11

บาดหมาง



เบญญาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะลำบากเท่านี้มาก่อนเลย หญิงสาวใช้เงินเดือนหมดไปกับผลิตภัณฑ์ความสวยความงามจนไม่ได้คืนเงินที่หลอกยืมมาในนามของธมนต์ ต้องคอยหลบหน้าหลบตาเจ้าหนี้จนไม่เป็นอันได้ทำงาน

                “รู้อย่างนี้ไปยืมคนงานคนอื่นก็ดี” เบญญานึกโกรธตัวเอง ขณะยืนหลบมุมอยู่ภายในส่วนของรีสอร์ตซึ่งเธอรับงานพิเศษเพิ่มเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ที่ก่อเอาไว้

                แต่แล้วโชคชะตาก็ไม่เป็นใจ เพราะตอนนี้เจ้าหนี้ของเธอยืนพูดคุยกับแม่บ้านประจำรีสอร์ตอยู่ตรงหน้าเธอ            

                เบญญายืนมองดูลาดเลาอยู่นานก็ไม่เห็นว่าเจ้าหนี้ของเธอจะไปเสียที หญิงสาวจึงตัดสินใจโดดงานหนึ่งวัน โดยส่งข้อความไปบอกหัวหน้าแม่บ้านว่าตัวเองมีธุระ ไม่สามารถเข้าทำงานได้ ก่อนจะเดินออกจากรีสอร์ตตรงไปยังไร่องุ่นซึ่งอยู่ด้านล่างแทน

                “พี่หม่อน” เสียงของสุชาติตะโกนเรียกชื่อของเบญญา

                เมื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังเดินมาทางตัวเอง เบญญาพยายามส่งยิ้มหวานไปให้พร้อมกับก้าวเดินเข้าไปหา “เทียนเทียน ไม่ได้ทำงานเหรอวันนี้” เบญญาถามเสียงใส

                “วันนี้พ่อเลี้ยงเขาอยากอยู่กับ...เอ่อ...ไม่ได้ทำน่ะ” สุชาติเกือบหลุดออกไปเสียแล้วว่าพ่อเลี้ยงแห่งไร่ทางเหนือต้องการอยู่กับนางบำเรอสาวแสนสวยเพียงลำพัง จึงไล่เขาลงมาที่ไร่

                “พ่อเลี้ยงจิณทำไมเหรอ จะว่าไปหม่อนก็ไม่ได้เจอพ่อเลี้ยงจิณมาเกือบสองอาทิตย์แล้วนะ พ่อเลี้ยงเป็นอะไรหรือเปล่า” เบญญาถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าชะงักคำพูดบางอย่าง ใครจะรู้ว่าเธออิจฉาสุชาติมากแค่ไหนที่ได้ขึ้นไปทำงานที่บ้านพักเชิงดอย ทั้งที่เธอพยายามเสนอตัวแล้วแท้ๆ แต่พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็มองข้ามเธอไป

                “พ่อเลี้ยงจิณสบายดี สบายม้ากกก” สุชาติพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จะมีใครสบายไปกว่าพ่อเลี้ยงไม่มีแล้วล่ะ มีธมนต์นั่งตักคอยป้อนผลไม้ยามว่างอยู่ทุกวัน

                “บ้านพักเชิงดอยสวยไหมเทียนเทียน หม่อนอยากเห็นจัง เคยได้ยินแต่คนงานเขาเล่าลือกันมา ยังไม่เคยเห็นเลย” เบญญาพูดเปิดทางให้ตัวเอง แอบหวังว่าสุชาติจะยอมเอ่ยปากชวนเธอไปที่นั่น หากไม่ชวน เธอก็จะเสนอตัวไปเอง

                “สวยมาก เราไม่อยากจะโม้ ห้องพักแต่ละห้องนะ ตกแต่งด้วยไม้สักสีเหลืองอร่าม หน้าต่างทุกบานในบ้านมองออกมาเห็นวิวไร่ทางเหนือเลย” สุชาติเริ่มคุยโม้

                เบญญานึกอิจฉาอยู่ในใจ แต่ก็ต้องซ่อนเอาไว้ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม เธอเคยลองเดินไปดูบ้านพักเชิงดอย แต่ก็ไม่ได้เฉียดเข้าใกล้เลยสักครั้ง เพราะลูกน้องของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์มักยืนคุมอยู่รอบบ้าน แถมยังห้ามคนนอกเข้าใกล้เกินสิบเมตรอีกด้วย

                ภายนอกว่าสวยแล้วภายในต้องสวยยิ่งกว่า เบญญาเคยได้ยินมาว่าบ้านหลังนั้นพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตั้งใจทำเป็นเรือนหอแต่ก็กลายเป็นเรือนหอร้างอยู่นาน จนวันที่ธมนต์ถูกส่งตัวไปทำงานที่นั่น บ้านพักเชิงดอยจึงถูกปลุกให้มีชีวิตอีกครั้ง

                “หม่อนอยากเห็นจัง” เบญญาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราวกับเสียดายเต็มประดา

                “เทียนเทียนก็อยากพาหม่อนไปดูนะ แต่พ่อเลี้ยงจิณสั่งห้ามคนอื่นเข้าไป ถ้าหม่อนอยากเห็น...ลองพูดกับพี่มิ้นต์ดู เผื่อพี่มิ้นต์จะช่วยได้” สุชาติบอกประโยคหลังอย่างร่าเริงเสียงใส

                “ทำไมต้องพี่มิ้นต์ล่ะ” เบญญาไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองหน้าตึงแค่ไหนเมื่อได้ยินชื่อของธมนต์ แต่ก็ยังพยายามยิ้มหวานแม้จะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มแสร้งยิ้มไม่ออก

‘ทำไมต้องธมนต์ อะไรๆ ก็ธมนต์!’

                “ช่างเถอะ” สุชาติคันปากอยากจะบอก แต่ก็ต้องรักษาสัญญาที่ให้กับธมนต์เอาไว้จึงเอ่ยปัดไปราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

                “ไปทานของว่างกันไหม พอดีไม่มีงานต้องทำต่อ เทียนเทียนว่างใช่ไหม ไปด้วยกันนะ” เบญญาชวนเพื่อน (เกือบ) สนิทให้ไปรับประทานของว่างด้วยกัน เผื่อว่าเธอจะได้เลียบเคียงถามถึงความสัมพันธ์ของธมนต์กับพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ได้ง่ายขึ้น

                “ไปสิ อยากกินน้ำแข็งไสอยู่พอดี” สุชาติเองก็ไม่ปฏิเสธ

                ทั้งคู่เดินตรงไปยังโซนสองของไร่ทางเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหารมากมาย ตลอดทางทั้งคู่พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่คงมีเพียงแค่สุชาติเท่านั้นที่สนุกอยู่ฝ่ายเดียว เพราะเบญญาไม่รู้สึกสนุกด้วยเลยสักนิด

                นานเกือบชั่วโมงที่ทั้งคู่นั่งพูดคุยกันอยู่ภายในร้านกาแฟทางเหนือ โดยตรงหน้ามีทั้งฮันนีโทสต์และเครปเค้กวางอยู่ เบญญาแทบไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย แม้จะพยายามอย่างไรก็ไม่ได้ผล ดูท่าว่าสุชาติจะระวังคำพูดคำจาพอสมควร แต่สิ่งหนึ่งที่เธอได้รู้จากสุชาติคือ ธมนต์ไม่ได้ทำงานบ้านเลยสักอย่าง ทั้งที่ไปทำงานเป็นแม่บ้าน

                กรุ๊งกริ๊ง

                เสียงกระดิ่งขนาดปานกลางตรงบานประตูดังขึ้นเพื่อบ่งบอกว่ามีลูกค้าเข้าร้าน เบญญาหน้าตึงขึ้นกว่าเดิมเมื่อพบว่าใครเดินเข้ามาในร้าน

                “พี่มิ้นต์” สุชาติเรียกชื่ออีกฝ่าย พร้อมกับโบกไม้โบกมือเพื่อบอกว่าตัวเองนั่งอยู่ตรงนี้

                ธมนต์หันมายิ้มให้ ก่อนจะเดินเข้ามาหาคนทั้งคู่ “กำลังทำอะไรกันอยู่” ถามขึ้นทันทีแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลอีกมุมหนึ่งของโต๊ะ

                “พอดีเทียนเทียนลงมาเดินเล่นแล้วเจอหม่อนเข้า เลยชวนกันมาทานน้ำแข็งไส” สุชาติบอกพร้อมส่งสายตาถามธมนต์ว่าลงมาที่นี่ได้อย่างไร เพราะพ่อเลี้ยงจิณธนนท์สั่งห้ามเธอลงมา

                แต่ครั้งนี้หญิงสาวขอเขาแล้ว และเขาก็อนุญาตด้วย ธมนต์จึงได้แต่ส่งสายตาปรามสุชาติเพราะกลัวว่าความลับของเธอจะรั่วไหล

                “พี่มิ้นต์มาได้ยังไงคะ” เป็นเบญญาเองที่ถามออกมา เมื่อเห็นว่าทั้งธมนต์และสุชาติเอาแต่ส่งสายตากันไปมา เบญญาพยายามควบคุมน้ำเสียงของตัวเองให้นิ่งที่สุด ไม่ให้หลุดเสียงตวัดออกมา

                “พี่อยากลงมาเล่นด้านล่างบ้างน่ะ เลยขอติดรถพ่อเลี้ยงลงมา” ธมนต์บอกก่อนจะสั่งเครื่องดื่มมานั่งดื่มเล่น อยู่แต่ในบ้านแทบจะไม่เห็นเดือนเห็นตะวันจึงต้องออกปากขอลงมาด้านล่างบ้าง

                “แล้วพี่มิ้นต์จะกลับตอนไหน เดี๋ยวกลับพร้อมเทียนเทียนนะ” สุชาติเสนอความคิดเห็น

                “ได้ แต่ต้องรอพ่อเลี้ยงเคลียร์งานเสร็จก่อนนะ”

                “ตอนนี้พ่อเลี้ยงจิณอยู่ที่เรือนสำนักงานเหรอพี่มิ้นต์” เบญญาถามขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความหวัง

                “พี่คิดว่าน่าจะใช่นะ เห็นเขาบอกว่าจะลงมาจัดการเอกสารบางอย่าง ก็คงอยู่ที่เรือนสำนักงานแหละมั้ง” ธมนต์ตอบพร้อมยิ้มหวานให้พนักงานเสิร์ฟที่กำลังวางเครื่องดื่มลงบนโต๊ะ

                เบญญามองใบหน้าของธมนต์กับสุชาติสลับกันไปมา กำลังคิดหาทางไปพบพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ให้ได้ แต่เธอจะออกไปจากร้านกาแฟแห่งนี้ได้อย่างไรกัน เบญญาครุ่นคิดอยู่นานพอสมควร โดยไม่สนใจฟังบทสนทนาของธมนต์และสุชาติเลยสักนิด

                “น้องมิ้นต์!” เสียงของหัวหน้างานร้านทางเหนือชอปดังขึ้นด้านหลังของธมนต์ ทำเอาเบญญาหน้าซีดเผือด

                “สวัสดีค่ะ” ธมนต์ยกมือไหว้อดีตหัวหน้างานของตัวเองพร้อมส่งยิ้มให้

                “น้องมิ้นต์อยู่พอดีเลย พอดีพี่ต้องใช้เงิน อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะคะ พี่ไม่ได้จะทวงเลยจริงๆ นะคะ” หัวหน้างานพูดอย่างอ้อมค้อม

                ธมนต์ฟังแล้วไม่เข้าใจว่าหัวหน้างานต้องการใช้เงินแล้วมันเกี่ยวข้องกับเธออย่างไร

                เบญญากำมือแน่นอย่างไร้ซึ่งทางออก สายตาหลุกหลิกอย่างหวาดกลัว หากมีใครสังเกตก็จะเห็นความผิดปกติ

                เสียงโทรศัพท์มือถือของเบญญาดังขึ้น ก่อนที่ธมนต์จะได้พูดอะไรออกมา เบญญาโล่งใจอย่างน่าประหลาด มือบางสั่นเทาก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนเก้าอี้อีกตัว

                “ค่ะแม่” เบญญาตอบกลับปลายสายทันทีเมื่อกดรับเรียบร้อย

                “ขอตัวก่อนนะคะ” เบญญาหยิบกระเป๋าสะพายและเดินคุยโทรศัพท์ออกไปนอกร้าน

                ธมนต์ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร จึงหันกลับมามองหน้าอดีตหัวหน้างานเช่นเดิม “พี่ต้องการใช้เงินอะไรคะ” ธมนต์ถามขึ้นโดยมีสุชาตินั่งมองอย่างสงสัยเช่นเดียวกัน

                “เอ้าอีนี่! มึงพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง ยืมเงินแล้วไม่คิดจะคืนใช่ไหม ฮะ!” ธมนต์ตกใจกับน้ำเสียงพร้อมกับการตบโต๊ะจนแก้วเครื่องดื่มของเธอหกกระจาย

                ไม่ต่างจากสุชาติที่สะดุ้งสุดตัวไปกับสรรพนามที่แปรเปลี่ยนเป็นคำไม่สุภาพทันทีเมื่ออารมณ์ของผู้พูดอยู่เหนือการควบคุม

                “มิ้นต์ว่าพี่ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ” ธมนต์พยายามพูดเกลี้ยกล่อม

                “ไม่เย็นแล้วโว้ย นี่ทวงมาสองสามครั้งแล้วก็บ่ายเบี่ยงตลอด ดอกก็ไม่ยอมจ่าย”

                “มิ้นต์ยืมเงินพี่ตอนไหนคะ” เธอไม่เคยยืมเงินจากใครทั้งสิ้น

                “ยังจะมาถามอีก ก็มึงให้น้องหม่อนมายืมเงินกู บอกว่าไม่พอใช้ ไอ้กูก็ใจดียอมให้เพราะคิดว่าคนกันเอง ถ้ารู้ว่าให้แล้วจะต้องมาทวงคืนแบบนี้กูไม่ให้ยืมหรอก” อีกฝ่ายพูดเสียงดังจนหัวหน้าร้านกาแฟต้องเข้ามาห้าม และเชิญทั้งสามคนออกจากร้านเนื่องจากลูกค้าในร้านตกใจและอาจจะส่งผลเสียต่อไร่

                “มิ้นต์ให้หม่อนมายืมเงินพี่?” ธมนต์ถามขึ้นเมื่อเริ่มจับประเด็นได้แล้ว

                “ใช่ มึงให้น้องหม่อนมายืมเงินกูห้าพันบาท ไม่ใช่แค่กูนะ นังตาลก็โดนอีกห้าพัน!”

                “รวมเป็นหนึ่งหมื่นบาท ถ้าอย่างนั้นพี่ตามมิ้นต์มาค่ะ เดี๋ยวมิ้นต์จะกดเงินคืนให้” ธมนต์เดินไปยังตู้กดเงินใกล้ๆ

                สุชาติรีบเดินเข้ามาคล้องแขนหญิงสาวพร้อมถามเสียงเบา “พี่มิ้นต์ พี่ยืมเงินเขาจริงๆ เหรอ หนึ่งหมื่นเลยนะ ทำไมไม่ขอพ่อเลี้ยง”

                “เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน” ธมนต์บอกเพียงเท่านั้น ทั้งที่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และที่เธอยอมใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อไว้ เพราะไม่ต้องการต่อล้อต่อเถียงกับอดีตหัวหน้างานเก่าของเธออีกต่อไป แต่เหนือสิ่งอื่นใด เธออยากพูดคุยกับใครอีกคนมากกว่า

                “นี่ค่ะ ห้าพันบาท ส่วนนี่ดอกเบี้ย” ธมนต์ยื่นเงินให้ไป

                อดีตหัวหน้างานยิ้มออก เมื่อได้รับเงินคืนพร้อมดอกซึ่งเยอะกว่าที่คิดเอาไว้อีก

                “คืนง่ายๆ แบบนี้ก็จบแล้ว”

                “พี่ตาลอยู่ที่ร้านใช่ไหมคะ” ธมนต์ถามถึงเจ้าหนี้อีกคน

                “อืม มันทำงานอยู่ที่ร้านนั่นแหละ พี่ไปแล้วนะน้องมิ้นต์ วันหลังเดือดร้อนก็มาพิงพี่ได้นะ”

                สุชาติเบ้ปากทันทีเมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่

                “ไปกันเถอะเทียน พี่มีเรื่องต้องจัดการ” ธมนต์บอกอย่างมุ่งมั่น เดินไปยังร้านทางเหนือชอปก่อนจะใช้หนี้ให้พี่คนงานอีกคน พร้อมถามไถ่เรื่องราวบางอย่าง

                “เทียนเทียนไม่คิดว่าหม่อนจะเป็นคนแบบนี้เลยนะพี่มิ้นต์” สุชาติพูดขึ้นเมื่อรู้ว่าคนที่มายืมเงินและใช้ชื่อของธมนต์แอบอ้างคือใคร เขาจะไม่ปักใจเชื่อเลยถ้าไม่แอบเห็นสลิปตอนที่ธมนต์กดเงินออกมา มีเงินเป็นแสนจะไปยืมคนอื่นมาใช้ทำไม

                “หม่อนเขาอาจจะมีปัญหาอะไรบางอย่างน่ะ” ถึงจะพูดออกมาแบบนั้น แต่ธมนต์กลับไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูดเลยสักนิด

 

                ธนานพนั่งมองใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เพื่อนสนิทที่กำลังบ่ายเบี่ยงตอบคำถามเขาด้วยการนั่งตรวจสอบงานตรงหน้าราวกับว่ามันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข ทั้งที่ความจริงแล้วมันก็แค่การอ่านเอกสารงานทั่วไปที่เลขานุการอย่างแพรไหมตรวจทานมาแล้วก่อนส่งถึงมือเจ้านาย

                “ตอบฉันมาเถอะน่า งานตรงหน้าแกแทบจะไม่มีอะไรให้อ่านอยู่แล้วนะ” ธนานพพูดขึ้นพลางยกมือเท้าคางกับโต๊ะทำงานของเพื่อนสนิท และยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจ้องมองอีกฝ่ายให้ชัดเจนขึ้น

                พ่อเลี้ยงหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าทำงานต่อ จนธนานพถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่ร้อย

                “บ่ายเบี่ยงแบบนี้ แสดงว่าต้องมีอะไรแน่ๆ แกทำอะไรคุณมิ้นต์ของฉันวะ” ธนานพถามขึ้นทันทีเมื่อจับอาการผิดสังเกตของอีกฝ่ายได้

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ชะงักปลายปากกาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวางลงบนกระดาษ แล้วเงยหน้าสบตาเพื่อนสนิทตรงๆ

                “แกมีปัญหาอะไรมากมายกับผู้หญิงของฉันกันนักวะ”

                ธนานพขมวดคิ้วทันที เมื่อได้ยินคำว่า ‘ผู้หญิงของฉัน’ อย่างชัดเจน

                “ผู้หญิงของแก หมายถึงแบบไหน ลูกน้องน่ะเหรอ...หึๆ” ธนานพส่ายหน้าไปมาอย่างช้าๆ

                “ผู้หญิงของฉัน คำนี้มันชัดเจนมากๆ เลยนะไอ้นพ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เน้นย้ำคำพูดของตัวเองอย่างใจเย็น

                “อธิบายให้มันชัดเจนสิ ฉันจะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่าแกกำลังหวงก้าง” ธนานพยืดตัวขึ้นจนแผ่นหลังตั้งตรง

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถอนหายใจหนัก เมื่อเพื่อนสนิทที่จ้องจะตีท้ายครัวเอาแต่เซ้าซี้ให้เล่าเรื่องระหว่างเขากับธมนต์ เขามองใบหน้าเพื่อนอย่างลังเล ก่อนจะตัดสินใจเล่าให้เพื่อนฟังทั้งหมดอย่างไม่ปิดบัง

                “ฉันไม่ชอบเรื่องนี้เลยว่ะ เลิกทำมันซะ ก่อนที่แกจะกลายเป็นคนไม่ดีในสายตาฉัน” ธนานพพูดขึ้นทันทีเมื่อฟังเรื่องราวในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่จากปากของเพื่อนสนิท

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์นิ่งเงียบ ไม่เอ่ยตอบเพื่อนแต่อย่างใด เพราะเขารู้ดีว่ามันจะเป็นแบบนี้หากเล่าเรื่องพวกนี้ให้คนอื่นฟัง

                “คุณมิ้นต์เธอไม่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยสักนิด ที่จริงเธอตกอยู่ในสถานะเดียวกับแกด้วยซ้ำ แต่แกก็คิดจะแก้แค้นเธอ เพราะความโกรธมันบังตาอย่างนั้นเหรอ” ธนานพพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปนโมโห อาการโกรธของเขาในตอนนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าสาเหตุมันมาจากเรื่องใด

                “แกเป็นเพื่อนสนิทและคนที่รู้ใจฉันที่สุด ฉันคิดว่าแกน่าจะเดาออกนะ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดเพียงเท่านั้น ก่อนจะก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อไป

                ธนานพมองใบหน้าของเพื่อนสนิท ก่อนที่ความคิดต่างๆ จะไหลเวียนเข้ามาในหัว ซึ่งมีทั้งด้านดีและไม่ดี จนแยกไม่ออกว่าควรจะเข้าใจเพื่อนสนิทหรือไม่เข้าใจกันแน่

                “ครั้งแรกที่แกพบธมนต์ แกคิดยังไงถึงรับเธอมาทำงานในไร่ของฉัน” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นลอยๆ แต่มันกลับฉุดความคิดของธนานพให้หยุดลงได้

                ธมนธรรมดูสวยโดดเด่น และที่สำคัญเธอตรงสเปกของเพื่อนสนิทของเขาเลยละ คราวนี้สนุกแน่ๆ พ่อเลี้ยงจิณแห่งไร่ทางเหนือคงตบะแตก ตะครุบเหยื่อสาวทันที

                “เธอตรงสเปกแกทุกอย่าง” ธนานพพูดขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้

                “ใช่ แค่นี้แกก็น่าจะเดาออกแล้วใช่ไหมว่าตอนนี้ฉันรู้สึกยังไง” อีกฝ่ายตอบรับคำพูดของเพื่อนสนิทก่อนจะช่วยไขความกระจ่าง

                เขาเองก็ยังตอบได้ไม่เต็มปากนักว่าความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้คืออะไรกันแน่ อาการอยากเจอธมนต์จนทำให้เขาต้องหาข้ออ้างไปพบหลานสาวได้แทบทุกวัน บวกกับอะไรหลายๆ ที่มันเริ่มชัดเจนขึ้น แต่ก็ยังคงได้คำตอบไม่ชัดเจนนัก

                ธนานพเดาได้ในทันทีว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเพื่อนสนิทกับธมนต์เริ่มต้นขึ้นที่คำว่าแก้แค้น แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าคำพูดนั้นกำลังสานสัมพันธ์ให้แก่ทั้งคู่ ธนานพได้แต่พยักหน้าราวกับเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยลาไปทำธุระให้บิดาในตัวเมือง

               

                ด้านเบญญาหลังเดินออกมาจากร้านกาแฟได้ก็รีบคุยโทรศัพท์กับแม่เรื่องที่สามีใหม่ของแม่ติดคุกเพราะคดีทะเลาะวิวาท และแม่ของเธอก็ต้องการเงินไปประกันตัว เบญญาได้แต่บอกปัดไปก่อน เพราะตอนนี้หญิงสาวยังไม่มีเงินพอ

                 เบญญาเดินตรงมายังเรือนสำนักงาน ก่อนจะพบว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์กำลังสั่งงานคนงานในไร่อยู่ในไร่องุ่น หญิงสาวทำทีว่ากำลังพูดคุยโทรศัพท์เสียงดังเพื่อเรียกความสนใจจากอีกฝ่าย และมันได้ผล

                “เบญญา คุณมาทำอะไรที่นี่” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามขึ้นเมื่อหันกลับมาพบอีกฝ่ายยืนคุยโทรศัพท์อยู่

                “พ่อเลี้ยงจิณ!” เบญญาแสร้งพูดเสียงดังอย่างตกใจ ก่อนจะทำท่ากดตัดสายโทรศัพท์ “พ่อเลี้ยงจิณมาเคลียร์งานเหรอคะ” เบญญาถามขึ้นพร้อมยิ้มหวาน

                “ครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์รับเสียงเบา เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับอีกฝ่ายอย่างเมื่อหลายวันก่อนอีกแล้ว ความรู้สึกนั้นมันหายไปอย่างไร้ร่องรอย

                “พอดีเลยค่ะ หม่อนเองก็เดินเล่นคุยโทรศัพท์กับแม่ ผ่านมาทางนี้ ไม่คิดว่าจะได้เจอพ่อเลี้ยงจิณที่นี่ นี่หม่อนไม่ได้เจอพ่อเลี้ยงจิณมานานแล้วนะคะ” เบญญาพยายามบอกพ่อเลี้ยงหนุ่มเป็นนัยว่าเธอเองก็แอบเก็บข้อมูลเขาเอาไว้

                “ครับ ผมมีเรื่องต้องจัดการต่อ ขอตัวนะ”

                แววตาแข็งกร้าวขึ้นมาทันที เบญญามองตามร่างสูงไปอย่างโมโหที่อีกฝ่ายไม่สนใจเธอเลย

                “ใบหม่อน!”

                เบญญารู้ทันทีว่าเสียงนี้คือเสียงของใคร

                ธมนต์ส่งเสียงเรียกเบญญาเอาไว้ ก่อนจะลงมาจากรถจักรยานซึ่งมีสุชาติเป็นคนปั่น หญิงสาวเดินตรงมายังจุดที่เบญญายืนอยู่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยและต้องการคำตอบของทุกเรื่อง

                “มีอะไรคะ” เบญญาเสียงแข็งอย่างจับสังเกตได้

ธมนต์มองคนที่ตัวเองคิดว่าเป็นน้องสาวมาตลอดอย่างอดตัดพ้อไม่ได้ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำแบบนี้กับเธอได้ลงคอ เบญญาเปรียบเสมือนน้องสาวแท้ๆ คนหนึ่งที่เธอจะพึ่งพิงในขณะที่อยู่ที่นี่

                “ทำไมหม่อนต้องใช้ชื่อพี่ไปแอบอ้างยืมเงินจากคนอื่นแบบนั้นด้วย” ธมนต์ถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจและต้องการคำตอบ

                “พี่มิ้นต์พูดอะไรคะ หม่อนไม่เข้าใจ” เบญญาตีหน้านิ่งทำราวกับว่าไม่รู้เรื่อง

                “พี่ไม่เคยคิดเลยนะว่าเราจะเป็นคนแบบนี้” ธมนต์พูดออกมาอย่างตัดพ้ออีกรอบ

เบญญาคนที่เธอรู้จักไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาบดบังตัวตนที่แท้จริง ธมนต์ไม่ได้โง่จนดูไม่ออกว่าคนตรงหน้าของเธอตอนนี้เป็นเช่นไร ถ้าเบญญายอมรับว่าใช้ชื่อของเธอและมีปัญหาเรื่องเงินจริงๆ เธอจะยอมเชื่อ เพราะเธอคิดเสมอมาว่าอีกฝ่ายคือน้องสาว ถ้าน้องสาวลำบากจริงๆ มีหรือที่พี่อย่างเธอจะไม่ยอมช่วยเหลือ

                “พี่มิ้นต์กำลังกล่าวหาหม่อนนะคะ” เบญญาโต้กลับ เมื่อรู้สึกว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายบ่งบอกถึงความสงสัยและเอือมระอา

                “มีเรื่องอะไรกัน” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามเสียงดังพร้อมกับเดินเข้ามาหยุดอยู่ด้านหลังธมนต์

                สุชาติที่นั่งอยู่บนอานรถจักรยานรีบลงจากรถและวิ่งเข้ามาหาธมนต์ทันที

                “พ่อเลี้ยง...” เบญญาพูดเสียงอ่อยอย่างตกใจก่อนจะคิดอะไรได้ “พ่อเลี้ยงคะ คือหม่อนไม่รู้เรื่องเลยนะคะ อยู่ดีๆ พี่มิ้นต์ก็มาหาเรื่องหม่อน กล่าวหาว่าหม่อนแอบอ้างเอาชื่อพี่มิ้นต์ไปยืมเงินจากคนงาน” เบญญาแสร้งทำหน้าเศร้าหวังให้พ่อเลี้ยงหนุ่มเห็นใจ เพราะยังคงคิดว่าอีกฝ่ายสนใจตัวเองอยู่

                “เหอะ!” ธมนต์ส่งเสียงออกมาเพียงเท่านั้น เธอแทบพูดอะไรไม่ออกเลยด้วยซ้ำ

                “จริงเหรอมิ้นต์” น้ำเสียงถามขึ้นอย่างสงสัยทำเอาธมนต์มองหน้าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทันที

 เธอไม่คิดว่าเขาจะไม่เชื่อใจเธอขนาดถึงต้องถามออกมา ไม่คิดว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์จะมองเธอด้วยแววตาสงสัย แถมยังมีความเป็นไปได้ว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เชื่อคำพูดคนอื่นมากกว่าเธอ ในขณะที่ธมนต์มองพ่อเลี้ยงจิณธนนท์อยู่นั้นด้านเบญญาก็ได้แต่ลอบยิ้มให้ธมนต์และสุชาติได้เห็น

                “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะคะ” ธมนต์ถามกลับไม่ยอมตอบคำถาม ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมองอีกฝ่ายอย่างท้าทาย

                “ในเมื่อคุณไม่พูด ผมจะถือว่าคุณใส่ร้ายเบญญาตามที่เบญญาพูด ต่อไปนี้อย่างทำแบบนั้นอีกก็แล้วกัน” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดในสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในใจของตัวเองออกมา เขาไม่คิดว่าธมนต์จะเป็นคนแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอมองสายตาท้าทายของธมนต์มันพลอยทำให้เขาคิดว่าแกล้งอีกฝ่ายเล่นไปเสียอย่างนั้น

                “พ่อเลี้ยง คือว่า...” สุชาติพยายามจะพูดแต่ธมนต์กลับขัดขึ้นมาก่อน

                “ช่างเถอะเทียน ปล่อยให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์คิดไปเถอะ... ความคิดมันบ่งบอกทุกอย่าง” ธมนต์พูดขึ้นพร้อมกับเดินออกไปไม่สนใจสายตาวูบไหวของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เลยสักนิด สุชาติยืนลังเลอยู่นานแต่ก็ยอมวิ่งตามหลังธมนต์ไป

                เบญญายิ้มอย่างดีใจที่พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ยังเข้าข้างตัวเองแถมยังตอกหน้าธมนต์ไปอย่างนั้น หญิงสาวปั้นหน้าเศร้าอย่างแสร้ง

                “พี่มิ้นต์เขาไม่ผิดนะคะ พ่อเลี้ยง” เบญญาพูดเสียงอ่อยราวกับว่าเห็นใจธมนต์หนักหนา

                “ใช่เขาไม่ผิด คุณไปเถอะ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดออกมาพร้อมเอ่ยปากไล่เบญญาให้กลับไป

เบญญาขมวดคิ้วยุ่ง เธอไม่เข้าใจคำพูดของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ที่ราวกับว่ากำลังไล่เธออยู่กลายๆ ทั้งที่เพิ่งปกป้องเธอไปเมื่อครู่

                “แต่พี่มิ้นต์เองก็ไม่น่าเอาชื่อของหม่อนมาพูดเสียๆ หายๆ แบบนี้นะคะ” เบญญาพยายามพูดให้เป็นกลางเพื่อให้ตัวเองดูดีออกมา โดยแสร้งไม่สนใจคำพูดของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เมื่อครู่

                “กลับไป!” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นเสียงแข็งพร้อมมองเบญญาอย่างไม่พอใจ เบญญามึนงงกับท่าทีของชายหนุ่ม แต่ก็จำยอมเดินออกไปตามคำสั่งของอีกฝ่าย หญิงสาวกำมือทั้งสองข้างที่จับอยู่บนสายสะพายกระเป๋าแน่นอย่างเก็บกด

                “สักวันคุณจะต้องก้มลงแทบเท้าของฉัน!” เบญญาพูดอย่างหมายมั่นและเจ็บใจในเวลาเดียวกัน

*****

                ด้านธมนต์หลังจากเดินออกมา เธอก็บอกให้สุชาติหาคนพาตัวเองกลับไปยังบ้านพักเชิงดอยทันที หญิงสาวเดินหน้านิ่งเข้าไปในตัวบ้าน พยายามซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ภายใต้อาการนิ่ง เธอจะไม่อ่อนแอเด็ดขาด พอแต่คิดถึงคำพูดและใบหน้ายามเอ่ยถามเธอของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ น้ำตาก็พลอยไหลอาบแก้มจนธมนต์ได้แต่ปัดมันออกไป

                สุชาติเองก็เดินตามร่างบางมาอย่างเงียบๆ รู้สึกสงสารจับใจ ยิ่งเห็นธมนต์เช็ดน้ำตาออกจากแก้มยิ่งทำให้สุชาติรู้สึกแย่ไปด้วย เมื่อเห็นว่าธมนต์เดินเข้าไปในห้องพักแล้วจึงเริ่มหางานทำฆ่าเวลาว่าง

                ไม่นานนักเสียงรถยนต์ก็ดังขึ้น สุชาติแอบเดินออกมาดูเมื่อเห็นว่าเป็นรถพ่อเลี้ยงจิณธนนท์จึงเดินกลับเข้าบ้านอย่างไม่สนใจ เพราะแอบเจ็บใจแทนธมนต์ไม่หาย

เมียตัวเองแท้ๆ ยังเข้าข้างคนอื่น

สุชาติได้แต่คิดในใจ

                “มิ้นต์ล่ะสุชาติ” เสียงเข้มถามขึ้นทันทีเมื่อเดินเข้ามาในตัวบ้าน

                สุชาติเชิดหน้าทำราวกับว่าไม่ได้ยินคำถามของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ มือไม้ก็ปัดกวาดเช็ดถูไปเรื่อย

                “ได้ยินที่ฉันถามไหม! มิ้นต์อยู่ไหน” เสียงเข้มดังขึ้นอีกครั้ง สุชาติลอบหายใจก่อนจะชี้มือไปยังห้องพักของธมนต์แทนคำตอบ พ่อเลี้ยงจิณธนนท์มองสุชาติอย่างคาดโทษก่อนจะเดินตรงไปยังห้องพักของหญิงสาว

                ก๊อก ก๊อก

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เคาะประตูสองสามทีเพื่อบอกให้คนด้านในเดินออกมาเปิดประตูให้ หากเป็นช่วงเวลากลางคืนเขาคงไม่เสียเวลาเคาะแบบนี้หรอก ไขกุญแจแปปเดียวก็ได้เข้าไปแล้ว

                ธมนต์ปาดน้ำตาออกจากใบหน้าก่อนจะเดินออกมาเปิดประตูให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ เธอรู้ว่าเป็นอีกฝ่ายตั้งแต่ได้ยินเสียงที่เอ่ยถามสุชาติแล้ว

                “ร้องไห้ทำไม” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามออกอย่างตกใจ เมื่อพบใบหน้าของธมนต์ที่ตอนนี้ดวงตาสีรัตติกาลนั้นแดงก่ำ

                “เปล่าค่ะ” ธมนต์ตอบเสียงนิ่ง ยังอดน้อยใจพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่ได้ที่เขาเชื่อคนอื่นมากกว่าเธอ

                “น้อยใจผมเหรอ” คำถามเข้าประเด็นทำเอาธมนต์มองอีกฝ่ายทันที

                “คิดไปเองหรือเปล่าค่ะ ฉันไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะมานั่งน้อยใจคุณได้” ธมนต์พูดขึ้นพร้อมกับเดินไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

                “ตอนนั้นผมถามทำไมคุณไม่เล่า ถ้าคุณเล่าออกมาเรื่องมันก็คงไม่ออกมาเป็นแบบนี้หรอก” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปหาธมนต์ก่อนจะจ้องมองใบหน้าสวยในกระจกเงา ยิ่งมองดวงตาสีรัตติกาลที่แดงก่ำยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดจนต้องรวบไหล่ไหล่บางให้เอนเข้าหาตัวเองก่อนจะกอดเอาไว้อย่างหลวมๆ ลูบเบาๆ ที่ต้นแขนคล้ายกับกำลังปลอมประโลม

                ธมนต์ขืนตัวลุกขึ้น เธอไม่อยากให้เขาแตะต้องตัวเธอ แววตาตอนที่เขามองเธอมันยังคงชัดเจนอยู่ พ่อเลี้ยงจิณธนนท์มองมาที่ธมนต์อย่างสงสัย เพราะธมนต์ไม่เคยปฏิเสธสัมผัสจากเขาเลยตั้งแต่ตกลงกันได้ในวันนั้น

                “ฉันไม่อยากให้คุณโดนตัวฉันค่ะ” ธมนต์พูดขึ้นพร้อมกับก้าวถอยหลังออกมาสามก้าว

                “มิ้นต์” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดเสียงอ่อย เมื่อรู้ว่าทำไมหญิงสาวถึงไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้หรือสัมผัส

                “ความคิดมันบ่งบอกทุกอย่างค่ะ” ธมนต์ย้ำประโยคนี้ขึ้นมาอีกรอบ

                “ความคิดของคุณมันบอกคุณไหมว่าคุณเป็นอะไรกับผม! คุณเป็นเมียผม! ทำไมผมจะเข้าใกล้หรือโดนตัวคุณไม่ได้” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นอย่างมีน้ำโมโห ในเมื่อหญิงสางกำลังทำเรื่องเล็กให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่

                “บอกค่ะ ความคิดของฉันบอกว่าฉันเป็นเมียคุณในฐานะนางบำเรอ ซึ่งฉันมีสิทธิ์จะเลือกให้คุณเข้าใกล้ได้หรือไหม ถ้าเมื่อไหร่ฉันเป็นเมียตามกฎหมายวันนั้นค่อยยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดนะคะ” ธมนต์ตอกกลับอ้างเรื่องบ้าบอ ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่ามันต่างกันตรงไหน เธอแค่อยากเอาชนะเขาแค่นั้นเอง

                “หึ... นางบำเรอมันก็เป็นได้แค่นางบำเรออยู่วันยังค่ำ” คำพูดของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทำเอาหัวใจของธมนต์กระตุกวูบ

                “ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้หวังอะไรอยู่แล้ว” ธมนต์พูดขึ้น ถึงแม้หัวใจของเธอจะเจ็บปวดกับคำพูดเมื่อครู่ของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์จนอยากจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ แต่เธอจะไม่อ่อนแอให้เขาใช้คำพูดพวกเหล่าทำร้ายเธอได้

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ยืนมองธมนต์อย่างไม่พอใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเป็นฝ่ายล่าถอยออกไปเสียเอง ยิ่งคุยกันมันจะยิ่งทำให้เรื่องทุกอย่างแย่ลงไปกว่าเดิม รอให้อารมณ์ของเขาคงที่กว่านี้อีกนิดจะดีกว่า ธมนต์ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงกว้างอย่างหมดแรงก่อนน้ำตาจะไหลลงอาบแก้ม ความเข้มแข็งเมื่อครู่มันหายไปไหนหมดกันนะ ทำไมถึงปล่อยให้น้ำตาเข้ามาแทนที่แบบนี้

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น