7

ความจริงคืออะไร


 พ่อเลี้ยงจิณธนนท์นิ่งเงียบไม่กล้าพอจะตกปากรับคำเพื่อน เพราะไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำได้ไหม

ดวงตาหลุกหลิกบวกกับอาการร้อนรนมือไม้สั่นอย่างตื่นกลัวของธมนต์ ซึ่งกำลังซ่อนตัวในตู้เสื้อผ้าภายในห้องนอนของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ ในมือบางมีเอกสารข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับพุฒินาทและสุพัตตา ตั้งแต่วันเวลาที่ทั้งคู่พบเจอกันและภาพที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงคงหนีไม่พ้นภาพถ่ายงานศพของหญิงสาว

                พุฒินาทยืนมองร่างไร้วิญญาณของสุพัตตาด้วยแววตาเศร้าสร้อยไม่ต่างจากพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เลยสักนิด

                “คุณเจ็บปวดมากกว่าฉันเสียอีก” ธมนต์พูดเสียงเบา เนื่องจากด้านนอกพ่อเลี้ยงจิณธนนท์กำลังนอนหลับพักสายตาอยู่บนเตียงกว้าง เมื่อสิบนาทีก่อนหัวใจของเธอแทบตกลงไปที่ตาตุ่มเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอนเข้ามา จนผลสุดท้ายเธอก็ลงเอยที่ตู้เสื้อผ้าใบนี้

                ธมนต์ลงมือสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าสาวของพ่อเลี้ยงไปพร้อมๆ กับคู่หมั้นของเธอ แต่เธอก็สามารถหาข้อมูลได้เพียงแค่ในบ้านพักเชิงดอยหลังนี้เท่านั้น และแหล่งข้อมูลพวกนั้นคงไม่พ้นที่จะอยู่ในห้องนอนของพ่อเลี้ยง

                ‘ฉันเป็นหมากในกระดานของคุณ หรือเป็นเพียงแค่คนใช้ธรรมดาๆ กันแน่’

เรื่องราวเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอเจอเอกสารข้อมูลของตัวเองทั้งภาพถ่ายตั้งแต่สมัยคบกันใหม่ๆ ของเธอกับพุฒินาท แถมยังมีภาพงานหมั้นซึ่งจัดขึ้นแบบเรียบง่าย เชิญแค่คนในครอบครัวเท่านั้น

                ครืด...ครืด

                เสียงสั่นไหวของโทรศัพท์เครื่องหรูดังขึ้น ธมนต์แนบใบหูชิดกับบานประตูตู้เสื้อผ้า แอบฟังบทสนทนาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์

                “อื้อ” เสียงขานรับเบาๆ หลุดออกมาจากลำคอของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทั้งที่เปลือกตาปิดสนิท

                “เรื่องที่แกวานให้ฉันช่วยได้ข้อมูลมาแล้วนะ”

                เสียงของธนานพที่ปลายสายทำให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ได้สติค่อยๆ ลืมตาช้าๆ ก่อนจะตอบกลับเสียงเข้ม

                “ครบทุกอย่างใช่ไหม ธุรกิจ ที่ดินในครอบครอง หนี้สินทั้งหมดของครอบครัวสุกิตตา”

                คนแอบฟังถึงกับเบิกตากว้างเมื่อได้ยินนามสกุลที่เธอคุ้นเคยอย่างดี แถมพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ยังสืบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวนี้อีกด้วย

                “ครบ แล้วตอนนี้คุณมิ้นต์เธอเป็นยังไงบ้าง”

                เมื่อเพื่อนสนิทถามไถ่ถึงหญิงสาวราวกับเป็นห่วงนักหนา ทำเอาใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตึงขึ้นมา

                “สบายดี แกจะกลับไร่เมื่อไหร่” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามเบี่ยงประเด็น

                “อีกสามวันว่ะ พอดีต้องทำธุระต่อในกรุงเทพฯ อีกนิดหน่อยน่ะ” ธนานพตอบเพื่อนพร้อมถามไถ่และแลกเปลี่ยนเรื่องงานกันต่อในสาย

ธมนต์จับใจความได้ไม่มากจึงได้แต่ขัดใจ อาการตื่นกลัวจางหายไปเมื่อความอยากรู้มีมากกว่า

                ปัง!

                เสียงปิดประตูห้องดังขึ้นเรียกเสียงถอนลมหายใจของธมนต์ได้อย่างดี หญิงสาวเปิดประตูตู้เสื้อผ้าก้าวออกมา ก่อนจะทำหน้ายู่อย่างเจ็บปวดเมื่อรับรู้ถึงอาการเหน็บชาที่ปลายเท้า

                “ฉันต้องรู้เรื่องที่คุณคิดจะทำให้ได้” ธมนต์พูดอย่างตั้งเป้าหมาย ก่อนจะเดินกะเผลกออกไปจากห้องนอน ทิ้งช่วงห่างเพียงแค่ไม่กี่นาที

                บ้านพักเชิงดอยเงียบสงบอย่างเช่นทุกวัน เพราะภายในบ้านมีเพียงแค่ธมนต์คนเดียว หญิงสาวไม่สามารถเข้าอินเทอร์เน็ตหรือเดินออกไปไหนมาไหนได้ จึงนั่งอยู่บนโซฟากลางบ้านอย่างเบื่อหน่าย ดวงตาสีรัตติกาลกวาดมองไปทั่วบ้าน ก่อนจะหยุดอยู่ที่ระเบียงบ้านสถานที่ที่เธอชอบมากที่สุด

                “ทำความสะอาดก็แล้วกัน” ธมนต์หางานให้ตัวเองทำ เดินปัดกวาดเช็ดถูทุกซอกทุกมุมของบ้านทั้งชั้นล่างและชั้นบนเป็นเวลาเกือบสามชั่วโมง

                สุดท้ายเมื่อไม่มีงานทำต่อ หญิงสาวจึงเดินหิ้วกระเป๋าเก็บอุปกรณ์ของตนออกมาจากห้องนอน ก่อนจะเดินตรงไปยังระเบียงบ้านที่ต่อจากห้องนั่งเล่น ทั้งที่เธอชอบระเบียงในห้องนอนของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์มากกว่า

                อุปกรณ์วาดรูปครบเซตถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ กระดาษวาดภาพหลายแผ่นถูกคลิปหนีบติดกับแผ่นไม้ขนาดเท่ากันทั้งบนและล่าง ธมนต์ยิ้มร่า ใจเต้นตึกตักทุกครั้งที่เธอได้ลงมือวาดภาพหรือไม่ก็ออกแบบชุด หรือลายเสื้อต่างๆ ความเครียดจะจางหายไปทันทีเมื่อเธอได้ใช้เวลาในสิ่งที่ชอบ

                ปลายดินสอถูกขีดเขียนไปมาบนกระดาษจนเป็นรูปร่างผู้หญิง ก่อนจะเริ่มลงเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ธมนต์ใช้เวลาว่างในช่วงที่พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ยังไม่กลับในการสเกตช์ร่างแบบเสื้อผ้าแต่ดูเหมือนว่ามันจะถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้างจนต้องลบแล้วลบอีก แต่เธอก็ไม่เคยหงุดหงิดกับมันเลยสักนิด เธอทำอย่างใจเย็น ลงสีอีกนิดหน่อยเพื่อให้งานเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

 

                “พ่อเลี้ยงมาอีกแล้วนะคะ” เจ้าของเสียงหวานใสแต้มรอยยิ้มกว้างเอ่ยทักพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ซึ่งเดินยิ้มเข้ามาภายในร้าน

                “ทานข้าวเที่ยงรึยัง ไปทานด้วยกันไหม” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เชื้อเชิญด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าของสุพัตตาลอยทับใบหน้าของเบญญาอย่างห้ามความคิดไม่ได้

                “หม่อนยังไม่ได้ทานข้าวเลยค่ะ ถ้าไม่รบกวนพ่อเลี้ยงจนเกินไปรออีกเดี๋ยวได้ไหมคะ พอดีหม่อนยังไม่เลิกงานน่ะค่ะ” เบญญาตอบกลับด้วยรอยยิ้มเขิน ก่อนจะหยิบเอกสารรายการสินค้าภายในชอปไปวางไว้ให้เป็นที่เป็นทาง จับนั่นจับนี่อย่างถ่วงเวลาพอเป็นพิธี

                “รอได้” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตอบรับก่อนจะเดินวนไปทั่วร้าน “คิดว่าควรเพิ่มสินค้าอะไรเข้ามาไหม” เขาถามพลางส่ายหน้าไปมาช้าๆ เพื่อสลัดภาพของสุพัตตาออกไป

                “เพิ่มสินค้าเหรอคะ” เบญญาทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้าแล้วส่งยิ้มหวานแทนคำตอบ

                “พอดีผมอยากได้สินค้าเพิ่มเข้ามาเพื่อเรียกความสนใจของลูกค้าน่ะ แต่ยังนึกไม่ออกเลยลองถามพนักงานประจำร้านอย่างเธอดู” สายตาของพ่อเลี้ยงหนุ่มกวาดมองไปรอบๆ ร้าน

                “แม้สินค้าของเราจะมีแค่นี้ แต่ก็เรียกความสนใจของลูกค้าได้ดีเลยนะคะ นักท่องเที่ยวต่างชาติสนใจกันมากเลยละค่ะ” เบญญาตอบราวกับอยากช่วยพ่อเลี้ยงจิณธนนท์คิด

                “นั่นสินะ ว่าแต่คุณไม่มีแฟนเหรอ เห็นไปไหนมาไหนกับลูกชายป้านางตลอด” เขาแอบสอบถามจากพนักงานเก่าและพอจะรู้มาบ้างว่าหญิงสาวไม่มีคนรู้ใจ แต่เขาอยากได้ยินคำตอบจากปากของหญิงสาวเองมากกว่า

                “ไม่มีหรอกค่ะ หม่อนทำงานแทบทุกวันจนไม่มีเวลาว่างเลย” เบญญาตอบด้วยหัวใจพองโต ใบหน้าแดงระเรื่อเมื่อแอบคิดว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ต้องการสานความสัมพันธ์กับตัวเองจึงได้ถามออกมาแบบนั้น

                “นั่นสินะ ทำงานแบบนี้แทบไม่มีเวลาว่างออกไปไหน แถมที่นี่ก็เป็นพื้นที่ปิดออกไปไหนก็ยาก”

                “ใช่ค่ะ ถึงอยากมีแค่ไหนแต่กว่าจะออกจากไร่ทางเหนือเข้าไปในเมืองหม่อนว่ายุ่งยาก หาเอาที่ไร่คงดีกว่าค่ะ แถมทำงานอยู่ที่เดียวกันด้วย”

พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พอจะรู้ว่าหญิงสาวต้องการสื่ออะไร แต่เขาก็ไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองมากนัก หากใบหน้าของสุพัตตายังคงซ้อนทับใบหน้าของหญิงสาวอยู่แบบนี้ เขาก็มั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าคงไม่ได้รักหญิงสาวที่ตัวตนของเธออย่างแน่นอน

                “อายุแค่นี้เอง รออีกหน่อยเดี๋ยวก็คงมีเอง” น้ำเสียงราบนิ่งเอ่ยบอก

                “ค่ะ หม่อนไม่รีบ ค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้กันไป”

                “อืม” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์รับเสียงเรียบ ในใจว้าวุ่น เพราะยังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองและไม่อยากปิดกั้นโอกาสของคนอื่น

                “ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ หม่อนว่างแล้ว” เบญญาบอกก่อนจะเดินนำชายหนุ่มออกไปนอกร้าน ใจเต้นระรัวเมื่อพบรถยนต์หรูนำเข้าจอดอยู่ด้านหน้า ซึ่งไม่ต้องบอกก็รับรู้ได้ทันทีว่ารถคันนั้นเป็นของใคร

                “ขึ้นมาสิ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เชื้อเชิญ แต่กลับไม่สังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย

                “ค่ะ” เบญญารับคำเสียงอ่อยก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถกอล์ฟซึ่งคนงานในไร่เพิ่งจะขับมาจอดเอาไว้

                กะจะอวดคนอื่นเสียหน่อย เมื่อนึกไปถึงการก้าวลงรถหรูโดยมีพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เปิดประตูให้เธอเดินเชิดหน้าอย่างสง่า สวยๆ เชิดๆ แต่ความคิดนั้นก็ต้องพับเก็บเอาไว้

                “เธอไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าน้องนาราจะไปด้วย” ชายหนุ่มถามขึ้นในขณะที่รถกอล์ฟกำลังขับตรงไปยังบ้านทางเหนือ

                “ไม่ค่ะ ดีเสียอีก หม่อนอยากเจอน้องนาราสักครั้ง เคยได้ยินแต่ชื่อ” เบญญาพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้เผลอทำสีหน้าไม่พอใจออกมา

                ดูเหมือนว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์จะไม่ยอมไปกับเธอเพียงแค่สองคน แล้วอย่างนี้คนงานในไร่จะลือเรื่องของเธอกับพ่อเลี้ยงได้ยังไงกัน!

                “น้องนาราแกดื้อเงียบมากเลยนะครับ มีแค่มิ้นต์กับแม่ของแกเท่านั้นที่เอาอยู่เพียงแค่พูดคำเดียวยอมทำตามทันที ผมเป็นถึงอายังสั่งไม่ได้เท่ามิ้นต์เลย” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เล่าเรื่องของหลานสาว พลางนึกย้อนไปถึงอดีตพี่เลี้ยงอย่างธมนต์ราวกับไม่รู้ตัว

                ใบหน้าของเบญญานิ่งเข้าไปอีก เมื่อเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายกำลังแต้มยิ้มเมื่อพูดถึงพี่เลี้ยงคนก่อนของหลานสาว

“พี่มิ้นต์แกคงดุน้องนาราหรือเปล่าคะ หม่อนเองยังเจอแกดุอยู่บ่อยๆ น้องนาราคงกลัวมากกว่า” เบญญาบอกความเท็จด้วยรอยยิ้ม หวังให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เชื่ออย่างที่ตัวเองพูด

ชายหนุ่มยิ้มรับพลางนึกย้อนกลับไป ธมนต์ที่เขารู้จักไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่เบญญาพูดเลยสักนิด ถึงแม้จะชอบต่อปากต่อคำกับเขา แต่ธมนต์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะดุด่าว่ากล่าวหลานสาวของเขา แม้จะเป็นยามที่หลานเขาดื้อเงียบหรือทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ธมนต์ก็มักจะใจเย็นกับน้องนาราเสมอ จนเขายังอดคิดไม่ได้ว่าจะมีสักกี่คนที่อดทนกับเด็กวัยกำลังซนได้แบบนี้ แต่ทำไมเบญญาถึงได้พูดอย่างนั้น ชายหนุ่มหันกลับไปมองใบหน้าเล็กนั้นอย่างสงสัย

                “อาจิณ” เสียงเล็กใสดังขึ้นพร้อมร่างเล็กที่กำลังวิ่งออกมาจากบ้าน พอมาถึงตัวพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ปุ๊บก็กางแขนเข้ามาสวมกอดคนเป็นอาซึ่งย่อตัวลงกางแขนรอรับอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าน่ารักยิ้มหวานซบอกอาอย่างออดอ้อน

                “วันนี้อยากทานอะไรคะ เดี๋ยวอาจิณจะพาไปทาน” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามหลานสาวพร้อมกับหอมแก้มใสเต็มรัก

                “นาราอยากทานไก่ย่าง อยากให้พี่มิ้นต์ไปด้วย” ประโยคท้ายได้แต่พึมพำ เพราะความที่ไม่ได้เจอพี่เลี้ยงคนเก่าตั้งหลายวันเลยทำให้เด็กหญิงเอ่ยถึงด้วยคิดถึง

                “พี่มิ้นต์ไม่ว่างค่ะ พี่มิ้นต์ของนาราต้องทำงาน แต่วันนี้อาจิณพาพี่สาวคนใหม่มาด้วยนะ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของหลานสาว

                และดูเหมือนว่ามันจะได้ผล เพราะแววตาหม่นหมองเป็นประกายขึ้นมาทันที

“สวัสดีค่ะ” เบญญาเดินเข้ามาใกล้หลานสาวของพ่อเลี้ยงพร้อมกับย่อตัวลงให้ได้ระดับเดียวกัน รอยยิ้มหวานถูกปั้นแต่งขึ้นมา

“สวัสดีค่ะ” มือเล็กพนมยกขึ้นระดับอกก่อนจะก้มหัวลงอย่างที่ถูกสอนมา

เบญญาได้แต่ยิ้มรับ แล้วลูบกลุ่มผมสีดำสนิทไปมาอย่างเบามือ

“น่ารักจังเลยนะคะ” เบญญาเบนสายตาไปสบกับพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ซึ่งอยู่ด้านหลังหลานสาว

“ครับ เราไปกันเถอะ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตอบรับคำของเบญญาเสียงเบาก่อนจะลุกขึ้นพร้อมอุ้มหลานสาวขึ้นมา ทั้งหมดเดินไปยังรถกอล์ฟ ซึ่งพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตั้งใจว่าจะไปกินข้าวที่ร้านอาหารห่างจากไร่ไม่มากนัก สามารถขับรถกอล์ฟไปได้อย่างสบายๆ

 

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารแบบเอาต์ดอร์ภายในร้านอาหารเล็กๆ มีฉากหลังเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน มีสายลมเย็นๆ พัดผ่าน อาศัยร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ อาหารพื้นเมืองและอาหารตะวันตกถูกยกนำมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ เบญญาพยายามตักอาหารเอาใจหลานสาวของพ่อเลี้ยงแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล เพราะน้องนาราไม่ชอบสิ่งที่เธอทำให้

เบญญาจิกเล็บลงบนฝ่ามือใต้โต๊ะอาหาร แต่ใบหน้ายังคงแต้มรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา โดยที่พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่ทันสังเกตอาการของหญิงสาว เพราะมัวแต่สนใจหลานสาว

หลานสาวของเขาไม่เคยขาดความอบอุ่นเพราะพ่อแม่ของเขามอบความรักให้เด็กหญิงเต็มเปี่ยมทดแทนความรักจากพ่อแม่ที่แท้จริง ซึ่งคนเป็นพ่อไม่เคยรู้เลยว่ามีลูกสาวอยู่บนโลกใบนี้ด้วย ส่วนคนเป็นแม่ที่ตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุสิบเก้าก็ต้องกลับไปเรียนต่อให้จบและแก้ไขปัญหาต่างๆ พอมีเวลาก็มักจะมาพบลูกสาวอยู่บ่อยครั้ง แต่น้องนารากลับเคยเห็นหน้าพ่อแท้ๆ จากรูปถ่าย ซึ่งก็ไม่ชัดเจนนัก พ่อเลี้ยงจิณธนนท์จึงอยากให้ความรักแก่หลานสาวทดแทนความรักของพี่ชายเขา

“อร่อยไหมคะ” เสียงทุ้มถามหลานสาวอย่างเอ็นดู ขณะเดินออกจากร้านเพื่อกลับไปยังไร่ เบญญาได้แต่เก็บซ่อนสีหน้าไม่พอใจเอาไว้ภายใต้ความนิ่งเงียบ

“อร่อยค่ะ” เสียงเล็กใสตอบพร้อมรอยยิ้ม

เบญญาเดินตามสองอาหลานอยู่ด้านหลังได้แต่ยิ้มเยาะ พยายามควบคุมสีหน้า ตลอดเวลารับประทานอาหารเธอไม่ได้มีความสุขสักนิด เพราะพ่อเลี้ยงจิณธนนท์มัวแต่สนใจหลานสาว เธอเองก็คิดจะทำคะแนนกับหลานสาวของพ่อเลี้ยง แต่ดูเหมือนว่าน้องนาราจะไม่ชอบตัวเธอเท่าไรนัก ตั้งแต่นั่งรถมาที่นี่ก็ถามหาแต่ธมนต์จนเธอเกือบเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่

 

“ขอบคุณสำหรับอาหารนะคะ พี่หม่อนไปก่อนนะ” เบญญาบอกพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก่อนจะยิ้มหวานบอกน้องนารา

เมื่อพ่อเลี้ยงจิณธนนท์พยักหน้ารับ เธอก็เดินหันหลังเข้าร้านอย่างไม่สบอารมณ์ทันที

เบญญาเดินเข้าไปประจำหน้าที่ของตัวเองหลังจากสวมผ้ากันเปื้อนเรียบร้อย พยายามยิ้มหวานและเป็นมิตรให้แก่คนงานในร้านจนหลายคนคิดว่าเธอนิสัยดี น่ารัก และเป็นกันเอง ทั้งที่มันก็เป็นเพียงแค่ฉากหน้าที่เธอสร้างขึ้นมาเท่านั้น

“ขอโทษนะครับ นี่ใช่ร้านทางเหนือชอปไหมครับ” เสียงสอบถามของลูกค้าที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านดังขึ้น

“ใช่ค่ะ มีอะไรให้ดิฉันช่วยไหมคะ” เบญญาตอบรับด้วยรอยยิ้มพลางเสนอความช่วยเหลือ

“พอดีผมมาหาคนที่ชื่อมิ้นต์นะครับ พอจะรู้จักไหม”

ใบหน้าแต้มรอยยิ้มหวานแทบจะหุบรอยยิ้มลงทันทีเมื่อได้ยินชื่อนี้อีกเป็นรอบที่เท่าไรของวันก็ไม่รู้ เบญญาสูดลมหายใจเข้าช้าๆ พยายามไม่ให้มันมีเสียงมากนัก เพราะกลัวจะส่งผลต่องานของตัวเอง

“พี่มิ้นต์เหรอคะ คือว่าพี่มิ้นต์ไม่ได้ทำงานที่นี่แล้วค่ะ ไม่ทราบว่ามีอะไรกับพี่มิ้นต์เหรอคะ” เบญญาตอบกลับเสียงเรียบ ใบหน้าไม่ได้ยิ้มแย้มอย่างเก่า

                “ผมเป็นน้องชายของพี่มิ้นต์ครับ พอดีมาเที่ยวเห็นว่าทำงานอยู่ที่นี่ แล้วพอจะรู้ไหมครับว่าพี่มิ้นต์เขาไปทำงานที่ไหน” ธมนธรรมถามพร้อมแนะนำตัวเอง เบญญาพยักหน้าเข้าใจทันที

                “พี่มิ้นต์ทำงานอยู่ที่บ้านพักเชิงดอยค่ะ ฉันเองก็ไม่รู้รายละเอียดที่ตั้งของบ้านมากนัก คุณลองไปถามกับพี่ประชาสัมพันธ์หรือไม่ก็คนเก่าแก่ของที่นี่ดูนะคะ ขอตัวไปรับลูกค้าท่านอื่นก่อนค่ะ” เบญญาตัดบทพร้อมกับเดินออกไปรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติด้วยรอยยิ้ม โชคดีที่ไร่มีไกด์และล่ามแปลภาษาทำให้งานของเธอไม่ยากมากนัก ถึงแม้เธอจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ตาม

                ธมนธรรมได้แต่ขมวดคิ้วยุ่ง ไม่รู้ว่าจะเริ่มหาพี่สาวของตัวเองได้จากตรงไหนในไร่ทางเหนือแห่งนี้ คนงานเก่าแก่อย่างนั้นน่ะเหรอ แล้วเขาจะรู้ไหมว่าคนไหนเป็นคนงานเก่า คนไหนเป็นคนงานใหม่ของที่นี่

                “หาแต่เรื่องจริงจริ๊ง!” ธมนธรรมอดเอ็ดพี่สาวตัวเองไม่ได้ ถ้าไม่ติดว่าดนัยเพื่อนสนิทของเขาได้ข่าวคราวของพุฒินาทมาบอกแล้วละก็ เขาไม่มีทางมาถึงจังหวัดเชียงรายแน่ๆ

                ชายหนุ่มเดินออกไปจากร้าน และคิดว่าจะลองเดินเข้าไปถามคนงานที่ไร่องุ่นแทน

                เบญญาเหลือบตามองตามน้องชายธมนต์อย่างสงสัย การมาหาธมนต์ที่ไร่ทางเหนือครั้งนี้ น่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

 

พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เดินเข้าบ้านพักเชิงดอยหลังจากไปส่งหลานสาวที่บ้านทางเหนือเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มหน้าตึงเมื่อพบว่าบ้านเงียบผิดปกติ ไม่ต้องคิดอะไรมากเขาสาวเท้าเดินตรงไปยังห้องนอนของหญิงสาวคนเดียวในบ้าน ก่อนจะเคาะประตูห้องอยู่นานแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ เขาจึงลองเปิดประตูห้องเข้าไปและพบว่าข้าวของยังอยู่ครบ

 

“ไม่มีการมีงานทำหรือไง ถึงได้อู้มานั่งทำอะไรไร้สาระอยู่ที่นี่” เสียงตวาดดังลั่นจากด้านหลังทำเอาธมนต์สะดุ้งสุดตัว ละมือออกจากการสเกตช์ภาพหันกลับไปมองชายหนุ่มเจ้าของเสียงตวาด

“ทำเสร็จหมดแล้วค่ะ” ธมนต์ตอบกลับพร้อมกับวางมือจากการสเกตช์ภาพและลงมือเก็บอุปกรณ์เข้ากระเป๋า เธอไม่มีอารมณ์ทำมันต่อแล้ว และดูท่าว่าคงมีงานให้ต้องทำเพิ่มอีก

“ไปทำความสะอาดใหม่อีกรอบ!” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์สั่งเสียงเข้ม เขาเดินตามหาธมนต์ทั่วทั้งบ้านและพบว่าบ้านทั้งหลังถูกทำความสะอาดอย่างดี แต่เขาไม่รู้ว่าจะใช้งานหญิงสาวทำอะไรอีก หรือจะพูดทำร้ายจิตใจหญิงสาวให้เจ็บปวดได้อย่างไร จึงบอกให้ธมนต์ทำงานในส่วนที่ทำมาแล้ว

“แต่ฉันทำมาแล้วนะคะ” ธมนต์ขมวดคิ้ว จ้องหน้าชายหนุ่มตรงๆ อย่างไม่เข้าใจ

“ฉันสั่งให้ไปทำความสะอาดใหม่อีกรอบ! เธอคิดว่าตัวเองจะทำงานชุ่ยๆ แบบผักชีโรยหน้าแล้วฉันจะเชื่ออย่างนั้นน่ะเหรอ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกอย่างดูแคลนหญิงสาว แม้จะแอบอดสงสารไม่ได้

 แต่ดูท่าว่ามันจะได้ผล เพราะธมนต์กำมือแน่น นึกโกรธเขาอยู่ในใจที่ดูถูกเธอขนาดนั้น

“ทำใหม่อีกรอบใช่ไหมคะ ได้ค่ะ ฉันจะทำงานใหม่อีกรอบ ถ้าพ่อเลี้ยงคิดว่าฉันทำงานแบบผักชีโรยหน้ากรุณาช่วยมานั่งดูฉันทำงานด้วยนะคะ จะได้รู้ว่าฉันทำงานแบบไหนกันแน่” ธมนต์ตอบรับอย่างจำใจ แต่ก็อดท้าทายพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่ได้

“ได้!” เมื่อได้ยินคำท้าเขาก็ตอบรับคำทันที ก่อนจะเดินออกไปจากระเบียงบ้าน แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟากลางบ้านรอตรวจดูการทำงานของธมนต์

ธมนต์นำอุปกรณ์สเกตช์ภาพของเธอไปเก็บในห้อง นำไม้กวาด ไม้ถูพื้น ผ้าผืนเล็ก และถังรองน้ำมาวางเตรียม ก่อนจะมองหน้าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ครู่หนึ่ง และเริ่มลงมือทำความสะอาดบ้านทั้งหลังอีกรอบ

“เช็ดตรงนั้นใหม่อีกรอบ”

ธมนต์หันกลับไปมองใบหน้าของพ่อเลี้ยงอีกหน ก่อนจะลงมือทำตามคำสั่งอย่างอดกลั้น

คำพูดว่า ‘กวาดตรงนั้นใหม่’ ‘เช็ดใหม่อีกรอบ’ ‘ไปทำตรงนั้นใหม่’ ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย ในขณะที่อีกฝ่ายลอบยิ้มขำ นั่งมองสาวร่างบางทำงานอย่างเพลิดเพลิน

ในเวลาเกือบสามทุ่ม ธมนต์ปาดเหงื่อบนใบหน้าของตัวเองออกอย่างเหนื่อยล้า เมื่อได้ยินพ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดว่า

“มันคงสะอาดแล้ว พอได้” ยังคงมีรอยยิ้มแต้มใบหน้า ถึงแม้เขาจะเก๊กหน้านิ่งอยู่ก็ตามที           หญิงสาวแทบจะกระโดดตัวลอย ก่อนจะเข้ามายืนอยู่ห่างๆ คล้ายรอฟังคำสั่ง

 “ทำอาหารได้ไหม” ชายหนุ่มถามขึ้น หลังจากปล่อยให้หญิงสาวยืนเงียบอยู่นาน

“พอทำอาหารฝรั่งพวกซุปได้บ้างค่ะ” ธมนต์ตอบไปตามความจริง เธอเรียนและใช้ชีวิตอยู่ฝรั่งเศสตัวคนเดียวจึงพอจะทำอาหารฝรั่งได้บ้าง ส่วนมากก็พวกซุปรสต่างๆ

“ซุปเหรอ” ชายหนุ่มทำท่าครุ่นคิด “ฉันอยากกินข้าวคลุกกะปิ ไปทำให้หน่อยสิ”

“ฉันทำไม่เป็นค่ะ พ่อเลี้ยงน่าจะโทร. ตามแม่ครัวขึ้นมานะคะ” ธมนต์กำมือแน่น พยายามควบคุมน้ำเสียงของตัวเองยามเอ่ยบอก

“ฉันอยากกินฝีมือของเธอ ตามฉันขึ้นไปข้างบน” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดออกมาโดยไม่สนใจคำพูดคัดค้านของหญิงสาว

ธมนต์ลอบถอนหายใจ ก่อนจะเดินตามร่างสูงขึ้นไปข้างบนและพบว่าเขาเดินเข้าห้องทำงาน เธอพอจะโล่งใจอยู่บ้างที่มันไม่ใช่ห้องนอนของเขา

“เอาไป! ลองทำตามมันดูก็แล้วกัน” ชายหนุ่มวางกระดาษเอสี่สองแผ่นซึ่งเพิ่งพรินต์ออกมาลงบนโต๊ะทำงาน

ธมนต์หยิบมันขึ้นมาตามคำสั่งของอีกฝ่าย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเมื่อพบว่ามันคือวิธีทำข้าวคลุกกะปิ

“ตกลงพ่อเลี้ยงจะกินข้าวคลุกกะปิให้ได้เลยใช่ไหมคะ” ธมนต์อดถามไม่ได้ เขาไม่ฟังเธอพูดบ้างเลยหรือไงกันว่าเธอทำไม่เป็น แล้วยังจะหาวิธีทำมาให้เธอทำให้กินอยู่ได้

“ใช่! ลงไปทำได้แล้ว เสร็จแล้วขึ้นมาตามฉันที่ห้องนอน” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ยืนยันเสียงแข็ง ธมนต์จึงจำใจยอมทำตามคำสั่ง

 

หญิงสาวเตรียมวัตถุดิบและส่วนผสมอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีบอกอยู่ในกระดาษเอสี่จนครบก่อนจะเริ่มลงมือทำตามขั้นตอนต่างๆ ชิมแล้วชิมอีกกว่าจะได้รสที่เคยได้รับประทานเมื่อตอนเป็นวัยรุ่น ส่วนการทำเครื่องเคียงไม่ได้ยากอะไรนักแค่นำผักต่างๆ มาหั่นและใส่ลงในหม้อที่ต้มน้ำจนเดือด พอได้ที่ก็หยิบขึ้นมาจัดใส่จาน ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยทำอาหารเลยเสียหน่อย ยังพอจับนั่นนู่นนี่เป็นถึงแม้จะไม่ถนัดมือก็ตามที เนื้อหมูที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เมื่อถูกทอดให้เหลืองหอมดูน่ารับประทาน ก่อนจะตักขึ้นมาให้สะเด็ดน้ำมันจึงวางใส่จานอีกใบ

ธมนต์มองดูสิ่งตรงหน้าแล้วยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจในฝีมือการทำอาหารครั้งแรกของตัวเอง เพราะหน้าตามันดูเหมือนในรูปไม่ผิดเลยสักนิด แม้รสชาติจะสู้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยเธอก็ทำจนสุดความสามารถแล้ว เธอจัดจานอีกเล็กน้อยก่อนจะเดินขึ้นไปตามพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ให้ลงมา

“รสชาติไม่ได้เรื่อง! เอาไปเททิ้งซะ”

รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าของธมนต์ทันที เมื่อพ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดออกมาอย่างนั้น แถมเขายังเทกับข้าวที่เธอตั้งใจทำลงถังขยะอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด หญิงสาวมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยแววตาตัดพ้อจนเขาสามารถรับรู้ได้ แต่เขาก็ยังคงนั่งนิ่งประสานมือไว้ที่ตักอย่างรอคอยอะไรบางอย่าง ธมนต์ได้แต่อึ้งพูดไม่ออกกับการกระทำของอีกฝ่าย

“อาหารมาแล้วค่ะ พ่อเลี้ยง”

ธมนต์ละสายตาจากใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์หันกลับไปมองตามเสียง ก่อนจะกำมือจิกเล็บลงบนฝ่ามือแน่น เมื่อพบว่าแม่ครัวยกถาดอาหารเดินเข้ามาภายในบ้าน

“ขอบใจมาก ขอโทษด้วยที่รบกวนดึกดื่นแบบนี้” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบนิ่งกับแม่ครัว ซึ่งก้มหน้ารับคำอย่างนอบน้อม

หลังจากตั้งโต๊ะอาหารเรียบร้อยป้าแม่ครัวก็ก้มหน้าเดินออกจากบ้านพักเชิงดอยแห่งนี้ไป

“ถ้าพ่อเลี้ยงจะให้แม่ครัวทำอาหารมาให้ ก็ไม่ควรสั่งให้ฉันทำกับข้าวและเอามาเททิ้งแบบนี้นะคะ”

“ตอนแรกฉันก็อยากกินมันจริงๆ เลยสั่งให้เธอไปทำ แต่พอนั่งนึกไปนึกมาเธอบอกว่าไม่เคยทำข้าวคลุกกะปิมาก่อน ขืนฉันกินไปคงท้องเสียเปล่าๆ ทำลายสุขภาพตัวเองด้วย เลยโทร. ลงไปสั่งแม่ครัวให้ทำอย่างอื่นขึ้นมาแทนน่ะ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตอบพลางลงมือรับประทานอาหารไปด้วย ตีสีหน้านิ่งเฉยไม่สนใจหญิงสาวเลยสักนิด

“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันแค่รอจนพ่อเลี้ยงทานเสร็จแล้วก็เก็บโต๊ะใช่ไหมคะ ทานให้อร่อยนะคะ” ธมนต์ตัดบทอย่างอดทน ถึงแม้มือที่กำแน่นจะยังไม่คลายออก น้ำตาเอ่อคลอดวงตาสีรัตติกาลอย่างเจ็บใจ ยืนมองอีกฝ่ายอย่างโกรธเคือง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลยสักอย่าง

 

เสียงกดแป้นพิมพ์ดังขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่สายตาจ้องมองหน้าจอเพื่อเช็กข้อมูลไปด้วย มันเป็นกิจวัตรประจำวันซึ่งพนักงานทุกคนต่างรู้ดีว่าการทำงานของเจ้าของไร่ทางเหนือเป็นอย่างไร เขาเข้มงวด ละเอียดรอบคอบ และตรงไปตรงมา พนักงานที่ทำงานขึ้นตรงกับชายหนุ่มต้องมีคุณสมบัติดีพร้อม และต้องทำตามคำสั่งของเขาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

“พี่จิณคะ คุณธนานพมาขอพบค่ะ” เสียงของแพรไหมดังขึ้นหลังจากเคาะประตูหน้าห้องทำงานและเปิดเข้ามา

“ให้เข้ามาได้” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตอบรับ ยังไม่ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ นึกขัดใจที่เพื่อนสนิทมาก่อกวนเขาในยามนี้ เพราะหากเป็นยามปกติประตูห้องทำงานของเขาคงถูกเปิดเข้ามาเองแล้ว ไม่ต้องให้เลขานุการเข้ามาบอก คงอยากกวนเขาเล่นไปอย่างนั้น

“สวัสดีครับ พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ วิวิธชาญชัย” เสียงของเพื่อนสนิทที่หายหน้าไปหลายวันดังขึ้นพร้อมกับการเรียกสรรพนามอีกฝ่ายเสียเต็มยศ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลง เท้าคางจ้องมองใบหน้าของเพื่อนสนิท จนอีกฝ่ายต้องละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์มามองใบหน้าของเพื่อนอย่างหงุดหงิด

“ลมอะไรหอบแกมา ธุระในกรุงเทพฯ เสร็จแล้วเหรอ” ถามไถ่เพื่อนไปอย่างนั้น แต่สายตาและความสนใจกลับอยู่ที่งานตรงหน้า

“ยังไม่เสร็จคงต้องลงไปอีกรอบ แวะมาหาแกหน่อย คิดถึง” บอกด้วยรอยยิ้ม แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการส่ายหน้าไปมาเบาๆ อย่างเอือมระอา

“มาก็ดีมีงานให้ทำ”

“ฉันเป็นหุ้นส่วน! ไม่ใช่ลูกน้องแก!” ธนานพเตือนเพื่อน รอยยิ้มหุบลงทันที มาทีไรก็ได้แต่งานมาทำ

“เหรอ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เลิกคิ้วขึ้นมองหน้าเพื่อน

“แกจะให้ฉันไปทำงานอะไรให้อีกวะ” ถึงปากจะบอกว่าไม่ใช่ลูกน้อง แต่ก็ถามถึงงานที่เพื่อนวานให้ทำ

“ฉันอยากตัดเส้นทางทำมาหากินของนายพุฒินาท แกลองไปดูให้หน่อยสิว่าตัดทางไหนง่ายและรวดเร็วที่สุด” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ละงานในมือมาสนทนากับเพื่อนตรงๆ เมื่อวกเข้าเรื่องจริงจังอีกเรื่องที่เขาไม่สามารถปล่อยวางได้

“แกคิดจะทำอะไร” ธนานพถามอย่างสงสัย หากทำอย่างที่อีกฝ่ายบอก พุฒินาทคงลำบากไม่น้อยเพราะถือว่าได้รับผลกระทบเต็มๆ

“ทำอย่างที่แกคิด” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตอบเพื่อนอย่างไม่ปิดบังความคิดของตัวเอง

“เล่นแรงไปหรือเปล่า มันไม่ใช่กระทบแค่ครอบครัวสุกิตตานะ แต่มันรวมไปถึงครอบครัวอีกยี่สิบกว่าชีวิตเลยด้วย” ธนานพเตือนเพื่อนถึงผลกระทบจากแผนการที่อีกฝ่ายคิดจะทำ

“ฉันรู้ ฉันหาวิธีแก้เอาไว้แล้ว แกเตรียมเทกโอเวอร์เป็นเจ้าของบริษัทคนใหม่ได้เลย”

สมกับเป็นพ่อเลี้ยงแห่งไร่ทางเหนือ คิดการใหญ่ต้องรู้ถึงผลเสียและทางแก้

“ถ้าแกคิดอย่างนั้นก็ดี” ธนานพได้แต่ยอมให้เพื่อน เพราะว่าเขารู้จักเพื่อนคนนี้ดีว่าเป็นคนแบบไหน ถ้าตั้งใจจะทำอะไรต้องทำให้ได้อย่างที่คิดและผลต้องตรงตามที่คิดเอาไว้ด้วย

“จะเที่ยงแล้ว แกรอทานข้าวพร้อมฉันเลยก็แล้วกัน” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกเพื่อนพร้อมกับไปเคลียร์งานของตัวเองต่อ

เมื่อพูดถึงเรื่องกินข้าว ธนานพก็นึกถึงข่าวลือของคนงานในไร่ขึ้นมาได้ เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะถามเพื่อน “ได้ข่าวว่าแกจีบเด็กที่ชอปเหรอ”

“เปล่า แค่ลองดูๆ ไว้ เขาคล้ายตะ...ช่างมันเถอะ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตอบไม่เต็มเสียงนักในประโยคหลัง

ธนานพไม่อยากเซ้าซี้เพื่อนมากนัก แต่ในใจคิดจะลองสืบประวัติของผู้หญิงคนนั้นดูสักหน่อย เผื่อว่าจะเป็นคนของศัตรูส่งมาเล่นงานเพื่อนที่ขึ้นชื่อเรื่องมีผู้หญิงไม่ขาดมือ

“คุณมิ้นต์เป็นยังไงบ้าง” ธนานพถามถึงหญิงสาวที่สะดุดตาเขาตั้งแต่แรกเจอ

“คงกำลังกระอักเลือดอยู่ละมั้ง” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตอบกลับใบหน้านิ่ง

ธนานพส่ายหน้าไปมาเมื่อได้คำตอบจากเพื่อนสนิท

“พูดกันแบบแฟร์ๆ เลยนะ ฉันว่าฉันชอบคุณมิ้นต์ว่ะ และพอจะดูออกเหมือนกันว่าแกก็คงจะชอบเธออยู่บ้าง แต่ถ้าแกยังมองไม่เห็นความรู้สึกของตัวเองฉันจะเดินหน้าแล้วนะ” ธนานพบอกเพื่อนสนิทตามที่ใจคิด เขาเป็นคนผิดตั้งแต่แรกที่คิดอยากจะลองให้ธมนต์ที่เขาเข้าใจผิดว่าเป็นสาวประเภทสองมาล้อเล่นกับเพื่อนสนิท แต่พอความจริงปรากฏออกมาพร้อมกับแผนการแก้แค้น เขาก็เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าควรจะปล่อยไปหรือเข้าไปยุ่งดี

“ถ้าแกคิดว่าเดินหน้าแล้วได้สิ่งที่หวังก็เชิญ” ชายหนุ่มตอบเพื่อนสนิท แม้ในใจจะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง

“ในเมื่อแกเปิดทางแล้วก็ตามนั้น อย่ามาขัดก็แล้วกัน แก้แค้นก็แก้ไปฉันจะไม่ยุ่ง แต่ในสิ่งที่ฉันจะทำมันไม่เกี่ยวข้องกับตัวแก เพราะฉะนั้นแกก็ห้ามเข้ามายุ่งเหมือนกัน” ธนานพตอบเพื่อนสนิทพลางเตือนเพื่อนไว้ราวกับจะดักทางเพื่อน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น