1

เข้าใจผิด


         กระเป๋าเสื้อผ้าขนาดปานกลางสีขาวดำลายทางยี่ห้อหรูถูกวางลงข้างขาเรียวสวยภายใต้กางเกงยีนเนื้อผ้าดีสีดำ มีรอยขาดช่วงเข่ากว้างกว่าจุดอื่นทำให้ผิวขาวเนียนโผล่พ้นออกมา ใบหน้ารูปไข่ล้อมกรอบด้วยผมสีน้ำตาลทองซึ่งแสกกลางและทำลอนขนาดใหญ่ยาวลงมาจนเกือบถึงบั้นท้ายปลิวไหวตามทิศทางของกระแสลม 
ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมองยังป้ายประกาศรับพนักงานขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ด้านหน้าของ ‘ไร่ทางเหนือ’ ด้วยสายตายากเกินจะคาดเดาความคิดได้ ทำให้คนงานในไร่หลายคนซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานตามหน้าที่ของตนอดไม่ได้ที่จะมองมายังหญิงสาว เพราะเธอยืนมองป้ายประกาศอยู่นานพอสมควรแล้ว
“มาสมัครงานหรือคะ” 
เสียงที่ดังขึ้นทางด้านหลังทำให้ธมนต์หลุดออกจากภวังค์ ก่อนจะหันกลับไปมองบุคคลที่มายืนอยู่ด้านหลังของเธอตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“ว่ายังไงนะคะ” ธมนต์ถามกลับด้วยความสงสัย เมื่อไม่ได้ตั้งใจฟังประโยคสนทนาที่เอ่ยทักออกมาเมื่อครู่
“ฉันถามว่าคุณมาสมัครงานหรือคะ” หญิงสาวคนงานในไร่ถามอีกรอบ
“ค่ะ” ธมนต์ตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ เธอไม่มีความคิดที่อยากจะมาสมัครงานที่ไร่ทางเหนือเลยสักนิด เพียงแค่อยากจะพักใจจากเรื่องเลวร้ายที่ทำให้หัวใจเจ็บปวดอยู่ในขณะนี้ก็เท่านั้นเอง
“วันนี้พ่อเลี้ยงจิณอยู่ค่ะ คุณเดินตามเส้นทางนี้ไปเรื่อยๆ แล้วจะเจอเรือนสำนักงานหลังสีเขียวอยู่ทางขวามือค่ะ เข้าไปในนั้นแล้วบอกว่ามาสมัครงานนะคะ อย่าลืมบอกตำแหน่งที่คุณจะทำด้วย”คนงานในไร่บอกพร้อมกับชี้นิ้วบอกเส้นทางในไร่ให้แก่ธมนต์
เรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากันอยู่นาน ก่อนจะส่งยิ้มเป็นการขอบคุณอีกฝ่ายและหยิบกระเป๋าเดินทางของตัวเองแล้วก้าวเดินไปตามเส้นทางที่คนงานบอกมาเมื่อสักครู่
ยามที่รองเท้าผ้าใบสีแดงเลือดหมูมียี่ห้อเหยียบย่ำลงไปบนถนนสายเล็กที่ไม่ได้ปูด้วยคอนกรีต ทำให้เศษดินที่ปนกับต้นหญ้าเล็กๆ เกาะติดที่รองเท้าทำให้สีของมันหม่นหมองลงไปทันตาเห็น เสียงเพลงจังหวะสบายๆ ผ่อนคลายอารมณ์ดังออกมาจากเอียร์โฟนสีขาวที่ครอบอยู่บนใบหูทั้งสองข้างของสาวร่างบาง ทำให้เธอเริ่มมีความสุขขึ้นมาเล็กน้อย เพราะบรรยากาศและเสียงเพลงช่างเข้ากันเสียจริง 
สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นองุ่นที่ปลูกเป็นแถวเรียงรายยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา มีคนงานหลายสิบชีวิตกำลังเก็บเกี่ยวผลผลิต บ้างก็กำลังตัดตกแต่งกิ่งอยู่ ไร่องุ่นแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาสูงในจังหวัดเชียงราย จึงทำให้บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยเทือกเขาเขียวขจี หมอกควันจางๆ ทำให้บรรยากาศเย็นสบายไม่ร้อนอย่างที่ควรจะเป็นแม้จะเข้ายามสายของวันไปแล้ว
เรียวขายาวที่ผ่านการเดินมายาวนานเริ่มหมดแรงลง แต่กลับไม่พบเรือนหลังสีเขียวตามคำบอกกล่าวของคนงานเสียที ธมนต์ตัดสินใจทิ้งกระเป๋าเดินทางลงข้างตัวก่อนจะนั่งยองๆ ลงไปพักเอาแรงและบรรเทาอาการปวดเมื่อย มือบางดึงเอียร์โฟนสีขาวออก ก่อนที่ดวงตาคู่สวยสีรัตติกาลจะสอดส่ายมองหาเรือนสำนักงานหลังสีเขียวที่อยู่ทางขวามือตามคำบอกกล่าว 
“พะ...พี่คะ” 
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อนดังขึ้นด้านหลัง ทำให้ธมนต์ต้องหันไปมองตามเสียงเรียก คิ้วสวยขมวดขึ้นอีกรอบ และส่งยิ้มบางๆ ไปให้อีกฝ่ายที่กำลังเดินอย่างหมดแรงจนแทบจะคลานเข้ามาหาเธอ
“เรียกตั้งนาน” เสียงแหบบ่งบอกความเหนื่อยของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน พร้อมกับร่างที่ทิ้งตัวลงนั่งก้นติดพื้นที่อาจจะทำให้กางเกงสีเทาขาวเปื้อนไปด้วยดินสีน้ำตาลแดง
“เรียกฉันเหรอ” ธมนต์ถามคนตรงหน้าอย่างสงสัย เธอไม่รู้จักอีกฝ่ายแน่นอน แถมยังเรียกเธอว่าพี่ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะท่าทางอีกฝ่ายคงอายุสักยี่สิบต้นๆ ต่างจากเธอที่จะครึ่งห้าสิบอยู่แล้ว
“แป๊บนะพี่” อีกฝ่ายบอกก่อนจะหายใจเข้าออกอยู่นานแล้วพูดขึ้นต่อ “คือคนงานที่อยู่ตรงปากทางเข้าไร่บอกหนูว่ามีคนมาสมัครงานเหมือนกับหนูแต่เดินเข้ามาก่อนแล้ว หนูเลยรีบวิ่งตามพี่มา แต่เรียกพี่เท่าไหร่ก็ไม่หันมาสักที โชคดีนะที่พี่หยุดพักอยู่ตรงนี้” อีกฝ่ายร่ายยาว 
“แล้ว?” ธมนต์ขมวดคิ้วพร้อมกับส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยออกมา เมื่ออีกฝ่ายร่ายยาวในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเล่าแทนเรื่องที่เป็นใจความสำคัญ
“พี่คนงานบอกหนูมาว่า พ่อเลี้ยงจะรับพนักงานสองคนแต่คนละตำแหน่ง หนูเลยอยากนัดแนะกับพี่ก่อน จะได้ไม่ต้องลงตำแหน่งเดียวกัน จะได้เข้าทำงานทั้งสองคนไง” อีกฝ่ายเลื่อนตัวเข้ามากระซิบที่ข้างหูของธมนต์อีกด้วย 
“แล้วเราอยากทำตำแหน่งไหนล่ะ” ธมนต์ถาม เธอไม่คิดจะเข้ามาทำงานที่นี่แต่แรกอยู่แล้ว หากมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้งานในไร่ทางเหนือคือทางเลือกเดียวของเธอ
“หนูอยากเป็นพนักงานขาย ไม่อยากทำงานด้านบัญชีหรือผู้จัดการร้าน คือหนูเรียนจบแค่ ม.ปลาย เองน่ะพี่ ไม่ค่อยชอบตัวเลขเท่าไหร่”
“แล้วพนักงานขายไม่ได้ทำเกี่ยวกับตัวเลขหรอกเหรอ” ธมนต์ถามอย่างหยอกล้อกับคนที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่นาที แต่ดันเข้ามาพูดคุยกับเธอได้อย่างสนิทสนมราวกับรู้จักกันมาแรมปี
“มันไม่เหมือนกัน พนักงานขายก็แค่ขายแล้วก็ทอนเงินตามตัวเลขที่ขึ้นบนจอ แต่บัญชีมันต้องคอยจดและคอยเขียนรายได้รายจ่ายเยอะแยะ หนูทำไม่ได้หรอก ยิ่งผู้จัดการร้านอย่าไปหวังเลยพี่ ถึงแม้เงินมันจะดีกว่าก็ตามเถอะ” อีกฝ่ายบอกพร้อมกับเบะปากออกมา 
ธมนต์เผลอส่งเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูอีกฝ่ายในลำคอพร้อมกับส่ายหน้าไปมา
“เอางั้นก็ได้ แต่เดินมาไกลขนาดนี้แล้ว ยังไม่เจอเรือนสำนักงานหลังสีเขียวที่ว่าเลย” สาวร่างบางตอบตกลงพร้อมกับบ่นที่ไม่พบเรือนสำนักงานสักที
“พี่เดินเลยมาแล้วจนจะเข้าเขตพื้นที่ทำไร่กาแฟแล้วเนี่ย” 
ตอนนี้ทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่ที่เขตของไร่องุ่น ซึ่งเดินไปอีกไม่ไกลมากนักก็จะเข้าเขตพื้นที่ว่างของไร่ทางเหนือ ซึ่งติดป้ายเอาไว้ว่าจะทำเป็นไร่กาแฟ
“เลยมาแล้วเหรอ” ธมนต์หันกลับมองไปยังจุดที่อีกฝ่ายบอก เส้นทางที่มองไม่เห็นปลายทางทำให้ธมนต์ถอนหายใจออกมา
“ใช่ค่ะ พี่น่ะเดินเลยมาแล้วแต่ไม่ไกลมากหรอก เดินกลับไปกันเถอะพี่ก่อนที่พ่อเลี้ยงจะไม่อยู่ที่เรือนสำนักงาน” 
อีกฝ่ายเอ่ยเชิญชวนพร้อมกับลุกขึ้นปัดเศษดินที่ติดกางเกงออก ก่อนจะเดินนำสาวร่างบางที่ลุกขึ้นยืนหยิบกระเป๋าเดินทางขึ้นมาแล้วพากันเดินกลับไปตามทางเดิม 
ถึงว่าทำไมเธอถึงเดินผ่านมันไปอย่างไม่ทันสังเกตเห็นทั้งที่มองหาอยู่ตลอด เรือนสำนักงานหลังที่ว่าจะต้องเลี้ยวเข้าไปในไร่องุ่นทางด้านขวามือ ซึ่งมีระยะความกว้างของแถวต่างจากแถวอื่น และจะพบต้นไม้ขนาดใหญ่ที่บดบังเรือนสำนักงานหลังใหญ่สีเขียวเอาไว้อยู่
“เดี๋ยวนำเอกสารที่เตรียมมาให้พี่ก่อนเลยนะคะ เพราะพี่ต้องเอาเข้าไปด้านในก่อน แล้วน้องสองคนก็กรอกใบสมัครนี้รอ” พนักงานที่นั่งอยู่ด้านหน้าบอกเมื่อทั้งคู่บอกจุดประสงค์ออกไป 
ธมนต์หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมายื่นให้พนักงานก่อนจะรับใบสมัครมากรอกข้อมูล
“พี่ชื่ออะไรเหรอ เดินมาด้วยกันตั้งนานแล้วไม่ได้ถามสักที” เพื่อนร่วมทางถามธมนต์ที่กำลังกรอกข้อมูลของตัวเอง พร้อมจ้องมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ธมนต์ เออ...เรียกพี่ว่ามิ้นต์ดีกว่า เราล่ะ”
“ใบหม่อนค่ะ เบญญา คำปิ่นทอง” เบญญาตอบด้วยรอยยิ้มสดใส
ทั้งสองไม่ได้เอ่ยบทสนทนาใดๆ ต่อกันอีก ต่างฝ่ายต่างจดจ่ออยู่ที่แผ่นกระดาษตรงหน้า ไล่อ่านช่องข้อมูลต่างๆ ที่จะต้องกรอกลงไป ส่วนใหญ่ก็จำพวกข้อมูลส่วนตัวทั่วไป แต่ตรงช่องประวัติการทำงานนี่น่ะสิ ทำเอาธมนต์ถึงกับนิ่งค้าง เพราะเธอเรียนจบปริญญาตรีด้านการออกแบบแฟชั่นดีไซน์และเทคโนโลยีจากฝรั่งเศสในเวลาสามปี และทำงานกับห้องเสื้อที่นั่นอีกเกือบสี่ปี 
จะเขียนลงไปอย่างไรดี...แถมใบวุฒิการศึกษาที่มีอยู่ตอนนี้มันเป็นใบวุฒิของ ม.6 เท่านั้นเอง...
“พี่มิ้นต์ไม่เคยทำงานมาก่อนเหรอ” เบญญาจับอาการผิดสังเกตได้ เพราะคงเห็นอีกฝ่ายทำยึกยักราวกับไม่รู้ว่าจะเขียนลงไปอย่างไรดี
“อื้อ” ธมนต์ขานรับอย่างไม่ปกปิด 
ธมนต์เคยทำงานที่ห้องเสื้อ มีความฝันอยากจะเป็นเจ้าของแบรนด์และเปิดห้องเสื้อของตัวเอง จัดแฟชั่นโชว์ด้วยตัวเองที่ฝรั่งเศส แต่ทุกอย่างก็มีอันต้องพับเก็บ เพราะมารดาบังเกิดเกล้าเรียกตัวเธอกลับมาแต่งงานกับคู่หมั้นคู่หมายนามว่า ‘พุฒินาท’ ซึ่งเป็นพี่ชายคนสนิท และเป็นคนที่ธมนต์เองก็มอบหัวใจให้พี่ชายคนนี้ไปแล้วทั้งดวง 
หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ธมนต์ก็สอบติดทุนเรียนออกแบบที่ฝรั่งเศส ด้วยความที่ชอบด้านนี้เลยทำให้เธอตัดสินใจไปเรียน ก่อนจะไปเธอกับพุฒินาทก็ตกลงปลงใจหมั้นหมายกันเอาไว้ เวลาเกือบเจ็ดปีไม่ได้ทำให้ความรักของทั้งคู่ลดน้อยลง พอมารดาเรียกตัวเธอกลับมาอย่างกะทันหันจึงเกิดเอะใจขึ้นมา เธอจึงเดินทางกลับเมืองไทยก่อนกำหนดที่ได้นัดแนะกับมารดาไว้
พุฒินาทกำลังโอบกอดอยู่กับปิ่นมนัสอย่างสนิทชิดเชื้อราวกับว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้หยุดอยู่ที่คำว่าเพื่อน เขาเดินโอบปิ่นมนัสเข้ามาในร้านอาหารหรู...ร้านที่เขาขอหมั้นเธอ มือของทั้งคู่กอบกุมกันเอาไว้ด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม นั่นคือภาพแรกที่ธมนต์เห็นคู่หมั้นของตัวเองหลังจากกลับมาถึงเมืองไทย 
น้ำตาที่ไหลอาบแก้มไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของธมนต์ในตอนนั้นได้เลย ไม่รู้ว่ากำลังเสียใจ เจ็บปวด หรือรู้สึกเหมือนโดนหักหลังกันแน่ แต่สิ่งที่เธอทำหลังจากสติกลับมาเต็มร้อยก็คือหาที่พักในโรงแรมแถวนั้น และหาสถานที่เที่ยวในเมืองไทยก่อนทุกอย่างจะจบลงที่ ‘ไร่ทางเหนือ’ 
“ไม่ต้องกังวลหรอกพี่มิ้นต์ ครั้งแรกที่หนูไปสมัครนะ หนูก็บอกเขาไปตรงๆ ว่าอยากได้ประสบการณ์เพราะไม่เคยทำงานมาก่อน เจ้าของร้านใจดีเลยให้หนูทำ พี่มิ้นต์ก็บอกพ่อเลี้ยงไปแบบหนูคงได้งานอยู่แล้ว คนเราไม่ได้ทำงานมาแต่เกิดหรอกนะ พี่มิ้นต์ไม่ต้องไปซีเรียส” เบญญาบอกอย่างคนช่างพูด 
ธมนต์เหลือบมองใบสมัครงานของอีกฝ่ายก็ต้องตาโต เพราะประวัติการทำงานของอีกฝ่ายยาวเป็นหางว่าว ทั้งพนักงานทำความสะอาด พนักงานล้างจาน และเสิร์ฟอาหาร 
“เราเริ่มทำงานตั้งแต่อายุเท่าไหร่เหรอ ทำไมประวัติงานเยอะจัง”
“หนูเริ่มทำงานตั้งแต่ ม.2 น่ะพี่ แม่หนูเป็นแค่แม่บ้านรับจ้างทั่วไป เงินไม่พอจ่ายค่าเรียนน้องเลยต้องให้หนูทำงานช่วยอีกแรง” 
“ตอนพี่อยู่ ม.2 เรียนหนังสืออย่างเดียวเลย” ธมนต์เล่าเรื่องราวของเธอออกไปบ้าง ก่อนที่จะได้พูดคุยกับเบญญาต่อ ทั้งคู่ก็ถูกเรียกตัวเข้าไปยังห้องทำงานของพ่อเลี้ยงเจ้าของไร่เสียก่อน
“ทำไมถึงเป็นผู้หญิงสองคนล่ะ” เสียงราบเรียบของชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่มีเอกสารและเครื่องคอมพิวเตอร์วางอยู่ใกล้กัน สายตาคมกริบจ้องมองทั้งสองคน
“เอ่อ...ก็ผู้หญิงทั้งสองคนนะคะ” พนักงานหญิงตอบอย่างเกรงๆ อีกฝ่าย 
ท่าทางของชายหนุ่มทำเอาร่างของทั้งสองคนไม่นับรวมกับธมนต์นิ่งค้างราวกับแช่แข็ง ไม่กล้าขยับตัว ไหนจะสายตาที่จ้องราวกับจะตะครุบเหยื่อนั่นอีก 
“แล้วไอ้ชื่อพร้อมกับเอกสารข้อมูลของนายธมนธรรมนี่มันของใครกัน” ชายหนุ่มวางเอกสารลงบนโต๊ะเสียงดัง
“ธมนธรรม ประภารัตน์” ธมนต์ทวนคำพูดของชายหนุ่ม คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน
“ใช่ นายธมนธรรม ประภารัตน์ คือเธอเหรอ” ชายหนุ่มหันมาจ้องมองร่างบาง ก่อนจะส่งสายตาคาดคั้นให้อีกฝ่ายพูดถึงความเป็นมาของเอกสารที่อยู่บนโต๊ะ
“คือว่า...” น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่มีอาการตื่นกลัวถูกส่งออกจากริมฝีปากของธมนต์ เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดีเพราะมันคือชื่อของน้องชายเธอ แถมเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่ตรงหน้าก็เป็นของน้องชายเธอหมดแทบทุกแผ่น ซึ่งเธอคงจะหยิบสลับกับน้องชายที่ต้องใช้เอกสารพวกนี้ในการย้ายที่เรียนเมื่อวานก่อนตอนที่นัดน้องให้มาพบเพื่อเอาเอกสารพวกนี้จากน้อง 
หากต้องกลับไปเอาเอกสารมาใหม่ พุฒินาทและครอบครัวของเธอต้องรู้แน่ว่าเธอกลับมาก่อนกำหนด
“ตกลงเอกสารพวกนี้ของเธอใช่ไหม” ชายหนุ่มถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจังมากกว่าเดิม 
ธมนต์ลอบถอนหายใจ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับคำอีกฝ่ายไป เอกสารพวกนี้เป็นของเธอแต่ไม่ใช่ข้อมูลของเธอ จะเอ่ยปากบอกเขาอย่างไรดี 
ธมนต์คิดหาคำพูดอยู่นานก็ลอบถอนหายใจอีกครั้ง 
เอาเถอะ อย่างไรเสียเอกสารพวกนี้มันก็ข้อมูลของน้องชายเธอ โชคยังคงเข้าข้างที่เป็นเพียงฉบับสำเนา ธมนธรรมคงไม่วุ่นวายนักหากต้องนำไปถ่ายเอกสารใหม่
“แปลงเพศมาแล้วใช่ไหมล่ะ” 
บุคคลทั้งหมดในห้องเบิกตากว้างกับคำถามนี้ ไม่เว้นดวงตาสีรัตติกาลของธมนต์ที่เบิกกว้างขึ้นเช่นเดียวกัน ดวงตาสามคู่ที่จ้องมองธมนต์ทำให้เธอเริ่มอึดอัด
เธอน่ะหรือแปลงเพศมา
พ่อเลี้ยงแห่งไร่ทางเหนือคงคิดว่าเธอเป็นสาวประเภทสองอย่างนั้นสินะ ไม่แปลก เพราะเขากำลังอ่านข้อมูลของน้องชายเธออยู่ ใบหน้าน้องชายเธอก็คล้ายเธอเสียด้วย ต่างกันแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น 
“เอาเถอะๆ ฉันไม่เกี่ยงเรื่องเพศอยู่แล้ว” ยังไม่ทันที่ธมนต์จะได้ปฏิเสธ เขาก็เอ่ยตัดบทออกมาเสียก่อน ทำเอาหญิงสาวยืนนิ่งไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
“ฉันจะสัมภาษณ์ทีละคน เริ่มจากนะ...เอ่อ...ธมนธรรมก่อนแล้วกัน ส่วนเบญญาออกไปรอข้างนอกก่อน” ชายหนุ่มหันไปบอกพนักงาน ก่อนจะหันมาบอกธมนต์ที่เขาเองเกือบจะหลุดใช้สรรพนามที่บ่งบอกเพศกับเธอ
ทั้งห้องเงียบลงทันตา เมื่อเบญญาและพนักงานอีกคนออกไปแล้ว พ่อเลี้ยงหนุ่มตรงหน้าก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก นอกจากจ้องมองไปทั่วทั้งเรือนร่าง ทำเอาธมนต์แอบกลืนน้ำลายลงคออยู่เป็นระยะ เพราะสายตาของอีกฝ่ายดูเจ้าเล่ห์อย่างไรชอบกล
“จะสัมภาษณ์อะไรก็เริ่มเลยเถอะค่ะ” ธมนต์เริ่มทนไม่ไหวกับสายตาของอีกฝ่ายที่กำลังจ้องหน้าอกของเธอไม่ละสายตา
“ผู้ชายแน่เหรอวะ” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเสียงเบา เขากับเพื่อนผ่านผู้หญิงมาเยอะดูอย่างไรคนตรงหน้าก็ดูท่าว่าจะไม่ใช่ผู้ชายที่ผ่านการแปลงเพศมา แต่เอกสารทุกอย่างมันชัดเจนแถมรูปที่ติดบนใบสมัครของอีกฝ่ายยังคล้ายกับตัวจริงไม่ผิดเพี้ยน ต่างก็แค่ตอนนี้ผมยาวกว่าในรูปและบวกกับการแต่งหน้าบางๆ อาจทำให้ผิดจากรูปไปหน่อย 
เขายืนยันได้เลยว่าคนตรงหน้าไม่เคยผ่านมีดหมอมาแน่นอน ทุกอย่างบนใบหน้าของเธอดูลงตัว การแต่งตัวก็มีสไตล์เป็นของตัวเอง 
ไม่คิดว่าการมานั่งรอหุ้นส่วนที่เป็นเจ้าของไร่ตัวจริงที่ออกไปทำธุระในตัวเมืองจะมีเรื่องสนุกมาให้เขาทำฆ่าเวลา อาจเป็นเพราะเขาเข้ามาจัดการเอกสารงานต่างๆ ที่นี่บ่อย จนพนักงานที่นี่รู้จักและเคารพเขาราวกับว่าเป็นพ่อเลี้ยงของไร่อีกคน เลยทำให้การตัดสินใจรับพนักงานตกอยู่ที่เขาแทนเพื่อนสนิทที่ไม่อยู่
“อะแฮ่ม” ชายหนุ่มกระแอมกระไอ ก่อนจะปรับตัวนั่งหลังตรงจ้องมองธมนต์อย่างจริงจังอย่างคนเอาการเอางาน “ทำไมถึงอยากทำงานที่ไร่นี้” 
คำถามพื้นๆ ของการสัมภาษณ์งานถูกถามออกมา ธมนต์ที่คิดคำตอบสำหรับคำถามนี้ไว้ก่อนหน้าแล้วจึงไม่หวั่นเท่าไรนัก 
“ฉันชอบบรรยากาศของที่นี่ค่ะ” 
“คุณชอบที่นี่แค่นี้น่ะเหรอ งั้นคงไม่จำเป็นต้องทำงานที่นี่ก็ได้มั้งครับ เพราะแค่ชอบบรรยากาศคุณก็สามารถมาเที่ยวหรือพักผ่อนช่วงวันหยุดก็ได้ เพราะทางไร่ของเราเปิดรีสอร์ตให้นักท่องเที่ยวที่ชอบบรรยากาศไร่องุ่น เทือกเขา ทะเลหมอกได้มาเข้าพัก แถมเรายังมีไกด์นำเที่ยวภายในไร่ เหตุผลของคุณยังไม่หนักแน่นพอที่ผมจะรับคุณเข้ามาทำงานที่นี่ มีเหตุผลอื่นอีกไหม” ชายหนุ่มบอกออกมาอย่างจริงจัง ยกเหตุผลร้อยแปดมาขัดแย้งคำพูดของธมนต์
“เอ่อ...เงินค่ะ ตอนนี้ฉันต้องการเงินจำนวนมาก” ธมนต์คิดคำตอบสดๆ ออกไปอย่างนิ่งเรียบ ไม่มีหลุดอาการตื่นตระหนก
“อยากได้เงินไปทำอะไร แล้วทำไมไม่ไปทำงานบริษัทที่มีสวัสดิการดีกว่าที่นี่” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างไล่ต้อน แต่ดวงตาคมกริบก็ไม่คลาดจากหน้าอกหน้าใจของอีกฝ่ายที่มันดูโดดเด่นเกินรูปร่าง
‘คงจะทำมาแพงเลยสินะมันถึงได้อวบอิ่มอย่างนั้น อยากจะลองสัมผัสสักครั้ง...’
“เรื่องส่วนตัวค่ะ” ธมนต์คิดคำตอบไม่ออก อ้างเหตุผลส่วนตัวไปเสียอย่างนั้นพร้อมกับจ้องมองอีกฝ่ายตาเขียวที่ยังไม่เลิกจ้องมองหน้าอกของเธอเสียที
“ถ้าผมจะบอกว่าไม่รับคุณเข้าทำงานเพราะเหตุผลส่วนตัวของผมก็ได้สินะ” ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะยกยิ้มมองอีกฝ่ายไม่วางตา เขากำลังหลงใหลรูปร่างของเธอที่ช่างสวยโดดเด่น ทุกอย่างลงตัวเข้ากันไปหมด แต่มันติดอยู่ที่เดียวจริงๆ ที่เธอไม่ใช่ผู้หญิง และนั่นทำให้เขาลดความสนใจลงได้เกือบครึ่งเลยทีเดียว 
หลังจากคิดอยู่นานธมนต์ก็นึกขึ้นได้เพราะสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองตนอยู่ตลอดแถมมองไปยังจุดสำคัญเสียด้วย 
“เอาไปทำ...” ธมนต์ก้มลงมองจุดกึ่งกลางหว่างขาของตัวเองเพื่อบอกให้ชายหนุ่มตรงหน้ารู้ว่าเธอต้องการเงินจำนวนมากไปทำอะไรกันแน่
คำตอบของคนตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น จุดที่ดูเรียบไม่มีอะไรโดดเด่นออกมาจากกางเกงยีนนั้นมันยังคงเป็นน้องชายเหมือนของเขาอย่างนั้นน่ะหรือ 
“อะ...เอ่อ” 
คำพูดที่ดูอึกอักของชายหนุ่มทำเอาหญิงสาวยิ้มพอใจกับการตอบคำถามครั้งนี้ของตน 
หึ...ชายหนุ่มคิดอะไรกับเธออยู่ ทำไมเธอจะดูไม่ออกกัน ท่าทางเจ้าชู้อย่างนั้น
“มีอะไรจะถามอีกไหมคะ” ธมนต์ถามออกไปอีกครั้ง หลังจากที่อีกฝ่ายยังไม่ละสายตาออกจากจุดสงวนของเธอ
“ฮึ่ย” ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ สะบัดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วคล้ายจะไล่คำพูดที่ติดสมองของเขาออกไป 
ตรงนั้นยังไม่ผ่า ถ้าผ่าแล้วก็ว่าไปอย่าง ชายหนุ่มตาโตกับความคิดของตนก่อนจะเอ่ยไล่อีกฝ่ายออกไปจากห้อง
“ถ้าเขาผ่ามาแล้วแกคิดจะทำอะไรวะ ไอ้นพ” ชายหนุ่มถามตัวเองก่อนจะตบใบหน้าไปมาเพื่อเรียกสติ เขาไม่ได้มีความชอบผิดแปลกไป เพียงแต่อีกฝ่ายดึงดูดเขาอย่างไรชอบกล อยากลองเข้าหา แต่ติดตรงที่อีกฝ่ายเป็นเพศเดียวกับเขาแถมยังไม่ได้ผ่าตัดแปลงเพศมา
“คนเจ้าชู้อย่างพ่อเลี้ยงจิณลองเจอธมนธรรมหน่อยจะเป็นยังไงนะ” ธนานพพูดออกมาพร้อมกับยิ้มที่มุมปากไปกับความคิดของตัวเอง 
ธมนธรรมดูสวยโดดเด่นและที่สำคัญเธอตรงสเปกของเพื่อนสนิทเขาเลยละ คราวนี้สนุกแน่ๆ พ่อเลี้ยงจิณธนนท์แห่งไร่ทางเหนือคงตบะแตกตะครุบเหยื่อสาวทันที
ธมนต์เดินยิ้มร่าออกมาจากห้องทำงานของพ่อเลี้ยง นึกขำในใจที่ชายหนุ่มมองจุดสงวนของเธอตลอดเวลายามที่เธอเดินออกมาจากห้อง เจ้าชู้แบบนี้คงต้องเจอกับเธอนี่ละ เหมาะสมกันที่สุดแล้ว มีเรื่องสนุกๆ ให้ทำอาจจะลืมความเสียใจไปได้บ้าง
“เป็นไงบ้างพี่มิ้นต์ พ่อเลี้ยงถามอะไรบ้าง”
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาไม่ได้ถามอะไรมากหรอก” นอกจากมองหน้าอกหน้าใจ “พี่ว่าใบหม่อนน่าจะตอบได้นะ คำถามง่ายๆ เอง” 
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่มิ้นต์ไม่ใช่ผู้หญิง หนูนี่นะตกใจจนอยากจะกรี๊ดออกมา แต่ติดตรงที่กลัวพ่อเลี้ยงเขาน่ะสิ แค่มองหน้าพ่อเลี้ยง หนูยังไม่รู้เลยว่าจะพูดออกรึเปล่า”
ธมนต์ไม่ได้พูดอะไร นอกจากยิ้มอย่างขบขัน ส่ายหน้าเล็กน้อยกับคำพูดคำจาของเบญญาที่พูดขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทำงานของพ่อเลี้ยง 
หญิงสาวเดินไปนั่งรอที่ด้านหน้าบ้านพักที่มีเก้าอี้ไม้ยาววางอยู่ นั่งกินลมชมวิวไปตามประสา รอเวลาพนักงานเดินออกมาบอกว่าเธอได้งานหรือไม่
“ทำอะไรน่ะ!” ธมนต์ตะโกนขึ้นเสียงดังพร้อมกับก้าวไปยังจุดที่วางลังองุ่นไว้หลายสิบลัง แต่ตอนนี้องุ่นผลโตในลังถูกชายร่างสูง ไหล่กว้างหยิบขึ้นมาหนึ่งพวงส่งให้เด็กผู้หญิง ซึ่งน่าจะอายุราวๆ สามสี่ขวบได้ชิม
“มีอะไร” ชายร่างสูงหันกลับมาจ้องมองธมนต์อย่างโมโหโกรธา  คนงานในไร่ก็ไม่ใช่ หากใช่คงไม่ตะโกนถามเขาอย่างนี้หรอก
“หยิบองุ่นขึ้นมากินอย่างนี้ได้ยังไง ไม่รู้รึไงว่ามันไม่เหมาะสม แล้วของพวกนี้ต้องเอาลงไปขายหรืออาจจะเอาเข้าไปเก็บในโกดังเพื่อนำมาทำไวน์ คุณมาหยิบสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วยังเอาให้ลูกกินอย่างนี้น่ะเหรอ หากคนงานคนอื่นเข้ามาเห็นนำไปเล่าให้พ่อเลี้ยงฟังคุณจะทำยังไง คุณต้องเลี้ยงลูกนะ ลูกคุณเพิ่งจะอายุแค่นี้เอง แล้วคุณยังจะมาลักเล็กขโมยน้อย แถมยังทำต่อหน้าเด็กด้วย ไม่คิดว่าแกจะเอาเป็นตัวอย่างเหรอ” ธมนต์ร่ายยาวอย่างลืมตัว เพราะเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้ากำลังทำผิด แถมยังมีเด็กตัวน้อยๆ ยืนดูด้วย 
“แล้วคุณเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาต่อว่าผมอย่างนี้” ชายหนุ่มถามอย่างอดทน ทั้งที่ในใจอยากจะจับร่างบางเข้ามาดูใกล้ๆ ว่าสวยอย่างที่เขาเผลอมองไม่ละสายตาจริงหรือเปล่า
“พะ...พนักงาน...มั้งคะ”
ธมนต์ตอบไม่เต็มเสียงนัก เพราะเริ่มรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป หลังจากที่มีเวลาพิจารณาอีกฝ่ายชัดๆ ทั้งเสื้อผ้าแบรนด์เนม นาฬิกาเรือนหรูราคาแสนแพง ผิวขาวๆ ใบหน้าที่ดูหล่อเหลาคมคายนั้นบอกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงไม่ใช่คนงานของที่นี่แน่ ไหนจะเด็กผู้หญิงที่สวมชุดแบรนด์เนมซึ่งยืนมองหน้าเธอและเขาสลับกันไปมานั่นอีก
ตายแน่...ยายธมนต์เอ๊ย! 
“ทำตำแหน่งไหน แล้วใครรับเข้ามา ทำไมถึงปล่อยให้คนอย่างนี้เข้ามาทำงานที่ไร่ได้วะ” ชายหนุ่มพูดขึ้นและพานโกรธไปถึงคนรับเข้าทำงานโดยที่ไม่ผ่านเขา แถมคนตรงหน้ายังไม่รู้ด้วยว่าเขาคือใคร แม้เขาจะค่อนข้างชอบใจในพฤติกรรมของอีกฝ่ายที่แสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์และรักความถูกต้องก็ตาม 
“เออ...ฉะ...ฉัน ฉันทำตำแหน่ง...” ธมนต์พูดไม่ออก หากพูดอะไรออกไปแล้วอีกฝ่ายเป็นเพื่อนพ่อเลี้ยงขึ้นมา สอบถามกันไปมาแล้วรู้ว่าเธอเพิ่งจะมาสมัครงานวันนี้ เธอต้องไม่ได้งานแน่นอน
ทำยังไงดี
“พี่มิ้นต์! เราไปกันเถอะ คุยอะไรกับใครอยู่ เราผ่านการสัมภาษณ์งานแล้วนะ”
‘เสียงสวรรค์’ 
“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะต่อว่าคุณจริงๆ แต่คุณเองก็ผิดนะ ไม่ควรจะไปหยิบของคนอื่นแบบนั้น ถือว่าเสมอกันไปก็แล้วกันนะคะ ฉันจะไม่บอกพ่อเลี้ยง ส่วนคุณก็ถือว่าฉันสั่งสอนเรื่องมารยาทไปก็แล้วกัน ขอบคุณค่ะ”
ธมนต์ร่ายยาวก่อนจะวิ่งกลับไปหาเบญญาโดยไม่ลืมหยิบกระเป๋าเดินทางของตัวเองและเดินตามหลังเบญญาและพนักงานไปยังที่พัก ซึ่งอยู่ทางด้านหลังของเรือนสำนักงาน โดยไม่วายหันกลับไปมองชายหนุ่มที่จ้องมองเธออย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ขณะอุ้มลูกสาวขึ้นมาหอมแก้มและพากันเดินเข้าไปข้างในสำนักงาน
วันแรกก็มีแต่เรื่อง ไหนจะถูกตราหน้าว่าเป็นสาวประเภทสอง ไหนจะไปต่อว่าเพื่อนพ่อเลี้ยงอีก! 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น