16

กางปีก

หญิงสาวสองคนที่สวมชุดฟูฟ่องสีไวโอลินกับวิโอลอนเชลโลด้วยท่วงทำนองเชื่องช้าให้เหมาะกับบรรยากาศงานแต่งกลางแจ้ง เสียงดนตรีดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ต่างจากแขกเหรื่อซึ่งหลั่งไหลเข้ามาในงานอย่างล้นหลาม ไม่ว่าจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในจังหวัด หรือเพื่อนสนิทมิตรสหายก็มาร่วมงานแต่งในครั้งนี้

งานแต่งของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ ลูกชายคนเล็กของตระกูลวิวิธชาญชัยและตระกูลมัฌชภิรมณ

ถึงแม้ว่างานจะดำเนินไปด้วยความชื่นมื่นจากทั้งบรรยากาศและแขกเหรื่อ แต่เจ้าบ่าวกลับยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับ ซึ่งต่างจากเจ้าสาวราวฟ้ากับเหว ใบหน้าของเบญญาแต้มรอยยิ้มจนโหนกแก้มยกสูง หญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวเรียบๆ ตัดเย็บอย่างประณีตจากร้านแบรนด์ดังในตัวจังหวัด เธอส่งยิ้มหวานต้อนรับแขกทุกคนในงาน

สถานที่จัดงานแต่งอยู่ในโซนแรกหรือโซนพักผ่อนของไร่ทางเหนือ ซึ่งวันนี้ถูกสั่งปิดเพื่อใช้เป็นสถานที่จัดงานแต่งโดยเฉพาะ มีภาพถ่ายของเจ้าบ่าวเจ้าสาวตกแต่งด้วยสีเหลืองทองประดับตกแต่งให้ดูสวยงาม อาจจะดูเก๋ไปอีกแบบในความคิดของแขก เพราะเป็นภาพในอิริยาบถต่างๆ ของเจ้าบ่าวเจ้าสาว แต่หากลองสังเกตดูสักนิดจะรู้ว่าไม่มีภาพใดที่ทั้งคู่ถ่ายด้วยกันเลย

                “คิดดีแล้วใช่ไหม” ถึงแม้จะถามน้องชายไปอย่างนั้น แต่นายหัวภรัณยูก็ยืนทำหน้าหนักใจไม่ต่างจากอีกฝ่ายมากนัก ยิ่งเห็นน้องชายมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร เขาก็ยิ่งกังวลไปด้วย

                “ตอนนี้สมองผมตื้อไปหมดเลยครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกพี่ชาย และยิ้มอย่างเอ็นดูหลานสาวในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ซึ่งเธอก้มหน้าพิจารณาดอกไม้ในมือ ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองเขาแต่อย่างใด

                “แสดงว่าไม่อยากแต่ง” คนเป็นพี่รับรู้ได้ทันที แต่ก็ทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าด้วยความสงสารน้องชาย จะให้เขาช่วยได้อย่างไร ในเมื่อเขาเองก็ยังมีคดีติดตัวจนคนเป็นแม่อย่างรัศมีคาดโทษเอาไว้

                “ไม่อยากแต่งเลย แต่คิดแล้วคิดอีก ผมมันก็เป็นตัวต้นเหตุ จะให้ทำอะไรได้นอกจากก้มหน้ารับผลกรรมที่ก่อเอาไว้”

                “แล้วคุณมิ้นต์ล่ะ ฉันดูออกนะว่าแกรักเธอ แต่ทำไมถึงแสดงความรักออกมาอย่างนี้” นายหัวภรัณยูถามถึงหญิงสาวที่ไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ในงาน

                “นั่นสินะ ทำไมความรักของผมครั้งนี้ถึงเป็นแบบนี้กันนะ” น้ำเสียงเศร้าสร้อยพอๆ กับความสมเพชตัวเองของชายหนุ่มบ่งบอกความรู้สึกในตอนนี้ได้ดีที่สุด

                “เพราะแกไม่ไว้ใจความรู้สึกของตัวเองต่างหากล่ะ”

พอสิ้นคำพูดของพี่ชาย พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็ทำหน้าสงสัย เพราะไม่เข้าใจประโยคที่อีกฝ่ายพูด

                เมื่อเห็นน้องชายทำหน้าแบบนั้น นายหัวภรัณยูก็ได้แต่ถอนหายใจ

                “ความรักมันไม่เหมือนกันทุกครั้งหรอก แค่ตัวแปรที่ทำให้เกิดความรักก็ไม่เหมือนกันแล้ว คราวก่อนเป็นคนหนึ่ง คราวนี้ก็เป็นอีกคน แกเห็นไหมว่ามันไม่เหมือนกัน คนสองคนจะเหมือนกันได้ยังไง”

                “ตากับมิ้นต์ไม่เหมือนกันครับ ผมไม่ได้รักมิ้นต์เพราะเธอเหมือนตา” พ่อเลี้ยงหนุ่มพูดหลังจากยืนนิ่งคิดตามที่พี่ชายพูด

                “ตัวแกเองก็รู้ แต่ทำไมถึงไม่ไว้ใจความรู้สึกของตัวเองบ้าง อย่าบอกฉันว่าแกไว้ใจนะ เพราะถ้าไว้ใจจริง ความสัมพันธ์ของแกกับคุณมิ้นต์จะชัดเจนกว่านี้ แกคงกลัวว่าจะต้องกลับไปเจ็บแบบเดิมซ้ำๆ”

                พี่ชายพูดตรงทุกอย่าง

พ่อเลี้ยงจิณธนนท์รู้สึกเช่นนี้จริงๆ ชายหนุ่มรู้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับธมนต์ค้างๆ คาๆ จะดีก็ไม่ดีสักที พอจะจริงจังกับหญิงสาวถึงขั้นวางแผนเรื่องอนาคตที่เธอจะไม่ได้เป็นเพียงแค่นางบำเรอของเขา ก็เหมือนมีอะไรสักอย่างฉุดรั้งเขาเอาไว้

ยิ่งคิดเรื่องของธมนต์กับพุฒินาทซึ่งรักกันมาตั้งหลายปี แต่สุดท้ายหญิงสาวกลับแสดงออกราวกับว่ารู้สึกเช่นเดียวกับเขาได้ในเวลาไม่นาน เขาก็ยิ่งลังเล ไม่อยากให้สิ่งที่ตัวเองกลัวที่สุดเกิดขึ้นอีกครั้ง กลัวว่าจะซ้ำรอยเดิมจนทุกอย่างเป็นแบบนี้

เขาไม่กล้าแม้แต่จะไว้ใจความรู้สึกของตัวเอง

“นั่นสินะ ผมไม่ไว้ใจความรู้สึกที่มีให้ธมนต์ ทำไมถึงทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้ได้โดยไม่คิดอะไรเลยสักนิด”

พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูด ใบหน้าของชายหนุ่มแต้มรอยยิ้มแห่งความสมเพชและขมขื่น เพราะแบบนี้สินะ คนเขาถึงพูดว่าความโกรธชนะทุกอย่าง...แม้แต่ความคิดของตัวเอง

นายหัวภรัณยูเองก็ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรดีในตอนนี้ แต่อย่างน้อยเขาก็พอจะรู้ว่า ต่อจากนี้ไปน้องชายคงทำอะไรได้ดีกว่านี้ และตัดอะไรที่ควรตัดออกไปจากใจได้

                หลานสาวที่ก้มหน้ามองกุหลาบขาวอยู่นานเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อ ก่อนเบนสายตาไปยังอาชายแล้วยื่นกุหลาบให้ ใบหน้าก็แต้มรอยยิ้มหวาน จนคนเป็นพ่ออดหอมแก้มใสของลูกไม่ได้

                “นาราให้อาจิณนะคะ” เสียงเล็กใสดังขึ้นหลังจากเธอยื่นกุหลาบให้คนเป็นอา

                “ขอบคุณครับ ไหนมาให้อาอุ้มหน่อยซิ”

พอพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ได้รับกุหลาบก็ผ่อนคลายลงบ้าง ชายหนุ่มอ้าแขนรอรับหลานสาว แต่คนเป็นพ่อกลับเบี่ยงตัวหนี ไม่ยอมให้เขาอุ้มเสียอย่างนั้น

                “นาราอยากหาอาจิณค่ะ” เด็กหญิงบอกคนเป็นพ่อพร้อมแสดงสีหน้าว่าไม่พอใจอย่างชัดเจน

คนเป็นพ่อจะทำอย่างไรได้ นอกเสียจากปล่อยให้ลูกสาวไปหาอา

                “อย่างนี้แหละพี่รัณ คนเขาเลี้ยงแกมาตั้งแต่เกิด ใช่ไหมครับ นารารักอาจิณไหมครับ” ชายหนุ่มถามหลานสาวในอ้อมแขน

หลานสาวเองก็พยักหน้ารับทันทีพลางยิ้มกว้าง

                “ฉันไม่มีแม้แต่โอกาสได้เห็นหน้าลูกตัวเองตอนเกิดด้วยซ้ำ ตอนนี้ฉันอิจฉาแกว่ะ เพราะฉะนั้นหยุดพูดซะ”

นายหัวภรัณยูบอกน้องชายด้วยสีหน้าเศร้าๆ แต่พอพูดประโยคหลังก็ทำหน้าเข้มข่มอีกฝ่ายให้หยุดพูด จนคนเป็นน้องต้องเงียบเสียงลง แต่ในใจก็อดสงสารพี่ชายไม่ได้

                “รภามีเหตุผลของเธอ พี่รัณเองก็ทำเธอเจ็บมามาก เธอไม่อยากให้พี่ไปวุ่นวายกับลูกมันก็ถูกต้องแล้ว”

พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกพี่ชายอย่างเห็นใจ เขาเป็นคนกลาง ไม่เข้าข้างใครทั้งนั้น พี่สะใภ้ของเขาเจ็บปวดทรมานจนไม่ให้พี่ชายเขารู้เรื่องลูก และไม่อยากให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ซึ่งเรื่องนี้มีผลกระทบต่อจิตใจของนีรภาอย่างไร เขาเองก็พอจะรู้อยู่เหมือนกัน

                ผู้หญิงที่โดนผู้หญิงอีกคนของสามีทำร้ายจนเกือบแท้งลูกในท้อง จะทนให้สามีซึ่งพ่วงตำแหน่งพ่อของลูกมาเจอลูกได้อย่างไร

                “มายืนคุยอะไรกันตรงนี้คะ” เสียงของเบญญาดังขึ้นพร้อมการก้าวเดินไปหาเจ้าบ่าวของเธอ หลังจากปลีกตัวไปพบปะเพื่อนร่วมงานของตัวเอง

เพื่อนร่วมงานหลายคนถามว่าทำไมเจ้าบ่าวถึงไม่ไปด้วย ซึ่งเบญญาได้แต่บอกปัดว่าเขาต้องคอยรับหน้าผู้ใหญ่ของจังหวัด แต่ความเป็นจริงแล้วพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่ยอมไปกับเธอต่างหาก ทั้งที่ชายหนุ่มก็ยืนเฉยๆ ไม่ยอมแม้แต่จะยิ้มรับแขกที่เดินเข้ามาด้วยซ้ำ

                “นายหัวรัณ อุ้มหน่อยค่ะ”

เด็กหญิงรีบอ้อนคนเป็นพ่อให้อุ้มตัวเองทันทีเมื่อเห็นเบญญาเดินเข้ามาใกล้ พ่อเลี้ยงจิณธนนท์จึงส่งเธอคืนให้พี่ชาย

                “ไม่มีอะไรหรอก เบื่อหรือเปล่า” พ่อเลี้ยงหนุ่มถามแล้วส่งยิ้มให้หญิงสาว

ถึงแม้ชายหนุ่มจะไม่อยากแต่งงานกับหญิงสาวมากเพียงใด และอยากล้มเลิกงานแต่งเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เบญญาไม่ได้ผิดอะไร เขาต่างหากที่เป็นคนทำให้เรื่องทุกอย่างเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้เขาใจไม่แข็งไม่พอที่จะล้มเลิกงานแต่ง จนวางแผนและจัดการมาถึงขั้นนี้แล้ว

                “ไม่เลยค่ะ หม่อนมีความสุขมากเลยนะคะ” เบญญาควงแขนพ่อเลี้ยงจิณธนนท์พร้อมกับยิ้มกว้าง เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอมีความสุขเพียงใด

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่รู้ว่าจะตอบหญิงสาวกลับอย่างไรดี เลยได้แต่ส่งยิ้มอย่างฝืนทนให้เท่านั้น ในใจก็คิดว่าหลังจบงานแต่งเขาคงจะพูดกับเบญญาตามตรง และทิ้งช่วงไปเสียสักสองสามเดือน ก่อนจะลดสถานะจากภรรยาเป็นเพียงแค่อดีตภรรยา และเริ่มจริงจังกับความรู้สึกของตัวเองเสียที

                “เจ้าบ่าว เจ้าสาว ไปสแตนด์บายรอบนเวทีได้แล้วค่ะ”

นีรภาบอกทั้งคู่หลังจากเดินไปหา หญิงสาวร่างบอบบางที่สวมชุดเดรสลูกไม้พองฟูสีเหลืองอ่อนสั้นเหนือเข่าส่งยิ้มให้พี่ชายคนสนิท ก่อนสีหน้าจะเรียบนิ่งเมื่อมองอดีตสามีซึ่งอุ้มลูกสาวของเธออยู่

                “นาราคะ มาหาคุณแม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวเราไปทานของว่างตรงนู้นกัน” เธอพยายามแย่งลูกสาวมาจากนายหัวภรัณยู แต่ชายหนุ่มก็ยื้อเอาไว้

                “เดินไปสิ เดี๋ยวพี่อุ้มลูกตามไป” นายหัวภรัณยูบอกอดีตภรรยาซึ่งตอนนี้ตัวเองง้อขอคืนดีอยู่ ก่อนใช้มือดันแผ่นหลังบางให้เธอเดินนำไป

นีรภาขัดไม่ได้จึงจำใจยอมเดินไป

                “เราก็ไปกันเถอะค่ะ” เบญญาพูดขึ้น ก่อนดึงแขนเจ้าบ่าวไปยังเวที

                “พ่อเลี้ยงครับ” ลูกน้องคนสนิทซึ่งเดินมาดักหน้าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้น และก้มหัวลงเป็นการขอโทษที่เสียมารยาทมาตัดหน้าแบบนี้

                “เดินไปรอก่อนเถอะ เดี๋ยวจะตามไป” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกเบญญาพลางแกะมือหญิงสาวออกจากแขนของตัวเอง เมื่อเห็นว่าลูกน้องคนนี้คือคนที่เขาสั่งให้เฝ้าธมนต์ที่บ้านพักเชิงดอย

                เบญญามีสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็พยายามยิ้ม หญิงสาวเดินไปที่เวที แต่ภายในใจกลับร้อนรนเพราะรู้ดีว่าลูกน้องคนนั้นทำงานอะไรให้พ่อเลี้ยงในตอนนี้

                ‘คอยดูเถอะ ผ่านวันนี้ไปบ้านพักเชิงดอยจะเป็นของฉันคนเดียว’

               

“มิ้นต์เป็นอะไร” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามด้วยความเป็นห่วง

                วันที่ธมนต์จะบินกลับฝรั่งเศส ชายหนุ่มบังเอิญไปเจอเสียก่อน จึงสั่งขังหญิงสาวไว้ที่บ้านพักเชิงดอยแล้วให้คนเฝ้าเอาไว้ เธอพยายามบอกความจริงว่าทุกอย่างมันจบแล้ว แต่เป็นเขาเองที่ไม่อยากฟังเรื่องพวกนั้น ชายหนุ่มจึงแกล้งทำเป็นไม่สนใจคำพูดใดๆ ของเธอเลย พอขังธมนต์ไว้เขาก็ออกคำสั่งห้ามใครเข้าใกล้บ้านพัก แม้แต่สุชาติก็ไม่มีสิทธิ์พบหญิงสาว

                “คุณมิ้นต์ เธอหนีไปแล้วครับ” ลูกน้องคนสนิทรายงานพลางก้มหน้าชิดอก ไม่กล้าสบตาผู้เป็นนาย

                “หนีไปได้ยังไง!” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามเสียงดังจนแขกในงานต่างก็มองมา

                “คือว่า...คุณนพขอเข้าไปพบคุณมิ้นต์ครับ คุณนพบอกว่าพ่อเลี้ยงให้เข้ามาดูเธอ พวกผมเลยยอมให้เข้าพบ พอเขาออกมาได้ไม่นานแม่ครัวก็ขึ้นไปทำอาหารเย็นให้คุณมิ้นต์ตามปกติ แต่กลับบอกว่าเธอไม่ได้อยู่ในบ้าน พวกผมเดินตามหาคุณมิ้นต์ทั่วทั้งบ้านแต่ก็ไม่พบครับ เลยคิดว่า...หนีไปแล้วครับ”

                “ไอ้นพน่ะเหรอ” พ่อเลี้ยงหนุ่มถามเสียงเครียด ในใจก็เดือดเป็นไฟ 

                “ครับ” ลูกน้องตอบรับเสียงเบา

                เมื่อลูกน้องตอบกลับมาเช่นนี้ พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็กวาดตาคมมองหาเพื่อนสนิททันที เขากลัวว่าธมนต์จะหนีไป หนีไปในที่ที่เขาจะตามหาไม่เจอ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ชายหนุ่มยังไม่ได้บอกหญิงสาวเลยว่าเขารู้สึกอย่างไร หากอีกฝ่ายคิดเหมือนกัน เขาจะขอร้องให้เธอรอเพียงแค่สามเดือน เขาจะเลิกรากับเบญญาแล้วใช้ชีวิตคู่กับธมนต์

                “มีอะไรกัน” เสียงของรัศมีดังขึ้น เรียกสายตาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ให้หันมองมารดา

                “แม่เห็นไอ้นพไหมครับ” ชายหนุ่มถามหาเพื่อนสนิททันที

                “นพเขาลงไปในตัวเมืองน่ะ เห็นว่ามีธุระอะไรสักอย่างก็ไม่รู้ คงกลับมาไม่ทันงานเริ่มหรอก จิณมีอะไรกับนพหรือลูก”

รัศมีตอบแล้วถามลูกชายอย่างสงสัย เธอรู้ว่าลูกชายคนเล็กเป็นอะไร เพราะตนเป็นคนกำหนดทุกอย่างเอง แต่ก็แกล้งถามไปอย่างนั้น

                “ไปเตรียมรถ ฉันจะเข้าไปในตัวเมือง” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์สั่งลูกน้องทันทีที่รู้ว่าธนานพอยู่ที่ไหน

                “ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น!” เสียงทรงอำนาจของจักรินทร์ซึ่งยืนโอบภรรยาอยู่ดังขึ้น เป็นน้ำเสียงที่หยุดลูกชายเอาไว้ได้

                “แต่ผมต้องไปครับพ่อ” ชายหนุ่มบอกบิดาอย่างร้อนรน

                “รัณไปดูแลแขกในงานที บอกให้วงดนตรีเล่นต่ออีกสักพักนะลูก” รัศมีสั่งลูกชายคนโต ก่อนหันมองสีหน้าร้อนรนจนเก็บอาการไม่อยู่ของลูกชายคนเล็ก “ปล่อยเขาไปเถอะจิณ ในเมื่ออีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจิณจะมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว จิณควรปล่อยเขาไปตามทางของเขา ให้เขาไปมีอนาคตที่ดีกว่านี้”

                “ผมทำไม่ได้ครับ ผมให้เธอไปจากผมไม่ได้!” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด

รัศมียิ้มพอใจเมื่อลูกชายยอมรับความจริง แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังคงยืนยันความคิดของตัวเองเหมือนเดิม คือช่วยให้ธมนต์หนีไป

                “จะไปฉุดรั้งเขาไว้ทำไมกัน ในเมื่อจิณให้ได้แค่ตำแหน่งนางบำเรอ แต่มีคนอีกนับสิบให้ได้ถึงตำแหน่งภรรยาตามกฎหมาย จิณไม่คิดว่าตัวเองเห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ”

รัศมีถามลูกชายพลางลอบยิ้มให้สามี อาการของลูกชายตอนนี้หนักกว่าตอนที่เกิดเรื่องของสุพัตตาเสียอีก

                “ถ้าการที่ผมอยากให้เธออยู่ด้วยคือความเห็นแก่ตัว ผมยอมครับ ขอเพียงแค่เธออยู่กับผมเท่านั้น”

พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาบอกความรู้สึกของตัวเอง จนรัศมีเกิดความลังเล

                “แล้วงานแต่งของลูกล่ะ แม่ไม่ยอมให้คนอื่นมานินทาวงศ์ตระกูลของเราหรอกนะ และไม่ใช่แค่ตระกูลเรา แต่รวมไปถึงเบญญาและหนูมิ้นต์ด้วย”

แค่ความรักอย่างเดียวมันไม่พอ เพราะทุกคนล้วนมีหน้าที่และฐานะในวงสังคมที่แตกต่างกัน รัศมีจึงค่อยๆ ต้อนลูกชายอย่างใจเย็น

                “ถ้ามันเป็นปัญหามากนักก็ยกเลิกไปเลยครับ ยกเลิกไปซะตอนนี้เลย! จะได้หมดๆ ปัญหาไป”

พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกพลางหันไปผลักที่วางแจกันดอกไม้ซึ่งอยู่บนแท่นใกล้ตัวจนแจกันตกลงบนพื้นและแตกกระจายเพื่อระบายอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเอง ชายหนุ่มยังไม่วายเดินไปผลักอีกอัน ก่อนสั่งให้ลูกน้องพังงานแต่งทั้งหมด

                เบญญายืนหน้าซีดเผือดอย่างตกใจ ไม่คิดว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์จะกล้าทำแบบนี้ แขกเหรื่อในงานก็ยืนมองเหตุการณ์อยู่ตลอด แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคน

                “แน่ใจแล้วใช่ไหมจิณ” รัศมีถามลูกชาย เธอไม่ห้ามการกระทำของลูก เพราะรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายก็ต้องเป็นแบบนี้

                “แน่ใจครับ ผมขอยกเลิกงานแต่ง สินสอดทั้งหมดยกให้ฝ่ายเจ้าสาวไป”

คำประกาศดังลั่นของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทำเอาเบญญายืนกำมือแน่น เธอไม่อยากได้แค่สมบัติเพียงนิดเดียวอย่างพวกสินสอดทองหมั้น แต่เธออยากได้ทุกอย่างที่เป็นของเขา อยากได้ไร่ทางเหนือมาเป็นของเธอ!

                “ตกลง” รัศมีรับคำลูกชาย

“ไปเตรียมรถพาคุณจิณเข้าไปในตัวเมืองซะ” จักรินทร์เองก็สั่งลูกน้องของลูกชายด้วยน้ำเสียงมีอำนาจ จนอีกฝ่ายเกรงกลัวจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับคำสั่งและออกไปเตรียมการ

                “รภาจัดการตรงนี้ต่อด้วยนะลูก ส่วนจิณก็ไปตามหาเธอซะ เราไปกันเถอะค่ะคุณ”

รัศมีสั่งการก่อนจะเดินจากไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเบญญาก็เดินมาดักหน้าทั้งคู่เสียก่อน

                “คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ แล้วหม่อนล่ะคะ ทำไมไม่ไว้หน้ากันบ้างเลยคะ”

เบญญาต่อว่ารัศมีทันทีที่เดินมาดักหน้าทั้งคู่ไว้ หญิงสาวพยายามควบคุมอารมณ์โกรธที่สุมอยู่ในอกของตัวเองอย่างหนัก แต่แววตาที่มองอีกฝ่ายกลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

                “เรื่องนี้ฉันว่าหนูไปคุยกับจิณเขาเถอะจ้ะ ฉันเป็นแค่แม่ เลี้ยงเขาได้แต่ตัวเท่านั้น การตัดสินใจทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเขาเองทั้งหมด” รัศมีบอกด้วยรอยยิ้มร้ายจนเบญญารู้สึกได้

หญิงสาวกำมือแน่นเมื่อทุกอย่างไม่เป็นดั่งใจคิด

                “ผมยกสินสอดให้คุณ ถ้าไม่พอใจและจะเรียกร้องอะไรอีก ผมบอกได้เลยว่ามันเปล่าประโยชน์”

พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นเมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างเบญญากับมารดาของเขา ชายหนุ่มพูดเพียงเท่านั้นก็เดินออกไปขึ้นรถที่ลูกน้องขับเข้ามา

                เบญญานิ่งไปเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น หญิงสาวกำมือแน่นกว่าเดิมพลางมองแผ่นหลังกว้างที่เธอไม่เคยได้สัมผัสสักครั้งค่อยๆ ห่างไปเรื่อยๆ

                “หม่อนไม่ต้องการเลยค่ะ หม่อนรักคุณนะคะพ่อเลี้ยง ทำไมคุณทำกับหม่อนแบบนี้คะ!” เบญญาตะโกนลั่น

หญิงสาวพูดความจริง เธอรักเขา ถึงแม้จะมีเรื่องทรัพย์สินของเขาเข้ามาเกี่ยว แต่เรื่องหัวใจไม่เกี่ยวกับของพวกนี้เลย

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่สนใจคำพูดของเบญญาสักนิด ชายหนุ่มเดินไปขึ้นรถก่อนสั่งให้ลูกน้องขับออกไปทันที

เบญญากรีดร้องดังลั่นอย่างเจ็บใจ ก่อนพังข้าวของจนล้มระเนระนาดเป็นการระบายอารมณ์

แขกเหรื่อในงานมองหญิงสาวอย่างเวทนา รัศมีส่ายหน้าแล้วตบแผ่นหลังของสามีเบาๆ เป็นการบอกให้ออกไปจากตรงนี้กันเถอะ ส่วนนีรภาก็รับหน้าที่จัดการปัญหาเรื่องแขกและทุกอย่างจึงเดินวุ่นไปทั่วงาน โดยมีนายหัวภรัณยูอุ้มลูกสาวเดินตามหลังไม่ห่าง ซึ่งกว่าจะจัดการทุกอย่างได้ก็ไม่ง่ายเลยสักนิด

 

                ในตัวอำเภอแม่จันซึ่งอยู่ในจังหวัดแถบภาคเหนือของประเทศไทยอย่างจังหวัดเชียงราย ธมนต์นั่งอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ข้างกายเธอคือธนานพ เพื่อนสนิทของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ และคนที่นั่งตรงข้ามเธอคือธมนธรรมกับดนัยซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของน้องชาย

                “ฉันไม่คิดว่าแกจะรู้จักคุณธนานพด้วย” ธมนต์พูดเหน็บแนมน้องชายซึ่งนั่งดื่มคาปูชิโนปั่นรอข้าวผัดกุ้งอย่างสบายอารมณ์

                “รู้จักกันตอนมาตามหาเจ้นั่นแหละ พี่นพเขาช่วยไว้เลยมีเงินกลับบ้าน ไม่อย่างนั้นคงได้ทำงานงกๆ อยู่ในไร่ไปแล้ว” ธมนธรรมบอกถึงเหตุที่ทำให้ตัวเองได้รู้จักและสนิทสนมกับธนานพ

                “แล้วคุณรู้ได้ยังไงคะว่าเขาคือน้องชายของฉัน” ธมนต์หันกลับมาถามธนานพที่นั่งกอดอกยิ้มแป้นมองเธอกับน้องสลับกันไปมา

                “งานเสริมของผมคือนักสืบครับ” ธนานพพูดขึ้น ก่อนหัวเราะอย่างขบขัน

ธมนต์ก็ขำไปด้วย เธอลืมไปได้อย่างไรว่านอกจากธนานพจะทำงานด้านบริหารเก่งแล้วยังสืบเรื่องคนอื่นเก่งอีกด้วย เพราะประวัติและข้อมูลของพุฒินาทก็เป็นเขานี่แหละที่เป็นคนสืบหา

                “ฉันถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ” ธมนต์หยุดหัวเราะแล้วดื่มนมสดในแก้วเป็นการผ่อนคลายความอึดอัดจากคำถามที่ตัวเธอเองยังไม่ทันจะได้ถาม

                “ทำไมผมถึงช่วยคุณน่ะเหรอ” ธนานพพูดขึ้นอย่างรู้ทัน

                หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า และฝืนยิ้มให้ชายหนุ่มข้างกาย ธมนธรรมกับดนัยก็มองธนานพอย่างสงสัยเช่นกัน

                “ผมอยากเป็นคนกลางน่ะ” ธนานพบอกไปตามความจริง ตอนแรกเขาแอบเข้าข้างเบญญาเพราะสงสารอีกฝ่าย แต่ตอนนี้เขาคิดได้หลังจากได้พูดคุยกับรัศมี และรู้ว่าตัวเองควรวางตัวอย่างไร

                ธมนต์ไม่ถามอะไรกลับไป ถึงแม้จะไม่เข้าใจคำตอบของชายหนุ่มก็ตาม

                “เจ้จะกลับฝรั่งเศสเลยใช่ไหม ไม่เข้าบ้านไปลาพ่อกับแม่ก่อนเหรอ” ธมนธรรมเห็นว่าบรรยากาศเริ่มเงียบจึงถามขึ้น

                “ฉันลาพวกท่านตั้งแต่งานศพของพี่พุฒิคืนสุดท้ายแล้วละ คงกลับไปฝรั่งเศสเลย อยากรีบกลับไปเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ที่นั่น”

ธมนต์บอกพลางนึกถึงใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ ใบหน้าที่จะอยู่เพียงแค่ในความทรงจำของเธอนับจากนี้ไป เพราะต่อจากนี้เธอจะไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีกแล้ว

                “ลาไอ้จิณหรือยังครับ” ธนานพถามบ้าง

                หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ เธอไม่เห็นแม้แต่หน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ ถึงแม้เขาจะจับเธอขังเอาไว้ แต่หลังจากทะเลาะกันก็ไม่ยอมมาพบหน้าเธอเลย ชายหนุ่มไม่ยอมฟังเหตุผล และไม่ยอมรับความจริงว่าเรื่องของเธอกับเขาจบลงแล้ว

                “จะจากกันไปแบบนี้เหรอครับ”

                “ฉันก็คิดอยู่เหมือนกันค่ะ จากกันไปทั้งที่ยังไม่เข้าใจกัน...จากกันไปอย่างเงียบๆ หรือจากกันไปด้วยดี แบบไหนมันดีกว่ากัน” ธมนต์คิดแล้วก็หัวเราะ

                “จากแบบไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละเจ้ แค่คำว่า ‘จาก’ ก็ไม่อยากจะฟังละ” ธมนธรรมบอกพี่สาว

                “นั่นสินะ” ธมนต์พูดขึ้นแล้วหลุดเข้าไปในห้วงความคิดของตัวเองทันที ปล่อยให้ธนานพพูดคุยกับธมนธรรมและดนัยอย่างสนุกสนานตามประสาคนเรียนบริหารเหมือนกัน

               

“คุณมิ้นต์ครับ! คุณมิ้นต์!”

                “เฮ้ย! เจ้! เจ้!”

                เสียงเรียกดังออกจากปากของธนานพกับธมนธรรมพร้อมกันเมื่อหญิงสาวยังไม่ขานรับ และน้องชายก็เขย่าแขนเธออย่างแรง

                “อะ...อะไรกันคะ” ธมนต์ถามขึ้นอย่างตกใจเมื่อพบว่าน้องชายเขย่าแขนตัวเอง

                “คุณมิ้นต์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ผมเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ขานสักที” ธนานพถามอย่างห่วงใย

ธมนต์ยิ้มแหยทันที “ขอโทษด้วยนะคะ พอดีคิดอะไรเพลินๆ น่ะค่ะ”

                “ถ้าอย่างนั้นเราคิดเงินกันเถอะครับ เดี๋ยวต้องนั่งรถเข้าไปในตัวอำเภอเมืองอีกนะครับ” ธนานพบอกแล้วเรียกพนักงานมาคิดเงินค่าอาหารกับเครื่องดื่ม

                รถยนต์ของธนานพแล่นออกไปจากตัวอำเภอแม่จันได้ไม่ถึงยี่สิบนาที รถยนต์คันหรูของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็เข้ามาจอดแทนที่ ก่อนที่ชายหนุ่มจะลงจากรถและสั่งให้ลูกน้องออกตามหาธนานพกับธมนต์ทันที

               

“ส่งฉันกับน้องแค่นี้ก็พอค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” ธมนต์บอกธนานพหลังจากเดินเข้ามาในสนามบินแม่ฟ้าหลวง เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ พร้อมน้องชายกับดนัย

                “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้โชคดีนะครับ แล้วก็...ลาก่อนครับ” ธนานพบอกหญิงสาว ก่อนยกมือขึ้นโบกลา

ธมนต์ยิ้มรับแล้วถือกระเป๋าเดินตามน้องชาย

                “เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ฝากกระเป๋าด้วย รออยู่ตรงนี้ ห้ามไปไหนนะ”

หญิงสาวบอกน้องชายและย้ำอีกครั้ง เพราะเธอไม่ได้เอากระเป๋าไปด้วยสักใบ เครื่องมือสื่อสารก็อยู่ในกระเป๋าที่ฝากน้องชายไว้ หากเธอหาน้องไม่เจอต้องลำบากเป็นแน่ แต่เธอคงใช้เวลาไม่นานเท่าไรจึงไม่ค่อยห่วงเรื่องนี้นัก

ธมนธรรมพยักหน้ารับคำ ก่อนมองหาเก้าอี้เพื่อนั่งรอธมนต์ แต่แรงสั่นสะเทือนของเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าสะพายของพี่สาวทำเอาชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัย และเปิดกระเป๋าออกเพื่อหาต้นเหตุของแรงสั่นสะเทือน

                ‘ชุดทดสอบการตั้งครรภ์’ ที่อยู่ในกระเป๋ากลายเป็นจุดสนใจของธมนธรรมแทนแรงสั่นสะเทือนทันทีเมื่อเขาเจอเข้าโดยบังเอิญ

                ชายหนุ่มกำชุดทดสอบการตั้งครรภ์แน่น หลังจากหยิบขึ้นมาดูและพบว่ามันแสดงผลเป็นเครื่องหมายสองขีดซึ่งบ่งบอกว่าตั้งครรภ์

                “ไอ้พ่อเลี้ยง!” ไม่ต้องคิดอะไรมาก หากพี่สาวเขาตั้งท้องก็คงไม่มีใครอื่นใดที่จะเป็นพ่อของเด็กได้นอกเสียจากพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ เจ้าของไร่ทางเหนือ

                “ใจเย็นก่อน” ดนัยบอกเพื่อนพลางตบไหล่เบาๆ

                ธมนธรรมพ่นลมหายใจออกมา ก่อนนั่งกอดอกนิ่งรอพี่สาวอย่างข่มอารมณ์ โดยมีดนัยนั่งปลอบอยู่ข้างกาย ไม่นานธมนต์ก็เดินมายังจุดที่บอกให้น้องนั่งรอ

                “มีอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าแบบนั้น” ธมนต์ถามขึ้นเมื่อพบว่าน้องชายทำหน้าราวกับยักษ์

                “นี่อะไรวะเจ้ ทำไมปล่อยตัวแบบนี้!” ธมนธรรมตะคอกพี่สาวทันทีอย่างโกรธเคือง

ดนัยเองก็รั้งเพื่อนเอาไว้ไม่ให้พุ่งเข้าใส่ธมนต์

ธมนต์เบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อพบชุดทดสอบการตั้งครรภ์อยู่ในมือของน้องชาย เธออุตส่าห์เก็บไว้อย่างดี และไม่ทิ้งไว้ที่บ้านพักเชิงดอยเพราะกลัวว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์จะรู้เรื่องนี้เสียก่อน แต่ดันมาพลาดให้น้องชายจับได้เสียอย่างนั้น

                “เอามานี่” หญิงสาวแบมือออกและพูดเสียงแข็ง ซึ่งเป็นน้ำเสียงที่ทำให้ธมนธรรมยอมจำนนต่อเธอ เพราะไม่บ่อยนักที่ธมนต์จะใช้น้ำเสียงเช่นนี้ 

                “แล้วจะทำยังไงต่อไป พ่อของเด็กก็จะแต่งงานมีเมียมีลูก แล้วหลานผมล่ะ” ธมนธรรมถามพี่สาวพลางคิดหาทางออก

                “ฉันเลี้ยงเอง นี่ลูกของฉัน” ธมนต์บอกน้องชาย

                “แสดงว่าไอ้พ่อเลี้ยงไม่รู้เรื่องนี้”

                “เขาจะไม่มีวันรู้” หญิงสาวตอบกลับทันที เธอจะไม่มีวันบอกเขาเรื่องลูก เมื่อเลือกจะเดินจากมาแล้ว เธอก็ขอจากมาโดยไม่ต้องมีพันธะต่อกันเลยดีกว่า ตัดเยื่อใยทิ้งให้หมดตั้งแต่ตอนนี้ อย่าได้มีอะไรต่อกันอีกเลย

                “หลานผมจะกลายเป็นเด็กไม่มีพ่อเหรอ” ธมนธรรมยังคงโวยวายไม่เลิก

                “เชื่อใจพี่นายหน่อยสิ นายเองก็ควรใจเย็นก่อน” ดนัยปรามคนที่เอาแต่อารมณ์ของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น

                “แม่เลี้ยงเดี่ยวสมัยนี้มีเยอะแยะไป อีกอย่างฉันจะเลี้ยงเขาให้โตที่เมืองนอก เรื่องแบบนี้จะไม่เป็นปัญหาเลยด้วยซ้ำ” ธมนต์บอกถึงแผนการที่เธอคิดเอาไว้

                “เจ้ก็โตที่เมืองนอก ไม่เคยรู้เรื่องการป้องกันบ้างเลยเหรอ ทำไมปล่อยให้ตัวเองท้องแบบนี้วะ”

                “เรื่องแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้หรอกนะ ถึงจะป้องกันยังไง ถ้าเขาจะเกิดเขาก็มาเกิดอยู่ดี”

ธมนต์พยายามตอบกลับอย่างใจเย็น แต่น้ำเสียงยังคงแข็งอยู่บ้างเพื่อให้น้องชายไม่กล้าแข็งข้อกับเธอ หญิงสาวไม่คิดมากเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะบางคนอยากมีลูกมากจนทำทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่มีสักที ผิดกับบางคนที่ยังไม่พร้อมจะมี แต่กลับมีอย่างง่ายดาย อย่างเธอเองก็ไม่พร้อมจะมีลูกในตอนนี้ ความฝันของตัวเองก็ยังทำตามไม่ได้ แต่ในเมื่อเขามาเกิดกับเธอ ธมนต์ก็พร้อมจะเลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุดเท่าที่แม่อย่างเธอจะทำได้ เขาคงอยากมาเกิดเป็นลูกของเธอกับคนที่เธอรัก

                “ถ้าพ่อรู้เรื่องต้องแย่แน่ๆ ไม่อยากจะคิดเลย” ธมนธรรมพูดขึ้น ทำเอาธมนต์มองน้องตาเขียวปั้ด

                “พ่อจะไม่รู้เรื่องนี้ รวมทั้งแม่ด้วย เรื่องนี้จะมีเพียงแค่แกกับฉันเท่านั้นที่รู้” หญิงสาวบอกเสียงแข็งอีกรอบ

ขนาดธมนธรรมรู้ยังโวยวายขนาดนี้ ไม่ต้องไปนึกถึงพ่อแม่ของเธอเลยว่าถ้าพวกท่านรู้เรื่องนี้จะเป็นอย่างไร อีกอย่างเธอคงไม่กลับมาเมืองไทยอีกแล้ว รอให้ลูกโตพอจะอ้อนตายายได้เสียก่อนแล้วเธอจะพาลูกมาไหว้พวกท่านเอง

                “แน่ใจนะว่าจะไม่บอกใคร แล้วเจ้จะอยู่ยังไง ไหนจะเงินทองค่าใช้จ่าย ไหนจะค่าฝากครรภ์ มันเยอะมากเลยนะ ไหนบอกจะไปตามหาความฝันไง”

                “ฉันพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง อีกอย่างอยู่ที่นั่นฉันก็มีคนรู้จัก มีมาดามลิซซี่คอยช่วยเหลือเรื่องงานด้วย ประหยัดหน่อยคงอยู่ได้ตามประสาสองคนแม่ลูก”

                “โอเค ถ้าเจ้คิดแบบนั้นก็ดี ผมจะไม่บอกพ่อแม่เรื่องนี้ แต่ถ้าเดือดร้อนต้องบอกผมนะ นี่หลานของผม อย่าให้เขาลำบากหรือไม่ได้ลืมตาดูโลกนะเว้ย”

                “แกแช่งลูกฉันเหรอ” ธมนต์ตบสีข้างของน้องชายอย่างหมั่นไส้

                บทสนทนาระหว่างรอขึ้นเครื่องบินของสองพี่น้องแปรเปลี่ยนจากเคร่งเครียดเป็นการหยอกล้อไปโดยพลัน เมื่อธมนธรรมยอมอ่อนลง ธมนต์เองก็อ่อนตาม เธอยิ้มอย่างมีความสุขไม่ต่างกับน้องชาย

 

                เช้าตรู่ของวันต่อมา พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ออกจากบ้านทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า ชายหนุ่มตรงไปยังบ้านของธนานพเพื่อถามเรื่องธมนต์ เขานอนไม่หลับทั้งคืนเพราะตามหาหญิงสาวไม่เจอ ใจร้อนรนอย่างไรก็บอกไม่ถูก

                “ลมอะไรหอบแกมาแต่เช้า” ธนานพเดินหาวอ้าปากกว้างออกมาจากห้องนอน หลังจากหญิงรับใช้เคาะประตูเรียกและบอกว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ต้องการพบ

                “ธมนต์อยู่ไหน แกพาเธอไปไว้ที่ไหน” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามทันที ใจจริงเขาอยากจะต่อยเพื่อนสนิทสักหมัด แต่ก็ไม่อยากทำเพราะธนานพเป็นคนมีเหตุผลในการกระทำเสมอ เขารู้ว่าที่เพื่อนทำแบบนี้ต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่สิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุดตอนนี้คือธมนต์อยู่ที่ไหน

                “ใจเย็นๆ สิวะ” ธนานพปรามก่อนนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามเพื่อนสนิท

                “บอกมาได้แล้วไอ้นพ ก่อนที่ฉันจะตัดเพื่อนกับแก” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ เผื่อเพื่อนจะกลัวแบบลูกน้องของตัวเองบ้าง

                “นี่แกจะตัดเพื่อนเลยเหรอวะ” แต่คงไม่ได้ผลกับธนานพซึ่งรู้จักนิสัยเพื่อนดี

                “บอกมาได้แล้ว!” ชายหนุ่มเร่งเพื่อนอีกรอบ

                “เธออยู่กรุงเทพฯ กลับไปเมื่อวาน” ธนานพเริ่มกวนอารมณ์เพื่อน

                “แสดงว่าอยู่ที่บ้านของเธอสินะ” พ่อเลี้ยงหนุ่มลุกขึ้นทันทีหลังจากรู้ว่าธมนต์อยู่ที่ไหน

                “เดี๋ยว! คุณมิ้นต์เธอไม่ได้กลับบ้าน” ธนานพเรียกเพื่อนได้ทัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากบ้านของเขา

                “แล้วเธอไปไหน!” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์หันกลับไปถามเพื่อนอีกรอบ พยายามข่มอารมณ์เอาไว้อย่างสุดกำลัง

                “เห็นคุณมิ้นต์พูดกับน้องชายว่าจะกลับไปฝรั่งเศส ไม่รู้ว่าเธอจะไปวันไหนเหมือนกัน แต่คิดว่าคงไม่กลับบ้านเพราะเห็นเธอบอกว่าลาพ่อแม่ตั้งแต่วันงานศพของพุฒินาทแล้ว”

                “ขอบใจแกมากที่ยังเก็บข้อมูลมาบอก” พ่อเลี้ยงหนุ่มประชดเพื่อน ก่อนเดินออกไปขึ้นรถ

                ชายหนุ่มเดินทางจากอำเภอแม่จันมาที่ตัวจังหวัดเชียงราย และนั่งเครื่องบินมาลงที่กรุงเทพฯ ทันที ร่างสูงสง่าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เดินออกจากสนามบินไปขึ้นรถซึ่งเขาสั่งให้ลูกน้องของแม่ที่อยู่ในกรุงเทพฯ มารอรับเพื่อจะไปยังบ้านของธมนต์

                ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าตอนนี้ธมนต์อยู่หรือไม่อยู่ที่บ้านตามคำพูดของธนานพ แต่เขาไม่ควรพลาดสักที่ที่คาดว่าเธอจะต้องไปก่อนเดินทางกลับฝรั่งเศส

                เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่ทั้งคู่คลาดกัน พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ขึ้นรถยนต์ที่จอดรออยู่แล้ว ส่วนธมนต์ก็ลงจากรถของเพื่อนสนิทน้องชายเพื่อเข้าไปในสนามบิน ทั้งคู่มองไม่เห็นกันทั้งที่อยู่ห่างกันเพียงแค่ไม่ถึงเมตร

               

หลังจากขนกระเป๋าเดินทางลงจากรถของน้องชาย ธมนต์ก็บอกลาน้องเสียตรงนั้น ไม่ให้เขาเข้ามารอจนเธอขึ้นเครื่อง หญิงสาวเดินลากกระเป๋าเข้ามาภายในสนามบิน แต่ไม่ทันได้สังเกตแผ่นหลังกว้างของคนที่เพิ่งเดินสวนกับเธอ เป็นเสี้ยววินาทีที่เธอไม่ได้สนใจมองรอบข้าง ทำให้หญิงสาวไม่ได้เห็นใบหน้าที่อยากจะเห็นอีกสักครั้ง ก่อนจะเดินทางไปฝรั่งเศส

                “โอ๊ย!” ธมนต์เสียการทรงตัว เมื่อมีใครสักคนตั้งใจเดินชนเธอจังๆ ดวงตาสีรัตติกาลมองไปด้านหลังของตัวเอง และแค่นหัวเราะ

                “สวัสดีค่ะพี่มิ้นต์” เบญญาที่แอบนั่งเครื่องบินตามพ่อเลี้ยงจิณธนนท์มาถึงกรุงเทพฯ เจอฉากพระนางคลาดกันเต็มๆ หญิงสาวตั้งใจเดินชนธมนต์เพื่อดึงความสนใจมาที่เธอแทนพ่อเลี้ยงหนุ่มที่เพิ่งเดินออกไป เบญญานึกแล้วสะใจ สุดท้ายชายหนุ่มกับธมนต์ก็คลาดกันโดยที่เธอไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง

                “เธอมาทำอะไรที่นี่” ธมนต์ดึงกระเป๋าเดินทางมาใกล้ตัวแล้วยกแขนขึ้นกอดอก มองใบหน้าของเบญญาอย่างเอาเรื่อง แววตาก็แข็งกร้าว

แต่เบญญาไม่ได้เกรงกลัวเลย กลับจ้องมองธมนต์อย่างเยาะเย้ยเช่นกัน

                “ตามมาดูหน้าคนที่มันแย่งสามีคนอื่นเขาน่ะค่ะ พี่มิ้นต์พอจะรู้จักไหมคะ เอ...รู้สึกจะชื่อว่า นางสาวธมนต์ ประภารัตน์ น่ะค่ะ รู้จักไหมคะ” เบญญาจ้องใบหน้าของธมนต์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแดกดัน

เป็นอีกครั้งที่ธมนต์แค่นหัวเราะ “รู้จักสิ รู้จักดีด้วย เป็นผู้หญิงที่เธอไม่มีทางเทียบได้เลยละ ต่อให้เกิดอีกกี่ชาติเธอก็เทียบไม่ได้หรอก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงทำให้สามีคนอื่นมาเป็นของตัวเองได้ง่ายๆ”

หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ก่อนสาวเท้าเข้าหาเบญญาอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีรัตติกาลก็จ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายเขม็ง

                เบญญาเผลอถอยหลังไปเกือบสองก้าวยามธมนต์เดินเข้ามาหา หญิงสาวเชิดหน้าราวกับนางพญาที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด ผิดกับการกระทำของตัวเองลิบลับ

                “ถอยทำไมล่ะ กลัวอะไร ถ่อมาถึงนี่แล้วนะ” ธมนต์พูดเย้ยอีกครั้ง และยิ้มอย่างสะใจเมื่อเห็นจุดอ่อนของเบญญา แค่เด็กเมื่อวานซืนทำมาเป็นจองหอง

                “พี่มิ้นต์จะทำอะไรหม่อนคะ ทำเลยสิ ทำสิ” เบญญามองผู้คนรอบข้างที่มองมายังเธอกับธมนต์อย่างสนใจ และเอ่ยท้าทายอีกฝ่าย

                ธมนต์จ้องมองเบญญาพลางลดแขนลง หน้าเธอนิ่งแต่รอยยิ้มเยาะยังคงปรากฏอยู่บนนั้น จากนั้นหญิงสาวก็ประสานนิ้วเรียวสวยแล้วหักราวกับว่าเตรียมตัวจะทำอะไรสักอย่าง

                เบญญามองการกระทำนั้นอย่างใจหายและนึกกลัวขึ้นมา ดวงตาก็มองไปยังผู้คนรอบกายที่ไม่คิดจะมายุ่งเกี่ยวด้วยเลยสักคน โดยพากันยืนมองเท่านั้น

                “มานี่!” ธมนต์ฉุดต้นแขนซ้ายของเบญญาเต็มแรง ก่อนนำกระเป๋าเดินทางของตัวเองไปฝากไว้กับพนักงานในสนามบินคนหนึ่ง และลากเบญญาไปยังมุมเงียบๆ สักมุม

เบญญาพยายามขืนตัวเอาไว้เพราะไม่รู้ว่าธมนต์คิดจะทำอะไรกันแน่ และมองไปยังรอบข้างอย่างหวาดกลัว

                “โอ๊ย!” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเบญญาดังขึ้น เมื่อธมนต์เหวี่ยงเธอไปข้างหน้า หญิงสาวมองต้นแขนซ้ายของตัวเองที่มีรอยแดงจ้ำทันที และกำมือแน่นอย่างโกรธแค้น ก่อนตวัดสายตามองธมนต์ที่กอดอกมองเธออยู่ก่อนแล้ว

                “ผู้ดีเขาทำกันแบบนี้เหรอคะ” เบญญาไม่รู้ว่าทำไมตนถึงพูดแบบนี้ ทั้งที่เธอพยายามสรรหาคำที่ดีกว่านี้

                “เปล่าหรอก ผู้ดีเขาไม่ได้ทำกันแบบนี้ แต่ตอนนี้มันไม่จำเป็นเลย ไม่ว่าจะเป็นผู้ดีหรือคนทั่วไป เขาก็ต้องป้องกันตัวเองกันทั้งนั้น เมื่อภัยมันมายืนให้เผชิญอยู่ต่อหน้า” ธมนต์ตอกกลับ จนอีกฝ่ายได้แต่เจ็บใจ

                “ถ้างั้นก็ตายซะเถอะแก!” เบญญาพูด ก่อนพุ่งเข้าหาธมนต์ที่ยืนนิ่งไม่ขยับหลบแต่อย่างใด

                เผียะ! เผียะ!

                ใบหน้าของธมนต์หันตามแรงตบทั้งซ้ายขวาซึ่งเบญญาตบด้วยฝ่ามือและหลังมือ แต่เมื่ออีกฝ่ายจะตบอีกครั้ง ธมนต์ก็คว้ามือหญิงสาวเอาไว้เสียก่อน เบญญาพยายามจะใช้มืออีกข้าง แต่กลับไม่ถนัด ทำให้ธมนต์รวบมือทั้งสองข้างของเธอเอาไว้ได้

                “ถ้าฉันตบกลับ ตามกฎหมายแล้วมันคือการป้องกันตัวใช่ไหม”

ธมนต์มองหน้าเบญญาพลางเงื้อมือเตรียมเหวี่ยงเต็มแรง เบญญาไม่คิดจะหลับตาแต่อย่างใด แต่พอธมนต์จะเหวี่ยงมือใส่ใบหน้าของเธอจริงๆ หญิงสาวกลับหลับตาลงโดยอัตโนมัติ

                ความเจ็บจุกเกิดขึ้นที่กลางลำตัวและหน้าท้องของเบญญา ไม่ใช่ใบหน้าของเธอแต่อย่างใด หญิงสาวถอยไปด้านหลังแล้วล้มจ้ำเบ้า เบญญาลืมตาขึ้นและพบว่าธมนต์ถีบเข้าที่กลางลำตัวของเธอแทนการตบ

                ธมนต์เดินเข้าหาเบญญา ขณะที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ลุกขึ้นเธอก็ยืนคร่อมเอาไว้ และกระชากผมหญิงสาวไปด้านหลังอย่างแรง

“โอ๊ย!” เบญญาส่งเสียงร้องอีกครั้ง

                “ฉันไม่ตบหรอก ตบมันเจ็บแป๊บเดียว ชาแล้วก็หายไป แต่ถีบมันเจ็บมากกว่านั้นอีก” ธมนต์บอกเสียงเบาเพราะตอนนี้ใบหน้าของหญิงสาวอยู่ห่างจากอีกฝ่ายไม่มากนัก “ฉันจะไปตามทางของฉัน ส่วนเธอก็จะมีอนาคตของตัวเอง ไม่น่ามายุ่งเกี่ยวกันอีกนะ ตามหลักความเป็นจริงแล้ว”

                “ให้มันจริงเถอะ ไปแล้วอย่าได้กลับมาล่ะ เพราะทุกอย่างที่แกเคยได้ฉันจะเป็นเจ้าของมันทั้งหมด” เบญญากล่าวด้วยแรงอาฆาต

                “ถ้างั้นก็รีบๆ เลยนะ อยากได้อะไรในช่วงที่ฉันไม่อยู่ก็รีบทำให้มันมาเป็นของเธอซะถ้าคิดว่ามีปัญญาทำ เพราะถ้าฉันกลับมาเมื่อไหร่ ทุกอย่างจะเป็นของฉันแทน” ธมนต์ตอกกลับแล้วผลักศีรษะของเบญญาไปให้ห่างตัว

                หญิงสาวมองเบญญาด้วยหางตาขณะที่เธอเดินกลับเข้าไปข้างในเพื่อรอขึ้นเครื่องบินในอีกครึ่งชั่วโมง ซึ่งต้องตรวจเอกสารการเดินทางด้วย คงใช้เวลาพอสมควร

เบญญาได้แต่นั่งกรีดร้องอย่างเจ็บใจเมื่อตัวเองโดนกระทำมากกว่า

 

“คุณมาทำอะไรคะ” มนธิดา มารดาของธมนต์ถามหลังจากเดินมาเปิดประตูให้บุคคลที่กดกริ่งไม่หยุด

                “สวัสดีครับ ธมนต์อยู่หรือเปล่าครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่รอช้า ถามถึงหญิงสาวทันที

                “ไม่อยู่! กลับฝรั่งเศสตั้งแต่วันงานศพของพุฒินาทแล้ว” นี่ไม่ใช่เสียงของมนธิดาเพราะห้วนมาก คนพูดคือเอกภพ บิดาของธมนต์ซึ่งยืนหน้าบึ้งอยู่ตรงชานบ้าน

                “ขอบคุณครับ ผมขอตัวก่อน” ชายหนุ่มไม่รอช้า เขาต้องกลับไปที่สนามบินเพราะไม่รู้ว่าจะไปตามหาธมนต์ได้ที่ไหน หากเขาดักรออยู่ที่นั่นคงจะเจอ

                “เดี๋ยวก่อนสิคุณ เข้ามาดื่มน้ำดื่มท่าก่อนไหม” เอกภพเชิญชายหนุ่ม

มนธิดาเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อให้ชายหนุ่มเดินเข้ามาในบ้าน

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ลังเล แต่ในที่สุดเขาก็ยอมเดินเข้าไป เผื่อว่าพ่อของธมนต์โกหกเขาอาจจับพิรุธได้บ้าง

                “ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณมนธิดาที่นำน้ำมาให้ตัวเองดื่ม

                “เห็นเจ้ามินบอกว่าคุณเป็นเจ้าของไร่องุ่นที่จังหวัดเชียงรายใช่ไหม” เอกภพถามข้อมูลส่วนตัวของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทันที เมื่อชายหนุ่มวางแก้วน้ำที่ยกขึ้นดื่มลงที่เดิม

                “ครับ ผมเป็นเจ้าของไร่ทางเหนือ”

                “แสดงว่าบ้านมีฐานะพอควรสินะ” เอกภพพูดเยาะชายหนุ่ม เขาไม่อยากรู้เรื่องพวกนี้เท่าไร เคยได้ยินจากลูกชายว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์กับธมนต์มีความสัมพันธ์กันอย่างไร และเมื่อคืนลูกชายก็โทร. มาบอกว่าธมนต์จะหนีไปฝรั่งเศสเพราะมีปัญหากับชายหนุ่ม เขาจึงอยากยื้อเวลาให้ลูกได้หนีเท่านั้นเอง

                “ครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ขานรับเสียงเบา ใจก็เต้นแรงอย่างประหลาด

                “ผมรู้จากลูกชายว่าคุณมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลูกสาวของผม ตอนแรกก็ไม่คิดจะสนใจหรอกนะ คิดว่าลูกคงไม่ทำให้ผมผิดหวัง แต่พอเห็นคุณที่งานศพของพุฒินาท เวลาอยู่กับยายมิ้นต์แล้วดูแปลกจนผมอดถามลูกชายไม่ได้ ถึงไม่อยากจะยอมรับ แต่ลูกสาวผมก็โตจนตัดสินใจอะไรเองได้แล้ว” เอกภพพูดเนือยๆ เพื่อถ่วงเวลาให้ลูก อย่างน้อยก็คงได้สักครึ่งชั่วโมง

                “ผมต้องกราบขอโทษด้วยนะครับที่ทำอะไรเกินเลยไปขนาดนั้น จนดูเหมือนไม่ไว้หน้าท่านทั้งสอง” พ่อเลี้ยงหนุ่มยกมือขึ้นไหว้ขอโทษ

                “ผมเองก็ไม่ถือสาหรอกคุณ คิดเอาไว้แล้วว่ามันต้องมีสักวันเพราะยายมิ้นต์เองก็โตที่เมืองนอก วัฒนธรรมเขามาแบบนี้น่ะ” เอกภพพูด

เขาเองก็เผื่อใจเอาไว้แล้ว ไม่คิดจะต่อว่าเธอเพราะตอนนี้ลูกสาวเขาก็ไม่มีพันธะกับใครทั้งสิ้น เขาให้ลูกเลือกเองเสมอ อย่างกรณีของพุฒินาทเธอก็เลือกเอง เขาเพียงแค่วางแผนอนาคตให้เท่านั้น

                “ถ้าไม่ถือว่าเป็นการเสียมารยาท ผมขอตัวเลยได้ไหมครับ ท่านน่าจะรู้ว่าผมตามหาลูกสาวของท่านอยู่”

พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่ลังเลที่จะบอกว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เผื่อเอกภพจะยอมบอกว่าตอนนี้ธมนต์อยู่ที่ไหน

                “อีกครึ่งชั่วโมง” เอกภพดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองพลางพูดขึ้น

                “ทำไมครับ” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย

                “ไฟลต์บินของลูกสาวผมจะออกจากสนามบิน” เอกภพยิ้มก่อนจะตอบกลับ

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทำตาโตแล้วลนลานออกไปจากบ้านเพื่อตรงไปยังสนามบินซึ่งอยู่ห่างพอสมควร ใช้เวลาช้าสุดคงสักยี่สิบนาที เขายังมีเวลาเหลือ
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น