสวิตช์ไฟก็เดินไปเปิดทำให้ไฟสว่างทั่วบ้าน

“เรนนี่!” เธอถือวิสาสะเดินหาจนทั่วแต่ก็ไม่พบใคร พอเดินกลับมาที่ห้องโถงหลักอีกครั้งกลับเผชิญหน้ากับคนที่ไม่คาดคิดเข้า

“พี่กฤษ!” จิรัศยาหน้าถอดสี มาถึงขั้นนี้ก็พอรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เบื้องหน้าคือชายฉกรรจ์ยืนเรียงกันอยู่สามคนโดยมีคมกฤษเป็นแกนนำ “มะ...มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

คมกฤษเยื้องย่างเข้าหาอย่างใจเย็น มองคนที่ทำให้ตนถูกจับและถูก ‘ควีน’  ตัดหางปล่อยวัด จนต้องใช้เงินและเส้นสายสุดท้ายให้ได้อิสรภาพคืนมา และด้วยความที่เป็นข่าวดังสังคมจับตามองอยู่มากจึงถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตอนนี้ทั้งตกงาน อำนาจในแก๊งก็ถูกลดทอนจนกลายเป็นแค่ลูกน้องปลายแถว

“ไม่ได้เจอกันนานนะน้องจิน ยังใจร้อนและคิดน้อยไม่เปลี่ยนเลย”

คล้ายถูกด่าว่าโง่กลายๆ ก็ไม่ปาน จิรัศยากัดฟันแน่นเหตุการณ์นี้เธอพลาดเองที่ไม่คิดหน้าคิดหลังมัวแต่กลัวว่าจะคลาดกับเรนนี่ไปเสีย

“แกจะทำอะไร!” จิรัศยาอกสั่นขวัญแขวน มือกำโทรศัพท์แน่นขณะถอยหลังไปชนหน้าต่างจนเปิดกว้าง

“ไม่ต้องกลัว พวกพี่ไม่ทำอะไรหรอก แค่อยากได้รูปเด็ดๆ ของสตาร์บีคนใหม่ไปประเดิมห้องแชตแค่นั้นเอง”

“หมายความว่าไง!” เท่าที่จำได้สตาร์บีคนปัจจุบันคือเรนนี่และการโหวตก็มีขึ้นทุกสามเดือน นี่ยังไม่ถึงสองเดือนเลยนับตั้งแต่เรนนี่หายตัวไป

“ก็น้องจินอยากเสือกไม่เข้าเรื่อง เลยได้สิทธิพิเศษ” คมกฤษแสยะยิ้ม ต้องการเอาคืนคนที่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนให้สาแก่ใจ “จัดการ!”

สิ้นคำสั่งของคมกฤษ ชายฉกรรจ์สองคนก็กรูกันเข้ามา 

“อย่าเข้ามานะ” จิรัศยาเคยแสดงละครบู๊มาบ้าง จึงทั้งเตะ ทั้งถีบ ทั้งข่วนสุดกำลังจนหนึ่งในสองคนนั้นเหลืออดฟาดมือเข้าที่ใบหน้าเธอ และด้วยเรี่ยวแรงที่มีจำกัดอยู่แล้วจิรัศยาจึงล้มฟุบไปกับพื้น

“เฮ้ย! เบาๆ มือหน่อยเดี๋ยวก็ช้ำหมดหรอก” คมกฤษเดาะลิ้น ด้วยกลัวสินค้าจะมีตำหนิ

“แค่ตบเองพี่ ไม่มีใครเขาสนหน้าตาหรอก ดูแค่ใช่จิน จิรัศยาก็พอ” ชายคนลงมือกล่าวอย่างอารมณ์ดี “ว่าแต่...จะแค่ถ่ายรูปจริงๆ เหรอพี่ เสียดายออก”

สายตากระเหี้ยนกระหือรือมองจิรัศยาตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า แม้จะอยู่ในชุดเสื้อยืดตัวโคร่ง กางเกงยีนขายาวแต่หุ่นก็ไม่ใช่เล่นเลย ภาพในละครตอนเล่นเป็นภรรยาน้อยยั่วสามีให้หลงก็ยังติดตาจนอยากลองสัมผัสแบบแนบชิดดูสักครั้ง

“ใจเย็นเว้ย หนักมือไประวังติดคุกหัวโต” คมกฤษกึ่งเตือน แต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม

“เราก็ถ่ายคลิปปิดปากมันด้วยไงพี่ แค่นี้มันก็ไม่กล้าเอาไปบอกใครแล้ว” ชายอีกคนเสนอ

“จริงด้วยพี่ เราได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเลย”

คมกฤษชักเริ่มคล้อยตาม ของสวยๆ งามๆ ก็ใช่จะตกมาถึงท้องบ่อยๆ จึงพิศมองไปที่จิรัศยาด้วยสายตาโลมเลียม “ว่าไงคุณจิน สนใจอยากสนุกกับพวกเราไหม”

“ไปตายซะ!” จิรัศยาหันซ้ายหันขวา เมื่อไม่เห็นทางออกใดจึงตัดสินใจปีนขึ้นขอบหน้าต่างแล้วกระโดดลงไปทันที

“เฮ้ย!” ชายฉกรรจ์มองความใจกล้าบ้าบิ่นอย่างตกใจ ก่อนจะกรูกันไปที่หน้าต่างมองลงไปชั้นล่างก็เห็นจิรัศยายังนั่งอยู่กับพื้น พอเงยมาเห็นพวกตนก็พยายามลุกแล้วกะเผลกๆ ไปที่ประตูรั้ว 

“ตามสิวะ!” คมกฤษออกคำสั่ง แต่ก็ไม่มีใครกล้ากระโดดตามลงไป ทำเพียงวิ่งไปที่ประตูและตามจิรัศยาทันที่รั้วหน้าบ้าน

“จะไปไหน!” คมกฤษกระชากแขนสุดแรง แต่ดันพลาดไปโดนเสื้อยืดจนขาดวิ่น

“กรี๊ด!” จิรัศยาผวาเฮือก มือกำเสื้อที่ขาดออกจากกันไว้แน่น

เสียงผิวปากจากสองคนที่วิ่งตามมาถึงทำให้ยิ่งหวาดหวั่น หรือเธอจะไม่รอดแล้วจริงๆ

“อย่ามัวมาวิ่งเล่นให้เปลืองแรงอยู่เลย เราไปเล่นอะไรสนุกๆ กันดีกว่า”

“อย่าเข้ามานะ ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต!” เพราะต้องคอยปกปิดร่างกาย จิรัศยาจึงปัดป้องได้ไม่เต็มที่ เพียงคมกฤษคนเดียวเธอก็โดนเขาลากเข้าไปด้านในจนเกือบจะถึงตัวบ้าน แต่จังหวะนั้นเองก็ได้ยินเสียงรถแว่วมาแต่ไกล ไม่กี่วินาทีต่อมารถยนต์สองคนก็มาจอดที่บริเวณรั้วหน้าบ้าน 

จิรัศยาพยายามสะบัดแขนสุดแรงเพื่อวิ่งไปขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่เป็นผลกลับโดนคมกฤษกระชากตัวไปล็อกคอและปิดปากไว้

นับว่าเป็นช่วงชุลมุนเพราะฝั่งคมกฤษก็ไม่ทันได้หลบซ่อนตัว จิรัศยามองไปทางคนที่วิ่งลงรถมาด้วยความหวัง แต่พอเห็นใบหน้าชัดๆ กลับทำให้ยิ่งหวาดหวั่นมากขึ้นเพราะไม่มีใครที่เธอรู้จักเลย จึงคาดเดาว่าเป็นพวกเดียวกับคมกฤษ ยิ่งคิดน้ำตายิ่งกบใบหน้า หากต้องตกเป็นเหยื่อของแก๊งควีนบีจริงๆ ชีวิตนี้คงหมดสิ้นแล้ว ทั้งหน้าที่การงาน ชื่อเสียงเงินทองหรือแม้แต่คนรัก

“ปล่อยผู้หญิงซะ!”

เสียงตะโกนทำให้คนใจฝ่อเบิกตากว้าง...คนพวกนี้มาช่วยเธอ จิรัศยาอาศัยทีเผลอศอกใส่ท้องคมกฤษเต็มแรง แล้วกะเผลกด้วยความเร็วเท่าที่จะทำได้เข้าไปหาคนกลุ่มใหม่ซึ่งหนึ่งในนั้นก็วิ่งเข้ามาช่วยประคองเธอ ส่วนที่เหลืออีกสองคนก็ชักปืนขึ้นมาเพื่อช่วยป้องกัน

“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยฉันด้วย!” จิรัศยาปากคอสั่น สองมือกำมือเสื้อที่ขาดหลุดลุ่ยไว้แน่น

“ไม่ต้องกลัวครับ นายเตให้พวกเรามาช่วยคุณ”

ประโยคดังกล่าวทำให้ความกังวลใจก่อนหน้านี้มลายหายไปสิ้น ใบหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตาพยักรัวๆ 

“ไอ้หมอพาคุณจินไปที่รถก่อน ทางนี้พวกฉันจัดการเอง”

“ระวังด้วย”

 สองหนุ่มพยักหน้า คนที่ถูกเรียกว่า ‘หมอ’ จึงพาเธอมาที่รถคันหนึ่ง พอเปิดประตูก็พบว่ามีหญิงสาวสองคนนั่งอยู่ด้านใน

“ฝากคุณจินด้วย เดี๋ยวผมไปดูนายเสือนายแสนก่อน”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ พิชโทร. แจ้งตำรวจแล้วเดี๋ยวคงถึง”

“พี่หมอช่วยปรามพี่เสือพี่แสนด้วยนะคะ เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องเอา” หญิงอีกคนกล่าวเสริม ซึ่งชายคนดังกล่าวก็พยักหน้าก่อนจะปิดประตูรถแล้วเดินไปสมทบกับสองหนุ่มที่เริ่มจะลงไม้ลงมือกับพวกของคมกฤษแล้ว

“ไม่ต้องกลัวนะคะคุณจิน” เป็นคำปลอบโยนของหนึ่งในสองสาว ส่วนอีกคนยังหาเสื้อมาช่วยคลุมให้ 

จิรัศยายังตัวสั่นเทาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกนัก แถมหลังจากนั้นทุกอย่างก็ชุลมุน ตำรวจเกือบสิบนายเข้ามาจัดการต่อ พวกของคมกฤษถูกพาตัวไปขณะจิรัศยายืนให้ปากคำกับตำรวจนายหนึ่งที่รถ สายตาพวกมันที่มองมาเต็มไปด้วยความอาฆาตเสียจนต้องก้มหน้าหนี

ระหว่างนั้นก็มีเสียงรถที่แสนคุ้นหูดังมาแต่ไกล ไม่ถึงนาทีต่อมามอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ที่แล่นมาด้วยความรถก็เบรถเสียงดังสนั่น จิรัศยานิ่งงันตั้งแต่เห็นว่าเป็นมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์แล้ว ยิ่งได้เห็นว่าคนที่ถอดหมวกกันน็อกเดินเข้ามาเป็นใครเท่านั้นแหละทำนบน้ำตาก็พังครืน เธอเดินกะเผลกเข้าไปโผกอดเขาไว้แน่น

“คุณเต จินกลัว!” เธอบอกขณะซุกที่อกเขา ปล่อยโฮแบบสุดจะกลั้น ซึ่งเตวิชก็กอดตอบแล้วพร่ำบอกว่าไม่เป็นไร เธอปลอดภัยแล้ว

 

จิรัศยาถูกพามาที่บ้านสวนสไตล์อังกฤษหลังหนึ่ง ด้วยความที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มาจึงเกาะติดเตวิชแจเพราะเป็นคนเดียวที่รู้จักในตอนนี้ อีกทั้งยังรู้สึกหวาดผวากระทั่งตอนแม่บ้านเดินเฉียดเพื่อเอาน้ำมาเสิร์ฟยังสะดุ้งเฮือก

“ดื่มน้ำก่อนค่ะ คุณจินไม่ต้องกลัวนะคะ ที่นี่มีแต่คนกันเอง”

น่าจะเป็นเจ้าของบ้านที่ยื่นแก้วน้ำมาให้ จิรัศยารับมาจิบแล้วถือไว้ หันมองคนนู้นทีคนนี้ทีด้วยความสับสน

“พวกเขาเป็นเพื่อนผมน่ะ” เตวิชยื่นมาช่วยหยิบแก้วไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วเริ่มแนะนำให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ “นี่คุณพิช เป็นเจ้าของบ้าน ส่วนคนข้างๆ ก็หมอแทน สามีคุณพิช”

จิรัศยามองตามและส่งยิ้มให้ทั้งสองคน

“ถัดไปนั่นน้องมิน ภรรยานายแสน และนั่นก็นายเสือ สองคนนั้นเป็นฝาแฝดกัน”

จิรัศยาเพิ่งจะเห็นชัดๆ ตอนนี้เอง ตอนที่สองคนนั้นเข้าไปช่วยก็มัวแต่หวาดกลัวจนไม่ได้สังเกตอะไร

“ภรรยาผมดูลูกๆ อยู่ครับเลยไม่ได้มาด้วย” คนที่ชื่อเสือเอ่ยสำทับ คล้ายกลัวน้อยหน้าที่ไม่มีภรรยามาอยู่ด้วย ซึ่งคนฟังที่สนิทชิดเชื้อก็ได้แต่ส่ายหน้า

“หมอแทน นายเสือ นายแสนเป็นเพื่อนสนิทของผม” เตวิชกล่าวสรุป จิรัศยาปราดมองทุกคนอย่างซาบซึ้ง 

“ขอบคุณทุกคนมากนะคะ ถ้าไม่ได้ทุกคนจินคงแย่”

“ไม่เป็นไรครับ คุณจินเป็นภรรยานายเต เราก็คนกันเอง” สรวิศเกริ่นอย่างไว้เชิง

“คะ?” จิรัศยาถึงกับเหวอ ไม่คิดว่าทั้งหมดจะล่วงรู้ถึงความลับนี้ด้วย

“นี่นายเตเป็นห่วงคุณจินมากเลยนะครับ บิดมาแทบจะสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยมั้งนั่น” ธนวัฒน์กล่าวสำทับ เรียกคะแนนให้เพื่อนเต็มที่

“ถ้าพวกผมปล่อยให้คุณจินเป็นอะไรไป มันคงเล่นงานตาย”

“จริงครับ นี่ก็บังคับให้พวกเราใส่หูฟังเพื่อติดตามสถานการณ์ตลอด” สองหนุ่มอย่างสรวิศกับธนวัฒน์ยังสรรหาถ้อยคำมาเยินยอเตวิชไม่หยุด ส่วนแสนศรันย์ก็ได้แต่นั่งนิ่งจนมินนภัสที่นั่งข้างๆ ต้องสะกิดให้ช่วยเอ่ยอะไรบ้าง

“ครับ นายเตมันชอบคุณจินจริงๆ”

สิ้นคำคนพูดน้อย ทั้งหมดก็หัวเราะคิก มีเพียงจิรัศยาที่ยังทำหน้าไม่ถูก หันมองเตวิชฝ่ายนั้นก็ไม่เอ่ยอะไร มีเพียงใบหน้าที่เก้อเขินเล็กน้อย เธอเพิ่งเห็นมุมนี้ของเขาก็ตอนอยู่ต่อหน้าเพื่อนนี่แหละ

“ดึกแล้ว แยกย้ายกันได้แล้วไป” เตวิชตัดบท ไม่อยากโดนเพื่อนเผาไปมากกว่านี้

สรวิศหัวเราะร่า ก่อนจะยอมถอนตัวโดยง่าย “เออๆ พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”

“พักผ่อนให้สบายนะคะพี่จิน ไม่ต้องคิดอะไรมาก” มินนภัสกล่าว ส่วนแสนศรันย์ก็ได้แต่พยักหน้าให้เตวิช พอทั้งสามคนบอกลาธนวัฒน์ก็ตามไปส่งถึงหน้าประตู

“คุณจินกับคุณเตก็พักเสียที่นี่แหละค่ะ พิชให้เด็กทำความสะอาดห้องรับแขกไว้แล้ว”

“ขอบใจมากนะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่มารบกวน”

“เกรงใจอะไรกันคะ” พิมพ์พิชเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะหันไปทางจิรัศยาบ้าง “คุณจินจำพิชได้ไหมคะ เราเคยเจอกันตามงานอีเวนต์อยู่บ้าง”

“คุณพิชเป็นเจ้าของแบรนด์พิมพ์พิชใช่ไหมคะ”

พิมพ์พิชยิ้มรับ เธอเคยร่วมงานและทักทายจิรัศยาอยู่บ้างแต่ไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกัน

“จินก็รู้สึกคุ้นๆ อยู่ ขอบคุณพิชอีกครั้งนะคะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เราคนกันเอง” พิมพ์พิชเอ่ย พอดีกลับสามีเดินกลับมา “หมอทำแผลให้คุณจินก่อนดีไหมคะ” แม้ภายนอกจะไม่มีบาดแผลอะไรมากมาย แต่ก็สังเกตได้ว่าใบหน้าแดงช้ำและเดินขากะเผลก

“ให้คุณจินไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”

“จริงด้วย งั้นเดี๋ยวพิชพาไป” พิมพ์พิชตั้งท่าจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกสามีดึงชายเสื้อไว้เบาๆ พอหันมามองธนวัฒน์ก็พยักพเยิดไปทางเตวิช

“อ้อ ให้คุณเตพาไปน่าจะดีกว่า ห้องนอนแขกอยู่ชั้นสองด้านซ้ายมือนะคะ เดี๋ยวพิชกับคุณหมอจะเตรียมยาไปให้” พิมพ์พิชดึงสามีให้ลุกหนีไปเสียดื้อๆ คนถูกทิ้งทั้งสองจึงหันมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน

“เอ่อ จินไปอาบน้ำก่อนดีกว่า” จิรัศยาไม่อยากรบกวนจึงพยายามลุกขึ้น และเดินไปยังบันไดด้วยตัวเองแต่ยังไม่ทันถึงจู่ๆ ตัวก็ลอยหวือจนอดหวีดร้องไม่ได้

“คุณจะทำอะไร” เธอถามเสียงหลง สองมือตวัดรอบลำคอแกร่ง

“พาคุณไปอาบน้ำไง”

“หา ตะ...แต่...”

“เกาะดีๆ เถอะ เดี๋ยวได้ตกไปแข้งขาหักอีกข้าง”

คำขู่ทำให้จิรัศยากระชับมือให้แน่นขึ้น สายตาจ้องใบหน้าของคนที่อุ้มขึ้นบันไดไม่วางตา

“หยุดมองได้แล้ว”

น้ำเสียงติดจะดุไม่ทำให้จิรัศยากลัวแม้แต่น้อย แต่เมื่อเขาไม่ให้มองเธอจึงซบลงที่ไหล่แทน เมื่ออยู่กับเขาราวกับเป็นคอมฟอร์ตโซน ทั้งรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจ

พอมาถึงห้องพักเตวิชก็วางเธอลงบนเตียง แล้วเดินไปหาผ้าเช็ดตัวกับของใช้จำเป็นเตรียมไว้ให้ในห้องน้ำ

“เดี๋ยวผมไปยืมเสื้อผ้าคุณพิชมากให้”

“ขอบคุณค่ะ ว่าแต่...คุณรู้ได้ไงว่าจินอยู่ที่นี่” จิรัศยาเพิ่งจะเอะใจ ด้วยไม่ได้ติดต่อเขาเลยในช่วงหลายวันที่ผ่านมาหรือแม้กระทั่งวันนี้ “หรือว่าคุณยังติดตั้งแอปฯ ดักฟังไว้ในเครื่อง”

“เพื่อนคุณเป็นคนบอก” เตวิชเฉลยคนที่เริ่มสันนิษฐานเรื่อยเปื่อย แต่พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็คิดแล้วว่าต้องอาศัยจังหวะแอบลงไว้จะดีกว่า

“ยายเบนซ์น่ะเหรอคะ” จิรัศยาถามอย่างนึกแปลกใจเพราะเธอย้ำหนักหนาว่าห้ามบอกคนอื่น แล้วคำของคมกฤษวนเวียนมาเข้าหัวอย่างช่วยไม่ได้ “ยายเบนซ์ฉลาดกว่าจินจริงๆ ด้วย”

“คิดมากน่า คุณก็แค่อยากเจอเรนนี่เกินไป”

คำปลอบใจทำให้จิรัศยาเงยมองคนที่มาหยุดยืนตรงหน้าตาพราว

“แต่คราวหน้าคิดเยอะๆ หน่อยก็ดี”

ใบหน้าคนฟังตูมขึ้นทันใดแถมตวัดค้อนเสียหนึ่งรอบ เตวิชกระตุกยิ้มแล้วดึงมือเธอให้ลุกขึ้น

“ไปอาบน้ำ”

จิรัศยาได้ทีเล่นแง่ กางสองมือเป็นเชิงบังคับกลายๆ ให้อุ้มซึ่งเตวิชก็ไม่ขัด ระหว่างเดินไปห้องน้ำก็นึกบางอย่างขึ้นได้ 

“ยายเบนซ์กำลังมาหาจิน ไม่รู้ตอนนี้ถึงไหนแล้ว พอดีโทรศัพท์จินหน้าจอดับไปตอนกระโดดจากหน้าต่างพยายามเปิดแล้วแต่ไม่ติด”

เตวิชฟังประโยคพึมพำโดยไม่เอ่ยอะไร พอถึงห้องน้ำก็วางเธอลงแล้วจ้องหน้านิ่ง 

“อะไรคะ” จิรัศยาถามอย่างสงสัย ขณะยกมือลูบแก้มก็เจ็บแปลบขึ้นมา “บวมเยอะเลยเหรอคะ”

“อือ!” เตวิชเสียงห้วน คว้ามือเธอออกมา “คราวหน้าอย่าทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้อีก ดีนะที่ขาไม่หัก”

“มันไม่ได้สูงมากหรอกค่ะ แต่ต่อให้สูงกว่านี้จินก็ยอมโดดดีกว่าให้คนพวกนั้นรังแก” จะเรียกว่ายอมตายก็ไม่ผิด เธอไม่ยอมให้มีภาพลับหลุดสู่โซเชียลแน่ๆ เพราะแบบนั้นยิ่งกว่าตายทั้งเป็น 

“คุณนี่นะ”

“คุณช่วยดูโทรศัพท์ให้จินหน่อยได้ไหมไม่รู้จะพังหรือเปล่า จินแอบอัดเสียงพวกนั้นไว้ด้วย” จิรัศยาเปลี่ยนเรื่องเมื่อดูเตวิชหน้าเครียดขึ้นทุกที เธอดึงมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้ 

เตวิชรับไปถือไว้ สีหน้ายังไม่ดีขึ้นนัก

“แล้วก็ขอยืมโทรศัพท์โทร. หายายเบนซ์หน่อย” จิรัศยาแบมือ กะพริบตาปริบๆ อย่างออดอ้อน

“เดี๋ยวผมจัดการเอง คุณอาบน้ำไปเถอะจะได้ให้ไอ้หมอทำแผล”

จิรัศยาพยักหน้ารับ แต่ขณะเขาจะเดินออกไปก็คว้าแขนไว้ 

“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยจิน” เธอกล่าวอย่างจริงจังและจริงใจ เงยสบตาคนที่ตอนแรกเธอลงทุนวางแผนมากมายเพื่อหาหลักฐานเอาผิด แต่สุดท้ายกลับมีเป็นเขาที่ช่วยทุกครั้งที่เดือดร้อน 

“ผมผิดเองที่นิ่งนอนใจ มัวแต่วุ่นกับงานจนไม่รู้ว่านายกฤษถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว”

“ใช่ความผิดคุณที่ไหน ถ้าคุณจะผิดก็ผิดอยู่เรื่องเดียว”

คนฟังเลิกคิ้ว นึกไม่ออกว่านอกจากเรื่องนี้จะมีเรื่องใดอีก

“ผิดที่ไม่ติดต่อจินตั้งหลายวัน”

เตวิชอึ้งไป ด้วยคาดไม่ถึงคิดว่าจิรัศยาจะต่อว่าเรื่องนี้ “ผมงานยุ่ง ต้องขึ้นระบบให้เสร็จภายในสิ้นเดือนนี้”

จิรัศยาไม่แปลกใจกับคำตอบ เวลาทำงานเตวิชไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว “แต่พอยายเบนซ์บอก คุณกลับทิ้งยอมทิ้งงานมาที่นี่”

“คุณอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวผมจะโทร. หาถามเพื่อนคุณอีกทีว่าถึงไหนแล้ว” เตวิชเลี่ยงจะตอบ ไม่ค่อยจะอยากรับความจริงข้อนี้นัก

จิรัศยามองคนเก้อเขินที่กำลังจะเดินหนีอย่างชอบใจ รีบกระตุกแขนเขาให้หันแล้วเขย่งเท้าไปจุ๊บที่ริมฝีปากเสียหนึ่งที

คนโดนจู่โจมคล้ายจะอึ้งไป พอได้ยินประโยคถัดมาความรู้สึกที่พยายามกักเก็บไว้ก็พังครืน

“ขอบคุณนะคะ คุณสามี”

มือหนาสอดมาที่เอวบางแล้วรั้งให้แนบชิดมากขึ้น จิรัศยาตระหนกกับปฏิกิริยาดังกล่าวแต่ยังไม่ทันได้หาความกระจ่างใดๆ ริมฝีปากเขาแนบสนิทตามลงมา จากสัมผัสแผ่วเบาค่อยๆ แนบชิดและเน้นหนักมากขึ้นเขาเฝ้าจูบวนเวียนขบเม้ม ช่วงชิมความหวานอยู่เป็นนานก่อนจะปล่อยเธอให้เป็นอิสระ 

คนเพิ่งรู้ว่า ‘จูบ’ ที่แท้จริงเป็นเช่นไรตัวอ่อนระทวยยืนหยัดแทบไม่ไหว

“อย่าทำให้ผมต้องเป็นห่วงอีก ไม่งั้นจะโดนทำโทษหนักกว่านี้”

กายของจิรัศยายังหอบโยน สิ่งที่เขาพูดเหมือนจะไม่เข้าหัวนัก

“ได้ยินไหม”

“คะ? เอ่อ ไม่ได้ยินเท่าไหร่ ขออีกครั้งได้ไหม” จิรัศยาตาพราวอย่างมีเลศนัย จึงโดนเขกมะเหงกไปเสียหนึ่งที “โอ๊ย! เจ็บนะ” เธอยกมือลูบหน้าผากป้อย อมยิ้มแก้มแทบปริขณะมองตามคนที่เดินหนีไป

 

บุรัสกรมาถึงหลังจากนั้นไม่นาน ได้รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากคำบอกเล่าของพิมพ์พิชและธนวัฒน์ ก่อนที่เตวิชจะอุ้มจิรัศยาออกมาสมทบโดยทั้งหมดนั่งกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นบนชั้นสองของบ้านสวนวริทธิ์นันท์

“แกนี่นะ ใจร้อนไม่เคยเปลี่ยน ฉันบอกให้รอก็ไม่รอ” บุรัสกรบ่นคนที่กำลังนั่งให้ธนวัฒน์ทายาที่ข้อเท้าอย่างอดไม่ไหว “ดีนะที่ไม่เป็นอะไรมาก ต้องขอบคุณคุณเตกับเพื่อนจริงๆ”

“เลิกบ่นได้แล้วน่า”

“ก็ไม่อยากบ่นหรอก แต่แกไม่จำเลยไง”

“คราวนี้คงพอหายซ่าได้บ้างละครับน่าจะเดินไม่ถนัดไปอีกหลายวัน” เตวิชที่นั่งอยู่โซฟาอีกด้านกล่าว

“แบบนี้ก็ดีค่ะ” บุรัสกรตวัดมองเพื่อน “ว่าแต่งานการจะทำไงยังไง ต้องขอเลื่อนคิวไปก่อนไหม”

คนโดนรุมนั่งหงอย ก้มหน้างุดไม่หันสบตาบุรัสกรกับเตวิช “คงไม่ต้องเลื่อนหรอกกว่าจะถ่ายอีกทีก็พุธหน้า น่าจะหายทัน”

“ทันไหมไอ้หมอ” เตวิชขอคำยืนยันจากแพทย์หนึ่งเดียวในตอนนี้

“ไม่น่าจะทันนะครับ ควรพักหนึ่งถึงสองอาทิตย์ ถ้าจะให้ดีผมว่าควรไปเอกซเรย์ที่โรงพยาบาลด้วยตอนนี้ผมแค่รักษาเบื้องต้นเท่านั้น” ธนวัฒน์เอ่ยตามหลักการ เขาแค่ประคบเย็น ทายาและพันผ้าให้เท่านั้น 

“ได้ยินไหม” เตวิชหันไปจ้องคนคอตก ซึ่งก็ได้แต่พยักหน้าหงอยๆ

“เดี๋ยวผมทายาที่หน้าให้นะครับ” ธนวัฒน์ขยับขึ้นมานั่งบนโซฟาเมื่อรักษาข้อเท้าเบื้องต้นเสร็จ

“ไม่เป็นไรค่ะหมอแทน เดี๋ยวเบนซ์ทาให้ยายจินเอง” บุรัสกรไม่อยากรบกวนเจ้าของบ้านมากจึงอาสา “พวกคุณไปพักผ่อนเถอะค่ะ วุ่นกันมาเกือบทั้งคืนแล้ว”

“เอางั้นเหรอคะ” พิมพ์พิชที่นั่งอยู่ด้วยยังไม่คลายความกังวล

“ค่ะ ที่เหลือเบนซ์จัดการต่อได้”

“ก็ได้ค่ะ งั้นตามสบายนะคะ” แล้วพิมพ์พิชก็เดินเคียงสามีเข้าห้องนอนไป เหลืออีกสามคนที่ยังนั่งอยู่

“คุณก็ไปนอนเถอะค่ะ” จิรัศยาหันบอกเตวิช เขาบอกเองว่าหลายวันที่ผ่านมางานยุ่งเดาได้เลยว่าเวลานอนแทบไม่มี

“ผมไปส่งคุณที่ห้องก่อนดีกว่า”

“ไม่...” คำปฏิเสธไม่ทันหลุดออกมา เตวิชก็ลุกมาอุ้มเธอหน้าตาเฉยจนบุรัสกรมองตามแบบตาลุกวาวก่อนจะคว้ายาลดอาการอักเสบช้ำบวมวิ่งตามไป

“รีบนอนล่ะ มีอะไรก็เรียกได้เลย ผมนอนอยู่ห้องถัดไปนี่เอง”

“ค่ะ” จิรัศยาตอบเขินๆ พอเขาหมุนตัวจะเดินออกไปก็แอบรั้งชายเสื้อไว้ “ฝันดีนะคะ”

เตวิชหันกลับมาลูบศีรษะคนนั่งบนเตียงเบาๆ “ฝันดีครับ” เขาส่งยิ้มให้แบบน้อยครั้งจะทำแล้วเดินผ่านบุรัสกรออกจากห้องไป พอประตูปิดลงคนเฝ้าสังเกตการณ์จึงปรี่มานั่งข้างๆ 

“ฝันดีนะคะ ฝันดีครับ”

จิรัศยาตวัดค้อนสีหน้าและท่าทางล้อเลียนของเพื่อนรัก “จะทายาก็รีบทา”

“นี่ถ้าฉันไม่มาแกจะให้ใครทาให้”

“ไม่น่าถาม” จิรัศยาเชิดหน้าตอบ ก่อนจะหัวเราะคิกเมื่อบุรัสกรเบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้

“แกมันร้าย!”

“เร็วๆ เข้าเถอะจะได้รีบนอน” จิรัศยาตัดบท แม้จะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มาแต่การได้รับความช่วยเหลือจากเตวิชและผองเพื่อน แถมยังได้รับการต้อนรับอย่างกันเองก็ทำให้เธออบอุ่นและสบายใจ จนคาดเดาได้เลยว่าคืนนี้ต้องหลับได้อย่างสนิทแน่นอน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น