6

รอยทางนักสู้


 

บทที่ ๖

รอยทางนักสู้

 

รถราแล่นขวักไขว่อยู่บนถนน ตึกสูงที่แออัดเบียดเสียดชวนให้หายใจไม่สะดวก ยังไม่นับเสียงแตรรถและเครื่องยนต์ดัง ช่างทำลายโสตประสาทของชายหนุ่มที่เดินเพียงลำพังเหลือเกิน

“อ๊าก...” เมืองมองดูร่างกายตัวเองแล้วจึงร้องลั่น เขามาอยู่ในร่างของใครกัน รอบกายของเขายามนี้มันเกิดอะไรขึ้น มีบางคราวที่ต้องหยุดแหงนหน้ามองโลกที่เปลี่ยนไปเป็นระยะ หรือว่าเขาจะถูกมนตร์กาลีของใครพาให้ต้องมาอยู่ภพภูมิที่วิปริตเช่นนี้

ปี๊น...

เสียงแสบแก้วหูลากยาวทำชายหนุ่มสะดุ้งโหยง เมืองหันขวับ เจอชายคนหนึ่งโผล่หน้ามาจากเกวียนเหล็กและก่นด่าเขาเป็นชุด

“เฮ้ย! มาเดินอยู่กลางถนน อยากตายหรือไง”

สำเนียงและสีหน้าดูก็รู้ว่าผู้พูดไม่พอใจ หนุ่มชาติทหารกำดาบแน่น เขาไม่ชอบให้ใครมาขู่

ช่างโอหังนัก...

กำลังจะเดินเข้าไปมีเรื่องก็มีคนมาจับแขนเขาไว้ ชายหนุ่มสะบัดตัวด้วยความระแวง จึงพบว่าเจ้าของมือเป็นสตรีนางหนึ่งหน้าตาสะสวย ดวงตาเธอฉายแววแปลกใจที่ได้พบเขา

“คุณชวิน มาทำอะไรตรงนี้”

หนุ่มหล่อขมวดคิ้วให้คนที่ไม่รู้จัก แต่ก็ยังตอบคำถาม “กูจะฆ่าไอ้คนที่มันคิดจะฆ่ากู”

ไม่ทันที่มาลัยทองจะอ้าปากสนทนาต่อ เสียงแตรรถก็ดังยาวอีกครั้ง เธอจึงจำต้องลากตัวเขามาข้างถนนก่อน

“จะบ้าหรือไงคุณ” เธอเอ่ย ขณะที่มาลัยทองกำลังขับรถ การจราจรข้างหน้าก็ติดขัดจนรถเคลื่อนตัวไม่ได้ เธอเห็นชายคนหนึ่งเดินขวางกลางถนน จำได้ทันทีว่าเป็นเศรษฐีหนุ่มจอมหาเรื่อง และเมื่อเห็นสิ่งที่เขาถืออยู่ก็ทำให้ต้องรีบเปิดไฟเลี้ยวเข้าข้างทางทันที

ดาบชาตรี...

มาลัยทองพาเขามาขึ้นรถ แรกทีเดียวชายหนุ่มไม่ยอมเท่าไร แต่เมื่อได้ยินว่าเธอจะพาเขาไปส่งบ้าน ชวินจึงมีท่าทีสงบลง ส่วนหญิงสาวหวังลึกๆ ว่าการได้ช่วยเหลือชายหนุ่มจะทำให้เขายอมใจอ่อนเรื่องดาบโบราณ

“มึงเป็นใคร” เขาถามพร้อมกับกวาดสายตาไปทั่วรถ

หญิงสาวยิ้มมุมปาก มองเขาอย่างไม่วางใจ “มาไม้ไหนอีกล่ะ ฉันก็มีนามว่าแม่มาลัยทอง นางเอกลิเกของคุณไงคะ”

เขาชะงักและหันมามองหน้า ใจชื้นขึ้นมาหน่อย คงเพราะเธอเป็นคนแรกที่ยอมคุยกับเขาโดยมีท่าทางปกติทุกอย่าง

“มาลัยทอง มึงบอกมาเถิด ตอนนี้กูอยู่ที่ใด”

มาลัยทองหัวเราะทันที “นี่คุณ เมาไม่สร่างหรือไง พูดจายังกับคนโบราณ หรือจะเล่นมุกพระเอกลิเกต่อ” เธอยักไหล่และเดินหน้าหมุนพวงมาลัย

“จะให้ไปส่งที่ไหน”

“กูอยากกลับเรือน ป่านนี้ไอ้คำสาคงตามหาตัวให้วุ่น”

มาลัยทองสบตา ชวินก็มีสีหน้าจริงจังไม่ได้พูดเล่น

“เอาเถอะ ฉันขอแวะเคลียร์เอกสารที่ร้านก่อน แล้วจะไปส่งคุณกลับบ้าน” มาลัยทองรีบตัดบท ไม่อยากถามเขาให้มากความ ชวินไม่พูดอะไรแต่ยังดูตื่นตระหนก เธอได้ยินข่าวมาว่าหลังจากสูญเสียดวงตาผู้เป็นย่า ชายหนุ่มกลายเป็นคนซึมเศร้า ไม่สุงสิงกับใคร

ที่ร้าน ‘ในวารวัน’ มาลัยทองจอดรถและพาเขาเข้าไปพักผ่อนด้านในอันเป็นส่วนต้อนรับแขก แม้จะเป็นร้านขายของโบราณ แต่อีกฝั่งหญิงสาวก็ตั้งใจจัดให้ดูมีสไตล์เหมือนร้านกาแฟเล็กๆ เพื่อให้ลูกค้าได้พักผ่อนหย่อนใจ

“นั่นคุณชวินสุดหล่อไม่ใช่เหรอคะ” จอย ลูกจ้างในร้านถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น

มาลัยทองพยักหน้าว่าเธอเดาถูก

“ตายแล้ว น่าอิจฉาคุณมาลัยจังเลย ได้อยู่ใกล้ผู้ชายเนื้อหอมระดับประเทศ” เด็กสาวยิ้มกว้าง ชายคนนี้แหละที่เธอแอบตามในอินสตาแกรม อ้อ นิตยสารดังที่มีข่าวของเขาเธอก็ไม่พลาดหยิบติดมือมาเก็บสะสมพอๆ กับดาราคนดัง

เจ้านายยิ้มแห้งๆ “เธอคงคิดว่าเขาหล่อและเป็นสุภาพบุรุษสิท่า อย่าให้ได้รู้ความจริงเลย”

คำพูดของนายจ้างทำให้จอยทำหน้างงๆ

“อย่าเพิ่งสงสัย นั่นลูกค้าเข้าร้านแล้ว”

มาลัยทองใช้สายตาบุ้ยใบ้ไปยังชายชาวต่างชาติสองคนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามา สาวน้อยรีบกุลีกุจอเข้าไปต้อนรับ ส่วนเธอเดินไปที่โต๊ะทำงาน ใช้เวลาหาเอกสารพักใหญ่ก็ได้ยินเสียงร้องลั่น

“กรี๊ด! คุณมาลัยช่วยด้วย” เสียงลูกจ้างขอความช่วยเหลือ

มาลัยทองสะดุ้งโหยง รีบพุ่งไปยังส่วนรับแขกของร้าน ภาพที่เห็นคือวัยรุ่นต่างชาติสองคนล้มคว่ำไม่เป็นท่า โดยมีจอยคอยเอาตัวเข้าบังไม่ให้ชวินเข้าไปทำร้าย

“คุณชวิน จะทำอะไร” เจ้าของร้านรีบเข้าไปห้ามด้วยความตกใจ ขณะที่หนุ่มตาน้ำข้าวร้องโอดโอย สบถคำหยาบออกมาเป็นชุด

“ลูกค้าสองคนคงจะเมา พยายามจะแย่งดาบของคุณชวินที่อยู่บนโต๊ะ ก็เลยถูกคุณชวินต่อยคว่ำ”

“ไม่แค่นั้นดอก ไอ้กุลาวาเผือกมันยังล่วงเกินมึงด้วยมิใช่รึ” เขาเห็นเต็มตาว่าพวกต่างชาติกำลังพยายามลวนลามผู้หญิงในร้าน

มาลัยทองเข้าไปพยุงหนุ่มต่างชาติ ยัดธนบัตรจำนวนหนึ่งใส่มือเป็นค่าพยาบาล เธอบอกพวกเขาว่ามีส่วนผิดเพราะคิดจะขโมยของลูกค้า สองหนุ่มจึงออกจากร้านไปอย่างหัวเสีย

“ปล่อยมันไปทำไม กูอยากจะเด็ดหัวมันนัก” หนุ่มถือดาบประกาศกร้าว

สองสาวในร้านสะดุ้งโหยง

“คุณชวินเป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณมาลัย” จอยเอียงหน้ากระซิบ

“เขาแปลกๆ ตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว ฉันว่าเขาคงเมาค้าง หรือถ้าไม่ใช่ก็คง...เป็นบ้าไปแล้ว” เจ้าของร้านตอบเสียงเบา “ว่าแต่...เรื่องมันเป็นมายังไง” มาลัยทองถามถึงเรื่องวุ่นวายทั้งหมด

ลูกจ้างสาวยิ้มแห้งๆ “ฝรั่งสองคนนั้นถามนู่นนี่นั่น แต่ส่งตาหวานให้จอยตลอด อาจจะเพราะว่าจอยสวยก็ได้เนาะ” ลูกจ้างสาวเข้าข้างตัวเองพร้อมกับจับผมที่ปรกหน้ามาทัดหู

“จอยก็ไม่นึกว่ามันจะเมา พอเผลอก็มาโอบไหล่ อีกคนก็ไปหยิบดาบของคุณชวินมาเล่น” จอยเล่าตามจริง ใครจะคิดว่าลูกค้าวัยรุ่นที่สนใจร้านขายของเก่าจะกลายเป็นฝรั่งซำเหมา แถมดูถูกสาวไทยอีก

“เข้าใจแล้ว เธอไปทำงานต่อเถอะ แล้วอย่าเพิ่งเข้าไปใกล้คุณชวินล่ะ”

จอยมองหวั่นๆ ก่อนจะเลี่ยงไปทางอื่นเสีย มาลัยทองจึงเดินมาข้างๆ ชายหนุ่มและดึงมือให้เขานั่งลงด้วย

“ไม่มีอะไรแล้ว นั่งลงเถอะ”

“พวกมันคิดจะเอาดาบเล่มนี้ไป” เขายังดูขึงขัง

“หวงเหลือเกินนะ ดาบเล่มนี้ ทั้งๆ ที่คุณนั่นแหละเป็นคนแย่งฉันไป” เธอประชดประชัน แต่เขาก็ทำนิ่งเฉย

“ตกลงคุณจะขายให้ฉันได้หรือยัง” เธอขี้เกียจอ้อมค้อม

เขาหันมามองหน้า “ไม่ได้ดอก ดาบเล่มนี้มันเป็นของน้องชายกู”

“น้องชาย?” มาลัยทองขมวดคิ้ว วันก่อนยังบอกว่าทำไปเพื่ออยากชนะเธอ วันนี้มาอ้างว่ามีน้องชาย “น้องชายคุณเป็นใครไม่ทราบ เท่าที่ฉันรู้ คุณก็มีเพียงพลอยแก้วที่เป็นน้องสาว”

ชวินมีสีหน้าวิตก “ดาบเล่มนี้เป็นของไอ้คำสา เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่พ่อมันหลงเหลือไว้ให้”

หญิงสาวยกมือขึ้นบีบขมับ ยิ่งคุยยิ่งปวดหัว “แล้วน้องชายคุณไปไหนเสียล่ะ”

“กูพลัดหลงกับมันหลังจากโดนฟ้าผ่า”

คราวนี้คนฟังหัวเราะร่วน “คุณชวินคะ คุณไม่สบายหรือเปล่า”

เขาหันขวับด้วยสีหน้ารำคาญ “กูไม่ได้ชื่อชวิน”

มาลัยทองสูดลมหายใจเข้าลึก “งั้นคุณเป็นใคร”

ชายหนุ่มนิ่งเงียบและสบตาหญิงสาว แววตาไม่เหมือนคนที่เธอรู้จัก

“กูชื่อเมือง เป็นทหารของพระยานเรนทร์ มึงรีบพากูกลับเรือนเถิด”

 

มิ่งและมั่นนั่งสังเกตอยู่หลังโอ่งน้ำ เป็นเวลานานแล้วที่รุ่นพี่ทหารคนกล้านั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่และเอาแต่จ้องมองท้องฟ้าอยู่อย่างนั้น บางครั้งก็จับดาบเงินมาลูบๆ คลำแล้วชี้ขึ้นฟ้า ทำซ้ำไม่รู้กี่รอบ ซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้เหตุผล

“พี่เมืองแปลกไปจริงๆ นะไอ้มั่น” หนุ่มร่างผอมเอ่ย

“คงเพราะเจอฟ้าผ่าเมื่อคืนเป็นแน่” มั่นสงสัย “หรือพี่เมืองจะกลายเป็นชายวิปลาส”

มิ่งรีบเขกกะโหลกคนพูดทันที

“โอ๊ย!”

“พี่เมืองเป็นคนเก่ง มึงจำไม่ได้รึ ครั้งศึกที่เชียงใหม่ พม่ารามัญกรูเข้ามาเป็นสิบยังไม่เป็นอะไรเลย”

เสียงพูดคุยกันดังทำให้ร่างใหญ่ที่นั่งอยู่หันขวับมา

“นี่ พวกคุณสองคนน่ะ” ชวินชี้ดาบใส่จนทั้งสองสะดุ้งโหยง

“ไม่มีอะไร ข้ากับไอ้มั่นกำลังจะไปทำงานแล้ว” มิ่งยกมือท่วมหัวแล้วลากแขนมั่นไปอย่างรวดเร็ว

ชวินมองตามตาปริบๆ...กะจะเรียกมาถามไถ่ให้รู้เรื่องเสียหน่อย สองหนุ่มต่างไซซ์ก็วิ่งหนีเตลิด ทำอย่างกับเขาเป็นยักษ์เป็นมาร ชวินถอนหายใจ แต่เมื่อก้มมองดูมือตัวเอง สารรูปของเขาเวลานี้ก็ไม่ต่างจากที่คิดไว้นัก

ยักษ์ ใช่...หน้าตาก็เหี้ยมเกรียม แถมรูปร่างสูงใหญ่ เดินไปไหนก็มีแต่คนหวาดกลัว แถมตอนนี้ทุกอย่างรอบตัวไม่เหมือนมหานครที่จากมาสักนิด คำสา เด็กหนุ่มที่อยู่ด้วยกันบอกว่าเขาอยู่ในพุทธศักราชสองพันสามร้อยสี่สิบสาม หรือก็คือสมัยรัชกาลที่หนึ่ง

ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เขาอยากกลับบ้านเหลือทน แต่จะกลับเช่นไร เท่าที่จำได้ เขามาที่นี่เพราะฟ้าผ่าดาบชาตรี หากจะกลับไปก็น่าจะทำเช่นนั้น แต่หลังจากนั่งมองท้องฟ้าสดใส ฟังเสียงนกน้อยร้องจิ๊บๆ ต้นไม้เสียดสีตามแรงลม ต่อให้ยกดาบบ้าๆ นี่ขึ้นก็คงไม่มีฟ้าที่ไหนผ่าลงมากลางวันแสกๆ

เครียดจริงโว้ย...

พลันเด็กหนุ่มก็เดินเข้ามาพร้อมกับมะพร้าวลูกใหญ่ คำสายื่นให้พร้อมรอยยิ้ม

“พี่เมือง ข้าว่าพี่ดูไม่ค่อยสบาย ดื่มน้ำมะพร้าวให้ชื่นใจเสียเถิด”

ความร้อนทำให้ชวินปฏิเสธไม่ได้ จึงยื่นมือไปรับความปรารถนาดีจากเด็กหนุ่ม

“ขอบใจ” เขายกมันซดอย่างรวดเร็ว รสชาติหอมหวานช่วยบรรเทาความร้อนรุ่มในหัวใจ

“ข้าเดินสวนทางกับพี่มิ่งและพี่มั่น สองคนนั้นบอกว่าพี่นั่งมองฟ้าและชูดาบเป็นร้อยๆ รอบ”

ชวินพยักหน้าก่อนจะหาเหตุผลอ้าง “คือฉันอยากให้ฟ้าผ่าอีกสักรอบ เผื่อจะเอาความทรงจำของฉันกลับมาบ้าง อย่างที่เอ็งรู้ ฉันจำอะไรไม่ได้เลย” ชายหนุ่มพยายามพูดให้กลมกลืนกับคนแถวนี้ให้ได้ที่สุดก่อน

“โธ่ น่าสงสารพี่เสียจริง ว่าแต่เหตุใดพี่ถึงเรียกตัวเองว่าฉันรึ” คำสาแปลกใจกับสรรพนามที่เรียกตัวเองของพี่ชาย ปกติพูดจากูมึงตลอด

คราวนี้ชวินยิ่งสงสัย เอ๊ะ...หรือว่ายุคสมัยนี้ไม่มีสรรพนามเรียกตัวเองแบบนี้ “เออ ฉันเองเอ๊ย...ข้าเองก็งงๆ เหมือนกัน มันลืมคำพูดไปเสียหมด” เรื่องเข้าเมืองตาหลิ่วคนอย่างเขาถนัดนักแหละ พูดแบบนี้น่าจะเข้าใจง่ายที่สุด

คำสายังนั่งมองตาปริบๆ ชายหนุ่มจึงพูดต่อ

“ลองเล่าเรื่องของข้าให้ฟังเถอะไอ้น้อง เผื่อข้าจะนึกอะไรออกบ้าง”

คำสานิ่งคิดอยู่นาน ก่อนจะปริปากเล่าเรื่องงงๆ

“พี่ก็คือเมือง นายทหารคนเก่ง ผู้ที่ไม่หวั่นเกรงสิ่งใดอย่างไรเล่า ไม่ว่าจะช้างสาร เสือ หรือข้าศึก เพียงพี่มีดาบคู่ใจในมือก็ปลิดชีพได้หมด ตอนพี่ไปรบศึกเชียงใหม่ พวกพม่าเป็นสิบรุมพี่อยู่นอกประตูเมือง พี่มีเพียงดาบประจำกายก็ปาดคอมันตายหมดได้” เด็กหนุ่มพูดด้วยความภูมิใจ

ชวินสูดลมหายใจเข้าลึก มองดูแขนดูมือของตน...ไอ้หมอนี่ช่างบ้าระห่ำอย่างกับพระเอกหนังฝรั่ง

“ในเมื่อเป็นคนเก่ง โพรไฟล์ดีขนาดนี้ ทำไมต้องมาอยู่เรือนเล็กๆ ที่มีเพียงฉัน...กับเอ็ง”

คราวนี้คำสาถอนหายใจ “นั่นแลข้อเสียของพี่”

“ยังไง”

“แม้จะเก่งปานพระราม แต่พูดจาขวานผ่าซาก หน้าตาบอกบุญไม่รับ ทั้งยังอารมณ์ฉุนเฉียว ต่อให้พี่ทำดีเพียงใด พระรามก็กลายเป็นยักษ์ทศกัณฐ์อยู่วันยังค่ำ พี่จึงได้ฉายาว่าเมืองยักษ์อย่างไรเล่า”

คนฟังเงียบ...จากหนุ่มเนื้อหอม มีแต่คนอยากชิดใกล้ มาวันนี้ต้องกลายเป็นยักษ์ที่มีแต่คนรังเกียจ...เสียแล้ว

“แล้วทำไมเอ็งถึงไม่กลัวข้าล่ะ”

“โธ่ เรื่องของข้าพี่ก็จำไม่ได้รึ ข้ามาอยู่กับพี่ยังไม่ถึงสามปีเลยพี่เมือง”

คนแก่กว่าส่ายหัว เด็กหนุ่มจึงกอดอก เล่าเรื่องความผูกพันของตนกับพี่ชายร่างยักษ์ให้เขาฟัง

 

คืนเดือนดับ ไม้สูงโบกกิ่งไหวอยู่ในเงามืด มองดูเหมือนผีเปรตกวักแขนเรียกชวนขนลุก ได้ยินเสียงใบไม้ส่ายไหวเสียดสีกับลมกลางคืน บางเวลามีเสียงแหลมเหมือนผู้หญิงกรีดร้องแทรกเข้ามาในความเงียบ นกเค้าแมวเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ ตามันจ้องล่าเหยื่อ ทางซ้ายก็แล้ว ขวาก็เงียบ ค้างคาวแม่ไก่บินโฉบว่อน ตัวมันมืดเหมือนจุดสีดำเคลื่อนไหวไปมา

“ผัว...”

เสียงแหลมลึกร้องดังในป่า ทำให้หนุ่มร่างใหญ่ที่นั่งเฝ้ากองไฟหันไปมอง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างยังปกติ จึงหยิบไม้มาเขี่ยท่อนฟืนไม่ให้ไฟดับมอด

เปลวเพลิงสีส้มลุกพึ่บสะบัดตามแรงลมราวกับลายกนกในวัด เมืองห่อไหล่กอดอก หลับตานิ่งคิด มาทำศึกไกลถึงเมืองเหนือ หนาวทั้งกาย หนาวทั้งใจ

ยังดีที่ศึกสงครามจบลงด้วยชัยชนะของสยามที่ช่วยเชียงใหม่ขับไล่ทัพพม่าได้เป็นผลสำเร็จ เขาจะได้กลับบ้านเสียที คิดถึงใบหน้าหวานและรสมือของคนไกล สาวคนงามจะคิดถึงเขาไหมหนอ...

“อ๊าก...”

มีเสียงร้องแทรกเข้ามาในความเงียบของดงป่า เมืองลืมตาขึ้นพร้อมกับคว้าดาบทันที หันไปมองทิศที่ได้ยินเสียง จิตที่นิ่งทำให้เขาแยกได้ชัดว่า ไม่ไกลจากค่ายพักกองทหารกำลังมีเรื่องร้อนร้าย ไม่รอสิ่งใด เมืองจับดาบคู่ใจมุ่งเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว เพื่อนทหารคนอื่นต่างมองด้วยความสงสัย

ต้นไม้ใบหญ้าราวกับเป็นม่านให้ชายหนุ่มซ่อนตัวอย่างดี เมืองควบคุมลมหายใจให้เงียบที่สุด เสียงโวยวายดังใกล้ขึ้น ได้ยินเสียงร้องขอชีวิต เสียงร้องไห้ และเสียงดาบที่ทิ่มแทงเนื้อคนชัดเจน ชายหนุ่มมองลอดพุ่มไม้ออกไป เห็นกองไฟสว่างโร่และพื้นดินแดงฉานด้วยเลือด เมืองมองด้วยใจเต้นระรัว...ไอ้พวกพม่ามันเหิมเกริมทำร้ายชาวบ้านแถวนี้เชียวรึ

ชายหนุ่มตั้งสติพุ่งตัวออกจากที่ซ่อน จับดาบให้มั่นและร่ายรำศาสตราวุธ เหล่าโจรพม่าเห็นผู้มาใหม่เป็นทหารเมืองสยาม ต่างกรูกันเข้ามาทำร้าย แต่พวกมันคงรู้จักไอ้เมืองยักษ์คนนี้น้อยไป เพลงดาบจากสยามจึงสามารถปราบเหล่าร้ายในเวลาไม่นาน

ทุกอย่างเงียบลง เหลือเพียงศพนอนเกลื่อน มีเพียงเมืองคนเดียวที่ยืนตระหง่านอยู่กลางแสงไฟ

พวกมันตายหมดแล้ว น่าเสียดายที่ชาวบ้านที่เขาตั้งใจมาช่วยก็ไม่มีใครรอดเช่นกัน

“ฮือๆ”

พลันหูก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ ชายหนุ่มหันขวับไปยังต้นมะขามใหญ่แล้วค่อยๆ เดินไปอย่างระมัดระวัง แสงไฟสะท้อนให้เห็นเด็กชายที่กำลังร้องไห้ข้างๆ ร่างใครคนหนึ่ง

“ไอ้หนู เป็นอย่างไรบ้าง” เมืองถาม

เด็กน้อยไม่ตอบ เขย่าร่างที่นอนนิ่งอยู่อย่างนั้น เมืองจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ

ชายฉกรรจ์นอนหายใจรวยริน ทันทีที่เขาเห็นหน้าผู้ช่วยชีวิตก็รีบยกมือเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง

“ต้องการสิ่งใด” เมืองย่อตัวลง

คนเจ็บพูดอึกอัก มือก็ลูบแก้มของเด็กชายที่เอาแต่ร้องไห้อยู่เช่นนั้น

“ขอฝาก...ลูกเฮา” เขามีสำเนียงเหมือนชาวล้านนา

“ลูกของมึงรึ” เมืองถาม

เขาพยักหน้า “เฮาคงบ่รอด ฝากหื้อท่าน ผ่อกอยลูกเฮาตวย”

เมืองกวาดตาดูโดยรอบ ผู้ประสบเหตุน่าจะเป็นขบวนพ่อค้าเชียงใหม่คงเดินทางไปค้าขายต่างแดน ตอนนี้เชียงใหม่ขับไล่ศัตรูได้แล้ว พวกเขาจึงเริ่มเดินทางกลับ เมืองสันนิฐาน

“อดทนอีกหน่อย เดี๋ยวกูจะไปตามหมอหลวงมาให้”

“บ่ทันแล้ว” เขาตะโกนจนเมืองสะดุ้ง “สัญญากับเฮา ว่าจะผ่อกอยลูกเฮา”

เมืองมองหน้าเด็กน้อย ความสงสารเข้าเกาะกุมจิตใจ

“ก็ได้ กูรับปาก มึงจะไปแล้วใช่หรือไม่” ทหารหนุ่มถามตรงๆ

พ่อค้าเชียงใหม่พยักหน้า ก่อนจะหลับตาและทิ้งมือที่ไร้เรี่ยวแรงลง ลูกชายที่อยู่ข้างๆ สะอื้นไห้ดังกว่าเดิม

“ทำใจเสียไอ้หนู อย่างน้อยพ่อมึงก็ตายตาหลับ คงสบายใจที่เห็นมึงปลอดภัย” เมืองลูบผ้าโพกหัวของเด็กชาย

ไม่นานเสียงฝีเท้าม้าจำนวนมากก็กรูเข้ามายังที่เกิดเหตุ ชายรูปงามคนหนึ่งควบอาชาเข้ามาอย่างองอาจ นั่นคือขุนอินชัย ขุนนางอีกคนที่อยู่ในสังกัดของพระยานเรนทร์ เขามองเมืองด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก แล้วสั่งคนสำรวจพื้นที่

สักพักทหารของเขาก็กลับมารายงาน

“ขบวนพ่อค้าขอรับท่านขุน คงเจอพวกพม่าที่ถอยร่นจากศึกเชียงใหม่ซุ่มโจมตีเพราะอดอยาก ไม่มีผู้รอดชีวิตเลยขอรับ”

“เช่นนั้นก็กลับ” เขาสั่ง แต่เมืองที่ยืนใต้ต้นมะขามกลับหัวเราะลั่น

“มึงหัวเราะอะไร ไอ้เมืองยักษ์” ขุนรูปงามถาม

“พวกท่านเป็นทหารประสาอะไร ไม่เห็นรึว่ามีคนรอดตาย”

ขุนอินชัยหน้าเสีย ก่อนจะมองไปยังร่างเล็กที่อยู่ใกล้ๆ เมือง

“มันมืด กูมองไม่เห็น”

“ไม่เห็นหรือขี้เกียจกันแน่”

“ไอ้เมือง อย่ามาหาเรื่องกู ใครรอดเดี๋ยวท่านเจ้าคุณก็รู้เอง” ขุนอินชัยตัดบท ชายตามองเด็กชายที่เงียบเสียงลงแล้ว

มีคบไฟอีกหลายดวงแหวกดงป่าเข้ามาสมทบเพิ่ม ชายชราท่าทางแข็งแรงควบม้าเข้ามาใกล้ทั้งเมืองและขุนอินชัย

“เกิดอะไรขึ้น”

เมืองยังไม่ทันได้อ้าปาก ขุนนางรูปงามก็ไวกว่า

“กองทัพพม่า น่าจะพวกที่ถอยร่นจากสงครามขอรับ พวกมันเจอกลุ่มพ่อค้าจากเมืองเหนือ เลยปล้นฆ่าเพื่อแย่งชิงข้าวของ จนเหล่าพ่อค้าทั้งหมดเสียชีวิต”

“น่าสงสารพวกเขานัก” พระยานเรนทร์ถอนหายใจ

“แต่ยังมีอีกหนึ่งคนที่รอดชีวิต เด็กชายคนนี้ขอรับ”

พระยานเรนทร์มองไปยังร่างเล็ก ก่อนจะมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า “ข้าดีใจที่เรายังช่วยชีวิตคนไว้ได้หนึ่งคน ท่านทำได้ดีมาก ขุนอินชัย”

คนรูปหล่อยิ้มกริ่มเมื่อถูกชม เมืองไม่สนใจ รีบเดินไปทางอื่นเสีย

ทหารคนอื่นรีบเข้ามาช่วยเด็กชาย แต่ร่างเล็กนั้นยังมองตามแผ่นหลังกว้างของชายที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เด็กน้อยจำมันติดตา

 

บนเรือนของพระยานเรนทร์ เจ้าของเรือนหัวเราะเสียงดังพร้อมยกสุราขึ้นดื่ม ข้างๆ มีจำปา ภรรยาคอยพัดวีให้ไม่ห่างกาย เขาดีใจเป็นนักหนาหลังจากที่เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว รายงานความสำเร็จในการบุกตีทัพพม่าที่เชียงใหม่ พระองค์ทรงชื่นชมกองทัพสยาม

“ในหลวงทรงชื่นชมทหารกล้าทุกคนที่ต่อสู้เพื่อสยาม โดยเฉพาะพระทหาอุปราช[1] อ้อ มึงด้วยเมือง เรื่องที่มึงบุกไปสู้กับพวกพม่ารามัญเป็นสิบ ขุนนางที่ร่วมออกรบก็ต่างจะปูนบำเหน็จรางวัลและตำแหน่งให้หากมึงต้องการ”

“ข้ามิอาจรับไว้ดอกขอรับ”

“บ๊ะ มึงนี่มันหัวแข็งจริงๆ ทำดีก็ไม่หวังอะไร” พระยานเรนทร์ส่ายหัว ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทหารหนุ่มไม่สนใจคำชื่นชม เขาเป็นทหารสันโดษ ไม่สุงสิงกับใคร พระยานเรนทร์ก็เกรงใจเขาอยู่ลึกๆ เนื่องด้วยฝีมือที่ร้ายกาจจนหาตัวจับยาก

“ดูเอาเถิดพี่น้องทั้งหลาย ไอ้เมืองแม้จะเป็นคนมีความสามารถ แต่ก็ทำดีไม่เคยหวังผลตอบแทน นี่ละคือคนจริง”

คำชื่นชมหนุ่มร่างยักษ์ทำให้ขุนอินชัยนั่งไม่ติดพื้น เขาจึงกระแอมดังเพื่อให้พระยานเรนทร์พูดถึงผลงานของตนเองบ้าง

“จริงสิ ขุนอินชัย ขากลับจากเชียงใหม่ ท่านก็ทำได้ดี บุกฆ่าพวกพม่าที่มาปล้นสะดมพ่อค้า เสียดายที่ชาวบ้านตายเกือบหมด เหลือรอดเพียงเด็กชายคนเดียว”

“จริงหรือเจ้าคุณพี่ น่าสงสารเสียจริง” ภรรยาตกใจ ขุนอินชัยได้ทีหันไปบอกทหารด้านนอกให้พาตัวเด็กน้อยผู้รอดชีวิตเข้ามา

ร่างเล็กค่อยๆ คลานเข่าอย่างระวัง ก่อนจะหมอบนิ่งตัวสั่นสะท้าน จำปาหรี่ตามอง

“ผิวพรรณเปล่งปลั่งราวกับคนมีวรรณะ มึงชื่ออะไรรึ”

เด็กชายอึกอัก จนขุนอินชัยหงุดหงิดหันไปตะคอกใส่

“บอกท่านผู้หญิงไปสิ”

คนตัวเล็กสะดุ้ง หันไปมองหน้าผู้ที่ช่วยชีวิตตัวจริง เมืองไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้าให้ แค่นี้เด็กชายก็รู้สึกปลอดภัย

“คำสา เฮาชื่อคำสา”

“ชื่อคำสาอย่างนั้นรึ มึงไม่ต้องกลัวอะไรดอก มาอยู่ใต้พระบารมีแล้วมึงจะปลอดภัย อ้อ ขุนอินชัย ท่านก็พาไอ้คำสาไปเลี้ยงดูเป็นบ่าวที่เรือนท่านเสียสิ” จำปาเสนอ แต่หนุ่มรูปงามกลับถอนหายใจ

“เรือนข้า บ่าวเพิ่งจะคลอดลูกกันถึงสี่คน หากไอ้คำสาไปอีกคนมิกลายเป็นโรงเลี้ยงเด็กหรือท่านพี่” เขาเอ่ยอย่างคนคุ้นเคย เพราะจำปามีศักดิ์เป็นพี่สาวแท้ๆ

คนฟังมองค้อน ไม่ทันได้พูดต่อ เมืองก็รีบแทรก

“หากมิว่าอะไร ข้าขออาสาพามันไปอยู่ที่เรือนข้าได้หรือไม่”

จำปายิ้มทันที “น่ายินดีเสียอีกเมือง หวังว่าเจ้าคุณพี่คงไม่ว่าอะไร”

“ไม่ดอก หากไอ้เมืองมันไม่เลี้ยง ข้าก็คงให้มันอยู่กับเรานั่นละแม่จำปา” พระยานเรนทร์เอ่ย

“มึงพอใจที่จะอยู่กับเมืองไหมเล่า คำสา หรืออยากมาอยู่กับกู” นายหญิงของบ้านถาม แต่ความกลัวยังอุดปากไม่ให้เด็กชายพูดอะไร

“ผู้ใหญ่ถามมึงก็ตอบสิวะ” ขุนอินชัยตะคอกจนคำสาสะดุ้งอีกครั้ง

“พอได้แล้ว เด็กมันยังกลัวอยู่ ให้ไอ้คำสาไปอยู่กับไอ้เมืองดีแล้ว” พี่สาวหันมาปราม “มึงไม่ต้องกลัวนะ ไอ้เมืองแม้หน้าตามันจะดูโหดเหี้ยม พูดจาโผงผาง แต่มันก็จิตใจดี” จำปายิ้มละมุน

เด็กชายเลื่อนสายตาไปมองผู้ปกครองคนใหม่ คำสาไม่กลัวที่จะไปอยู่กับเมืองผู้ดูเหี้ยมเกรียม เพราะคงดีกว่าไปอยู่กับหนุ่มที่ยิ้มหวานแต่โกหกเก่งเช่นขุนอินชัย

 

ที่เรือนของเมือง มิ่งและมั่นผู้ที่ปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆ ต้องแปลกใจ เมื่อจู่ๆ ลูกพี่หน้ายักษ์อาสาพาเด็กชายกลับมาเลี้ยงดู

“ร้อยวันพันปีกูไม่เห็นพี่เมืองพูดคุยกับใคร นี่คิดอย่างไรจึงได้เอาไอ้เด็กลูกพ่อค้าเชียงใหม่มาเลี้ยง” มั่นสงสัย

“มึงก็น่าจะรู้ ใครๆ ก็มองว่าพี่เมืองเป็นยักษ์ขี้โมโห การที่ยอมให้ไอ้คำสามาอยู่ด้วย คงอยากให้แม่บัวหอมเห็นว่าเขาไม่ได้โหดร้ายเหมือนที่คนอื่นเล่าลือ” มิ่งให้เหตุผล

ทุกคนรู้ดีว่าบัวหอมคือผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เมืองรัก...สุดหัวใจ

“นั่นสินะ แล้วไอ้คำสามันเป็นอย่างไรบ้าง” คนร่างท้วมถามถึงเด็กชาย

“มันก็ยังไม่ยอมพูดจากับใครเลย แม้กระทั่งพี่เมือง”

มีเสียงกระแอมดังขัดจังหวะทั้งคู่ มิ่งสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่าคนที่เขากำลังนินทายืนฟังอยู่ไม่ห่าง

“ไอ้พวกห่านี่ ว่างกันนักหรือไร มีงานอะไรก็ไปทำเสีย”

เสียงดังยิ่งกว่าเสือคำรามทำเอาสองหนุ่มวิ่งหนีกระเจิง เมืองมองตามพร้อมกับส่ายหัว

ไอ้พวกนี้สู่รู้ทุกเรื่อง...แต่ที่มันพูดถึงไอ้คำสาก็ไม่ผิดความนัก เด็กชายเข้ามาอยู่ในเรือนได้เกือบสัปดาห์ ไม่พูดจากับใคร ถามคำตอบคำ ปล่อยให้อยู่คนเดียวเมื่อไรก็เอาแต่ร้องไห้เป็นผู้หญิง น่ารำคาญเสียจริง

เมืองเหลือบมองท่าน้ำ เห็นเงาคำสาลิบๆ ไอ้เด็กนั่นคงแอบไปนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งหาพ่อมันอีกแน่

ร่างใหญ่ค่อยๆ เดินเข้าไปหา แต่เหยียบโดนกิ่งไม้แห้ง ทำให้คำสาหันมา เด็กชายรีบปาดน้ำตาและเสมองพระอาทิตย์ที่จะตกดินต่อ

“นี่เอง แอบมาร้องไห้อีกแล้วรึ” เมืองเดินเข้ามานั่งข้างๆ

เด็กชายน้ำตาคลอ ก้มหน้าไม่ยอมพูดอะไรอีก

“ลูกผู้ชายมิควรอ่อนแอ ถึงมึงจะร้องไห้จนน้ำตาออกมาเยอะกว่าแม่น้ำเจ้าพระยา พ่อมึงก็ไม่ฟื้นขึ้นมาดอกคำสา คนเรามันตายไปแล้ว”

คำปลอบของเขาราวกับไปพังทำนบน้ำตาของเด็กชาย ยังผลให้มันไหลพราก เมืองยักษ์หน้าเหลอ...ให้ตายสิ เขาเคยปลอบใครเป็นเสียที่ไหน

“กูเพียงอยากให้มึงตัดใจเสียบ้าง ใช่ว่ามึงจะไม่เหลือใคร ยังเหลือกู”

คำสาสะอื้นไห้ มองสายนทีตรงหน้า เมืองครุ่นคิดพยายามหาคำมาปลอบต่อ

“รู้แล้ว กูเห็นมึงร้องไห้อยู่ริมท่าน้ำแบบนี้ นึกถึงนิทานเรื่องหนึ่ง” คำว่านิทานคงเป็นอะไรที่เหมาะสำหรับเด็กอยู่บ้าง นั่นเป็นสิ่งเดียวที่หนุ่มร่างใหญ่พอจะคิดได้

“มึงเหมือนนางเอื้อยที่กำลังร้องไห้หาแม่ปลาบู่”

คำสายังเงียบ เมืองจึงเล่าต่อ

“ไม่รู้มึงเคยได้ยินเรื่องนี้หรือไม่ แม่นางเอื้อยถูกผัวฆ่า แต่ยังเป็นห่วงลูก เทวดาจึงให้มาเกิดใหม่เป็นปลาบู่ทอง คอยมาดูแลลูกสาวอยู่ริมท่าน้ำ ถ้านางเอื้อยอยากเจอแม่ก็ต้องเอารำมาร่อนให้แม่ แต่แล้วก็โดนแม่เลี้ยงใจร้ายและลูกจับแม่ปลาบู่ไปกิน...”

“เต่าน้อยอองคำ” เด็กชายพูดขึ้นมา

เมืองชะงักด้วยความแปลกใจ “มึงว่าอะไรนะ”

แม้ตาจะแดงช้ำแต่ครั้งนี้คำสายังมีใจพูดต่อ “เหมือนเรื่องที่พ่อเฮาชอบเล่าหื้อฟัง แต่มันบ่แม่นปลาบู่ทอง มันคือเต่าสีทอง” คำสาเอ่ยถึงนิทานชาดกล้านนาที่เรื่องราวคล้ายเรื่องที่ชายหนุ่มเล่า

“อย่างนั้นรึ” คนแก่กว่าหัวเราะ

“พอเต่าน้อยตายก็ไปเกิดใหม่อีกหลายอย่าง จนได้เป็นเก๊าไม้สลีสีทอง”

“ไม้สลีก็คือต้นโพสินะ จากนั้นต้นไม้ก็ถูกโค่นทิ้งด้วยฝีมือของยักษ์ทศกัณฐ์”

“บ่แม่นแล้ว” คราวนี้มีรอยยิ้มผุดบนใบหน้าของคำสา ทำให้เมืองโล่งใจที่เด็กชายยอมคุยด้วย

“กูก็แกล้งมึงไปเช่นนั้น มึงจะได้เลิกคิดถึงเรื่องเศร้าบ้าง”

“ดูท่าพี่จะเล่านิทานเก่ง”

“ก็ไม่เก่งเท่าใดดอก กูถนัดตีรันฟันแทงมากกว่า ว่ายน้ำก็ชอบนัก”

“เฮาว่ายน้ำบ่เป็น” เด็กชายเอ่ย

“ไว้จะสอน แต่ถ้ามึงอยากฟังนิทาน กูก็จะหานิทานมาเล่าให้”

“จริงรึ” คำสาตาโต

เมืองพยักหน้า “ขอเพียงแต่มึงเลิกเศร้าเถิด ไอ้น้องชาย”

“เฮาจะพยายาม”

คนแก่กว่าเอื้อมมือไปลูบหัวน้องชายเบาๆ ความผูกพันของคนสองวัยจึงเริ่มต้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

 

“พี่เล่านิทานให้ข้าฟังเสมอ” คำสายิ้มกว้าง ดีใจทุกครั้งที่ได้รำลึกถึงอดีตระหว่างเขากับเมือง ใช่เพียงแต่เรื่องนิทาน เมืองยังสอนชีวิตความเป็นอยู่ การพูดจา เด็กล้านนาจึงเรียนรู้วิถีชีวิตชาวสยามได้อย่างรวดเร็ว

“หน้าตาอย่างข้าเนี่ยนะเล่านิทาน จะบ้าตาย หน้าตาเหมือนยักษ์แต่หัวใจดิสนีย์” ชวินกลอกตา ไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่คำสาเล่า

“ใช่ พี่เล่านิทานเก่ง พอๆ กับฆ่าคน เดือนก่อนมีโจรป่ามาปล้นชาวบ้าน พี่ยังบุกไปถึงก่อนใคร ทั้งยังล่าหัวไอ้โจรได้ถึงสามหัว น่าชื่นชมนัก

คราวนี้คนฟังกลับกลืนน้ำลายฝืด ถ้าจะให้เขาแกล้งเป็นไอ้เมือง แค่เล่านิทานน่ะพอได้ แต่ให้มาเป็นทหารกล้าบ้าระห่ำฆ่าคนคงยาก

“อย่าบอกนะว่าพี่จำไม่ได้ด้วยว่าพี่เคยเก่งอย่างไร”

“ก็พอจำได้...” เขาพยายามกลบเกลื่อนพิรุธ

“เช่นนั้นก็อย่าลืมว่าพรุ่งนี้ต้องไปเข้าพบท่านเจ้าคุณ เห็นว่าอยากคุยเรื่องเข้าป่าล่าสัตว์ พี่สัญญากับข้าแล้วนะว่าจะพาข้าไปล่าหัวเสือ”

“หัวเสือ!” ชวินตกใจจนร้องเสียงหลง

“ใช่ พี่มีอะไรรึ”

“เปล๊า” เขาปฏิเสธเสียงสูงและแอบปาดเหงื่อที่ผุดพราวเต็มหน้า...งานเข้าแล้วสิ

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น