12

หนีหัวใจ


บ้านทางเหนือซึ่งถูกออกแบบสไตล์อิตาลีตั้งอยู่เป็นจุดกึ่งกลางของไร่ทางเหนือโดยบุคคลที่เป็นเจ้าของและอาศัยอยู่คือนายจักรินทร์ วิวิธชาญชัย อดีตพ่อเลี้ยงจักรแห่งไร่ทางเหนือ ชายวัยหกสิบสองปีร่างอ้วมสูงใหญ่แต่กลับไม่ได้แก่ไปตามกาลเวลาเลยสักนิด นายจักรินทร์ได้แต่เหลือบตามองลูกชายคนเล็กอย่างพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ที่เอาแต่นั่งถอนหายใจแล้วถอนหายใจเล่า จนไม่มีสมาธิอ่านหนังสือพิมพ์ในมืออีกต่อไป ส่วนพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็เอาแค่นึกถึงสิ่งที่ทำให้ตัวเองต้องมีเรื่องบาดหมางกับธมนต์ทั้งที่มันเป็นเรื่องเล็กๆ แต่หญิงสาวกลับทำเหมือนมันเป็นเรื่องราวใหญ่โตไปเสียอย่างนั้น เรื่องมันใหญ่ขนาดที่เขาไม่สามารถเข้าใกล้ธมนต์ได้เลยเพราะหญิงสาวเอาแต่โวยวาย ไม่ก็นิ่งเงียบใส่จนทุกอย่างมันน่าอึดอัดไปหมด

                “แกจะถอนหายใจอีกนานไหม เจ้าจิณ” นายจักรินทร์ทนไม่ไหวถามลูกชายคนเล็กทันทีพร้อมยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบแต่สายตากลับจ้องมองลูกชายคนเล็กอย่างจับผิด

                “พ่อครับ” เสียงเรียกชื่อบิดาดังขึ้นเพียงครู่ พร้อมกับพ่อเลี้ยงจิณธนนท์จะถอนหายใจออกมาและไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก

                “เรียกแล้วไม่พูด เป็นอะไรของแก” นายจักรินทร์ยังคงสงสัยในท่าทางของลูกชายคนเล็กจึงซักไม่หยุด

                “ผมให้ผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็นนางบำเรอของผม ตอนนี้เขาอยู่ที่บ้านพักเชิงดอยครัล” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกบิดาทุกอย่างไม่มีปกปิด

                “กะ...แกว่ายังไงนะ” กาแฟดำถูกพ่นลงแก้วตามเดิมทั้งที่เพิ่งจะดื่มเข้าไปไปเพียงอึกเดียว อดีตพ่อเลี้ยงจักรินทร์มองลูกชายคนเล็กอย่างไม่อยากจะเชื่อคำพูด แต่เขารู้ดีว่าลูกชายไม่เคยโกหกเขาสักครั้ง

                “ธมนต์ ประภารัตน์ นางบำเรอของผมครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ย้ำอีกครั้ง “แต่เรื่องนั้นมันไม่สำคัญเลยนะพ่อ เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือเขาไม่ยอมให้ผมเข้าใกล้เลย แถมยังพยายามหลบเลี่ยงผมทุกวิถีทาง” ใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เต็มไปด้วยความวิตกกังวล

                “แกมีนางบำเรอนี่มันยังไม่สำคัญอีกหรือไง ถ้าแม่แกรู้คงอกแตกแน่ๆ” 

                “พ่อก็อย่าบอกแม่สิครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกบิดาอย่างไม่สนใจนักพลางถามอีกประโยค “พ่อคิดช่วยจิณหน่อยสิ ทำยังไงจิณถึงจะเข้าใกล้เขาได้” 

                “เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังก่อน ฉันถึงจะตอบแกได้” อดีตพ่อเลี้ยงจักรินทร์บอกลูกชายคนเล็ก แววตาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์มองบิดาอย่างชั่งใจก่อนจะยอมเอ่ยปากเล่าเรื่องทั้งหมดให้บิดาได้รับรู้ ตลอดการสนทนาใบหน้าของนายจักรินทร์ตึงขึ้นเล็กน้อย ไม่คิดว่าลูกชายคนเล็กจะทำเรื่องอะไรแบบนี้

                “นั่นมันเพศแม่แกเลยนะเจ้าจิณ!” น้ำเสียงแข็งขื่อตะโกนต่อว่าลูกชายหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจบ

                “ผมรู้ครับ แต่...ก็ทำไปแล้ว” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์รับเสียงอ่อยอย่างจำยอม

                “หยุดทุกอย่างลงซะตอนนี้เจ้าจิณ ก่อนมันจะสายเกินแก้อย่างพี่ชายของแก” นายจักรินทร์ออกคำสั่งแก่ลูกชายคนเล็กทั้งที่รู้ว่าเขาไม่สามารถห้ามอะไรลูกได้ 

                “ผมหยุดแล้วครับพ่อ แต่เรื่องของผมกับมิ้นต์มันยังไม่จบ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เงยหน้าสบตาบิดาด้วยแววตาจริงจัง แววตาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์สามารถยืนยันสิ่งที่พูดได้ดีจนนายจักรินทร์ได้แต่ผ่อนลมหายใจตัวเองช้าๆ

                “รักเขาแล้วสินะ แต่เจ้านพมันบอกฉันว่าแกจีบเด็กในชอป” นายจักรินทร์ถามลูกอย่างสงสัย

                “เบญญา... ผมแค่รู้สึกว่าเขาเหมือนตาครับพ่อ ไม่ได้รู้สึกอะไรมากกว่านั้นจริงๆ” 

                “เหมือนหนูตา แค่เหมือนแกก็รักเขาได้ เพราะแกรักหนูตามาก แกทั้งรักทั้งซื่อสัตย์ต่อความรักครั้งนั้น” นายจักรินทร์อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าลูกชายรักสุพัตตามากแค่ไหน หากเจอคนที่เหมือนหรือคล้ายสุพัตตาเข้าแบบนี้ เขาเชื่อว่าลูกชายจะสามารถสานสัมพันธ์กับคนนั้นได้โดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องรักหรือไม่รัก

                “แต่ตอนนี้ผมไม่ได้รักตาครับ ผมหมดรักเขาไปแล้ว” 

                “หมดรักแต่ยังเหลือเยื่อใย มันไม่ต่างกันเลยเจ้าจิณ สิ่งเดียวที่ต่างกันคือหนูตาเขาตายจากโลกนี้ไปแล้ว เหลือเพียงผู้หญิงที่แกคิดว่าเขาเหมือนหนูตา แกต้องแยกให้ออก แยกให้ได้ว่าอะไรคือความรัก อะไรคือเยื่อใย” นายจักรินทร์สอนลูกชาย เขาเองก็เจอปัญหาพวกนี้มาแล้ว 

เมื่อสามยี่สิบกว่าปีก่อน ครอบครัวของนายจักรินทร์และภรรยาไม่ลงรอยกัน เรื่องนี้มันบานปลายจนทำให้เขาและภรรยาต้องหย้าร้างกัน แยกกันอยู่ แบ่งลูกคนละคน แต่ในช่วงเวลายี่สิบกว่าปีไม่ได้ทำให้สิ่งเหล่านั่นบั่นทอดความรักของเขาและภรรยาลงเลยสักนิด เพราะเขาและภรรยายังคงรักกันดีอยู่ อุปสรรค์เป็นเพียงสิ่งที่ผ่านเข้ามาและจะผ่านไป เพียงแต่เขาและภรรยาไม่สามารถกลับมาอยู่ด้วยกันได้อย่างเดิม แต่ก็ไปมาหาสูกันอยู่บ่อยครั้ง

                “ผมรู้ครับว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไง พ่อจะบอกวิธีให้ผมได้หรือยัง” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์วกเข้าประเด็นเดิม จนนายจักรินทร์ถอนหายใจและยอมบอกทางแก้ให้ลูกชาย

                “แกเก่งเรื่องโรแมนติกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ตอนคบกับหนูตาเห็นแกเซอร์ไพรเขาได้ทุกวี่ทุกวัน เอามาใช้บ้างสิ” 

                ไม่ต้องคิดให้มากความพ่อเลี้ยงจิณธนนท์มองบิดาอย่างขอบคุณก่อนจะลุกขึ้นและเอ่ยขอตัวกลับ แผนการไหลวนเข้ามาในสมองของชายหนุ่ม หากจำไม่ผิดเขาไม่ได้ทำเรื่องเซอร์ไพรใครเลยมาตั้งแต่แปดเก้าเดือนก่อน ก่อนที่สุพัตตาจะเสียชีวิตเสียอีก

                “พ่อเลี้ยงครับ”

                ยังไม่ทันทีพ่อเลี้ยงจิณธนนท์จะก้าวเดินพ้นขอบประตูบ้านหลักใหญ่ เสียงเรียกของลูกน้องประจำไร่ก็ดังขึ้นเรียกเอาไว้เสียก่อน พ่อเลี้ยงจิณธนนท์รู้สึกหัวเสียนิดหน่อยแต่ก็ยอมหยุดเดิน

                “มีอะไร” น้ำเสียงแข็งขื่อจนลูกน้องต้องก้มหน้าหลบสายตา

                “เกิดเพลิงไหม้ที่โรงบ่มไวน์ครับ แต่เราดับได้ทันไม่มีอะไรเสียหาย” รายงานจากลูกน้องทำเอาพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตกใจก่อนจะเดินเร็วนำลูกน้องไปยังรถกอล์ฟและขับไปยังโรงบ่มไวน์เพื่อดูความเสียหาย

                “เหตุจากมาอะไร” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามขึ้นในขณะที่รถกอล์ฟกำลังขับเคลื่อนไปยังโรงบ่มไวน์

                “ยังไม่ทราบครับ พวกเราตรวจสอบแล้วไม่น่าจะเกิดจากวงจรไฟฟ้า”

                “แสดงว่ามีคนวางเพลิงสินะ” ไม่ต้องอธิบายให้ยืดยาวพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็รับรู้ได้ทันที เขามีศัตรูอยู่ไม่มากและมีแค่ไม่กี่คน แต่เขาไม่คิดว่าจะเป็นคนพวกนั้นเพราะเขาไม่เคยสร้างความเดือดร้อนอะไรให้ทั้งสิ้น และไม่เคยเกิดเรื่องราวอย่างเช่นตอนนี้มาก่อน มากสุดก็แค่เข้ามาก่อกวนไม่ถึงกับลงมือเผาไร่กันแบบนี้

                “คิดว่าอย่างนั้นครับ” ลูกน้องรับเสียงเบา ตัวเองก็คิดเช่นเดียวกับเจ้านายแต่ไม่กล้าพูดอะไรมากนักเพราะยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดเท่าไหร่

                “ตรวจหาให้เจอว่าเหตุเพลิงไหม้มาจากอะไร” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกเสียงเข้ม พลางคิดไปว่ามีคนบางที่พอจะมีปัญหากับตนในตอนนี้

                รถกอล์ฟจอดสนิทลงที่หน้าโรงบ่มไวน์ พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เดินนำลูกน้องลงจากรถก่อนจะยืนดูจุดซึ่งเกิดเพลิงไหม้ โชคดีที่ควบคุมเพลิงไหม้ได้ทันจึงทำให้ข้าวของเสียหายไม่มากนัก คนงานของไร่ที่มาช่วยกันดับไฟยืนอยู่รายล้อมโรงบ่มไวน์

                “เสียหายไม่มากเท่าไหร่ ยังดีที่ดับไฟทัน” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นหลังจากเดินสำรวจรอบโรงบ่มพลางถามคนงาน “เจอสิ่งผิดปกติอะไรบางไหม” 

                “ผมเจอซองจดหมายสีน้ำตาลตกอยู่ในกองไฟครับ ซองมันโดนไฟไหม้ไปบางส่วนครับ” คนงานไร่รายงานพร้อมยื่นซองจดหมายขนาดปานกลางสีน้ำตาลให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ดู

                สายตาคมกวาดมองซองจดหมายในมือก่อนจะคลี่มันออกถึงสภาพจะไม่สมบรูณ์นักและส่วนสำคัญอาจจะถูกไฟไหม้ไปแล้ว แต่พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็ยังคงพยายามจะเปิดมันออกดู

                “บริษัทสุกิตตา จำกัด” มือหนากำกระดาษเอสี่แผ่นสีขาวแน่น กระดาษในมือของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์บ่งบอกถึงข้อมูลบางอย่างในนั้น ซึ่งส่วนล่างถูกไฟไหม้ไปหมดเรียบร้อยแต่ส่วนหัวกระดาษยังคงอยู่ในสภาพดี พอให้เห็นได้ว่ามันคือเอกสารอะไรหรือมาจากไหน

                “บริษัทของนายพุฒินาทใช่ไหมครับ” ลูกน้องคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกายเจ้านายหนุ่มถามขึ้น พลางเหลือบตามองเอกสารในมือเจ้านายไปด้วย

                “ตอนนี้ไม่ใช่บริษัทมันแล้วล่ะ อีกไม่กี่วันไอ้นพจะเทคโอเวอร์บริษัทนี้แล้ว” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตอบพลางหัวเราะเยาะพุฒินาทในใจ 

หมาจนตรอกมันทำได้ทุกอย่างจริงๆ

                “พ่อเลี้ยงจะทำยังไงต่อครับ” 

                “ไม่ต้องทำอะไร รอดูตอนไป เรียกประกันมาดูและซ่อมในส่วนที่ซ่อมได้ก่อนซะ แจ้งตำรวจไปด้วย” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์สั่งงาน พลางเดินออกไปจากจุดเหตุอีกครั้ง

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ขับรถกอล์ฟออกไปจากโรงบ่มไวน์ อารมณ์ของชายหนุ่มไม่ได้อยู่ในหมวดที่จะมาทำเรื่องเซอไพร์ใครทั้งนั้นจึงตัดสินใจกลับบ้าทางเหนือเพื่อสงบสติตัวเองเสียก่อน ขืนไปตอนนี้ก็มีแต่จะละเทาะกันจนบานปลายไปกันใหญ่ ยิ่งพุฒินาททำแบบนี้ด้วยยิ่งแล้วใหญ่ หากเขาดึงดันที่จะไปหาธมนต์

*****

                เสื้อผ้าสองชุดถูกลำเรียงลงกระเป๋าผ้าใบขนาดปานกลางโดยเจ้าของกระเป๋าผ้ากำลังยืนวิตกกังวลอยู่หน้ากระจกภายในห้องพักหลังจากจัดการเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ธมนต์ยืนครุ่นคิดหาวิธีการบอกพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เรื่องที่เธอจะกลับบ้านที่กรุงเทพฯ แต่ตอนนี้เธอยังแกล้งโกรธพ่อเลี้ยงจิณธนนท์อยู่เลย จะให้เดินเข้าไปบอกก็คงเสียฟอร์มแย่

                “โพสอิทแล้วกัน” ธมนต์พูดขึ้นกลางห้องนอนของตัวเองเพื่อทำลายความเงียบที่มันยิ่งทำให้เธอคิดไม่ตก

                ร่างบอบบางเดินสำรวจไปทั่วห้องเพื่อหากระดาษโพสอิทมาเขียนแจ้งพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ เดินวนไปมาอยู่นานสองนานในที่สุดธมนต์ก็หากระดาษโพสอิทสีเหลืองสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็กเจอ เธอหยิบมันขึ้นมาและวางลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง ธมนต์หยิบปากกาเมจิสีชมพูขึ้นมาเปิดฝาก่อนจะเขียนข้อความด้วยลายมือบรรจงเพราะห่างหายกับการเรียนเขียนภาษาไทยมานานพอสมควร

                กลับบ้านที่กรุงเทพฯ นะคะ ไม่ต้องห่วงอีกสองวันฉันจะกลับมา

                ธมนต์ติดมันไว้ที่กระจกบานใหญ่ซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน หากเดินเข้ามาในห้อง หญิงสาวคิดว่าคงไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วจึงหยิบกระเป๋าขึ้นมาถือและเดินออกนอกห้องไป ธมนต์วางแผนการเตรียมเส้นทางเอาไว้เรียบร้อยคนของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่มีทางจับได้ว่าเธอหนีออกจากบ้านพักเชิงดอยแน่นอน

                “สองวันนะพี่มิ้นต์ อย่าเกิน! เด็ดขาด!” เสียงของสุชาติซึ่งกำลังดูต้นทางให้ธมนต์บอกหญิงสาวอย่างกำชับพลาดเน้นคำเพื่อเตือนธมนต์ไปในตัว

                “รู้แล้ว ขอบใจมากนะเทียนเทียน” ธมนต์ลากเสียงยาวตอบกลับก่อนจะเอ่ยขอบคุณสุชาติซึ่งอุตส่าห์วาดเส้นทางหนีให้แก่เธอแถมยังมายืนดูต้นทางให้เสียด้วย

                “รีบไปเถอะ เดี๋ยวพวกนั้นก็จับได้ขึ้นมาก่อน” สุชาติเร่งให้ธมนต์รีบออกไป ก่อนลูกน้องของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์จะเกิดจับขึ้นมาได้ ธมนต์คงไม่ได้กลับบ้านเป็นแน่และลูกน้องเหล่านั้นคงโดนหางเลขไปด้วย

                “ไปก่อนนะ กลับมาจะเอาของมาฝาก” ธมนต์ตบไหล่ของสุชาติเบาๆ ก่อนจะเดินลักลอบออกไปทางด้านหลังของตัวบ้านซึ่งมีลูกน้องของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ยืนคุมอยู่ไม่มาก และสุชาติก็วางแผนดึงความสนใจจากคนกลุ่มนี้ไว้ได้

                เมื่อเริ่มแผนการธมนต์ซึ่งกำลังยืนหลบมุมมองดูเหตุการณ์ที่สุชาติแกล้งวิ่งส่งเสียงดังด้วยอาการตื่นกลัวเข้าไปหาลูกน้องของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ ก่อนที่สุชาติจะแกล้งโวยวายว่าเจออะไรสักอย่างในบ้าน ต้องการให้กลุ่มคนเหล่านั้นเข้าไปช่วยดูให้ ตอนแรกมีเพียงแค่บุคคลเดียวที่จะเข้าไปดูให้แต่แล้วสุชาติก็ทำให้คนกลุ่มนั้นยอมไปทั้งกลุ่ม ธมนต์ไม่รอช้ารีบวิ่งออกไปทันที

                เส้นทางหนีปรากฏเป็นภาพรางๆ ในห้วงความคิดของธมนต์ หญิงสาววิ่งด้วยความเร็วปานกลางเพราะกลัวว่าจะทำให้เกิดเสียงดังจนถูกจับได้ กระเป๋าผ้าใบขนาดปานกลางเป็นอุปสรรค์มากกว่าที่หญิงสาวคิดเอาไว้เสียอีก

                สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านร่างของธมนต์ที่ยืนรอรถเช่าซึ่งสุชาติจัดเตรียมเอาไว้ให้อีกเช่นเคย แขนสองข้างถูกยกขึ้นมาลูบต้นแขนเบาๆ เพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย เหตุผลที่หญิงสาวกลับบ้านที่กรุงเทพฯ ครั้งนี้เพราะต้องการพูดคุยกับพ่อแม่ให้จริงจังเสียที เรื่องราวทุกอย่างเธอจะเล่าให้หมดยกเว้นเรื่องเดียวเท่านั้น เธอจะต้องหาทางแก้ปัญหานี้ให้ได้ เธอมั่วแต่ลังเลไม่อยากกลับบ้านเพราะกลัวสิ่งต่างๆ นานาไม่ได้ แต่ตอนนี้เธอคิดได้แล้วว่าทางออกของเรื่องมันมีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือครอบครัวของเธอ

                สายลมไม่ได้ทำให้ธมนต์เหน็บหนาวเท่านั้นมันยังพัดผ่านช่องหน้าต่างในห้องนอนของหญิงสาวซึ่งเจ้าตัวลืมปิดเอาไว้จนทำให้กระดาษโพสอิทสีเหลืองหลุดจากบานกระจกลอยเข้าไปในช่องแคบระหว่างโต๊ะเครื่องแป้งและตู้เสื้อผ้า

                ดอกซ่อนกลิ่นสีขาวถูกจัดเป็นช่อขนาดเล็กห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลก้านของมันกำลังจะเละคามือหนาที่ถือเอาไว้ สายตาของชายหนุ่มวาวโรจน์จนน่ากลัว ก่อนช่อดอกไม้จะถูกโยนทิ้งลงสู่พื้นบ้าน ปลายรองเท้าเหยียบย่ำมันอย่างไม่สนใจก่อนจะเดินไปยังห้องพักของธมนต์เพื่อตามหาตัวหญิงสาว ลูกน้องของเขารายงานว่าไม่พบหญิงสาวในบ้านและไม่รู้ด้วยว่าหายไปไหน พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ซึ่งอุตส่าห์ดับอารมณ์โหโมและความเครียดเรื่องไฟไหม้ที่โรงบ่มไวน์ลงได้ ก็ลงมือออกไปตัดดอกซ่อนกลิ่นดอกไม้ในสวนของมารดามาเรียงกันจัดแต่งจนด้วยกิ่งไม้แห้งสีน้ำตาลแห้งจนดอกซ่อนกลิ่นปนกับกิ่งไม้เป็นช่อที่ถูกห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลสวย แต่ตอนนี้มันสภาพของมันไม่เหลือเคร้าโครงความสวยอีกต่อไป

                “ตามหาให้เจอ! อย่าให้หนีไปไหนได้! ปลุกคนงานในไร่ออกมาตามหา!” คำสั่งประกาศลั่นบ้านก่อนพ่อเลี้ยงจิณธนนท์จะกำมือแน่นอย่างนึกโมโห ทั้งลูกน้อง ทั้งธมนต์ที่คิดหนีไป

                ลูกน้องเมื่อได้รับคำสั่งต่างก็พากันแยกย้ายไปทำตามคำสั่งเพราะอารมณ์ของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ซึ่งบ่งบอกได้ดีว่าหากมีใครสักคนกล้าขัดคำสั่งหรืองานไม่สำเร็จต้องมีสักคนโดนเล่นงาน ข้อหาละเลยหน้าที่

                “ธมนต์... เธอกล้ามากนะที่คิดหนีฉันไป ต่อให้หนีไปไกลแค่ไหนฉันจะลากเธอกลับมาเป็นนางบำเรอของฉันให้ได้!” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ประกาศลั่นอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่ สายตาก็พลั่นมองไปเห็นสภาพของดอกซ่อนกลิ่น พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เดินไปหยิบมันขึ้นมาก่อนจะโยนทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ใยดี

                ช่อดอกซ่อนกลิ่นที่เขาใช้มันแทนความรู้สึกของเขาในตอนนี้ เขาต้องการสื่อให้ธมนต์ได้รู้แต่ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์มีต่อไป ดอกซ่อนกลิ่นมันแทนความหมายของคนที่ให้ว่าบุคคลนั้นมีความรักไม่อาจเปิดเผยได้เพราะความหยิ่งทะนงและปากแข็งจนเกินไป แต่หากกลับกันคนที่ได้รับช่อดอกซ่อนกลิ่นความหมายของมันคือ ‘ฉันรักเธอนะ’

                “มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง!” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตะโกนเรียกลูกน้องเสียงดังลั่นบ้านพักเชิงดอยด้วยอาการหงุดหงิด

                เมื่อคับคล้ายคับคาว่าได้เสียงยินเสียงเรียกจากพ่อเลี้ยงของไร่ทางเหนือ เสียงฝีเท้าของลูกน้องที่ได้ยินก็ดังขึ้นเนื่องจากการวิ่งเข้ามาในตัวบ้านอย่างรีบร้อน ก่อนจะยืนหลังตรงมือไคว้หลังก้มหน้าอยู่ตรงหน้าเจ้านายเพราะไม่รู้ว่าอารมณ์ของเจ้านายตัวเองเป็นเช่นไร ณ ตอนนี้

                “ค้นหาในบ้านอีกรอบแล้วมารายงานฉัน!” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์สั่งลูกน้องก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาไม้สักซึ่งมีเบาะนิ่มวางทับอีกทบ มือหนาเสยผมที่ปกหน้าขึ้นก่อนจะเปลี่ยนมากุมขมับตัวเองที่มันเต้นตึกตึกไม่หยุดอย่างวิตกเรื่องไฟไหม้โรงบ่มไวน์ยังไม่ทำให้เขาเครียดได้เท่าเรื่องนี้เลย ในห้วงความคิดก็พลางนึกถึงห้องที่ว่างเปล่าเสื้อผ้าบางส่วนที่หายไป กระเป๋าผ้าใบปานกลางซึ่งเขาเคยทำหล่นลงจากบนหลังตู้ก็หายไป ธมนต์หายไปอย่างไรล่องลอยจนเขาไม่รู้ว่าจะเริ่มตามหาหญิงสาวจากตรงไหนของไร่ซึ่งมีพื้นที่นับห้าร้อยไร่

                “พ่อเลี้ยงครับ พวกผมหาจนทั่วตัวบ้านและด้านนอกหมดแล้วครับ ไม่เจอคุณมิ้นต์เลยครับ” คำรายงานของลูกน้องยิ่งให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เพิ่มแรงบีบตรงกระหม่อมมากขึ้น

                “แล้วใครที่ไประดมคนงานในไร่ ได้เรื่องรึยัง” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เงยหน้าขึ้นก่อนจะถามถึงกลุ่มลูกน้องอีกกลุ่ม

                “ลงไปเรียบร้อยแล้วครับ อีกเดี๋ยวคงมารายงานความคืบหน้าครับ” 

                “ไปเตรียมรถ ฉันจะลงไปด้านล่าง” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์สั่งเสียงเข้มก่อนจะลุกขึ้นเดินขึ้นไปยังด้านบน ชายหนุ่มหายตัวเข้าไปอยู่ในห้องนอนของตัวเองเป็นเวลาเกือบชั่วโมง

*****

                ความเร็วของรถยนต์ยี่ห้อหรูนำเข้าจากต่างประเทศซึ่งมีลูกน้องคนสนิทเป็นขับ เนื่องจากพ่อเลี้ยงจิณธนนท์อารมณ์ไม่คงที่นัก มันอาจจจะเป็นก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้หากขับมาเอง ลูกน้องคนสนิทลอบมองพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ผ่านกระจกหลังเป็นระยะในใจพลางคิดว่าหากพวกเขาหาตัวธมนต์ไม่เจอคงเดือดร้อนจนแทบไม่เป็นอันทำอะไรเป็นแน่ ทั้งตัวเขาเองและตัวเจ้านายเอง

                “ระดมคนออกตามหาให้ทั่วทั้งไร่ทุกซอกทุกมุม หาให้เจอ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์สั่งเสียงเข้มทันทีเมื่อลงจากรถยนต์และพบว่าคนงานในไร่มายืนรวมกลุ่มรออยู่ ถึงแม้อารมณ์จะเย็นลงบ้างแต่ความร้อนใจอยู่ยังคงมีเหลืออยู่ เขารู้สึกร้อนรนอย่างบอกไม่ถูกมันเหมือนว่าตัวเองกำลังขาดการควบคุม

                “ครับพ่อเลี้ยง” ลูกน้องหลายสิบคนขานรับคำสั่งเสียงดังฟังชัด

                คนงานในไร่ต่างก็ตื่นตกใจเมื่อพบว่าสัญญาเตือนภัยดังลั่นก่อนที่ลูกน้องคนสนิทของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์จะบอกถึงเหตุของการกดสัญญาเตือนภัยครั้งนี้

                เบญญายืนกำมือแน่นอย่างเจ็บใจ เพียงแค่ธมนต์หายตัวไปทำไม เรื่องราวมันถึงใหญ่โตจนคนงานทั้งหมดในไร่ต้องช่วยกันออกตามหาด้วยก็ไม่รู้

                “ลุงชาญครับ” ยังไม่ทันทีเบญญาจะก้าวเดินออกไปทำท่าว่าตามหาธมนต์ หญิงสาวก็ลดจังหวะการก้าวเดินให้ช้าลงเพื่อที่จะได้ยินบทสนทนาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์และคมชาญหัวหน้าคนงานในไร่ซึ่งอยู่ข้างหน้าเธอ

                “พ่อเลี้ยงมีอะไรจะใช้ผมเหรอครับ” คมชาญถามพ่อเลี้ยงจิณธนนท์อย่างสงสัย พลางก้มหน้าไม่กล้าสบตา ถึงจะแก่กว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์มากแต่เพราะอุปนิสัยจริงจัง งานเป็นงาน เด็ดขาดทุกเรื่องของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทำให้ลูกน้องต่างก็พากันเกรงกลัวและเคารพ ยิ่งเวลาแบบนี้ยิ่งทำให้เกรงใจกันไปใหญ่

                “สุชาติหายไปไหนครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์นึกขึ้นว่าได้ตัวเองสั่งให้สุชาติมาทำงานแทนธมนต์ที่บ้านพักเชิงดอย ตั้งแต่เกิดเรื่องเขายังไม่เห็นแม้แต่วี่แววของสุชาติเลยด้วยซ้ำทั้งที่ให้พักอยู่ที่บ้านพักเชิงดอยแท้ๆ

                “ไอ้เทียนมันไม่สบายครับพ่อเลี้ยง นอนซมพิษไข้อยู่ในบ้านพักของผมครับ” คมชาญไขข้อสงสัยให้แก่พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ แต่นั่นยิ่งทำให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ขมวดคิ้วสงสัยกว่าเดิม

                “ไม่สบาย เป็นมากี่วันแล้วครับ”

                “เมื่อวานครับ แต่เมื่อวานไข้มันยังอ่อนๆ อยู่เลยครับ เมื่อเช้าก็ไปทำงานที่บ้านพักเชิงดอยตามปกติแต่พอตกบ่ายไอ้เทียนมันไม่ไหวก็เลยกลับมานอนพักในบ้านพักของผมครับ”

                “ถ้าพอลุกขึ้นไหวบอกให้ไปพบผมที่บ้านทางเหนือด้วยนะครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่คิดสงสัยอะไรอีก เพราะฟังจากคำพูดของคมชาญแล้ว เป็นไปได้ว่าธมนต์อาจจะหนีไปตอนสุชาติกลับมานอนพักที่บ้านพักของพ่อแม่ เพราะเมื่อตอนช่วงเย็นลูกน้องของเขายังรายงานว่าธมนต์ยังนั่งทานอาหารเย็นอยู่เลย 

                แต่ใครเหล่าจะรู้ว่าแท้จริงแล้วมันคือแผนของสุชาติต่างหาก ชายหัวใจหญิงผู้นี้ไม่ได้ป่วยแต่อย่างใดที่เห็นว่ามีไข้อ่อนๆ เพราะตัวเองกินใบดอกแก้วและใช้ไดร์เป่าผมพัดหน้าเพื่อช่วยให้ตัวร้อนยามเวลานายคมชาญจับตัววัดไข้และแกล้งมานอนพักช่วงที่พ่อของตัวเองกลับมาที่บ้าน โชคดีที่บ้านพักคนงานหลังที่ตัวเองอยู่อาศัยกับพ่อแม่มันแบ่งห้องนอนเป็นสองห้อง คมชาญจึงไม่เอะใจว่าสุชาติไม่ได้อยู่ที่ห้องนอนช่วงหนึ่ง

                “พ่อเลี้ยงคะ” เบญญาเรียกพ่อเลี้ยงจิณธนนท์พร้อมฉุดข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์หันมามองเบญญาอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นและปรายตามองมือของเบญญาที่จับข้อมือของตัวเองอยู่เพื่อบ่งบอกให้เบญญาลดมือลงซะ เบญญาอึกอักชั่วครู่ก่อนจะปล่อยมือและพยายามปั้นรอยยิ้มหวานส่งไปให้คนตรงหน้า

                “มีเรื่องอะไร” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่มีเวลามายืนมองรอยยิ้มหวานของคนตรงหน้ามากนักพูดขึ้นเสียงเข้ม

                “คือหม่อนมีเรื่องจะบอกค่ะ” เบญญาทำน้ำเสียงหนักใจราวกับไม่กล้าพูดออกมา นั่นยิ่งทำให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์สงสัยและอยากรู้มากขึ้นเพื่อว่ามันจะเกี่ยวข้องกับธมนต์

                “เรื่องอะไร ผมไม่มีเวลาว่างขนาดมายืนรอฟังคุณเล่าเรื่องนานเป็นสองสามนาทีหรอกนะ” 

                เบญญาหน้าตึงขึ้นกับคำพูดห่างเหินของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ หญิงสาวยังคงปั้นใบหน้าแย้มยิ้มเล็กๆ ต่อ ก่อนจะมองซ้ายมองขวาเพื่อดูว่ามีใครเดินผ่านมาบ้างไหม เมื่อไม่พบใครหญิงสาวจึงเริ่มเล่าเรื่องที่ตัวเองอยากจะพูด

                “คือว่าอย่างนี้ค่ะ หม่อนเห็นพี่มิ้นต์ยืนคุยกับผู้ชายคนหนึ่งท่าทางเหมือนคนกรุงเทพฯ หม่อนได้ยินไม่ชัดมากนักแต่แน่ใจว่าพูดเรื่องการหนีออกจากไร่แน่ๆ ค่ะ เหมือนพี่มิ้นต์กำลังขอความช่วยเหลือจากผู้ชายคนนั้นให้ช่วยพาหนีออกไป แต่หม่อนก็ไม่คิดว่าพี่มิ้นต์จะหนีไปจริงๆ เลยไม่ได้บอกพ่อเลี้ยงตั้งแต่แรก” เบญญาแต่งเรื่องโกหกขึ้นมาเป็นตุเป็นตะราวกับว่าเห็นด้วยตาของตัวเองจริงๆ แววตาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์กำมือแน่นทั้งสองข้างจนแน่น เขารับรู้ได้ทันทีว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร ยิ่งรู้ว่าธมนต์ลักลอบพบเจอกัน มันยิ่งทำให้เขาโกรธมากขึ้นกว่าเดิมเป็นพันเท่า!

                “ที่ทำตัวห่างเหินจากฉัน ไม่ยอมให้เข้าใกล้เพราะแบบนี้เองสินะ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เอ่ยพึมพำจนเบญญาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ยังไม่สามารถจับประเด็นได้ 

ตอนนี้ความคิดของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์คิดว่าธมนต์ต้องการกลับไปเริ่มใหม่กับพุฒินาทและใช้ข้ออ้างเรื่องวันนั้นมาเป็นตัวตัดความสัมพันธ์ โดยแรกเริ่มก็ทำท่าทางว่าไม่อยากให้เขาเข้าใกล้ พอนานวันก็คงชวนเขาทะเลาะ และสุดท้ายก็จบเรื่องทุกอย่าง “หึ... เธอไม่มีทางจบเรื่องนี้ได้หรอก” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นอย่างเจ็บใจและแค้นเคือง

                “พ่อเลี้ยงพูดว่ายังไงนะคะ” เบญญาถามขึ้นอย่างสงสัย

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์มองใบหน้าของเบญญาอย่างครุ่นคิดความคิดหนึ่งแวบบเข้ามาในห้วงความคิดของเขา หากเขาทำให้ธมนต์รักเขาได้และสุดท้ายก็ตัดความสัมพันธ์ทิ้งแบบง่ายดาย แต่เขาต้องมีหมากเพิ่มเข้ามาอีกตัว

                “เธอคิดจะแต่งงานบ้างไหม” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์รู้ดีว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกมา มีความคิดที่ไหลเวียนเข้ามาหักล้างเป็นร้อยๆ ความคิดแต่ความโกรธก็อยู่เหนือทุกความคิดอยู่ดี

                เบญญาตาโตอย่างตกใจกับคำถามของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ในใจก็แอบคิดเข้าข้างตัวเองอย่างห้ามไม่อยู่

                “คิดสิค่ะ แต่หม่อนยังไม่เจอคนที่ใช่และรักหม่อนจริงๆ ถ้าหม่อนเจอหม่อนก็ไม่ลังเลที่จะแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกับเขาเลยค่ะ” เบญญาพูดยืดยาวด้วยรอยยิ้มหวาน

                “อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นอย่างไม่มีหลักเกณฑ์ แต่ประโยคต่อมาทำเอาเบญญาใจเต้นตุบตับราวกับว่ามันจะหลุดออกมา “เราจะแต่งงานกัน” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดเพียงแค่นั้นก่อนจะเดินออกไปสั่งงานกับลูกน้อง

                เบญญายืนนิ่งทั้งดีใจและตกใจจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก สงสัยโชคคงเข้าข้างเธอเพราะเรื่องนี้มันเกินความคาดหมายเธอไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนนี้เลยสักนิด

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์สั่งให้ลูกน้องคนสนิทไปตามหาธมนต์ที่บ้านในกรุงเทพฯ และเรียกรวมตัวคนงานในไร่เพื่อบอกเรื่องสำคัญอีกครั้ง

                “ต่อจากนี้อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ฉันจะแต่งงานกับเบญญา รบกวนทุกคนช่วยกันเตรียมงานด้วยนะ เอาตามความต้องการของเบญญาทุกอย่าง” คำพูดของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทำเอาคนงานที่นั่งรอฟังตาโตตกใจอย่างสุดขีดก่อนจะเฮลั่น เมื่อพบว่าพ่อเลี้ยงเจ้าของไร่ทางเหนือจะแต่งงาน มันบ่งบอกถึงทายาทที่จะมาสืบสกุลและดำรงตำแหน่งพ่อเลี้ยงในอนาคตมันเป็นสิ่งที่มาช่วยยืนยันความอยู่รอดของพวกเขา

                เบญญาแทบยิ้มไม่หุบ ใบหน้าแดงก่ำราวกับว่าเขินอายแต่แท้จริงแล้วมันคือเกิดจากความดีใจที่แผนการที่เธอคิดเอาไว้กำลังจะสำเร็จด้วยดี ใจเต้นแรงในรอบปี หญิงสาวส่งสายตาหวานให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ว่าที่สามีในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าของตัวเองไปด้วยแต่สายตาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์กลับล่องลอยไปที่แห่งหนใดก็ไม่รู้

               พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่ได้สนใจสายตาของเบญญาเพราะในหัวของเขาตอนนี้มีเพียงแค่เรื่องของธมนต์ เขาจะต้องพาหญิงสาวกลับมาที่ไร่ทางเหนือและให้อยู่ในตำแหน่งนาบำเรออย่างสมบรูณ์ โดยไม่สนใจกติกาที่ทั้งคู่กำหนดกันเอาไว้ เมื่อครบหนึ่งเดือนธมนต์จะไม่ได้ไปไหน เธอจะอยู่ในตำแหน่งนางบำเรอโดยสมบรูณ์แบบและเขาจะมีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายมาเป็นตัวตอกย้ำสถานะของหญิงสาวว่าเป็นได้เพียงแค่นางบำเรอเท่านั้น!
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น