6

ตัวแปร

 เขาต้องหยุดทุกอย่างเอาไว้เพียงแค่นี้และเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่กับธมนต์ หญิงสาวผู้เป็นที่รักของเขา เรื่องราวการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจแบบนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก เพราะเขาสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าหากธมนต์กลับมาเมื่อไรเขาจะหยุดมัน ตอนนี้ธุรกิจของเขาก็กำลังพยุงตัวเองได้

ช่วง High Season ของไร่ทางเหนือจะมีกลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนมากแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมไร่องุ่นเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศกลิ่นอายล้านนา บ้างก็พักรีสอร์ตของทางไร่ เรียกว่าเป็นช่วงหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง จนพนักงานต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อคอยให้ความสะดวกสบายและสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์จึงต้องนั่งจัดการเอกสารต่างๆ อยู่ในห้องทำงานภายในเรือนสำนักงาน ด้วยสีหน้าสบายใจแม้ว่าจะกำลังนั่งไล่อ่านบัญชีรายรับ-รายจ่ายในแต่ละวันของไร่ ซึ่งห้ามมีจุดผิดพลาดเด็ดขาด เพราะมันอาจส่งผลต่อโบนัสประจำเดือนนี้ของพนักงาน

                ก๊อกๆ

                “ขออนุญาตค่ะ” เสียงของแพรไหม เลขานุการหน้าห้องดังลอดเข้ามา

                “เชิญ” เขาขานรับคำของเลขานุการ ขณะที่สายตายังคงไล่อ่านตัวเลขอย่างละเอียด

                แพรไหมผลักประตูเข้ามาแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงาน ก่อนจะวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ รอยยิ้มกว้างปรากฏชัดบนใบหน้า

ชายหนุ่มอ่านตัวเลขตัวสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยก็ปรายตามองแฟ้มเอกสารที่เลขานุการสาวเพิ่งวางลงไป ก่อนจะลอบยิ้มแล้วกระเซ้า

                “แฟนขอแต่งงานแล้วเหรอ ยายแพร”

                แพรไหมเอียงใบหน้าแต้มรอยยิ้มหวานมองเจ้านายที่พ่วงตำแหน่งรุ่นพี่คนสนิท ก่อนจะพยักหน้ารับคำถามด้วยพวงแก้มที่แดงก่ำ

                “ดีนะที่ลงจากคานได้ สาวเกือบสามสิบอย่างเธอ ถ้าไม่คว้าคนนี้ไว้ก็คงหาไม่ได้อีกแล้วนะ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ยังคงแหย่ไม่หยุด

                แพรไหมแกล้งหยิบแฟ้มขึ้นมาและวางกระแทกลงแรงๆ ก่อนจะส่งสายตามองค้อนเจ้านายหนุ่ม “พี่จิณก็ระวังเอาไว้นะคะ ถ้าไม่รีบหาระวังจะเหลือแต่ตัว โดนนางพญางูหลายหัวสูบเอาเงินไปหมด”

                คำพูดเจ็บแสบไม่ได้ทำให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์สะทกสะท้านเลยสักนิด

                “พี่เต็มใจให้สูบเถอะ ไปทำงานได้แล้ว อย่าคิดอู้งานเชียว ไม่งั้นวันลาที่ขอมาอด”

                “แหม ถ้าอดแพรคงไม่ได้ลงจากคานแล้วละค่ะ” แพรไหมพูดอย่างหยอกล้อ ก่อนจะรวบแฟ้มเอกสารที่เจ้านายตรวจทานและเซ็นรับรองเสร็จเรียบร้อยแล้วขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ส่งยิ้มหวานให้เจ้านายก่อนเดินออกไปทำงานต่อ

                “เบญญา คำปิ่นทอง” ชายหนุ่มทวนชื่อพนักงานที่ทำการเบิกจ่ายองุ่นในชอปของไร่ ก่อนจะหวนนึกถึงใบหน้าแต้มยิ้มตลอดเวลายามลูกค้าเข้าร้าน ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เร่งมือทำงานตรงหน้าให้เสร็จเร็วขึ้นเพื่อไปที่ชอป

 

                “สวัสดีค่ะ ร้านทางเหนือชอปยินดีต้อนรับค่ะ หากลูกค้าสนใจสินค้าตัวไหนสอบถามได้เลยนะคะ” เสียงแหบแห้งของเบญญาเอ่ยถามพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ที่เดินเข้ามาภายในร้าน

                “ลูกค้าหายไปไหนหมดล่ะ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ชวนอีกฝ่ายพูดคุย นึกหวนกลับไปเมื่อครั้งแรกที่เจออีกฝ่ายไม่ได้ ความทรงจำตอนนั้นมันช่างเลือนราง

                รอยยิ้มจนตาหยีถูกส่งมาให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ ก่อนที่เบญญาจะเดินออกมาจากเคาน์เตอร์

                “พอดีวันนี้ทางไร่จัดกิจกรรมอยู่ในโซนถ่ายรูปค่ะ นักท่องเที่ยวเลยให้ความสนใจเป็นพิเศษเพราะของ...แค็กๆ ของรางวัลเป็นของพรีเมียมจากทางไร่ค่ะ” เบญญาตอบด้วยน้ำเสียงแหบๆ เพราะเป็นหวัด

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์สังเกตอาการของหญิงสาวอยู่จึงอดจะถามไถ่ไม่ได้ “ไม่สบายทำไมไม่ลางานล่ะ” น้ำเสียงเจือปนไปด้วยความเอ็นดู ทำเอาเบญญายิ้มกว้างจนคนมองต้องยิ้มตามไปด้วย

                “พอดีที่ร้านคนไม่พอน่ะค่ะ หม่อนเลยต้องมาทำงานช่วย สงสารพี่ผู้จัดการที่ต้องทำงานคนเดียว” เบญญาอดส่งยิ้มพิมพ์ใจไม่ได้ ไม่ต้องคิดหาทางเข้าหาเหยื่อ เหยื่อก็เดินเข้ามาเสียเอง

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์มองหญิงสาวอย่างเอ็นดู ผู้หญิงตรงหน้าคล้ายกับสุพัตตา อดีตเจ้าสาวของเขามาก ถึงแม้ใบหน้าและรูปร่างจะต่างกันไปบ้าง แต่นิสัยและการพูดจาเหมือนกันมาก   

                “พี่มิ้นต์เป็นยังไงบ้างคะ สบายดีไหม” เบญญาไม่จำเป็นต้องแกล้งทำเป็นเข้าใจพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ผิดอีกแล้ว เพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็จำไม่ได้ว่าครั้งแรกที่เจอกัน เธอแกล้งเข้าใจเขาผิดแบบธมนต์แต่มันไม่ได้ผล

                “เขาสบายดี” น้ำเสียงของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์แข็งขึ้น

                เบญญาหน้าซีดเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเลือกบทสนทนาได้ห่วยมาก

                “ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้พ่อเลี้ยงหงุดหงิด” เบญญาก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด จนชายหนุ่มต้องควบคุมน้ำเสียงตัวเอง

                “ช่างมันเถอะ พอดีผมหงุดหงิดตัวเองมากกว่าน่ะ”

                “พี่มิ้นต์ทำความสะอาดไม่ค่อยเก่ง พ่อเลี้ยงจิณอย่าว่าพี่มิ้นต์เลยนะคะ พี่เขาไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อน ถ้าอยากได้แม่บ้านจริงๆ ให้หม่อนไปทำแทนก็ได้นะคะ หม่อนเคยทำงานแบบนี้มาก่อน” เบญญาเสนอตัวแทน เพราะคิดว่าธมนต์คงทำงานหนักแบบนี้ไม่ได้

                ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย คล้ายว่าอีกฝ่ายคงทำงานพวกนี้จนเคยชินทั้งที่อายุก็เพียงแค่ยี่สิบต้นๆ เท่านั้นเอง

                “หม่อนทำงานตั้งแต่เด็กค่ะ ช่วยแม่หาเงินส่งน้องเรียน” เบญญาไขความกระจ่าง        ดวงตาคมยามมองเบญญาเปลี่ยนไปเมื่อได้รู้จักหญิงสาวขึ้นมาอีกนิด ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างรู้สึกดี

                “แล้วทำไมพ่อเลี้ยงถึงส่งพี่มิ้นต์ไปทำงานที่บ้านพักเชิงดอยคะ พี่มิ้นต์เคยบอกหม่อนว่าถ้าพี่เลี้ยงคนใหม่ขึ้นมาจะได้กลับมาทำงานที่ชอปเหมือนเดิม” เมื่อดูท่าว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ใจเย็นลง หญิงสาวจึงลองถามดูอีกสักรอบ

                “พอดีผมอยากไปพักผ่อนที่นั่นน่ะ แล้วธมนธรรมก็เคยทำงานให้ผมอยู่ก่อนจึงให้ไปทำที่นั่น” เขาโกหกคำโต ไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าที่ย้ายธมนต์ไปบ้านพักเชิงดอยแทนการกลับมาทำงานที่ชอปเพราะต้องการแก้แค้น

                ถึงแม้ว่าเขาจะต้องลงมาที่ไร่เพื่อตัดอาการเห็นอกเห็นใจหญิงสาวออกไป เขาปล่อยเธอไว้ที่บ้านพักเชิงดอยมาสองวันแล้ว แต่ใบหน้าของธมนต์ยังไม่จางหายไปจากห้วงความคิดของเขาเลย

                “อย่างนี้เองเหรอคะ ว่าแต่พ่อเลี้ยงมาที่ชอปอยากได้อะไรคะ หม่อนก็ลืมถามไปเลย” เบญญาตัดบท เมื่อพบแววตาของชายหนุ่มยามพูดถึงธมนต์

                “เข้ามาตรวจความเรียบร้อยหน่อยน่ะ มาดูเธอด้วย” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตอบตามความจริง เขาเข้ามาตรวจดูร้านและนึกถึงเบญญาขึ้นมาจึงแวะเข้ามาหาเสียหน่อย

                “หาหม่อนเหรอคะ” เบญญาถามขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

                “พอดีอ่านเอกสารเบิกจ่ายองุ่นเห็นชื่อของเราน่ะ เลยนึกขึ้นได้”

                “ดีจังนะคะ” เบญญาพูดเสียงเบา ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างปลื้มใจที่พ่อเลี้ยงจิณธนนท์จำชื่อได้

                บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มไม่ต้องการให้ความหวังกับเบญญามากเกินไป เพราะเขาเองก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง รู้เพียงแค่ว่าเบญญาคล้ายกับสุพัตตาจนเขาแอบหวั่นไหว

 

แสงสว่างส่องกระทบพื้นกระเบื้องในห้องโถงที่ถูกถูจนเป็นเงา ธมนต์พยายามก้าวถอยหลังอย่างช้าๆ ขณะถูพื้น เท้าของหญิงสาวมีผ้าก๊อซพันเอาไว้บางๆ เพราะแผลเริ่มหายแล้วจึงทำให้ขยับไปไหนมาไหนได้สะดวกขึ้น

                “มีอะไรเหรอคะ” ธมนต์ถามป้าแม่ครัวซึ่งนำคนงานชายยกลังของสดเข้ามาภายในบ้าน หลังจากหายหน้าหายตาไปสามวันเต็มๆ เพราะเจ้านายไม่อยู่แม่ครัวก็เลยไม่ขึ้นมาทำอาหาร

                “ป้ามาทำอาหารไว้รอพ่อเลี้ยงจิณน่ะจ้ะ”

                “พ่อเลี้ยงจิณจะมาที่นี่เหรอคะ” ธมนต์ถามด้วยความสงสัย

                “จ้ะ ป้าวานหนูช่วยไปยกตะกร้าเสื้อผ้าของพ่อเลี้ยงออกมาหน่อยนะ ป้าจะได้ให้คนงานเอาไปซัก”

                ธมนต์ยิ้มรับอย่างเต็มใจ ก่อนจะทำงานในส่วนที่ได้รับมอบหมายต่อให้เสร็จ

               

                ธมนต์เดินสำรวจไปรอบๆ ห้องนอนไม้สีเหลืองนวลซึ่งถูกตกแต่งอย่างดี ข้าวของหลายชิ้นนำเข้ามาจากต่างประเทศ เพราะก่อนหน้านี้เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำความสะอาดในห้องนี้

                ธมนต์เดินสำรวจไปทั่วห้องจนลืมจุดประสงค์ของการมาครั้งนี้ไปเสียอย่างนั้น สองขาก้าวไปเรื่อยๆ ขณะที่ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมองข้าวของเครื่องใช้อย่างเก็บข้อมูลและจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทั้งหมดเท่าที่สมองจะจำได้

                “เสื้อผ้าแบรนด์เนมทุกตัว”

                นิ้วเรียวสวยเคลือบน้ำยาทาเล็บสีใสไล่ดูแบรนด์เสื้อผ้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ในตู้ทีละตัวอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะเปิดลิ้นชักออกมาตรวจดูเพื่อเก็บรายละเอียดไปในตัว เธอชอบงานด้านแฟชั่น และชอบเก็บข้อมูลต่างๆ เพื่อนำไปพัฒนาการออกแบบของตัวเอง

                “นาฬิกาเกือบห้าสิบเรือนจากสามแบรนด์ เครื่องประดับอย่างอื่นไม่มี แสดงว่าพ่อเลี้ยงติดนาฬิกาข้อมือ”

                ดวงตาสีรัตติกาลหยุดอยู่ที่กองเอกสารบนโต๊ะทำงาน ซึ่งมีเอกสารบางอย่างพร้อมภาพถ่ายต่างอิริยาบถของใครบางคนที่ธมนต์รู้จักดี แต่เธออยากแน่ใจให้มากกว่านี้จึงเดินตรงไปที่กองเอกสารนั่นทันที

                “นะ...นั่นมัน พี่พุฒิ!” แววตาวาวโรจน์เมื่อสิ่งที่เห็นตรงกับที่คิด แถมมันยังทำให้เธอเจ็บปวดไม่ต่างจากตอนที่หนีมาที่นี่

                ภาพถ่ายหลายสิบใบของพุฒินาทกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าตามสถานที่ยอดนิยมต่างๆ โดยเฉพาะ ‘โรงแรม’ ภาพถ่าพหลายใบถูกถ่ายที่เคาน์เตอร์ของโรงแรมเสียเป็นส่วนใหญ่ คงจะไปเที่ยวด้วยกันก่อนจะพากันเข้าโรงแรม

                “นี่มัน...เจ้าสาวของพ่อเลี้ยงจิณ” หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน เมื่อไล่ดูรูปถ่ายหลายใบจนพบภาพถ่ายใบหนึ่งซึ่งหญิงสาวในรูปคือคนที่เธอเห็นในภาพถ่ายพรีเวดดิงของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์     

                มือบางสั่นเทาเมื่อพบเอกสารอีกแผ่นบนโต๊ะทำงาน เอกสารที่ชี้ชัดทุกอย่างถึงสถานภาพของเธอ

                “คุณรู้ทุกอย่าง” น้ำเสียงของธมนต์แผ่วเบา พร้อมกับที่ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนเก้าอี้ทำงาน มือบางยังสั่นเทาไม่หาย สมองประมวลผลการทำงานช้ากว่าปกติ หัวใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าเพราะภาพถ่ายของพุฒินาทกับผู้หญิงคนอื่น หรือเพราะว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์รู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้ชายกันแน่

                เรื่องราวทั้งหมดไหลบ่าเข้ามาในสมอง เริ่มตั้งแต่เธอมาที่ไร่ เป็นพี่เลี้ยงของน้องนารา และล่าสุดเป็นคนใช้ที่บ้านพักเชิงดอย แถมยังมีเรื่องผิดปกติมากมายเกิดขึ้น เศษแก้วแตกกระจายทั่วห้อง สัญญาณโทรศัพท์มือถือขาดหาย และเธอออกไปข้างนอกห่างจากตัวบ้านได้เพียงแค่สองร้อยเมตรเท่านั้น

                “คุณคิดจะทำอะไรกันแน่ พ่อเลี้ยงจิณ” แววตามุ่งมั่นปรากฏชัดในดวงตาสีรัตติกาล เมื่อทบทวนทุกอย่างธมนต์ก็ยิ่งแน่ใจว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนนท์ต้องคิดทำอะไรบางอย่างแน่นอน

                ในเวลาไม่นาน ธมนต์ก็เริ่มจัดเอกสารต่างๆ ให้อยู่ในรูปเดิม ก่อนจะหยิบตะกร้าเสื้อผ้าของพ่อเลี้ยง พร้อมจานชามบางส่วนที่ถูกใช้งานแล้วถือออกไปจากห้องพร้อมกันทั้งหมด ถึงแม้ใบหน้ายังคงซีดเซียว แต่หญิงสาวก็พยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติที่สุด ไม่กระโตกกระตากจนถูกจับได้ ในเมื่อเขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเธอคือผู้หญิง เธอก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องพวกนั้นเหมือนกัน

 

                “ป้าเคยเจอเจ้าสาวของพ่อเลี้ยงจิณไหมคะ เธอเป็นคนยังไงเหรอคะ” ธมนต์ล้างผักไปด้วยขณะลอบถามแม่ครัวซึ่งกำลังจัดเตรียมอาหารอยู่ในครัว

                หญิงสาวแสร้งเข้ามาช่วยงานตามปกติ แต่จุดประสงค์แท้จริงแล้วก็คือเข้ามาสืบหาข้อมูลจากแม่ครัว

                “คุณตาน่ะเหรอ รู้สิ แต่ก่อนเธอมาที่ไร่แทบทุกวัน” แม่ครัวตอบด้วยรอยยิ้มเมื่อหวนนึกถึงว่าที่อดีตแม่เลี้ยงของไร่ทางเหนือ

                “สวยไหมคะ แล้วเธอไปไหนคะ มิ้นต์ยังไม่เคยเจอเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่” ธมนต์ลอบถามข้อมูลด้วยน้ำเสียงปกติเพื่อไม่ให้โดนจับได้เสียก่อน

                “สวยสิหนูมิ้นต์ สวยพอๆ กับหนูเลยละ”

                “แหมป้าก็ แล้วเธอไปไหนคะ ทำไมถึงไม่มาที่ไร่บ้างเลย” ธมนต์ตอบอย่างแสร้งเขินอาย            

                อีกฝ่ายมองซ้ายขวาเลิ่กลั่ก พร้อมกับกวักมือให้ธมนต์เอียงหูมาใกล้ๆ “เสียชีวิตแล้ว เมื่อห้าเดือนก่อนนี้เอง”

                ดวงตาของธมนต์เบิกกว้างอย่างตกใจ ข้อมูลที่ได้ทำเอาหัวใจของเธอเต้นแรงกว่าเดิม

‘เสียชีวิตอย่างนั้นหรือ’

                “กะ...เกิดอะไรขึ้นคะ”

                “รู้แล้วเหยียบเอาไว้เลยนะ” ป้าแม่ครัววัยกลางคนบอกพร้อมกับทำท่าประกอบ

                 ธมนต์พยักหน้าช้าๆ เพราะอาการตื่นตกใจยังไม่หายไป

                “เขาว่ากันว่าคุณสุพัตตาเธอหนีตามชู้ไปในวันแต่งงาน และพอหลังจากนั้นไม่นานชู้ของเธอก็นอกใจทิ้งเธอไปจนเธอตรอมใจตาย ส่วนพ่อเลี้ยงจิณก็สั่งห้ามคนงานในไร่พูดถึงคุณตาอีก”

                “หนีงานแต่งงาน นอกใจ มีชู้”

สุพัตตาหนีตามพุฒินาทไป แสดงว่าพุฒินาทคือชู้ของสุพัตตา และเป็นเหตุผลให้สุพัตตาเสียชีวิต

                “เหยียบไว้เลยนะหนูมิ้นต์ ยิ่งหนูทำงานขึ้นตรงกับพ่อเลี้ยงจิณ ไม่ควรพูดเรื่องนี้เลยละ” ป้าแม่ครัวย้ำคำพูดของตัวเองก่อนจะหันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ

                ธมนต์อยากรู้ว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์จะทำอะไรกับเธอกันแน่ และเขาต้องการอะไรถึงได้ส่งเธอขึ้นมาอยู่ที่บ้านหลังนี้

                เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพักเชิงดอย ธมนต์รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร เธอกับป้าแม่ครัวจึงเร่งมือทำอาหารให้เสร็จก่อนที่พ่อเลี้ยงเจ้าของบ้านจะโวยวายและอารมณ์เสีย

                “มิ้นต์ ธมนธรรม!” คำแรกที่พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดหลังจากก้าวเข้ามาภายในบ้าน        ธมนต์เบ้ปากเล็กน้อย ธมนธรรม? หึ! ก็รู้อยู่ว่าเธอคือใคร

                “อยู่ไหน! ฉันเรียกทำไมไม่ตอบ!” เสียงของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง

                จนป้าแม่ครัวต้องหยิบผักในมือของเธอมาทำแทน และผลักแผ่นหลังของเธอให้เดินออกไปรับหน้าพ่อเลี้ยง

                “อยู่นี่ค่ะ” ธมนต์ตอบพร้อมกับเช็ดมือที่ชุ่มน้ำของตัวเอง แอบจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสงสัยไม่ได้

                “ฉันเรียกทำไมไม่ตอบ! ไม่มีปากหรือไง” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เริ่มโวยวายเสียงดังเมื่อพบแววตาและสีหน้าของอีกฝ่ายซึ่งไม่มีแววว่าจะกลัวเขาเลยสักนิด

                “ขอโทษค่ะ พอดีฉันคิดว่าพ่อเลี้ยงจะเดินเข้ามาอยู่แล้วจึงไม่ได้ตะโกนตอบ” ธมนต์ตอบหน้าตาย ก่อนจะก้มหน้าลงราวกับสำนึกผิด

                “ทีหลังถ้าได้ยินเสียงรถฉัน ออกมารอรับข้างหน้า อย่าให้ต้องเรียกซ้ำหลายๆ รอบแบบนี้!”

                น้ำเสียงแข็งกระด้างของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทำเอาธมนต์แปลกใจ ชายหนุ่มไม่เคยใช้น้ำเสียงโทนนี้กับเธอเลยสักครั้ง

                “ค่ะ” ธมนต์รับเสียงอ่อน

                “ไปทำความสะอาดเรือนเก็บของข้างๆ ด้วยนะ” เขาหันกลับมาสั่งงาน “ของข้างในนั้นเอาไปทิ้งให้หมด หรือไม่ก็เผามันไปซะ อย่าให้ฉันเห็นข้าวของพวกนั้นอีก”

                ธมนต์ขมวดคิ้วสงสัยในคำสั่งของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์

                “ได้ยินที่สั่งไหม” ชายหนุ่มถามย้ำเมื่อหญิงสาวไม่ตอบรับคำสั่งของเขา

                “ได้ยินค่ะ จะไปทำให้เดี๋ยวนี้” ธมนต์ปลีกตัวออกไป โดยไม่ทันได้สังเกตแววตาวูบไหวของอีกฝ่าย

 

ชายหนุ่มนั่งรับประทานอาหารเย็นอย่างใจเย็น ดวงตาคมดุจ้องมองร่างบางของธมนต์ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนักตลอดเวลาจนหญิงสาวต้องหลบสายตา ก้มหน้ามองพื้น พยายามอย่างมากที่จะไม่เข้าไปถามไถ่ชายหนุ่มถึงเรื่องราวทั้งหมดแม้ว่าจะอยากรู้มากแค่ไหนก็ตาม

 ในเมื่อเขาเลือกที่จะไม่ปริปากพูดความจริง เธอเองก็จะทำเฉย และสืบหาต้นตอและเหตุผลทุกอย่างเอาเอง

                “ห้องที่ให้ไปทำความสะอาดเรียบร้อยดีใช่ไหม” เสียงเข้มดังขึ้นทำลายบรรยากาศความเงียบ

                “ค่ะ ข้าวของทั้งหมดฉันเผามันเรียบร้อยแล้ว” ธมนต์ตอบกลับ เธอทำใจอยู่นานกว่าจะเผาเสื้อผ้าแบรนด์เนมและเครื่องประดับต่างๆ ได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าข้าวของพวกนั้นเป็นของใคร

                “ดี แล้วอย่าให้เห็นว่าเธอเอาสิ่งของพวกนั้นมาใช้ หรือแอบเอาไปทำอย่างอื่นล่ะ”

                “ฉันไม่เคยมีนิสัยอย่างนั้นค่ะ กรุณาอย่าพูดจาให้ร้ายฉันแบบนั้น” ธมนต์สวนกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

                “นิสัยของเธอก็คงไม่ต่างจากพวกขโมยมากนัก เพราะอยู่ด้วยกันจนเคยชินอาจจะติดมาก็ได้” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดจาเสียดสี คิดว่าหญิงสาวคงไม่รู้ว่าเขาหมายความว่ายังไง

                ธมนต์กำมือแน่น เพราะรู้ว่าเขาพูดถึงคู่หมั้นของเธอ

                “ทำไม ฉันพูดแค่นี้โกรธเหรอ หึ!” ชายหนุ่มจ้องมองอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา จึงแอบเห็นว่ามือบางกำกันแน่ก็อดพูดจาเหน็บแนมไม่ได้

                “เปล่าค่ะ แต่พ่อเลี้ยงเองก็ไม่ควรเอามาโยงใส่กันนะคะ พ่อเลี้ยงยังไม่รู้จักฉันดีพอ ไม่ควรจะพูดอย่างนั้น” ธมนต์ตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง แววตามั่นคง ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บใจกับคำพูดของเขา แต่เธอก็ต้องตั้งรับให้ได้

                “เธอมีดีตรงไหนให้ฉันอยากรู้จักล่ะ” ชายหนุ่มถามเสียงยียวน

                “ฉันมีดีของฉันค่ะ ทุกคนต่างมีดีในตัวเอง”

                “มีดีแค่โง่ไปวันๆ ยอมให้คนอื่นสวมเขาให้น่ะเหรอ หึ...น่าสมเพช”

                ธมนต์ชะงักค้างไปกับคำพูดเสียดสีของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ แต่มันก็จริงอย่างที่เขาพูด เธอกลายเป็นคนโง่ที่ปล่อยให้คนที่ไว้ใจสวมเขาให้ง่ายๆ อยู่หลายปี และไม่เคยคิดเอะใจอะไรเลยเพราะเธอเชื่อใจและเชื่อมั่นในตัวของพุฒินาท

                “คะ...คุณหมายความว่ายังไงคะ ใครสวมเขาให้ฉัน” ธมนต์ควบคุมน้ำเสียงของตัวเองก่อนจะถาม พยายามเก็บอาการไม่แสดงออกมาว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่ชายหนุ่มพูด

                “พูดไปก็เท่านั้น คนที่มันบูชาความรัก ยกย่องเชิดชูจนมองไม่เห็นความจริง สุดท้ายก็เจ็บปวดเสียใจอยู่คนเดียว นอกจากคำว่าสมเพชแล้ว ฉันไม่รู้เลยว่าจะสรรหาคำไหนมาพูดกับเธอ”

                ราวกับมีค้อนฟาดเข้าศีรษะในตอนที่ได้ยินคำพูดของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ มือบางกำแน่น ส่วนใบหน้าก็ต้องพยายามนิ่งเข้าไว้

                “นอกจากคำว่าคิดไปเอง ฉันก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดกับพ่อเลี้ยงเหมือนกันค่ะ” ธมนต์ตอบกลับด้วยแววตาแข็งกร้าว เธอจะไม่ยอมอยู่นิ่งๆ ให้เขาพูดจาดูถูกและทำร้ายจิตใจของเธอฝ่ายเดียวแน่นอน

                “พวกบูชาความรักก็มักเป็นแบบนี้แหละ พูดนิดพูดหน่อยทำเป็นทนฟังไม่ได้ ว่าแต่เพศที่สามแบบเธอจะมีคนรักกับเขาด้วยเหรอ” ชายหนุ่มพยายามเบี่ยงประเด็นเพื่อไม่ให้หญิงสาวรับรู้ว่าเขารู้เรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเธอ

                “เพศที่สาม” ธมนต์ทวนคำเสียงเบาพร้อมยิ้มมุมปาก “เพศที่สามแบบฉันก็มีค่ะ เป็นคนที่ทำให้คุณร้องไห้เสียใจไม่เป็นผู้เป็นคนได้เลยละค่ะ คุณเองก็บูชาความรักไม่ต่างจากฉัน ไม่ควรมาต่อว่าฉันแบบนี้นะคะ”

                “ฉันไม่เคยบูชาความรัก” ชายหนุ่มจ้องมองธมนต์อย่างเอาเรื่อง และแปลกใจที่เธอกล้าต่อล้อต่อเถียงเขาเหมือนก่อนแล้ว

                 เขาไม่เคยบูชาความรัก ความรักสำหรับเขาคือความเชื่อใจ ความสุข แต่ไม่ใช่ทุกอย่างสำหรับชีวิตเขา

                “เหรอคะ” ธมนต์ตอบรับคำพูดของอีกฝ่ายอย่างขอไปที

                “ออกไปซะ! อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าจนกว่าฉันจะเรียกเธอ!” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตวาดลั่น ดวงตาวาวโรจน์ เขาไม่ชอบท่าทางไม่รู้สึกรู้สมกับคำพูดของเขา ไหนจะคำพูดคำจาต่อล้อต่อเถียงนั่นอีก

                ธมนต์เดินออกจากห้องอาหาร ตรงไปยังห้องพักของตัวเอง พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ให้ถึงที่สุด แม้จะเจ็บปวดเสียใจที่เขาต่อว่าเธอโง่อย่างนั้น โง่อย่างนี้ เธอจะอ่อนแอไม่ได้ ถึงแม้จะเจ็บใจกับคำพูดของเขามากแค่ไหนก็ตามที

                “ฉันไม่ได้โง่ ไม่เคยบูชาความรัก คำพูดของคุณทั้งหมดที่พูดมาฉันยอมรับอย่างเดียวคือ ฉันเจ็บปวดอยู่คนเดียว!”

ธมนต์จ้องมองตัวเองในกระจก ใบหน้าสวยรูปไข่เปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลริน เธอแค่เชื่อมั่นในตัวคู่หมั้นและมั่นใจในความรักของเธอกับเขา ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะโง่ถูกสวมเขาแบบนี้ และต้องมาเจ็บปวดอยู่คนเดียว

                “ธมนต์ ประภารัตน์ เธอดูโง่มากเลยใช่ไหมในสายตาคนอื่น เธอดูเหมือนคนโง่มากเลยใช่ไหม” หญิงสาวถามตัวเองย้ำๆ

                หากมีคนรู้จักและรู้เรื่องการหมั้นหมายของเธอกับพุฒินาทบังเอิญเจอเขาเดินเข้าออกโรงแรมกับผู้หญิงมากมาย เธอคงถูกมองว่าโง่ที่ถูกคนรักสวมเขา แถมยังไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง

                “อีกไม่นานหรอก แค่อีกไม่นาน เธอจะต้องจัดการปัญหาทุกอย่างและกอบกู้ชื่อเสียงของตัวเองกลับมาให้ได้” ธมนต์บอกตัวเองด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา

                ด้านพ่อเลี้ยงจิณธนนท์หลังจากต่อว่าหญิงสาวต่างๆ นานา ก็เป็นเขาเองที่เสียใจกับคำพูดของตัวเองจนต้องเดินตามหญิงสาวมาถึงหน้าห้องพัก จนได้ยินทุกอย่างที่อีกฝ่ายพูด และพอจะรู้ว่าเธอคงจะรู้เรื่องคู่หมั้นนอกใจแล้ว

                แผ่นหลังกว้างพิงบานประตูห้องของธมนต์อย่างเหนื่อยอ่อน แววตาอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้ตั้งใจจะต่อว่าหญิงสาวแบบนั้น เพราะหากเขาไม่ทำแบบนี้ แผนที่วางเอาไว้จะดำเนินต่อไปไม่ได้

                “ถือว่าเราเสมอกันแล้วกันนะ ธมนต์” น้ำเสียงอ่อนแรงถูกส่งออกมาพร้อมกับการก้าวเท้าเดินออกไปจากหน้าห้องพักของหญิงสาว

 

            ห้องสวีทหรูในโรงแรมห้าดาวย่านใจกลางเมือง สองร่างกำลังคลอเคลียกันไม่ห่าง พุฒินาทเล้าโลมร่างบางในอ้อมกอด ส่งสายตาแพรวพราวให้คนในอ้อมแขนที่กำลังอ่อนระโหย เรียวปากยังคงไม่ผละออกจากกัน

                “อื้อ พอก่อนครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับผละใบหน้าออกมาส่งยิ้มหวานให้หญิงสาวตรงหน้า

บุตรสาวเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของประเทศส่งรอยยิ้มหวานคืนให้ชายหนุ่ม ก่อนจะคล้องคอเขาเอาไว้แน่น ส่งสายตายั่วเย้าคนตรงหน้าเต็มที่หวังให้เกิดเรื่องบนเตียงดั่งที่ตัวเองหวังเอาไว้

“เดี๋ยวสิครับ จะรีบไปไหน คุณยังไม่บอกผมเลยนะครับว่าตกลงเรื่องที่ดินที่ผมอยากได้ พ่อของคุณว่ายังไงบ้าง” พุฒินาทถามไถ่เรื่องที่เขาไหว้วานให้หญิงสาวช่วยเหลือเพื่อแลกกับความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้

“อย่าเพิ่งพูดเรื่องธุรกิจได้ไหมคะ ตอนนี้เป็นเวลาของเรา อย่าเอาเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวสิ” หญิงสาวตอบอย่างง้องอนก่อนจะทิ้งสองแขนลงข้างกาย

พุฒินาทเอียงกายหญิงสาวเข้าหาตัวเอง ก่อนจะโน้มหน้าลงไปหอมแก้มของหญิงสาวหนักๆ เพื่อเป็นการเอาใจพร้อมกับเล้าโลมอีกฝ่ายอีกรอบเพื่อดำเนินกิจกรรมบนเตียง

ผ่านพ้นเกือบสี่ชั่วโมงสมรภูมิรักบนเตียงภายในห้องหรูจึงจบลง พุฒินาททิ้งตัวนอนลงข้างหญิงสาว ก่อนจะหันหน้าไปส่งยิ้มหวาน

“กลับไปเดี๋ยวหญิงจัดการเรื่องที่ดินให้นะคะ ไม่ต้องห่วงคุณได้ที่ดินผืนนั้นแน่นอน” หญิงสาวลุกขึ้นหอมแก้มชายหนุ่มและทิ้งตัวนอนตามเดิม

พุฒินาทยิ้มพอใจกับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้

ครืด...ครืด

โทรศัพท์มือถือเครื่องหรูที่วางอยู่บนหัวเตียงสั่น ก่อนจะเป็นพุฒินาทที่ลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองและเดินออกไปพูดคุยกับปลายสายที่นอกระเบียง

“ว่ายังไง” น้ำเสียงของชายหนุ่มกลายเป็นจริงจังขึ้นมาทันทีที่รับสาย

“คุณมิ้นต์กลับมาเมืองไทยแล้วจริงๆ ครับ” คำรายงานของลูกน้องคนสนิททำให้พุฒินาทชะงักค้างก่อนจะขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“แน่ใจใช่ไหม” ชายหนุ่มถามย้ำอีกรอบเพื่อความแน่ใจ

“ครับนาย กลับมาได้เกือบหนึ่งเดือนแล้วครับ”

“ไปสืบมาว่าตอนนี้มิ้นต์อยู่ที่ไหน” พุฒินาทสั่งลูกน้องเสียงแข็งก่อนจะวางสายไป ชายหนุ่มมองกลับเข้าไปในห้องพักแล้วถอนหายใจออกมา เขาเหนื่อยกับการทำเรื่องแบบนี้ แต่ธุรกิจของครอบครัวก็กำลังร่อแร่ หากเขาไม่ทำอย่างนี้ธุรกิจของครอบครัวต้องล้มละลายแน่นอน แต่เหนือสิ่งอื่นใดธมนต์จะไม่มีทางรู้เรื่องที่เขาทำเด็ดขาด

“ถึงเวลาถอยแล้วสินะ” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะทอดมองทิวทัศน์ของเมืองหลวง

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น