13

ตามล่า

 พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทำตามคำพูด เขาพาหญิงสาวมาดูพระอาทิตย์ตกบนริมชายฝั่ง ธมนต์มองดูพระทิตย์หายลับไปจากขอบฟ้ามันต่างจากที่เธอยืมมองดูอยู่ที่ไร่ทางเหนือมาก ที่นั่นพระอาทิตย์จะหายลับเข้าไปในเทือกเขา แต่ที่นี่พระอาทิตย์กำลังดำดิ่งลงไปในทะเลสีครามซึ่งกำลังสะท้อนแสงสีส้มจากดวงอาทิตย์ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข แผ่นหลังบางสัมผัสลงบนอกหนาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ที่ยืนกอดเธออยู่ด้านหลัง แก้มใสถูกกดจูบซ้ำๆ จนขึ้นรอยแดงจากอาการเขินอาย

ธมนต์ยืนกดกริ่งหน้ารั้วประตูบ้านอยู่เพียงแค่ไม่กี่ครั้งร่างอวบอั๋นของนางมนธิดา มารดาของหญิงสาวก็เดินออกมาเปิดประตูให้ ดวงตาที่ถอนแบบกันออกมาจ้องมองลูกสาวอย่างตกใจ จนธมนต์ยกมือไหว้มารดาพร้อมกับเดินเข้าไปสวมกอดด้วยความคิดถึงก่อนจะเอ่ยบอกนางมนธิดาว่าขอเข้าไปนั่งคุยในบ้านดีกว่า นางมนธิดาจึงยอมเงียบไม่เอ่ยถามอะไรลูกให้มากความในตอนนี้

                ธมนต์เดินตามมารดาเข้ามาในบ้านก่อนจะพบนายเอกภพบิดากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ประจำวันอยู่บนเก้าอี้ตัวประจำ หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้บิดาทันทียามเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอ

                “ฉันนึกว่าแกจะไม่ลงมาจากภาคเหนือแล้วเสียอีก” คำทักทายของบิดา ทำเอาธมนต์ชะงักคำพูดของตัวเองลง ซึ่งมันบ่งบอกได้ชัดเจนว่าบิดาของเธอรู้เรื่องที่เธอกลับมาไทยตั้งนานแล้ว

                “พ่อรู้นานแล้วใช่ไหมคะ” ธมนต์ถามออกไปถึงแม้พอจะรู้อยู่บางแล้ว แต่เธออยากฟังจากปากบิดามากกว่า พลางทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นด้านล่าง

                “แกคิดว่าจะปิดบังเรื่องที่แกกลับเมืองไทยก่อนกำหนดได้อย่างนั้นน่ะเหรอ แกจำไม่ได้หรือไงว่าฉันมีคนรู้จักทำงานเป็นตำรวจตรวจคนเข้าเมืองอยู่สนามบิน” คำพูดของบิดาทำเอาธมนต์นึกขึ้นได้

                “เรื่องนั้นเราค่อยคุยกันทีหลังได้ไหมคะ ตอนนี้หนูอยากจะคุยเรื่องพี่พุฒิมากกว่าค่ะ” ธมนต์บอกบิดาถึงจุดประสงค์ที่ตนลงมากรุงเทพฯ ครั้งนี้

                “เรื่องแต่งงานของแกน่ะเหรอ อีกไม่เกินสองเดือนหลังจากนี้ ฉันเตรียมการเอาไว้หมดเรียบร้อยแล้ว” นายเอกภพบอกลูกสาวคนโต เขาได้พูดคุยเรื่องนี้กับครอบครัวของพุฒินาทตั้งแต่ลูกสาวกลับมาถึงเมืองไทยถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยปากบอกว่าธมนต์กลับมาแล้วก็ตาม การพูดคุยครั้งนั้นได้เพียงแค่กำหนดวันเวลาเท่านั้น

                “หนูไม่แต่งค่ะพ่อ พ่อคะ พี่พุฒิเขานอกใจหนู เขามี...”

                “เรื่องนั้นฉันรู้”

                “พ่อ...” ธมต์พูดไม่ออก เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าบิดาจะรู้เรื่องที่พุฒินาทมีคนอื่น แต่ยังคงยืนยันจะให้เธอแต่งงานกับชายหนุ่มอีก

                “ฉันเป็นพ่อแกนะ ฉันเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แกเสมอ แกก็รู้ใช่ไหม” นายเอกภพบอกลูกสาว

เขาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกทั้งสองคนเสมอ ตั้งแต่เด็กจนโตลูกของเขาได้รับแต่สิ่งดีดี ถึงแม้พุฒินาทจะมีคนอื่นก็ตาม ครั้งแรกที่เขารับรู้เรื่องนี้ เขาทั้งโกรธทั้งโมโหพุฒินาทที่บังอาจทำร้ายแก้วตาดวงใจของเขา แต่พอจะเข้าไปพูดคุยกลับห็นพุฒินาทยืนร้องไห้อย่างเงียบๆ ในลานจอดรถของโรงแรมซึ่งชายหนุ่มเพิ่งขึ้นไปมีความสัมพันธ์กับลูกของนักธุรกิจซึ่งมีผลประโยชน์แก่กิจการของครอบครัวพุฒินาท เขารู้ว่าพุฒินาทไม่อยากทำเรื่องนี้เลยสักนิดเพราะตลอดเวลาที่ชายหนุ่มคบหาดูใจจนหมั้นหมายกับธมนต์ลูกสาวของเขา พุฒินาทไม่เคยนอกลู่นอกทาง ไม่เคยทำให้ลูกสาวของเขาเสียใจแต่ครั้งนี้มันเกิดขึ้นเพราะกิจการของครอบครัวกำลังเจอปัญหาใหญ่ ซึ่งทางออกมีทางเดียวเท่านั้น

“แม่คะ แม่ช่วยพูดกับพ่อให้หนูหน่อยสิค่ะ” ธมนต์เอ่ยขอร้องกับมารดา ดวงตาสีรัตติกาลคลอน้ำใส

“เชื่อพ่อเขาเถอะลูก” คำพูดของมารดาไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด ธมนต์มองมารดาอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางมนธิดาไม่เคยมีปากเสียงกับสามีเลยสักครั้ง อะไรยอมได้ก็ยอมเสมอจนนายเอกภพเป็นใหญ่ในบ้าน จนบ้านหลังนี้มีความคิดเห็นของนายเอกภพใหญ่ที่สุดไม่มีใครคัดค้านได้เลย ถึงแม้เงินจุนเจือครอบครัวของเธอจะมาจากตาซึ่งเป็นเจ้าสัวใหญ่ เพราะนายเอกภพอยากจะยืนได้ตัวเองจึงไม่ต้องการความเชื่อเหลือจากทางครอบครัวของนางมนธิดา แต่นางมนธิดาก็แอบเอามาช่วยบ่อยๆ

“หนูไม่แต่งค่ะ หนูแต่งกับเขาไม่ได้!” ธมนต์พูดออกมาอย่างไม่สามารถเก็บกักอารมณ์ได้อย่างทุกครั้ง ที่มีเรื่องราวแบบนี้

“แกต้องแต่ง เตรียมตัวซะ!” คำประกาศกร้าวของนายเอกภพดังขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินขึ้นไปยังด้านบนของบ้านทำเอาดวงตาสีรัตติกาลที่คลอน้ำใสไหลรินออกมาเป็นทางยาวบนใบหน้ารูปไข่

“พ่อเขาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้หนูตลอดเลย จำได้ไหม ครั้งนี้ก็เหมือนกันเพียงแค่หนูเชื่อพ่อเขาเท่านั้นนะลูก” นางนางมนธิดากอดปลอบลูกสาวอย่างเห็นใจ เธอไม่เคยคัดค้านสามีเลยสักครั้งจะให้พูดได้อย่างไรว่าไม่เห็นด้วยกับการการะทำครั้งนี้ของสามี

“จำได้ค่ะ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดของหนูเลยค่ะแม่” ธมนต์เงยหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นมาจากอกของมารดาเพื่อจ้องมองดวงตาสีรัตติกาลของมารดา

“แม่ไม่รู้ว่าจะช่วยหนูได้อย่างไรดีเลยลูก” นางมนธิดาได้แต่ปลอบลูกเพราะไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือลูกได้อย่างไร เธอจนปัญญาแล้วจริงๆ

“หนูจะกลับฝรั่งเศส กลับไปทำงานและใช้ชีวิตหลังจากนี้ที่นั่น แม่ช่วยหนูหน่อยนะคะ” ธมนต์บอกสิ่งที่อยู่ในใจให้มารดาได้รับรู้ เธอหวังเพียงสักนิดว่ามารดาจะช่วยเหลือเธอในครั้งนี้ เธอขอเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ขอเวลาเก็บความทรงจำช่วงนี้เอาไว้และเธอจะจากไปโดยไม่หวนกลับมาอีก

“มันไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยนะลูก” นางมนธิดาบอกลูกสาวอย่างวิตก

“แต่มันคือทางออกเดียวนะคะแม่ แม่ช่วยหนูนะคะ” ธมนต์ขอร้องมารดาอีกรอบ นางมนธิดามีท่าทีลังเลก่อนจะยอมพยักหน้าตอบตกลงช่วยเหลือลูกสาว ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตามที

“ขอบคุณค่ะ แม่” ธมนต์กอดรัดรอบเอวของมารดาแน่น

นางมนธิดาได้แต่ยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลทองของลูกอย่างเห็นใจ ภายในใจก็วิตกกังวลไม่รู้ว่าตนเองจะช่วยลูกได้อย่างที่รับปากหรือไม่ แต่อย่างน้อยเธอควรจะลองพยายามดูสักครั้งเพื่อลูก เพื่อชีวิตคู่ของลูกสาวจะไม่ได้เหมือนเธอ เธอแต่งงานเพราะรักเอกภพแต่เอกภพแต่งเพราะต้องการหลักพึงพาในอนาคตซึ่งตอนนั้นครอบครัวของเขากำลังเจอวิกฤต แต่สุดท้ายความรักของเธอกับเขาก็จบลงที่คำว่าครอบครัวมีความห่วงใยใส่ใจกันอยู่เสมอ

รถยนต์คันหรูจอดสนิทอยู่อีกฝั่งของรั้วบ้านของธมนต์ ร่างของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์นั่งกอดอกมองหญิงสาวตั้งแต่เดินลงจากรถแท็กซี่และกดกริ่งจนเดินเข้าไปในตัวบ้านจนตอนนี้แขนทั้งสองข้างก็ยังไม่คายออกจากกัน ใบหน้าเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดใดทั้งสิ้น ชายหนุ่มนั่งเครื่องมาลงที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เก้าโมงเช้าเขามาดักรอหญิงสาวอยู่ที่หน้าปะตูบ้านเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงนั่งรถทัวร์แบบธรรมดามาและมันเป็นอย่างที่เขาคิด ในเวลาเกือบเที่ยงธมนต์ก็มายืนอยู่บ้านประตูบ้าน

“ฉันจะพาเธอกลับไปให้ได้!” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกอย่างหมายมั่น

                การรออย่างใจเย็นเกิดขึ้นครั้งแรกในรอบหลายเดือน พ่อเลี้ยงจิณธนนท์นั่งรออย่างใจเย็นเพื่อให้แผนการเป็นไปอย่างราบเรียบ รอจนถึงเวลาสำคัญช่วงเวลาที่เขาจะพาตัวหญิงสาวกลับไปยังบ้านพักเชิงดอยได้ เวลาเกือบเที่ยงคืนร่างบางของธมนต์นอนหลับสนิทอยู่ภายในห้องด้านล่างซึ่งไม่ใช่ห้องนอนของเธอเหมือนเมื่อสมัยก่อนเพราะห้องของเธอในอดีตนั้นปัจจุบันตกเป็นของน้องชายไปเสียแล้ว หญิงสาวจึงต้องลงมานอนที่ห้องรับแขกแทน เสียงฝีเท้าย่องเบาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่ได้ทำให้ร่างบางรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเลย เธอยังคงหลับใหลอยู่อย่างนั้นโดยหารู้ไม่ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเธอจะตื่นขึ้นมาในสถานที่อีกทีหนึ่ง

*****

                เสียงคลื่นทะเลพัดเข้าหาฝั่งดังขึ้นเป็นระลอกจนร่างบางซึ่งกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงต้องขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัยกับเสียงที่ได้ยินแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเปลือกตาบางก็ยังไม่เปิดออก เวลาผ่านไปไม่นานมากนักแสงสว่างของพระอาทิตย์ยามสายสอดส่องลอดผ่านบานกระจกใสเข้ามาจนกระทบเปลือกตาบาง ทำให้เจ้าของเปลือกตาต้องพลิกตัวไปมาครู่นึงก่อนดวงตาสีรัตติกาลจะลอดพ้นจากเปือกตาบางออกมาดูโลก

                ธมนต์ขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อพบว่าสิ่งของรอบตัวมันไม่ใช่บ้านของเธอ แถมข้าวของยังตกแต่งด้วยเปือกหอยแถมเสียงคลื่นซัดฝั่งยังคงดังชัดเจน จนหญิงสาวต้องหันกลับไปยังต้นเสียง ดวงตาสีรัตติกาลเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจก่อนเจ้าตัวจะลุกจากเตียงราวกับคนละเมอเดินไปยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองไปยังท้องทะเลสีฟ้าครามมีประกายยิบยับเนื่องจากแสงอาทิตย์ส่องคลื่นน้ำ พื้นทะเลกว้างใหญ่ปลายสุดตัดรับกับขอบฟ้าพอดิบพอดี

                “ทะเล!” ธมนต์ดึงสติของตัวเองออกมาได้ เอ่ยออกมาเป็นคำแรก

                “ใช่ค่ะ ทะเลอันดามัน” เสียงราบนิ่งดังขึ้นด้านหลังพร้อมร่างเล็กของหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมฝาแฝดหญิงร่างอวบคู่หนึ่ง

                “สวัสดีค่ะ” ธมนต์ยกมือไหว้สวัสดีหญิงสาวร่างเล็กอย่างมึนงง

                “สวัสดีค่ะ ฉันนีรภาค่ะ หรือเรียกสั้นๆ ว่ารภาก็ได้ค่ะ” หญิงสาวร่างเล็กใบหน้ารูปเพชรบอกธมนต์ด้วยน้ำเสียงนิ่งราบอย่างเช่นตอนแรก ผิวซีดขาวของนีรภาดูเด่นชัดเมื่อหญิงสาวสวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นสีดำสนิท รูปร่างดูบอบบางตัวเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับเธอ “ปลายฝน ต้นหนาว เอาเสื้อผ้าของคุณมิ้นต์ไปวางไว้ ตรวจดูความเรียบร้อย แล้วเราออกไปกันเถอะ” นีรภาหันไปบอกฝาแฝดร่างอวบ

                ธมนต์มองทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่นาทีอย่างสงสัย หญิงสาวอยากจะเอ่ยถามว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วนีรภาคือใคร แต่เธอก็อ้ำอึ้งเกินกว่าจะพูดออกไป

                “มีอะไรจะถามก็ถามมาเถอะค่ะ” เป็นนีรภาเสียเองที่จับความรู้สึกของธมนต์ได้เอ่ยออกมาเป็นการเกรินนำ ใบหน้าเรียบนิ่งของนีรภาไม่ได้หันกลับมาสนมองธมนต์เลยสักนิดยามเอ่ยประโยคเมื่อครู่ เธอรู้ดีว่าธมนต์รู้สึกอย่างไร เธอจึงไม่หันกลับไปมอง เพราะว่าธมนต์จะอึดอัดมากกว่าเดิมเมื่อเจอใบหน้าและสายตาของเธอ จึงพยายามหยิบจับนั้นนี้เป็นการฆ่าเวลารอให้ธมนต์ถามออกมา

                “ถามได้ใช่ไหมคะ” ธมนต์ยังคงไม่แน่ว่าตัวเองสามารถถามได้จริงหรือเปล่า

                “ถามได้ค่ะ แต่ตอบได้ไหมอีกเรื่องนึง” นีรภายิ้มนิดๆ ดวงตาสีดำสนิททอดมองร่างอวบอั๋นของฝาแฝดสาวซึ่งกำลังเปลี่ยนผ้าปูนเตียงอยู่

                “ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ แล้วคุณคือใคร” ธมนต์ถามคำถามเบสิคประโยคพื้นๆ เมื่อพบว่าตัวเองอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้แถมคนตรงหน้าเธอยังไม่เคยเจอมาก่อนเลยสักครั้งในชีวิต

                “พี่จิณ... ไม่สิ พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พาคุณมาค่ะ ส่วนฉันคือใครเมื่อครู่ก็ได้บอกไปแล้ว” นีรภาหันมามองธมนต์ด้วยสายตานิ่งๆ ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดใดออกมา

                “ฉันไม่ได้หมายถึงชื่อคุณ ฉันหมายถึงว่า...” ธมนต์ไม่รู้จะอธิบายคำถามของตัวเองอย่างไร เธอไม่ได้ต้องการรู้ชื่อเสียงเรียงนามของร่างบอบบางตรงหน้า

                “ฉันเป็นอดีตภรรยานายหัวรัณค่ะ พี่ชายของพ่อเลี้ยงจิณ ที่มายืนอยู่ตรงนี้ก็เพราะว่าพ่อเลี้ยงจิณวานให้ฉันเข้ามาดูแลและอำนวยความสะดวกให้คุณตลอดช่วงเวลาที่คุณอยู่ที่นี่... บ้านพักริมใต้” นีรภาอธิบายทุกอย่างให้กระจ่างกว่าเดิม ธมนต์พยักหน้ารับรู้ทันทีเมื่อฟังอีกฝ่ายพูดจบ

                “จะเป็นอะไรไหมคะ ถ้าฉันจะถามอายุของคุณ” ธมนต์อ้ำอึ้งรู้ว่าไม่ควรถามคำถามแบบนี้แต่ก็อดไม่ได้เพราะคนตรงหน้าดูท่าจะเด็กอยู่มาก

                “ฉันอายุ 23 ค่ะ” นีรภาไม่ได้คิดอะไรมากตอบกลับไป

                “ฉัน 24 ค่ะ แก่กว่าคุณหนึ่งปี” ธมนต์พูดขึ้นอย่างเขินอาย นีรภาเองก็ทำได้แต่ยิ้มรับคำ

                “ที่นี่คือจังหวัดพังงาสินะคะ ฉันมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” ธมนต์ถามอีกคำถามเพราะเธอจำได้ว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์มีพี่ต่างอีกฝ่ายทำฟาร์มไข่มุกที่จังหวัดพังงา และหากเธอจำไม่ผิดเธอเพิ่งกลับบ้าน ความทรงจำครั้งสุดท้ายของเธอคือเธอเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ช่วงเวลาล่าสุดที่เธอจำได้แค่สองทุ่มครึ่งเธอยังนอนอยู่บนเตียงภายในห้องรับแขก

                “เช้ามืดค่ะ พ่อเลี้ยงจิณคงใช้ยานอนหลับกับคุณ ขนาดนั่งเครื่องบินส่วนตัวมาคุณยังหลับไม่รู้เรื่องเลย” นีรภามองใบหน้าของธมนต์อย่างสงสาร เธอไม่อยากให้หญิงสาวเข้ามาเกี่ยวข้องกับลูกชายตระกูลนี้เลย

                “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” ธมนต์เอ่ยขอบคุณนีรภาพร้อมกับมองฝาแฝดสาวยิ่งมายืนข้างเจ้านายเรียบร้อย

                “ถ้าต้องการอะไรเพิ่มขึ้นไปบอกฉันที่ห้องด้านบนได้เลยนะคะ ฝั่งซ้ายมือห้องแรกค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” นีรภาเอ่ยขอตัวก่อนจะพยักหน้าให้ฝาแฝดเดินตามตัวเองออกไป

                “เดี๋ยวค่ะ!” ธมนต์นึกอะไรขึ้นมาได้เรียกหญิงสาวร่างบอบบางเอาไว้เสียก่อน นีรภาชะงักปลายเท้าก่อนจะหันกลับมาเลิกคิ้วมองธมนต์อย่างสงสัย

                “คุณบอกว่าคุณเป็นอดีตภรรยาของพี่ชายพ่อเลี้ยงใช่ไหมคะ” ธมนต์เดินเข้าไปหาหญิงสาวพร้อมกับถามอีกฝ่ายด้วยความอยากรู้ที่แสดงออกชัดเจนบนใบหน้า

                “ถ้าฉันจำไม่ผิด ฉันบอกคุณไปแล้วรอบหนึ่งค่ะ” นีรภาไม่ตอบรับแต่สวนธมนต์กลับ

                “ถ้าอย่างนั้นคุณคือ คุณแม่ของน้องนาราใช่ไหมคะ”

                คำถามของธมนต์ทำเอานีรภาเบิกตากว้างอย่างตกใจ เธอไม่คิดว่าหญิงสาวจะรู้เรื่องนี้แถมตอนนี้ยังมีฝาแฝดยืนอยู่ตรงนี้เสียด้วย นีรภากำมือสั่นเทาของตัวเองเอาไว้แน่น

                “ปะ...” นีรภาสูดลมหายใจเข้าเพื่อบรรเทาอาการสั่นตกใจของตัวเอง ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “ปลายฝน ต้นหนาว ออกไปรอรภาข้างนอกก่อน”

                “ไม่ต้องปิดหรอกค่ะคุณรภา เราสองคนรู้เรื่องนี้มาจากแม่แล้วค่ะ” เสียงของปลายฝนตอบเจ้านายอย่างสงสารจับใจ

                “ไปรอรภาข้างนอก เดี๋ยวรภาตามออกไป” น้ำเสียงเบาบางเอ่ยบอก

                ฝาแฝดสาวพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปข้างนอกอย่างที่เจ้านายสาวสั่ง เมื่อฝาแฝดเดินออกไปแล้วนีรภาก็หันกลับมาสนใจธมนต์เช่นเดิม ดวงตาสีดำสนิทเต็มไปด้วยความสงสัยและคลอหยาดน้ำยามนึกถึงเจ้าของชื่อตัวเล็ก

                “ฉันเคยเป็นพี่เลี้ยงของน้องนาราช่วงหนึ่งค่ะ” ธมนต์ไขข้อข้องใจให้แก่หญิงสาวด้วยรอยยิ้ม

                “ละ... ลูกของฉันเป็นยังไงบ้างคะ” นีรภาถามเสียงสั่น เธอไม่ได้เจอลูกมาเกือบหนึ่งปีเต็ม ความคิดถึงมันยังอยู่ในใจของเธอตลอดเวลา เธอกำลังรอเวลาที่จะทำเรื่องบางอย่างให้จบลงเพื่อที่จะได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกสาวเพียงสองคนแม่ลูก

                “สบายดีค่ะ คุณกับน้องนาราไม่ค่อยเหมือนกันเลยนะคะ นอกจากริมฝีปากและดวงตา” ธมนต์สำรวจใบหน้าของนีรภาอย่างวินิจฉัยพูดออกมา ตามความคิดของตัวเอง

                “เขาเหมือนพ่อนะคะ ถอดแบบกันมาไม่มีผิด” นีรภาบอกด้วยรอยยิ้มกว้าง เป็นครั้งแรกตั้งแต่เจอหน้ากันที่ธมนต์เห็นใบหน้านิ่งเรียบแต้มรอยยิ้ม

                “นั่นสิค่ะ ฉันเองยังคงว่าน้องนาราเหมือนพ่อเลี้ยงจิณเลยค่ะครั้งแรกที่เจอ แสดงว่าพ่อเลี้ยงจิณกับพี่ชายคงคล้ายกันมาก”

                “สองคนนั่นถอดแบบคุณแม่รัศกับคุณพ่อจักรมาอย่างละครึ่งเลยนะคะ คงคล้ายกันบ้าง” นีรภาบอกไปตามความจริง หากได้เจอครอบครัวนี้รวมตัวกันเมื่อไหร่ จะดูออกทันทีเลยว่าใครถอดแบบใครออกมาได้ส่วนไหนจากแม่ จากพ่อบ้าง

                “รภา” เสียงเรียกชื่อของนีรภาดังขึ้นด้านหลังขัดประโยคคำพูดของธมนต์ ธมนต์เบี่ยงสายตาไปมองเพราะเธอจำเสียงนี้ได้ดี

                “พ่อเลี้ยงจิณ มีอะไรหรือเปล่าคะ” นีรภาถามอดีตน้องสามีและอดีตพี่ชายอย่างสงสัย

                “พี่รัณเขากำลังตามหาตัวรภาอยู่น่ะ ถ้าตรงนี้ไม่มีอะไรทำแล้วก็ไปหาเขาเถอะครับ”

ธมนต์เผลอกัดริมฝีปากของตัวเอง เมื่อได้ยินน้ำเสียงหวานอย่างรักใคร่เอ็นดูของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ที่พูดกับนีรภา เป็นอีกครั้งที่เธอได้ยินน้ำเสียงโทนนี้หลังจากห่างหายจากมันมานานพอควร พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ใช้น้ำเสียงโทนนี้เฉพาะกับคนในครอบครัวสินะ ไม่ว่าจะเป็นน้องนาราหรือนีรภา

“ขอตัวก่อนนะคะ” นีรภาเอ่ยขอตัวกับธมนต์ รองเท้าส้นเตี้ยสีดำก้าวเดินได้เพียงแค่ก้าวเดียวก็หยุดชะงักก่อนจะหันกลับมามองธมนต์อีกรอบ “เรื่องน้องนารา... หากไม่รบกวนจนเกินไปอย่าพูดอะไรที่เกี่ยวกับน้องนาราในสถานที่แห่งนี้ได้ไหมคะ” นีรภาพูดประโยคคำถามกึ่งคำสั่งออกมาหลังจากมองหน้าของธมนต์อยู่เพียงครู่นึ่ง

“ได้ค่ะ” ธมนต์รับปากออกไปโดยไม่รู้ว่าทำไม พอมองแววตาของนีรภาแล้วเธอก็เอ่ยตอบรับไปทันทีเสียอย่างนั้น

“ขอบคุณค่ะ รภาขอตัวก่อนนะคะพ่อเลี้ยงจิณ ถ้ามีอะไรอยากให้ช่วยบอกได้ตลอดเลยนะคะ” นีรภาบอกด้วยรอยยิ้ม เธอก้าวเดินออกไปเพียงแค่สองสามก้าวใบหน้าแต้มยิ้มก็แปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งดั่งเดิม ฝาแฝดสาวเดินตามหลังไม่ห่าง

“เรายังมีบัญชีที่ต้องเคลียร์กันอยู่นะ คุณนางบำเรอ” คล้อยหลังนีรภาพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงประชดประชันทันที

“เคลียร์อะไรคะ แล้วทำไมคุณต้องลักพาตัวฉันออกมาแบบนี้ด้วยค่ะ” ธมนต์ถามออกไปอย่างไม่เข้าใจในการกระทำของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เลยสักนิด

“แล้วใครใช้ให้เธอจะหนีฉันไปละ!” น้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ฉันไม่ได้หนีค่ะ ฉันแค่กลับบ้านเท่านั้น!” ธมนต์เถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน เธอไม่ได้หนีเพียงแค่แอบกลับบ้าน อีกอย่างเธอก็เขียนโพสอิทบอกเขาเอาไว้แล้ว

“ไม่ได้หนี แล้วทำไมไปไหนมาไหนไม่บอกฉันสักคำ! เธอรู้ไหมว่าฉันตามหาเธอไปจนทั่วทั้งไร่!” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อพบว่าธมนต์ตอบกลับมาทันทีว่าตัวเองไม่ได้หนีอย่างรวดเร็ว แถมท่าทางยังไม่มีพิรุธอะไรอีกเสียด้วย

“ฉันแค่ต้องการกลับบ้านค่ะ ฉันรู้ว่าคุณคงไม่อนุญาตถึงแอบออกมา แต่คุณไม่เห็นโพสอิทหน้ากระจกในห้องนอนของฉันเหรอคะ ฉันเขียนบอกคุณชัดเจนว่าจะไปไหนและจะกลับเมื่อไหร่!” ธมนต์บอกพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด

“ในห้องคุณไม่ได้จดหมายหรือข้อความอะไรสักอย่าง คุณรู้ไหมว่าผมโมโหมากแค่ไหนที่รู้ว่าคุณหนีไป”

“พ่อเลี้ยงคะ ฉันยังยืนยันคำพูดเดิมค่ะ ฉันไม่ได้หนีคุณ” ธมนต์ยืนยังเสียงแข็ง ดวงตาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อหญิงสาวยืนยันออกมาแบบนี้ เขารู้จักธมนต์ดีเธอจะไม่โกหกและเป็นคนตรงๆ เสมอ

“เอาเถอะ ผมไม่อยากทะเลาะกับคุณ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วออกไปทานข้าวข้างนอกด้วย ผมมีคนจะแนะนำให้รู้จัก” ความโกรธ โหโมโกธาทุกอย่างจางมลายหายไปทันที เมื่อได้ฟังคำยืนยันจากปากของหญิงสาว เขาใจไม่แข็งพอจะทำร้ายร่างบางตรงหน้าอีก ยิ่งมองใบหน้าของธมนต์ความกังวลทุกอย่างก็หายไปหมดไม่มีหลงเหลือสิ่งคาค้างใดใดทั้งสิ้น

*****

เป็นการทานอาหารครั้งแรกในชีวิตของธมนต์ที่เธอรู้สึกว่าตัวเธอเองอึดอัดจนทานไม่ลง ภายในโต๊ะอาหารฝั่งตรงข้ามเธอคืออดีตภรรยาอย่างนีภราถัดจากนีรภาก็เป็นรติรัตน์ภรรยาใหม่ของนายหัวภรัณยู และฝั่งของธมนต์ก็มีพ่อเลี้ยงจิณธนนท์นั่งติดกับนายหัวภรัณยูซึ่งอยู่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ฝาแฝดสาวร่างอวบเดินมาตักข้าวก่อนจะปลีกตัวออกไปยืนอยู่มุมด้านหลังของนายหัวภรัณยู ธมนต์ซ่อนมือสั่นเทาของตัวเองไว้ใต้โต๊ะอาหารเมื่อสิบนาทีก่อนเธอเดินออกมาจากห้องพักหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ พ่อเลี้ยงจิณธนนท์แนะนำพี่ชายและว่าที่ภรรยาใหม่ให้เธอได้รู้จักแถมยังแนะนำว่าเธอเป็นนางบำเรอของเขาให้ทั้งสามคนและลูกน้องบางคนได้ยิน ธมนต์ไม่ได้โกรธอะไรเพราะรู้ว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์คงจะพูดออกมาอย่างนี้อยู่แล้ว ความรู้สึกบางอย่างมันอัดแน่นอยู่ในอกยิ่งมองใบหน้าของนายหัวภรัณยูกับนีรภาแล้ว เธอยังรู้สึกแปลกประหลาดมันเหมือนมีอะไรบางอย่างระหว่างสองคนนี้ เหมือนธมนต์กำลังยืนมองตัวเองในอนาคตแต่มันต่างกันตรงที่นีรภาได้เป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายไม่เหมือนอย่างเธอที่เป็นได้เพียงแค่นางบำเรอ

“ที่จริงรัตน์ว่าจิณน่าจะพาคุณมิ้นต์ไปพักที่บ้านเรือนใหญ่ดีกว่านะ ที่นั่นสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน คุณมิ้นต์เธอจะได้อยู่แบบสบายๆ” รติรัตน์พูดขึ้นพลางตักอาหารใส่จานให้นายหัวภรัณยู

“พักที่นี่ก็สบายดี บ้านของรภาน่าอยู่กว่าเดิมตั้งเยอะเลยนะ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตอบรติรัตน์อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะบอกนีรภาด้วยรอยยิ้ม

“รภาโละของเก่าทิ้งไปหมดเลยน่ะค่ะ มันเลยดูดีขึ้นมากว่าเดิมมาก” นีรภาพูดขึ้นด้วยใบหน้านิ่งเรียบแต่สายตากลับมองนายหัวภรัณยูราวกับว่าต้องการสื่อความหมายในประโยคที่เพิ่งพูดออกไป

“ดีแล้ว ของเก่าไม่จำเป็น ไม่สำคัญก็ทิ้งมันไปซะ อย่าเก็บเอาไว้เลย” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นอย่างรู้ทันความหมายของคำพูดที่นีรภาพูดเมื่อครู่ หากจะว่าเขาเข้าข้างอดีตภรรยาของพี่ชายมันก็คงใช่ นั่นน้องสาวที่เขาเอ็นดูมากคนหนึ่งเลยนะ

“คุณรัตน์จะแต่งเมื่อไหร่เหรอคะ” ธมนต์ถามรติรัตน์เพื่อเบี่ยงประเด็นเรื่องของเก่าทิ้งไป เพราะบรรยากาศบนโต๊ะเริ่มเงียบจนเธออึดอัด ขนาดธมนต์เป็นคนนอกยังดูออกว่าพูดเรื่องอะไร แล้วคนที่สื่อความถึงจะไม่รู้เลยเหรอ ธมนต์เองก็กลั้นใจถามออกไปแบบนั้นทั้งที่ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมากนัก เพียงแค่พูดจากันผ่านๆ เท่านั้นเอง

“คงอีกไม่นานหรอกค่ะ ตอนนี้ขอทำใจเรื่องลูกก่อน” ธมนต์ชะงักมือที่กำลังตักผัดผักค้างกลางอากาศ เมื่อได้ยินคำพูดของรติรัตน์

“พี่รัตน์เขาเพิ่งแท้งไปนะคะ ไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหนถึงแท้งได้ ทั้งที่นอนอยู่บนเตียงนิ่งๆ แท้ๆ ก็ยัง... แท้งได้” หากมองไม่ผิดธมนต์คิดว่าตัวเองเห็นรอยยิ้มมุมปากยามนีรภาพูดประโยคเมื่อครู่ สงครามกลางโต๊ะอาหารกำลังเริ่มสินะ

“รัตน์เขาร่างกายไม่แข็งแรง อีกอย่างครรภ์เพิ่งสองเดือนมันอยู่ในช่วงที่แท้งง่ายอยู่แล้ว” นายหัวภรัณยูพูดขึ้นแทนว่าที่ภรรยาใหม่

ธมนต์ลอบมองคนกลางที่เพิ่งพูดขึ้นเมื่อครู่ อดคิดในใจไม่ได้ว่าทำไมถึงนิ่งได้ขนาดนั้นไม่รู้สึกอึดอัดหรืออะไรบ้างเลยเหรอ ทั้งที่อดีตภรรยาที่มีลูกด้วยกันและว่าที่ภรรยาใหม่ที่เพิ่งแท้งไปนั่งร่วมโต๊ะทานอาหารด้วยกันราวกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้

“น้องรภาคิดว่าพี่เป็นคนแบบไหนกันคะ ถึงได้พูดอะไรแบบนั้นออกมา” รติรัตน์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร

“แล้วพี่รัตน์เป็นคนแบบไหนกันล่ะคะ รภาว่าพี่รัตน์น่าจะรู้ตัวเองดีนะคะ ขนาดรภายังรู้ไปถึงสันดา.. อุ้ย! นิสัยของพี่รัตน์เลยค่ะ” นีรภาสวนกลับทันที พลางแสร้งพูดผิด

รติรัตน์ได้แต่ถลึงตามองนีรภาไม่กล้าพูดอะไรออกมาเพราะตอนนี้นีรภามีทั้งพ่อเลี้ยงจิณธนนท์และนายหัวภรัณยูปกป้องอยู่

พ่อเลี้ยงจิณธนนท์มองดูอดีตพี่สะใภ้ด้วยรอยยิ้ม เด็กสาวเรียบร้อยน่ารักน่าเอ็นดู โตขึ้นเยอะเลยสินะ อย่างน้อยการมาเยี่ยมพี่ชายครั้งนี้เขาก็ได้ถึงสองเด้ง ได้ทั้งธมนต์กลับอยู่ด้วยกัน ได้รู้ว่านีรภาน้องสาวสุดหวงของเขาเข้มแข็งพอจะต่อสู้กับศัตรูตัวฉกาจแล้ว

“ทานข้าวกันต่อเถอะ ก่อนบรรยากาศมันจะอึดอัดมากไปกว่านี้” นายหัวภรัณยูพูดขึ้น แกล้งทำเป็นไม่สนใจคำพูดของนีรภาเมื่อครู่ รติรัตน์เองก็พอจะรู้ว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้ก็ได้แต่กำมือแน่น

บรรยากาศการรับประทานอาหารไม่ได้คลายความตึงเครียดลงเลยสักนิด บนโต๊ะไม่ได้ไร้ประโยคสนทนาแต่มันก็มันดูน่าอึดอัดอยู่ดีสำหรับธมนต์

“คุณเล็ก!” เสียงของหญิงวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยความดีใจพร้อมก้าวเดินเข้ามายังโต๊ะอาหาร ธมนต์เงยหน้าขึ้นมองเห็นใบหน้าซีดเผือดแต่คงนิ่งจนแถบจับไม่ได้ของนีรภาซึ่งอาการเหล่านี้มันคล้ายกับว่านีรภากำลังกลัวอะไรบางอย่างอยู่ ธมนต์ละความสนใจกลับไปที่เจ้าของเสียงเรียกเมื่อครู่ก่อนจะเห็นหญิงวัยกลางคนรุ่นราวคราวเดียวกันป้าแม่ครัวที่บ้านพักเชิงดอยหรืออาจจะมากกว่านั้นไม่กี่ปีกำลังเดินตรงมายังโต๊ะอาหาร

“สวัสดีครับนมไพ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์สวมกอดแม่นมประไพอย่างแสนคิดถึง เขาไม่ได้เจอแม่นมประไพมาตั้งเกือบห้าหกปีเห็นจะได้

“แล้วคุณหนูนาราเป็นยังไงบ้างคะ นมเป็นห่วงจังเลย” แม่นมประไพถามขึ้น จนลืมไปว่านายหัวภรัณยูยังคงนั่งอยู่หัวโต๊ะ นีรภาหน้าซีดกว่าเดิมจนมีเม็ดเหงื่อเกาะบนหน้าผาก

“สบายดีครับ ตอนนี้อยู่กับคุณพ่อ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตอบกลับ เขาไม่ได้ลืมว่าพี่ชายยังนั่งอยู่ตรงนี้ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรสื่อความหมายจนพี่ชายจะจับประเด็นได้เสียหน่อย

“ได้ยินอย่างนี้นมก็หายห่วงแล้วละค่ะ” แม่นมประไพพูดออกมาอย่างโล่งอก

“น้องนาราคือใครครับนมไพ” เสียงเข้มของนายหัวภรัณยูถามขึ้นอย่างสงสัย ยิ่งทำให้ใบหน้านิ่งแต่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อของนีรภาซีดลงเรื่อยๆ เรื่องนี้ยิ่งน่าสงสัยใจมากขึ้นสำหรับนายหัวภรัณยูที่มองนีรภาออกหมด

“ผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีจะพามิ้นต์ไปเดินเล่นที่ชายหาดเป็นการย่อยอาหารหน่อยน่ะครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดตัดบท ก่อนจะดึงตัวเองออกมาจากบทสนทนาของครอบครัวพี่ชาย

เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของนีรภาให้เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะบอกหรือไม่บอกดีกว่า เพราะยังไงหลานสาวของเขาก็ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่จนต้องมานั่งคิดห่วงความรู้สึกอะไรแล้วตอนนี้ อีกอย่างหลานของเขาก็ไม่ขาดความอบอุ่นเลยสักนิด มีทั้งแม่ที่รักและปู่ย่าที่รักมาก มีเขาด้วยอีกฝ่ายที่เติมเต็มความรักจนเต็มล้นเปี่ยมให้แก่หลานสาว

ธมนต์ยกมือไหว้สวัสดีและไหว้ลากับแม่นมประไพก่อนจะลุกขึ้นเดินตามพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ออกไปจากบ้านพักริมใต้ หญิงสาวลอบมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มอยู่เป็นระยะ ขนาดที่ทั้งคู่กำลังเดินเท้าเปล่าอยู่บนชายหาดซึ่งห่างจากบ้านพักริมใต้ไม่มากนัก

“อะไรคะ” ธมนต์ถามขึ้นอย่างสงสัยเมื่อเธอลอบมองพ่อเลี้ยงจิณธนนท์อยู่ก่อนแล้ว จู่จู่ชายหนุ่มก็ยื่นมือขวาออกมาและหงายมันขึ้น

“อยากจับมือผมเดินไหม” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามขึ้นไม่ได้มองใบหน้าของธมนต์แต่อย่างใด และพยายามซ่อนใบหน้าแต้มยิ้มของตัวเองเอาไว้

ธมนต์ยกยิ้มขึ้น มือบางกำแน่นอย่างลังเล ก่อนจะวางมือบางของเธอลงบนมือหนา พ่อเลี้ยงจิณธนนท์กุมมือบางเอาไว้ทันทีเมื่อหญิงสาววางมือทาบทับลงมา

“มือฉันดูเล็กลงไปเลย เมื่อเทียบกับมือคุณ” ธมนต์มองมือที่จับกุมกันเอาไว้พลางเอ่ยขึ้น เธอไม่มีอาการอึดอัดหรือเขินอายจนทำอะไรไม่ถูกเพราะความคุ้นชินระหว่างเธอกับพ่อเลี้ยงจิณธนนท์มีมากพอสมควร

“มันบ่งบอกได้ว่าผมปกป้องคุณจากภัยอันตรายได้ไง” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดพลางหัวเราะในลำคอเมื่อนึกถึงคำพูดของตัวเอง

“นั่นสิค่ะ เพราะตอนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยยังไงไม่รู้” ธมนต์ก้มหน้าซ่อนแก้มใสที่แดงก่ำของตัวเองเอาไว้แสร้งมองดูปลายเท้าของตัวเองที่สร้างร่องรอยบนพื้นทรายสีขาว

“คุณรู้สึกดีใช่ไหม” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์หยุดเดิน ใช้มือข้างที่ว่างเชิดหน้าของธมนต์ขึ้นมาสบตา

ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมองเข้าไปนัยต์ตาของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างหาคำตอบบางอย่าง เธอไม่รู้ว่าต้องการอะไรจากแววตาของคนตรงหน้า ความรู้สึกมากมายตีรวนขึ้นมาจนหัวใจของเธอเต้นแรง

“คุณมองดูนั่นสิ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์รวบไหล่ของธมนต์ไว้ ก่อนจะดันร่างบางให้หันกลับไปมองเส้นทางที่เพิ่งเดินผ่านกันมา

“อะไรคะ” เป็นอีกครั้งที่ธมนต์ถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ดูรอยเท้าของคุณกับผมที่เดินคู่กันมาสิ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ชี้ให้หญิงสาวดู ธมนต์มองดูตามนิ้วชี้ของชายหนุ่มก่อนจะยิ้มออกมา

“รู้สึกดีใช่ไหม แค่คุณเดินคู่กับผมบนเส้นทางนี้ พอเรามองกลับไปมันให้ความรู้สึกดีใช่ไหมละ”

ธมนต์ไม่รู้จะตอบชายหนุ่มอย่างไร เธอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ที่มองเธออยู่ก่อน พลางพยักหน้าขึ้นลงเพื่อบ่งบอกว่าเธอก็รู้สึกเช่นนั้น เพียงแค่มองดูรอยเท้าสองคู่เดินเคียงข้างกันมา มันก็ทำให้เธอยิ้มได้ นี่คงเป็นอีกหนึ่งความทรงจำของเธอและเขา

“เย็นนี้ผมจะพาคุณมาดูพระอาทิตย์ตก คุณอยากมากับผมไหม” เป็นอีกคำถามที่ทำให้ธมนต์ต้องกัดปากอย่างห้ามรอยยิ้มของตัวเอง

“ฉันจะมากับคุณค่ะ” ธมนต์ตอบรับคำชวนของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ ใบหน้าของเธอก็พยายามกลั้นรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น