14

เคลียร์

 พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เดินเข้าไปในห้องนั่งมองใบหน้าของธมนต์ยามหลับ สำรวจไปทั่วทั้งใบหน้าอย่างหลงใหล รอยยิ้มจุกปากชายหนุ่มตลอดเวลา เขานั่งอยู่แบบนั้นนานพอสมควรก่อนจะก้มลงจุตพิษที่หน้าผากมนและผละตัวออกไปอาบน้ำชำระร่างกายเตรียมตัวมานอนลงข้างหายหญิงสาว คืนนี้เป็นอีกคืนที่เขามีธมนต์อยู่ในอ้อมกอดของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์

“เบาๆ นะคุณ ถ้าเลือดผมออกคุณเจ็บตัวแน่!” เสียงขู่คำรามของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ดังขึ้น ทั้งที่กำลังหลับตาและยื่นใบหน้าเปื้อนครีมโกนหนวดออกมาให้ธมนต์โกนได้ถนัดแถมกำชับว่าห้ามเลือดออกเด็ดขาดอีกด้วย

                ท่าทางหมิ่นเหม่ของทั้งคู่เรียกอาการเขินอายจากธมนต์ได้เป็นอย่างดี มีอย่างที่ไหนดูพระอาทิตย์ตกดินเสร็จก็ชวนเธอเข้าห้องกว่าจะได้นอนก็ปาไปเกือบตีสองกว่า แถมยังปลุกแต่เช้าให้เธอมาโกนหนวดให้ อ้างว่าเธอบ่นเรื่องหนวดของเขาเมื่อคืน ธมนต์เลยจำใจรับผิดชอบคำพูดโดยการมานั่งโกนหนวดให้แบบนี้ แต่มันจะไม่ทำให้เธอเขินเลยสักนิดถ้าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่ได้อยู่ในสภาพท่อนบนเปลื่อยเปล่าส่วนท่อนล่างมีเพียงผ้าขนหนูพันเอาไว้ แถมตอนนี้ธมนต์ยังนั่งอยู่บนขอบอ่างล้างหน้าโดยมีร่างสูงแทรกตัวยืนอยู่หว่างขาของเธอ

                “อย่าขยับนะคะ ไม่อย่างนั้นเลือดคุณออกแน่ๆ” ธมนต์บอกคนที่หลับตารอเธอลงมือโกนหนวดให้อยู่ด้วยน้ำเสียงเบาเพราะอยู่ใกล้กันแค่คืบ

                “รีบโกนเถอะคุณ ผมหนาวนะ ลุกไปทั้งตัวแล้วเนี่ย”

                “อะไรลุกคะ” ธมนต์ชะงักมือที่กำลังวาดล้อมไปมาอยู่บนใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทันทีเมื่อได้ยิน พลางสบตาเข้าหับดวงตาคมที่ลืมตาขึ้นมาจ้องมองเธอ

                “ขนครับ ขนลุกมันหนาวนะคุณหรือคุณอยากให้อย่างอื่นลุก ถ้าอันนี้ลุกไม่ลงง่ายๆ นะ หนักกว่าเมื่อคืนแน่นอน” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ธมนต์ซ่อนใบหน้าแดงก่ำเอาไว้ พลางทำท่าส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอาเต็มทน

                “หลับตาค่ะ ฉันจะโกนหนวดให้ต่อ คุณจะได้ล้างหน้าแล้วไปแต่งตัว” ธมนต์บอกเสียงนิ่ง แต่พ่อเลี้ยงจิณธนนท์กลับไม่ยอมหลับตาตามคำบอกของเธอ แถมยังจ้องมองตาแป๋ว

                “ไม่หลับดีกว่า ผมอยากมองหน้าคุณ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นพร้อมทำตามคำพูดของตัวเองคือมองใบหน้าของธมนต์ไม่ละไปไหน

                “เชิญตามสบายค่ะ” ธมนต์บอกก่อนจะลงมือโกนหนวดให้ต่ออย่างเบามือ เกรงว่าตัวเองจะทำให้เขามีบาดแผลจนเลือดออก

                เพียงเวลาไม่นาน ธมนต์ก็โกนหนวดเสร็จเรียบร้อยหญิงสาวใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กเช็ดคราบครีมออกจากใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ พลางมองสำรวจความเรียบร้อยก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อทุกอย่างออกมาดี

                “ล้างหน้าให้หน่อยครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกด้วยรอยยิ้ม

                “ล้างเองสิค่ะ ไหนว่าแค่โกนหนวดไง” ธมนต์ค้านอย่างไม่อะไรมากนัก

                “ล้างให้หน่อยนะ นะครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์อ้อนเสียงหวาน จนธมนต์ต้องถอนหายใจยอมโอนอ่อนข้อให้อีกคราว

                ธมนต์ลงไปยืนในอ่างอาบน้ำก่อนจะให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ยืนอยู่ด้านนอกยื่นใบหน้าออกมาเพียงแค่นั้น ธมนต์ลงมือเปิดน้ำฝักบัวล้างหน้าก่อนเป็นอันดับแรก มือบางค่อยๆ ลูบไปทั่วทั้งหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ซึ่งกำลังหลับตาสนิท สายน้ำไหลลงในอ่างที่หญิงสาวยืนอยู่ ธมนต์บีบครีมล้างหน้าใส่มือก่อนจะลูบไปทั่วหน้าอย่างเบามือและล้างออกมา ก่อนจะเอาผ้าชับหยดหน้าออกจากใบหน้าให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เป็นอย่างสุดท้าย

                “ลืมตาได้แล้วค่ะ” ธมนต์บอกหลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ลืมตามองหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะยิ้มหวาน มองเข้าไปในนัยต์ตาสีรัตติกาลอย่างสื่อความหมาย ธมนต์เองก็มองชายหนุ่มไม่ละสายตาไปไหน เหมือนมีแรงดึงดูดระหว่างกันหรือแรงดึงดูดที่เกิดขึ้นแค่พ่อเลี้ยงจิณธนนท์คนเดียวก็ไม่รู้ เพราะตอนนี้ใบหน้าคมคายกับเข้าเลื่อนเข้าใกล้ใบหน้ารูปไข่อย่างเชื่องช้าพลางมองตาสื่อความนัยต์ ธมนต์เองไม่ได้ถอยใบหน้าหนีไปไหน

                หน้าผากของทั้งคู่ชนกันพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก้มมองริมฝีปากของหญิงสาวนิ่งนาน ธมนต์เองก็มองตามสายตาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์อยู่ พอมองนานๆ ก็เริ่มเขินอายจนต้องเผลอกัดริมฝีกปากของตัวเองเสียอย่างนั้น

                “จูบได้ไหม”

                ไม่รอคำตอบจากหญิงสาวพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้กดจูบลงบนริมฝีปากที่ปิดสนิทอย่างเบาๆ แต่หนักหน่วง ก่อนจะกัดริมฝีปากล่างเพื่อบอกให้ธมนต์เปิดปากออกให้เขาไปเช้าไปชิมความหวานที่ติดอยู่ในปากของเขาตั้งแต่เมื่อคืน ธมนต์ค่อยๆ เปิดปากออกอย่างเชื่องช้ารอดูการเคลื่อนไหวของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ ลิ้นร้อนสอดเข้าไปในโพรงปากของหญิงสาวก่อนจะตวัดไปทั่วเพื่อหยอกล้อกับหญิงสาวพลางดูดดึงเบาๆ

ธมนต์ใจเต้นแรงทุกครั้งที่ทั้งสองคนจูบกัน ไม่ต่างจากพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ที่เริ่มรู้ว่าหัวใจของตัวเองเริ่มเต้นผิดแปลกไปจากทุกครั้ง ทั้งคู่แลกเปลี่ยนความหวานกันอยู่นานจนพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ต้องผละออกมาเพื่อให้ธมนต์ได้กอบโกยลมหายใจ ยิ่งนานวันเข้าธมนต์ก็ยิ่งเรียนรู้เร็ว เธอสามารถจูบกับเขาได้นานกว่าครั้งก่อนเสียอีก

                “ขอบคุณครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นหน้าผากยังคงแนบกันอยู่

                “ระ... เราออกไปจากห้องน้ำกันเถอะค่ะ คุณจะได้แต่งตัวด้วย” ธมนต์บอกอย่างปิดอาการเขินอายของตัวเอง

                “มันลุกแล้วครับ” ปลายเท้าเปล่าของธมนต์ชะงักค้างอากาศก่อนจะวางลงบนพื้นห้องน้ำและหันกลับมามองใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ที่เอ่ยประโยคล่อแหลมเมื่อครู่

                “ขอตัวค่ะ” ธมนต์บอกก่อนจะเดินออกไปจากห้องน้ำ

“ว้าย!”

หญิงสาวร้องลั่นยังไม่ทันได้เดินออกไปพ้นขอบประตูร่างของลอยลิ้วจากพื้นขึ้นกลางอากาศโดยมีอ้อมแขนหนากอดรัดรอบเอวเอาไว้

“นิดเดียวเอง ขอยกเดียวนะครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดด้วยน้ำเสียงกระซิบอยู่ริมใบหู ทำเอาใบหน้าของธมนต์แดงก่ำกว่าเดิม ภายในใจก็เต้นแรงราวกับว่าจะยอมท่าเดียว

“แต่คุณเพิ่ง... ทำมันไป”

“นั่นมันเมื่อวาน แต่วันนี้ผมยังไม่ได้ทำเลยนะ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกก่อนจะส่งสายตาหวานซึ้งสื่อความหมายให้หญิงสาวในอ้อมกอด

“แต่... แต่ว่า” ธมนต์อยากปฏิเสธแต่ทำไมมันถึงพูดไม่ออกกันนะ

“ผมเบื่อคำปฏิเสธแล้ว เราไปทำกันเถอะ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกพร้อมเปลี่ยนท่ามาอุ้มหญิงสาวขึ้นและพาไปยังเตียงนอนทันที ไม่ฟังคำพูดปฏิเสธแถมไม่สนใจมือบางที่ตีอกประท้องให้เขาปล่อยเธอไปด้วย

สงครามจะเกิดเอาช้างมาฉุดมันก็เกิดอยู่วันยังค่ำ ร่างบางถูกทิ้งลงบนเตียงกว้างขนาดคิงไซส์ก่อนร่างสูงของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์จะตามทาบลง บทรักดำเนินต่อจากนั้นไม่ผิดไปอื่น ธมนต์หน้าแดงซ่าใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา ส่วนพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็พยายามควบคุมอารมณ์ร้อนในกายและใบหน้าของตนเอาไว้

                ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการดำเนินบทรักของทั้งคู่ ก่อนที่ธมนต์จะหลับใหลไปในห้วงนิทรามีเพียงแค่พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ที่นั่งพิงหัวเตียงโอบร่างบางเอาไว้ โทรศัพท์เครื่องหรูส่งเสียงดังขึ้นจนเจ้าของต้องรีบรับสายเพราะเกรงว่าจะทำให้ร่างบางตื่นขึ้นมา

                “มีอะไร” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามเสียงเข้ม เพื่อพบว่าลูกน้องคนสนิทโทร.เข้ามา

                “เรื่องคนร้ายที่วางเพลิงโรงบ่มไวน์ ตำรวจเจอตัวแล้วครับ” ปลายสายรายงานถึงเรื่องสำคัญที่ทำให้ต้องโทร.มาหาพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทันที

                “ลูกน้องของพุฒินาทใช่ไหม” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าใครคือคนบงการ

                “ครับ พ่อเลี้ยงจะให้พวกผมจัดการยังไงดีครับ”

                พ่อเลี้ยงจิฯธนนท์เหลือบมองใบหน้ายามหลับของธมนต์อย่างใช้ความคิด เขากำลังลังเลว่าควรจัดการเด็ดขาดไปเลย หรือว่าให้ธมนต์เป็นคนตัดสิน เธออาจจะยังอยากพูดคุยกับคู่หมั้นหรือมีเรื่องต้องเคลียร์ระหว่างกัน ถ้าเกิดเขาจัดการแบบเด็ดขาดเมื่อไหร่ พุฒินาทจะหายไปจากโลกนี้ทันที

                “ฉันอยากคุยกับเขาค่ะ” ธมนต์เปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นมาก่อนจะพูดขึ้น

เธอรู้สึกตัวตั้งแต่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เข้าแล้วแต่ที่ยังคงนอนนิ่งเพราะไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลืมตาขึ้นมา ถึงอย่างนั้นสมองของเธอก็ยังรับรู้ทุกอย่าง

                “จับตัวมันไปไว้ที่กระท่อมท้ายไร่ พรุ่งนี้ฉันจะจัดการเอง” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกปลายสายแต่สายตากลับเอาแต่จับจ้องอยู่ที่ร่างบางในอ้อมกอด ตอนนี้ธมนต์ตาปรือจนจะปิดลงไปอีกรอบอยู่ล่ำๆ แต่ก็ยังฝืนตัวเองพูดออกมา

                “ขอบคุณค่ะ” ธมนต์บอกเสียงเบา ก่อนเปลือกตาจะปิดลงอีกครั้ง พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ยิ้มขำก่อนจะกดจูบลงบนเปลือกตาของร่างบางอย่างแผ่วเบา

                “อย่าให้หนีไปได้ แจ้งไปยังสถานีตำรวจด้วย” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์สั่งงานกับลูกน้องในสายก่อนจะกดตัดสายทิ้งไปและเลื่อนตัวลงเพื่อให้ได้ระดับเดียวกับร่างบางก่อนจะดึงร่างบางเข้ามากอดเอาไว้ให้แน่นกว่าเดิมและหลับใหลไปในห้วงนิทราด้วยกัน

*****

                รถยนต์หรูยี่ห้อหรูนำเข้าจากนอกจอดสนิทอยู่หน้าบ้านทางเหนือซึ่งเป็นบ้านหลักใหญ่ใจกลางไร่ทางเหนือ ห่างกันไม่ถึงวินาทีรถยนต์ยี่ห้อหรูแบรนด์เดียวกันคนละรุ่นก็ขับมาจอดข้างกันก่อนร่างสูงใหญ่ของนายหัวภรัณยูจะเดินลงจากรถคันแรกโดยมีรติรัตน์เดินเข้าไปควงแขนชายหนุ่มทันทีที่ลงจากรถได้ ร่างบอบบางของนีรภาซึ่งลงมาจากรถยนต์อีกคันก้าวเดินอย่างเชื่องช้าใบหน้าไร้สี มันซีดจนน่าใจหาย ธมนต์เพิ่งลงมาจากรถยนต์คันเดียวกับนีรภาก็เดินเข้าไปประคองหญิงสาวเอาไว้กลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นลมไปเสียก่อน

                “พ่อเลี้ยงกลับมาแล้วหรือคะ นั่นนายหัวรัณกับคุณรภาใช่ไหมคะ” เสียงป้าแม่บ้านประจำดังขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาหาร่างสูงใหญ่ของนายหัวภรัณยูซึ่งยืนอยู่ข้างน้องชาย

                “สวัสดีครับ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” นายหัวภรัณยูบอก แววตาดุจ้องมองใบหน้าของอดีตภรรยาไม่ละไปไหนจนรติรัตน์ต้องกระตุกแขนชายหนุ่มเพื่อเรียกร้องความสนใจ นีรภายกมือไหว้สวัสดีป้าแม่บ้านซึ่งเธอคุ้นเคยพอสมควร

                “เข้าบ้านเถอะค่ะ คุณท่านนั่งรออยู่กับคุณผู้หญิง”

                “คุณแม่รัศอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ” นีรภาราวกับเห็นแสงสว่างถามขึ้นแต่น้ำเสียงกลับเบาราวกระซิบ

                “ค่ะ คุณผู้หญิงเพิ่งมาถึงเมื่อครู่ เชิญเข้าไปในบ้านดีกว่าค่ะ” ป้าแม่บ้านบอกพร้อมกับผายมือเชิญบุคคลทั้งหมดเข้าไปในบ้านหลักใหญ่

                นีรภามองใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ราวกับขอความคิดเห็น เมื่อพบว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์พยักหน้ารับ หญิงสาวจึงสูดลมหายใจเข้าก่อนจะเดินเชิดหน้าเข้าไปในบ้านตามหลังแม่บ้านใหญ่ไป ธมนต์เองก็เดินตามร่างบางเข้าไปตามแรงผลักที่แผ่นหลังจากพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ซึ่งก็โอบไหล่เธอเอาไว้และเดินไปด้วยกัน ส่วนนายหัวภรัณยูและรติรัตน์เองก็เดินตามเข้าไปเช่นกัน

                “คุณแม่!” เสียงเล็กใสดังขึ้นเมื่อพบว่ามารดากำลังเดินเข้ามาในบ้าน พลางดิ้นจะลงจากนั่งของคุณย่าเพื่อไปหามารดา จนคนเป็นย่าต้องปล่อยให้วิ่งไป นีรภาเองเมื่อเห็นลูกกำลังเดินเข้ามาหาหญิงสาวก็ย่อตัวเองเพื่อรอรับร่างเล็กของลูกทันที

                นีรภากดจูบลงบนกลุ่มผมสีดำสนิทที่ได้จากมาเธอเต็มๆ อย่างแสนคิดถึง พลางน้ำตาคลอเมื่อพบใบหน้าของลูกซบเข้ากับอกอย่างอ้อนออด นายหัวภรัณยูไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกอย่างไรยิ่งเห็นใบหน้าของเล็กนั่นมันยิ่งอธิบายความรู้สึกออกมาไม่ถูก

                “รัณ มานั่งกับแม่สิลูก” นางรัศมีเรียกลูกชายคนโตให้เข้ามานั่งข้างตนเองเมื่อมองเห็นแววตาของลูกชายเต็มไปด้วยความสงสัยและวิตกกังวลบางอย่าง

                “คุณแม่ขา คุณลุงกับคุณป้า สองคนนี้เป็นใครคะ”

                ราวกับมีค้อนปอนด์ทุบลงบนศีรษะของนายหัวภรัณยู เมื่อลูกสาวคนเดียวถามอดีตภรรยาของเขาว่าคนเป็นพ่อคือใคร แถมยังมองมาด้วยสายตาสงสัย ยิ่งมองดวงตาคู่นั่นก็ยิ่งเห็นว่าเหมือนนีรภาอย่างมาก ดวงตาสีดำสนิท

                “ลุงเขาคนนั้นคือ...”

                “น้องนาราครับ มาหาคุณพ่อสิลูก มาครับ” นีรภายังไม่ทันจะได้พูดอะไร นายหัวภรัณยูก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนพร้อมกับอ้าแขนออกส่งยิ้มเป็นมิตรให้ลูกสาว

                นีรภากระชับอ้อมกอดแน่นกว่าเดิม ใบหน้ามีเม็ดเหงื่อผลุดขึ้นเต็มมือไม้สั่นเทาอย่างน่างสงสัย เธอมองดวงตาสีดำสนิทของลูกอย่างสงสารจับใจ แต่จะให้พูดว่าผู้ชายคนนั้นคือพ่อ เธอก็พูดไม่ออกจะบอกลูกได้อย่างไรว่าพ่อของลูกเธอนั่นเกือบฆ่าลูกตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลกเลย

                “น้องนาราคะ มาหาพ่อเขาสิลูก” เป็นนางรัศมีที่เอ่ยปากบอกหลานสาวแทนลูกสะใภ้

                ธมนต์มองดูนีรภาอย่างสงสารจับใจ ยิ่งเห็นใบหน้าคลอน้ำตาแต่กลับไม่ได้ไหลลงมานั่นยิ่งแสดงถึงความอ่อนแอแต่กลับมีความเข้มแข็งมากพอสมควร เธอยิ่งทำอะไรไม่ถูกอยากเข้าไปกอดปลอบร่างบอบบางนั่นเอาไว้ แต่ตอนนี้เธอคือคนนอกจึงได้แต่ยืนมองเหตุการณ์เท่านั้น

                เด็กหญิงนาราลักษณ์มีท่าทีลังเล เมื่อไม่ได้รับคำยืนยันจากปากของแม่จึงยังไม่เชื่อหมดใจว่านายหัวภรัณยูคือพ่อ นีรภามองลูกสาวอย่างลังเลอ้อมกอดแน่นขึ้นอย่างหวงแหนแต่พอสบตากับนางรัศมี เธอจึงคลายออกให้ลูกได้ผ่อนคลายขึ้น

                “ปะ... ไปหาพ่อเขาสิค่ะ” นีรภาบอกลูกสาวอย่างจำยอมในที่สุด พยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมา

                “คุณพ่อของนาราจริงๆ เหรอคะ จริงใช่ไหมคะคุณแม่” เสียงเล็กใสยังคงถามอย่างไม่ปักใจเชื่อ

                “จะ... จริงๆ ค่ะ” นีรภาบอกลูกสาวพร้อมลูบกลุ่มผมสีดำอย่างเบามือ ร่างเล็กของลูกสาวผละออกไปพร้อมกับเดินช้าๆ ไปหาบุคคลที่ได้ชื่อว่าพ่ออย่างเชื่องช้า นายหัวภรัณยูยิ้มกว้างพร้อมกับรับร่างเล็กขึ้นมานั่งตักกอดรัดเอาไว้แน่น ชายหนุ่มกดจูบบนลงแก้มใส ดวงตาดุคลอไปด้วยหยาดน้ำตาไม่ต่างจากนีรภา หัวใจของเขาแต้นแรงไม่ต้องพิสูจน์อะไรทั้งสิ้นว่าเด็กคนนี้คือลูกหรือไม่ เพราะทุกอย่างมันชัดเจนบนใบหน้าแล้ว

                “ผมขอตัวพามิ้นต์เขาไปพักผ่อนนะครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นเมื่อทุกอย่างเริ่มโอเค ถึงแม้จะมีการถกเถียงกันบ้าง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องของเขาแล้ว มันคือเรื่องของครัวครอบพี่ชาย

                “เสร็จเรื่องของพี่รัณ จิณรู้ใช่ไหมว่าแม่จะต่อที่เรื่องของเรา” นางรัศมีบอกลูกชายคนเล็ก เธอรับรู้เรื่องทั้งหมดจากสามีแล้ว

                “ครับ แต่ผมยังไม่พร้อมตอนนี้ แม่จะอยู่ที่นี่อีกนานไหมครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามมารดาเพราะไม่บ่อยนักที่มารดาจะขึ้นมาที่ไร่ทางเหนือสถานที่ที่เป็นความทรงจำโหดร้ายของนางรัศมี

                “อาทิตย์หนึ่งจ้ะ จนกว่าโรงเรียนของน้องนาราจะเปิด” นางรัศมีบอกลูกชาย ก่อนจะมองไปที่ธมนต์ซึ่งยืนก้มหน้าอยู่อีกมุมของห้อง

                “ถ้าอย่างนั่น เราค่อยคุยกันแล้วกันนะครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกมารดาก่อนจะเดินเข้าไปหอมแก้มนางรัศมีเสียงดังและเดินออกไปไม่วายเดินเข้ามาโอบไหล่ธมนต์เพื่อที่จะเดินออกไปนอกวงสนทนา

                ร่างสองร่างเดินเคียงคู่กันออกมาจากตัวบ้าน จากนั้นพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็ตรงไปยังรถกอล์ฟเพื่อขับออกไปยังท้ายไร่ สถานที่กักขังพุฒินาท ธมนต์นั่งกำมือแน่นอย่างประมาท ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มบทสนทนาระหว่างเธอกับพุฒินาทยังไงดี เมื่อรถกอล์ฟจอดสนิทลงที่หน้าโกดังหลังหนึ่งในท้ายไร่ทางเหนือ มีนายตำรวจสองนายยืนคุมอยู่ด้านนอก เพื่อรอรับตัวผู้ต้องหาไปดำเนินคดีต่อจากนี้ซึ่งพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เป็นคนแจ้งไปว่าเจอตัวคนร้ายที่วางเพลิงที่ไร่แล้ว อาจจะเป็นเพราะเส้นสายและเป็นบุคคลที่คนทั่วทั้งจังหวัดรู้ดีจึงทำให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์สามารถนำตัวผู้ต้องหามาที่นี่ได้ก่อนจะส่งตัวไปที่โรงพัก

                “ผมจะรออยู่ตรงนี้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นหรือต้องการความช่วยเหลือแค่ร้องออกมาดังๆ แค่นั้นเข้าใจไหม” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกเสียงเข้ม ถึงแม้จะอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ในใจของชายหนุ่มก็อยากให้ธมนต์พูดคุยกับพุฒินาทเป็นการส่วนตัว

                “ค่ะ” ธมนต์รับเสียงเบาก่อนจะเดินเข้าไปในกระท่อมท้ายไร่ ดวงตาสีรัตติกาลแข็งขืนแต่กลับดูวูบไหว

                “มิ้นต์” พุฒินาทมองใบหน้าของคนรักอย่างสงสัยที่เจออีกฝ่ายเข้ามาในนี้

                “พี่... พี่พุฒิ” ธมนต์ปล่อยโฮออกมาแต่เสียงไม่ดังมากนัก หญิงสาวเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ถูกหมัดมือหมัดเท้าเอาไว้ เธอคิดว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรแล้วแต่ไม่ใช่เลย คนที่คบกันมาหลายปีจะให้เลิกสนใจหรือทิ้งความรู้สึกไปเลยมันก็คงไม่ใช่ เธอยังคงมีความรู้สึกดีดีให้กับพุฒินาท พี่ชายที่แสนดีในความทรงจำของเธอ

                “โกรธพี่มากจนไม่อยากเจอหน้าพี่เลยใช่ไหมครับ” พุฒินาทพูดออกมาทั้งที่ใบหน้ามีน้ำตาคลอ

                “มิ้นต์แค่รู้สึกสูญเสีย ผิดหวัง” ธมนต์บอกทั้งน้ำตา หญิงสาวคุกเข่าลงตรงหน้าพุฒินาทอย่างหมดแรง มือสองข้างก็วางเอาไว้บนหัวเข่าของพุฒินาท ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพิจารณา

                “พี่เข้าใจครับ พี่อยากขอโทษมิ้นต์สำหรับทุกอย่าง ขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่ทำให้มิ้นต์ต้องเสียใจ” พุฒินาทบอกร่างบางตรงหน้า เขาไม่ชอบเห็นน้ำตาของธมนต์เลยสักนิด หากจำไม่ผิดเขาเคยทำให้ธมนต์เสียน้ำตาอยู่แค่ไม่กี่ครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่หญิงสาวร้องไห้หนักขนาดนี้มาก่อน

                “ทำไมคะ ทำไมพี่พุฒิต้องทำแบบนั้นด้วย” ธมนต์ถามหาเหตุผลจากคู่หมั้นหนุ่ม

                “เพราะพี่อยากทำ ทำไมคะ ในเมื่อมิ้นต์ก็อยู่เมืองนอก เราสองคนมีเพียงแค่ฐานะคู่หมั้น มันเป็นด้านเส้นบางๆ ผูกกันเอาไว้ พี่เป็นผู้ชายเรื่องแบบนั้นมันก็ต้องมีบางอยู่แล้ว”

                “มิ้นต์ไม่เชื่อ! ทำไมต้องโกหก เวลาพี่พุฒิโกหกแววตาจะเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยแบบตอนนี้!” ธมนต์ค้านคำพูดของอีกฝ่ายเสียงแข็ง

                “ทุกอย่างมันจบแล้ว ความรู้สึกต่างๆ ของเรามันจบไปนานแล้วธมนต์ มันไม่มีหลงเหลืออยู่แล้วในตอนนี้ ออกไปจากชีวิตพี่ซะ จะได้ไม่ต้องมาคิดห่วงความรู้สึกของกันและกันอีก ไม่ต้องมาสนใจว่าเราจะทำอะไรให้อีกฝ่ายเสียใจไหม จบกันแค่นี้เถอะ” พุฒินาทบอกทั้งน้ำตา จ้องมองใบหน้าของธมนต์เป็นครั้งสุดท้ายอย่างจดจำลงไปในห้วงความทรงจำ

                “ถ้าพี่พุฒิกลับตัว...”

                “พี่เดินมาไกลเกินกว่าจะหวนกลับไปแล้ว” พุฒินาทพูดตัดบทหญิงสาวคนรัก

                “พี่พุฒิ” ธมนต์พูดชื่ออีกฝ่ายอย่างเหนื่อยใจ ตอนแรกเธอไม่คิดจะรั้งพุฒินาทเอาไว้ หากชายหนุ่มจะทำเรื่องแบบนั้นอยู่เธอจะเป็นคนเดินออกมา แต่พอได้พูดคุยได้เห็นแววตาของคู่หมั้นหนุ่ม เธอเกิดอาการลังเลขึ้นมาทันที เธอคบกับเขามานานรู้ดีว่าตอนนี้พุฒินาทรู้สึกอย่างไร แต่สิ่งที่เธอไม่เคยรู้เลยสักนิดคือความคิดของเขา ถึงแม้ในใจและความรู้สึกของเธอจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่อย่างน้อยมันก็ยังมีความทรงจำดีดีแก่กันอยู่บ้าง อย่างน้อยพุฒินาทก็ยังคงเป็นพี่ชายที่แสนดีของเธอได้

                “แก้หมัดให้พี่หน่อยสิ” พุฒินาทร้องขอ ธมนต์ไม่ลังเลที่จะแก้หมัดให้ชายหนุ่ม หญิงสาวลุกขึ้นก่อนจะเดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อแก้ปมเชือกให้

                “ออกไปได้แล้ว เราจบกันตรงนี้แหละ” พุฒินาทบอกพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาของตัวเอง จดจำใบหน้าของธมนต์เป็นครั้งสุดท้าย

                “ถ้าพี่พุฒิเลือกอย่างนั้น มิ้นต์...” ธมนต์กัดริมฝีปากของตัวเองเอาไว้แน่นไม่อยากพูดคำนั้นออกมา

 “ลาก่อนค่ะ” ในที่สุดคำพูดที่เธอไม่อยากเอื้อนเอ่ยก็ถูกส่งออกมา

หากเธอไม่ได้หมั้นกับเขา เธอยังคงคิดว่าสักวันเธอและเขาจะกลับมาเป็นเพื่อนเป็นพี่น้องกันได้อย่างเดิม แต่ตอนนี้แววตาของเขามันว่างเปล่า มันว่างเปล่าจนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย

                ธมนต์ลังเลว่าตัวเองควรทำอย่างไรดี แต่เธอเคารพทุกการตัดสินใจของทุกคนจึงเดินออกมาทั้งน้ำตา ทิ้งความทรงจำในอดีต รักแรก และพี่ชายที่แสนดีเอาไว้ด้านหลัง หากพุฒินาทเลือกทำอย่างนี้เขาคงไม่มาให้เธอเห็นหน้าอีกแล้วแน่นอน อย่างน้อยเธอก็ได้จบความสัมพันธ์กับเขาแล้ว มันไม่มีอะไรค้างคาระหว่างกันและกันอีกต่อไป

                พุฒินาทปล่อยให้น้ำตาไหลลงเป็นทางหลังจากธมนต์เดินหันหลังจากไป เขาแค่ไม่อยากต้องให้ธมนต์มารับรู้เรื่องธุรกิจของครอบครัวที่กำลังล้มละลายจนต้องทำให้หญิงสาวเสียใจ ยิ่งเห็นธมนต์ร้องไห้เขายิ่งไม่อยากให้หญิงสาวรู้อะไรทั้งนั้น เขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับปิ่นมนัสเพื่อนสนิทสมัยมัธยมเลยักนิดแต่เพราะกิจการของครอบครัวมีเขาเป็นเสาหลักแทนพ่อที่ล้มป่วยต้องการคนเข้ามาช่วยพยุ่งเอาไว้ เขาจึงยอมมีความสัมพันธ์เลยเถิดกับปิ่นมนัสเพราะหญิงสาวเป็นคนยื่นข้อเสนอในการให้เงินมาพยุ่งกิจการของครอบครัวเอาไว้ แต่นั่นมันไม่เพียงพอกับชีวิตคนงานอีกเป็นห้าสิบกว่าชีวิต เขาจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยพยุ่งตรงนี้เอาไว้ให้ได้ ให้กิจการที่พ่อสร้างมายังคงอยู่เป็นหลักของครอบครัว ผู้หญิงมากมายเหล่านั้นเป็นทางผ่านและผลประโยชน์ซึ่งยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย เขาเสียใจทุกครั้งที่ทำแบบนั้น แต่เขาไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ทั้งนั้นหากย้อนอดีตกลับไปได้ เขาก็คิดว่าตัวเองยังคงจะเลือกทำเรื่องแบบนี้อยู่ดี ถ้าย้อนได้จริงเขาจะย้อนกลับไปในช่วงที่ขอธมนต์เป็นแฟนใหม่ๆ เขาจะเลือกกลับไปแก้ไขให้ความสัมพันธ์ของเขาและเธอหยุดอยู่ที่คำว่าพี่ชายน้องสาวคนสนิทเท่านั้น เพื่อในอนาคตจะได้มีเพียงแค่เขาที่เจ็บปวด

                ตอนนี้เขาไม่ต้องมาคิดเรื่องพวกนี้อีกแล้ว ธุรกิจของครอบครัวถูกเทคโอเวอ่ร์ไปแล้ว พ่อแม่ของเขามีเงินเก็บจากตรงนั้นมากพอสมคสร เขาไม่ต้องดิ้นรนทำอะไรทั้งนั้นอีกต่อไปแล้ว ผู้หญิงที่เขารักมากอย่างธมนต์ก็หมดสิ้นซึ่งความรักที่มีให้แก่เขา สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาคือพ่อแม่และธมนต์ ตอนนี้พ่อแม่ของเขาพวกท่านสุขสบายแล้ว ธมนต์เองก็คงกำลังมีความรักใหม่ที่นี่ มันไม่มีอะไรสำคัญอีกแล้วในชีวิตเขา ทุกอย่างมันกำลังจะจบแล้ว

                “พี่รักมิ้นต์มากนะ ถ้ามิ้นต์จำได้ว่าพี่เคยบอกรักมิ้นต์กี่ครั้ง พี่อยากให้มิ้นต์รู้ว่าพี่พูดจริงเสมอ” พุฒินาทพูดขึ้นทั้งน้ำตา ก่อนจะก้มลงไปแก้หมัดที่ข้อเท้าของตัวเอง

                ธมนต์เดินออกมาจากกระท่อมทั้งน้ำตามือบางก็ปาดมันทิ้งแล้วทิ้งเล่าแต่ก็ไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้เลย เธอรู้สึกใจหายมันอธิบายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้

                “ทุกอย่างมันจบแล้ว” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เดินเข้าไปสวมกอดร่างบางเพื่อปลอบโยนเอาไว้ เขาได้ยินทุกประโยคสนทนากระท่อมที่ไม่ได้สร้างด้วยก้อนอิฐ แต่มันถูกสร้างด้วยแผ่นสังกะสีเสียงมันดังลอดออกมาอยู่แล้ว ธมนต์กอดตอบพ่อเลี้ยงจิณธนนท์แน่น เสียงร้องไห้ดังขึ้นกว่าเดิม พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พยักหน้าให้ตำรวจสองนายเข้าไปคุมตัวผู้ต้องหาได้แต่ยังไม่ทันทีตำรวจจะได้เดินเข้าไป...

                ปัง!

                เสียงปืนดังขึ้นด้านหลังเอาทำธมนต์เบิกตากว้างอย่างตกใจ เหมือนหัวใจของเธอหยุดเต้นไปชั่วครู่ หญิงสาวผละออกจากพ่อเลี้ยงจิณธนนท์พลางรีบวิ่งกลับเข้าไปในกระท่อมทั้งที

                “ไม่ ไม่นะ ไม่!!!” ธมนต์ตะโกนออกมาเสียงดัง

                ร่างไร้วิญญาณของพุฒินาทอยู่ในอ้อมแขนของธมนต์ในตอนนี้ มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มกำปืนสั้นเอาไว้หลวมๆ ศีรษะด้านขวาเป็นรูโหว่มีเลือดไหลออกมาเป็นทางยาว เนื่องจากเจ้าตัวตัดสินใจยิงตัวตายในจุดที่คิดว่านัดเดียวลมหายใจสุดท้ายของเขาจะหายไปทันที

                “ออกมาก่อนเถอะ ปล่อยให้ตำรวจเขาจัดการ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ดึงไหล่บางของธมนต์มากอดเอาไว้อย่างเห็นใจ พลางขยับร่างของพุฒินาทออกมาตักของหญิงสาว

                “พะ... ฮึก.. พี่พุฒิ พี่พุฒิ... ฮึก..ตายแล้ว” ธมนต์พูดประโยคนี้ออกมาซ้ำๆ จนพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ต้องกอดเอาไว้แน่นพลางลูบต้นแขนหญิงสาวเป็นการปลอบเบาๆ เพื่อให้ใจเย็นลง

                ตำรวจวอแจ้งไปยังโรงพยาบาลเพื่อมานำศพไปทำแผลและส่งตัวไปให้ญาติเมื่อตรวจสอบพบว่าเสียชีวิตแน่นอนแล้ว พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พยุงร่างบางธมนต์ลุกขึ้นและพาเดินออกไปจากจุดเกิดเหตุ

                “ทำ... ฮึก ทำไมพี่พุฒิ... ฮึก ต้องทำแบบนั้นด้วย!” ธมนต์พูดออกมาราวกับคนไร้สติ พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ได้แต่กอดปลอบเพราะไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี

                ธมนต์เอาแต่ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก พ่อเลี้ยงจิณธนนท์จึงพามายังบ้านหลังใหญ่และตอนนี้เขาได้แต่กอดปลอบจนหญิงสาวซึ่งเอาแต่ร้องไห้อยู่นานนับสองชั่วโมงจนหลับไปทั้งคราบน้ำตา พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ลุกออกมาจัดการเตรียมกาละมังเล็กและผ้าเช็ดตัวผืนเล็กเพื่อเช็ดตัวให้หญิงสาว ธมนต์จะได้นอนอย่างสบายตัว

                “เกิดอะไรขึ้นจิณ” นางรัศมีเดินเข้ามาถามลูกชายคนเล็กอย่างสงสัย

เพราะเมื่อตอนเย็นมีรถโรงพยาบาลและรถตำรวจมาที่ไร่แถมยังพาร่างคนตายออกไปด้วย เธออยากจะถามลูกชายให้รู้เรื่องตั้งแต่ตอนนั้นแต่พบว่าธมนต์เอาแต่ร้องไห้ เธอจึงได้เก็บความสงสัยเอาไว้รอถามลูกชายอีกที นายหัวภรัณยูเดินออกมาจากห้องฝั่งปีกขวาโดยมีนีรภาเดินตามออกมา รติรัตน์เองก็เดินออกมาจากห้องตรงข้าม

“พุฒินาทยิงตัวตายครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกเสียงเบา

“ตายจริง! แล้วเราจะทำยังไงต่อไป” นางรัศมีถามลูกชายโดยมีสามียืนโอบเอาไว้อยู่ด้านหลัง

“ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของตำรวจครับ ตอนที่เกิดเรื่องมีพยานรู้เห็นหลายคนว่าพุฒินาทเขายิงตัวตายเอง อีกอย่างนายตำรวจก็อยู่ที่นั่นถึงสองนาย พุฒินาทมีคดีติดตัวข้อหาจ้างวางเพลิงอยู่ด้วยครับ ผมเป็นแค่เจ้าทุกข์เท่านั้น ตอนนี้เขาตายไปแล้วเรื่องก็คงจบ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์อธิบายยืดยาว

“รภาเห็นคุณมิ้นต์เธอร้องไห้ คุณมิ้นต์เกี่ยวข้องอะไรกัคนตายเหรอคะ” นีรภาถามขึ้น

“คนที่ตายเป็นคู่หมั้นของมิ้นต์เขาน่ะ” คำตอบของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทำเอานีรภาเก็บอาการตกใจของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เธอรู้ดีว่าธมนต์จะรู้สึกอย่างไร มันคงไม่แตกต่างเธอตอนที่รู้ว่าเกือบสูญเสียลูกไป

“แยกย้ายกันไปนอนเถอะครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว” นายหัวภรัณยูพูดขึ้นเตรียมตัวจะเดินเข้าไปนอนในห้องเดิมของตัวเองซึ่งมีร่างเล็กของลูกสาวนอนหลับอยู่บนเตียงแต่รติรัตน์เดินเข้ามากอดแขนเอาไว้เสียก่อน

“น้องนาราหลับไปแล้ว พี่รัณมานอนกับรัตน์นะคะ” รติรัตน์พูดเสียงหวานอย่างออดอ้อนจนนีรภาส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมอะราก่อนจะเดินเข้าไปห้องนอนไป ไม่วายล็อกกลอนประตูไม่ให้อดีตสามีเข้ามาได้

ตุบ! ตุบ!

“รภาเปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ!” นายหัวภรัณยูสลัดแขนออกจากว่าที่ภรรยาคนใหม่ ก่อนจะทุบประตูบอกร่างบอบบางในห้องให้เปิดประตูให้ตนเข้าไปนอน

“ลูกหลับอยู่ค่ะ กรุณาอย่าเสียงดัง” นีรภาซึ่งยืนหันหลังชิดบานประตูอยู่พูดขึ้น

นายหัวภรัณยูหัวเสียอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่อยากทะเลาะกับนีรภาในตอนนี้เพราะต้องการให้อีกฝ่ายช่วยพูดให้ลูกยอมเรียกเขาว่าพ่อ จึงตัดสินใจไปนอนกับรติรัตน์แทน

“พ่อกับแม่ไปนอนเถอะครับ ผมเองก็เหนื่อยเต็มทีแล้ว” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกเมื่อพี่ชายหายเข้าไปในห้องของว่าที่ภรรยาคนใหม่ นางรัศมีพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าห้องตรงกลางไปโดยมีนายจักรินทร์เดินตามหลัง

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น