15

15


                 พ่อเลี้ยงจิณธนนท์มองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ คำพูดและน้ำเสียงของธนานพยามที่พูดมันเหมือนกับว่าเพื่อนของเขารู้อะไรบางอย่างมา แต่ไม่อยากจะบอกเขาให้ได้รับรู้มัน

15

สิ่งมีชีวิต

 

                “เรื่องงานแต่งมันคืออะไรกันลูก ไหนจิณลองบอกแม่มาสิว่ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่” เสียงนางรัศมีถามลูกชายคนเล็กหลังจากผ่านพ้นงานศพของพุฒินาทมาได้เกือบอาทิตย์แล้ว กำหนดการกลับกรุงเทพฯ ของเธอเป็นอันต้องยกเลิกไปเพราะลูกชายคนเล็กก่อปัญหาให้เธอตามแก้อีกแล้ว

                ไร้เสียงตอบรับจากลูกชายคนเล็กมันยิ่งทำให้นางรัศมีเดือดขึ้นมา เธอไม่ชอบที่ลูกเอาความรู้สึกของคนอื่นมาล้อเล่น ทำราวกับว่ามันไม่มีอะไรสำคัญเลยทั้งที่นั่นคือชีวิตของคนคนหนึ่งเลยด้วยซ้ำไป

                “เอาล่ะ ในเมื่อจิณไม่มีคำตอบให้แม่ แม่ก็จะถือคำพูดของจิณเป็นหลัก จิณบอกฝ่ายหญิงว่าอีก 1 เดือนจะจัดงานแต่งใช่ไหม จากวันที่จิณพูดนั้นมันก็ผ่านมาเกือบครบสองอาทิตย์แล้ว ถ้าอย่างนั้นแม่จะจัดการเรื่องนี้ให้เอง อาทิตย์หน้าจิณก็ไปลองชุดแต่งงาน แล้วก็ถ่ายพรีวีดดิ้งกับเจ้าสาวของจิณซะ ทำให้มันเป็นเรื่องเป็นราวเสีย ส่วนหนูมิ้นต์แม่จะให้เธอไปอยู่กับแม่ที่กรุงเทพฯ เพื่อตัดปัญหาเรื่องคำครหาของคนงาน” นางรัศมีรวบรัดคำพูดทำเอาพ่อเลี้ยงจิณธนนท์นิ่งไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะหากมารดาพูดออกมาแบบนี้แล้วแสดงว่าเอาจริงแน่นอน เขาอยากบอกมารดาเหลือเกินว่าไม่อยากแต่งงานแล้ว คนที่เขาอยากจะแต่งงานด้วยคือธมนต์ ไม่ใช่เบญญา

                “ใจเย็นก่อนน่ะคุณ เรื่องนี้ปล่อยให้ลูกจัดการเองเถอะ” นายจักริทร์บอกภรรยาอย่างเห็นใจลูกชายคนเล็ก ยิ่งใบหน้าของลูกชายมันแสดงออกว่าบุญไม่รับ มันยิ่งทำให้เขาอยากปล่อยให้เป็นเรื่องที่ลูกชายควรจัดการด้วยตัวเองเสียมากกว่า

                “ลูกชายของคุณคงจัดการเองไม่ได้หรอกค่ะคุณจักร แค่จัดการความรู้สึกของตัวเอง ตาจิณยังทำไม่ได้เลย ชีวิตคู่จิณอยากให้มันเป็นเหมือนพี่รัณมากใช่ไหม มีเมียทั้งทีมีมันถึงสองคนแล้วสุดท้ายมันเป็นยังไง จิณก็เห็นอยู่” นางรัศมียกตัวอย่างให้ลูกชายคนเล็กได้เห็นภาพโดยยกเอาเรื่องของลูกชายคนโตมาอ้างอิง

                “ผมไม่ได้จะมากเมียนะครับแม่” พ่อเลี้ยงจิณบอกมารดาหลังจากเงียบอยู่นาน

                “ไม่ได้มากเมีย แล้วที่เป็นอยู่ตอนนี้คืออะไรล่ะจิณ” นางรัศมีพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน

                “มิ้นต์... เขาเป็นนางบำเรอของผมไม่ใช่เมีย” คำพูดของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทำเอามารดาแทบลมจับ!

                “จิณกำลังจะบอกแม่ว่าหนูมิ้นต์เป็นนางบำเรอ ส่วนหนูใบมงใบหม่อนอะไรนั่นเป็นเมียอย่างนั่นเหรอ ถ้าเกิดว่านางบำเรอของจิณเกิดท้องขึ้นมา จิณจะทำยังไง ให้เขาไปทำแท้งหรือเก็บเด็กไว้ แล้วเด็กที่เกิดมาลืมตาดูโลกลูกของจิณจะเป็นยังไง ถ้ารู้ว่าแม่ของตัวเองไม่ใช่ภรรยาถูกต้องตามกฎหมายเป็นได้แค่นางบำเรอของพ่อตัวเอง” นางรัศมีสอนลูกให้นึกคิดถึงอนาคตอันยาวไกล

                “มิ้นต์เขากินยาคุมครับแม่ ไม่ท้องหรอก” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นอย่างไม่ต้องคิด ถึงเขาจะไม่ได้ป้องกันแต่หญิงสาวก็กินยาคุมอยู่คงไม่พลาดง่ายๆ หรอก

                ธมนต์ยืนหลบมุมอยู่ตรงบันไดชั้นสองได้ยินประโยคสนทนาชัดถ้อยชัดคำ เธออยากจะบอกพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เหลือเกินว่าเธอยังไม่ได้เริ่มกินยาคุมกำเนิดเลยสักเม็ดเหตุเพราะรอรอบเดือนมาก่อน และตอนนี้มันเลยกำหนดแล้วรอบเดือนของเธอก็ยังไม่มา

                “ถ้าลูกมั่นใจอย่างนั้น งานแต่งงานอีกสามอาทิตย์ข้างหน้าก็เตรียมตัวเอาให้ดีล่ะ แม่จะจัดให้สมเกียรติของตระกูลวิวิธชาญชัย ไม่ให้น้อยหน้าพี่ชายของจิณเลย” นางรัศมีบอกลูกชายคนเล็กอย่างกดดัน เธอรู้ว่าลูกชายกำลังสับสนแต่เธออยากให้ลูกเรียนรู้มันด้วยตัวเอง ไม่ใช่แต่จะรอคำบอกคำสอนของเธออย่างเดียว วันข้างหน้าเขาอาจจะไม่มีเธอและสามียืนอยู่ด้วย เขาต้องเรียนวิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

                “เรารองานแต่งของพี่รัณผ่านไปก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมคุยกับใบหม่อนเอง” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พยายามถ่วงเวลาออกไป เขาจนปัญญาแล้วจริงๆ เพียงแค่คิดไปถึงเหตุการณ์ที่เขาบอกเบญญาในวันนั้นก็ทำเอาเขาปวดหัวขึ้นมาทันที

ไม่น่าพูดแบบนั้นออกไปเลยจริงๆ เพราะความโกรธบังตาแท้ๆ

                “พี่ชายเราไม่ได้บอกหรอกเหรอว่าเลื่อนงานแต่งออกไปอย่างไม่มีกำหนดแล้ว” นางรัศมีพูดขึ้น ทำเอาพ่อเลี้ยงจิณธนนท์แสดงสีหน้าวิตกกังวลออกมา

‘จะไม่มีงานแต่งเกิดขึ้น ถ้าหากผมยังยังปรับความเข้าใจกับนีรภาไม่ได้’ นายหัวภรัณยูบอกกับเธอแบบนั้นก่อนจะลากลับไปที่สวนทางใต้ซึ่งต้องดูแลกิจการของเธอที่นั่น หอบทั้งเมียหลวง เมียน้อย และลูกสาวกลับไปไม่เหลือไว้ให้เธอคนสัก

                “ทำไมพี่รัณเลื่อนออกไปล่ะครับ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามมารดา เขาไม่ได้อยู่ที่ไร่ทางเหนือในช่วงเวลาที่พี่ชายอยู่ที่นี่เพราะต้องลงไปงานศพของพุฒินาทกับธมนต์ ถึงแม้เขากับพี่ชายจะไม่ได้เติบโตมาด้วยกันแต่สานสันพันธ์พี่น้องยังคงแน่นแฟ้นไม่แปรเปลี่ยน

                “คงอยากได้เมียหลวงคืนและทิ้งเมียน้อยละมั้ง” นางรัศมีพูดด้วยน้ำเสียงห้วน เมื่อนึกถึงลูกชายคนโต เธออุตส่าห์เลือกคนดีดีให้แต่งดันไปคว้าอะไรมาก็ไม่รู้มา พอรู้ว่ามีลูกเท่านั้นแหละ ค้านจะเอาทั้งเมียทั้งลูกคืนเสียอย่างนั้น “ปล่อยให้พี่ชายเราจัดการเองบ้างเถอะ แม่จัดการให้มาเยอะแล้ว ส่วนเรื่องงานแต่งของเราเอาตามที่แม่บอกแล้วกันนะ” นางรัศมีรวบรัดก่อนจะชวนสามีออกไปเดินเล่นนอกบ้านเพื่อผ่อนคลายอาการตึงเครียดของตัวเอง

                “โธ่เว้ย!” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตะโกนขึ้นอย่างหัวเสียคล้อยหลังมารดา ความสันพันธ์ของเขากับธมนต์กำลังไปได้สวย แต่ทำไมถึงต้องเกิดเรื่องวุ่นอย่างนี้ขึ้นทุกทีเลยสินะ แต่จะโทษใครได้ก็คงต้องโทษตัวเขาเองมากกว่า ตัวต้นเหตุที่แท้จริง

                ธมนต์เดินเข้ามาภายในห้องหลังจากยืนรอเวลาให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์คลายอารมณ์ร้อนลงบ้าง ธมนต์ยืนมองใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ด้วยแววตาตัดพ้อเพียงแค่ชั่วครู่ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ไปให้อีกฝ่ายราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                “ฉันขอตัวลงไปเล่นที่ชอปกับเทียนนะคะ” ธมนต์พูดขึ้นหลังจากพยายามไม่สนใจสายตาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ที่มองมายังตัวเองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำขอโทษ เขามองเธอนิ่งจนเธอกลัวใจตัวเองว่าจะอ่อนยอมให้อภัยเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

                “มิ้นต์ มาตั้งแต่เมื่อไหร่” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามขึ้น กลัวเหลือเกินว่าหญิงสาวจะมาทันได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับมารดา

                “สักพักแล้วละค่ะ คล้อยหลังคุณรัศมีเธอไปครู่นึ่ง” ธมนต์ไม่ได้โกหกแต่เพียงแค่บิดเบียดความจริงไปหน่อยนึง เธอเข้ามาหาเขาหลังจากนางรัศมีเดินออกไปต่างหาก

                “อย่างนั้นเหรอ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นอย่างเหนื่อยใจ ทั้งที่ธมนต์บอกว่าเพิ่งเข้ามาแต่ทำไมเขาถึงไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลยนะ

                “ฉันขอตัวนะคะ เดี๋ยวจะเทียนรอ” ธมนต์พูดขึ้นเพียงเท่านั้นก่อนจะหันตัวเดินออกไป

                ร่างบางของธมนต์เดินน้ำตาคลอออกมาจากตัวบ้าน เธอไม่คิดว่าทุกอย่างที่กำลังจะดีขึ้นกลับกลายเป็นว่ามันค่อยแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ เสียอย่างนั้น ความรู้สึกของเธอแน่ชัดแล้วทุกอย่าง เธอรักเขา แต่เขากำลังจะแต่งงานกับอีกฝ่ายและยกตำแหน่งนางบำเรอให้กับเธอ

                “ฉันเป็นได้แค่นั้นจริงๆ ใช่ไหมคะ” ธมนต์ถามลมฟ้าอากาศอย่างตัดพ้อกับโชคชะตาของตัวเอง ที่นำพาตัวเธอให้มาอยู่ที่นี่ พาให้เธอมาหลงรักผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกัน แถมยังยิ่งทั้งตัวและหัวใจให้เขาไปเสียอย่างนั้นอีกด้วย

                โชคชะตาจะเล่นตลกกับเธอเกินไปแล้วหรือเปล่านะ

                สองข้างเดินไปเรื่อยๆ อย่างเหม่อลอยในสมองเล็กๆ คิดเรื่องราวต่างๆ มากมายจนเดินมาหยุดอยู่ในโซนของชอปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัว ธมนต์ตั้งสติ สูดลมหายใจเรียกกำลังใจให้แก่ตัวเอง มือสองข้างก็ยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำกลาง ตกแป้งฝุ่นลงบนใบหน้าเพื่อปกปิดดวงตาแดงก่ำของตัวเองเสียหน่อย

                “น้องหม่อนนี้ดีดีนะคะ จะแต่งงานกับเจ้าของไร่แล้วยังมาทำงานเป็นพนักงานขายของอยู่เหมือนเดิม เป็นพี่น่ะ พี่จะนอนตีพุงรออยู่บ้าน แล้วตื่นขึ้นมารับตำแหน่งแม่เลี้ยงของไร่ทางเหนือเลยค่ะ”

เสียงพูดคุยจากบุคคลกลุ่มหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างของหญิงสาวสามสี่คนซึ่งกำลังเดินเข้ามาภายในห้องน้ำกลาง ธมนต์มองบุคคลเหล่านั้นผ่านกระจกตรงหน้า มือก็เติมเครื่องสำอางไปเรื่อย แต่ภายในใจกลับรู้สึกเจ็บหน่วงๆ เสียอย่างนั้น

                “พี่มิ้นต์! สวัสดีค่ะ” เบญญายกยิ้มเสแสร้งก่อนจะเดินเข้ามาทักทาย

                ธมนต์ปรายตามองเบญญาแต่กลับไม่ยอมตอบรับการทักทายนั้น เธอแกล้งเมินหญิงสาวจนเบญญากำมือแน่นกัดฟันอย่างเก็บอารมณ์ ธมนต์ยังคงเติมเครื่องสำอางต่อ เธอยังจำได้ดีว่าเบญญาคนที่เธอได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงเป็นเช่นไร เธอจะไม่มีวันหลงเชื่อมารยานั่นอีกรอบแน่ๆ

                “น้องมิ้นต์คะ น้องหม่อนเขาทักน้องมิ้นต์อยู่นะ ทำไมทำแบบนี้ล่ะคะ” พี่พนักงานคนหนึ่งพูดขึ้น พร้อมมองธมนต์อย่างไม่ชอบใจนัก

                “พวกพี่อย่าไปถือสาพี่มิ้นต์เขาเลยค่ะ ปกติพี่เขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว นิสัยไม่จะค่อยดีเท่าไหร่นัก” เบญญาพูดแดกดันธมนต์อย่างไม่ต้องเสแสร้งอีกต่อไป เพราะตอนนี้พนักงานทุกคนต่างก็พากันเกรงใจเธอกันทั้งนั้น

                “ขอโทษนะคะ คุณเป็นใครคะ แล้วกรุณาอย่ามาพูดจาส่อสันดานตัวเองแถวนี้ได้ไหมคะ เราไม่ได้สนิทสนมกันถึงขึ้นต้องมาทักทงทักทายกัน แล้วตอนนี้คุณกำลังเสียมารยาทมากเลยนะคะ สมบัติของผู้ดีมีติดตัวบ้างหรือเปล่าคะ” ธมนต์ตอกกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ทำเอาเบญญาหน้าขึ้นสีด้วยความโกรธจัด

                “ทำไมน้องมิ้นต์พูดจาแบบนี้ค่ะ เกรงใจน้องหม่อนเขาหน่อยสิค่ะ” พี่พนักงานสาวห้ามปรามธมนต์ แอบแปลกใจกับคำพูดของหญิงสาว แต่เธอก็พอจะดูออกว่าธมนต์เป็นคนเช่นไร จึงไม่ตกใจอะไรมากนัก ปกติธมนต์เองก็ไม่ค่อยสุงสิงกับคนงานในไร่เสียเท่าไหร่ รู้จักกันก็รู้จักแบบเผินๆ แต่ก็ยังพอจะรู้นิสัยใจคอของหญิงสาวอยู่บ้าง คนอย่างธมนต์ไม่ชอบมีเรื่องมีราวกับใครนักหรอก หากคนคนนั้นทำให้ธมนต์ไม่พอใจจริงๆ

                “มิ้นต์ไม่ชอบเสแสร้งค่ะ ไม่ชอบของมิ้นต์ก็คือไม่ชอบอาจจะเจอหน้ายิ้มให้กันได้นิดหน่อยแต่สำหรับผู้หญิงคนนี้ แค่มองหน้ามิ้นต์ยังไม่อยากมองเลยค่ะ พวกพี่คงรู้แล้วนะคะว่ามิ้นต์ไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ถึงขั้นไหน” ธมนต์บอกเน้นคำในประโยคท้ายพร้อมจ้องมองเบญญาอย่างท้าทาย เธอไม่ได้อ่อนแอหรือกลัวอีกฝ่ายเลยสักนิด เบญญาก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น เธอมีทุกอย่างเหมือนเบญญาหมด มีทั้งมือทั้งเท้า เธอไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอะไรทั้งนั้น

                “พี่มิ้นต์โกรธหม่อน เรื่องที่หม่อนไม่บอกปัดเรื่องเงินดอกใช่ไหม หม่อนแค่เกรงใจหัวหน้าเขาน่ะค่ะ อีกอย่างพี่มิ้นต์ก็ยืมเงินหัวหน้าโดยการใช้หม่อนไปยืมให้ หม่อนไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรเลยนะคะ” เบญญาแสร้งตีหน้าเศร้าอย่างน่าสงสารในสายตาคนอื่น

ธมนต์กอดอกมองการแสดงระดับดาราแนวหน้าของเบญญาก่อนจะยกยิ้มเหยียดอีกฝ่าย

น่าสมเพชจริงๆ

                “เรื่องแค่นั้นเอง ฉันไม่โกรธหรอกถือว่าทำบุญทำทานให้สัมภเวสีมันไปซะ” ธมนต์ตอกกลับอีกรอบด้วยน้ำเสียงไม่แคร์อะไรราวกับว่าเรื่องเงินนั้นมันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยสำหรับเธอ ถ้ายังไม่ตายก็หามาใหม่ได้

เบญญากำมือแน่นเมื่อธมนต์ไม่เล่นไปตามเกมของตัวเอง เธอหวังจะให้ธมนต์โกรธจนลงมือลงไม้กับเธอ เธอจะได้ฟ้องพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ให้ไล่ธมนต์ออกจากงาน เพราะตอนนี้มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์อยู่หลายคน

                พนักงานสาวสามคนยืนมองเหตุการณ์อย่างสงสัย ไม่มีใครรู้ว่าทั้งคู่พูดคุยกันเรื่องอะไร แต่ท่าทางของธมนต์ที่แสดงออกชัดเจนว่าเกลียดเบญญาถึงขั้นไหน มันบอกพวกเธอได้ดีว่าทั้งคู่กลายเป็นศัตรูกันไปเสียแล้ว แต่ถ้าให้เลือกข้างถึงแม้อยากจะเลือกธมนต์เพียงใดแต่เบญญากำลังจะกลายเป็นแม่เลี้ยงของไร่ทางเหนือ หน้าที่งานการของเธอในอนาคตขึ้นอยู่กับเบญญาต่างหาก

                “หม่อนกำลังจะแต่งงานกับพ่อเลี้ยง พี่มิ้นต์รู้รึยังคะ” เบญญเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเสียงหวาน จนพนักงานสามคนทำหน้าตาแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปมาของหญิงสาว

                “รู้สิ เดินไปมาไหนคนงานในไร่ก็พูดกันไปทั่ว แต่... แล้วยังไงล่ะ” ธมนต์ตอบกลับทั้งที่ในใจของเธอกำลังเจ็บปวดแต่เธอจะต้องเข้มแข็งเอาไว้ จะไม่มีท่าเผลอทำท่าทีอ่อนแอให้คนตรงหน้าเห็นเด็ดขาด

                “หม่อนอยากให้พี่มิ้นต์มาเป็นเพื่อนเจ้าสาว พี่มิ้นต์ว่ายังไงบ้างคะ สนใจไหมคะ” เบญญพูดขึ้นคล้ายว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า

                “ไม่ดีกว่า ฉันไม่ได้สนิทอะไรกับเธอขนาดต้องไปเป็นเพื่อนเจ้าสาว อีกอย่างงานแต่งจะมีขึ้นในอีกสองอาทิตย์แล้ว ฉันยังไม่เห็นพ่อเลี้ยงจิณจะทำอะไรเลย ไม่รู้ว่าอยากแต่งจริงๆ หรือเปล่านะ ถึงปล่อยให้เจ้าสาวร่อนไปทั่วทำทุกอย่างอยู่คนเดียวแบบนี้” ธมนต์ตอกกลับเบาๆ พร้อมยกเรื่องที่เธอเพิ่งรู้จากสุชาติมาพูดให้พนักงานสามคนได้รู้ เพราะรู้มาว่าเบญญาโกหกคนงานในไร่ว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ลงไปกรุงเทพฯ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเพราะไปดูธีมงานแต่ง

                “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะน้องมิ้นต์ พ่อเลี้ยงจิณเขาอุตส่าห์ลงไปดูธีมงานแต่งถึงกรุงเทพฯ เลยนะคะ” พี่พนักงานสาวคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างคันปากด้วยความอยากรู้อยากเห็น ราวกับว่าความจริงอยู่ตรงหน้าของพวกเธอ

                “อาทิตย์ก่อนรึเปล่าคะ” ธมนต์ยกยิ้มเมื่อทุกอย่างกำลังเข้าทางเธอ เธอไม่ได้เกลียดเบญญาขนาดจะมองหน้ากันไม่ติดแต่เพราะนิสัยไม่ชอบคนโกหก มันมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ ตอนนี้เธอคงต้องการทำการสั่งสอนบุคคลนั้นเสียหน่อยแล้วล่ะ

                “ใช่ค่ะ น้องมิ้นต์ก็ลงด้วยไปใช่ไหมคะ” พี่พนักงานสาวถามธมนต์อย่างสงสัย หากถามว่าเชื่อคำพูดของใครมากกว่ากันเธอตอบได้ทันทีเลยว่าเชื่อคำพูดของธมนต์เพราะคำพูดของเบญญามันดูวกวนไปมา

                “พ่อเลี้ยงจิณลงไปงานศพคนรู้จักค่ะ ไม่ได้ไปดูธีมงานแต่งอะไรทั้งนั้น”

เบญญกำมือแน่นอย่างเครียดแค้นมองใบหน้าของธมนต์อย่างโกรธจัด เมื่อหญิงสาวกำลังจะเอาความจริงมาหักล้างคำโกหกของเธอ

“มิ้นต์ขอตัวก่อนนะคะ พอดีต้องรีบไปทำงานต่อ” ธมนต์หันไปบอกพี่คนงาน ก่อนจะปรายตามองเบญญแวบนึงก่อนจะเดินเชิดหน้าออกไป

“จริงอย่างที่น้องมิ้นต์พูดหรือเปล่าคะ น้องหม่อน”

“พี่มิ้นต์เขาเป็นแค่คนรับใช้ ถึงแม้จะติดตามพ่อเลี้ยงไปทุกที่แต่ไม่ใช่ว่าจะรู้ไปเสียทุกเรื่องหนิค่ะ อย่างเรื่องธีมงานแต่งหม่อนขอยืนยันว่าพ่อเลี้ยงจิณเป็นคนเลือกเองหมดเลยจริงๆ ค่ะ” เบญญาพูดขึ้นก่อนจะขอตัวเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ เมื่อพ้นบานประตูห้องน้ำเบญญาก็กรี๊ดร้องออกมาอย่างไม่มีเสียงมือไม้กำแน่นจนเล็บจิกบนเนื้อจนเป็นล่องลึก

พนักงานสามคนเบ้หน้ายามอยู่ลับหลังเบญญา พวกเธอเชื่อคำพูดของธมนต์มากกว่า คำพูดตรงไปตรงมาใบหน้าแสดงออกชัดเจนว่าเกลียด มันดูเป็นมิตรและน่าเชื่อถือกว่าใบหน้าเสแสร้งทำเป็นยิ้มหวานอยู่ตลอดเวลาเสียอีก

*****

                การเตรียมงานแต่งครั้งนี้ซึ่งนางรัศมีตั้งใจว่าจะเป็นแม่งานให้กลับไม่สนใจงานอีกเลย หลังจากได้พูดคุยกับเบญญา เธอไม่ชอบว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ จนถึงขั้นจ้างให้คนไปตามสืบประวัติมาให้ กลายเป็นว่าเบญญาต้องเตรียมงานแต่งเองทุกอย่างถึงแม้จะมีธนานพคอยช่วยเหลือแต่มันไม่เหมือนเจ้าบ่าวของงานอยู่ดี

                “ทำไมถ่ายพรีวีดดิ้งมีแค่หม่อนคนเดียวคะ” เบญญาถามธนานพอย่างสงสัย เธอไม่ว่าอะไรเลยหากพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่ช่วยออกแบบงานแต่ถ่ายภาพแต่งงานต้องมีเจ้าบ่าว เพราะมันคือภาพแห่งความทรงจำ

                “นายจิณเขาไม่ว่างนะครับ” ธนานพตอบปัด เขารู้เรื่องของเบญญาทุกเรื่อง รู้ดีทุกอย่างจึงไม่รู้ว่าควรช่วยเหลือใครดีระหว่างเพื่อนสนิทกับหญิงสาว แต่สุดท้ายเขาก็เลือกช่วยเหลือเบญญาเพราะสงสารหญิงสาวอยู่มาก ธนานพจำใจต้องตัดใจจากธมนต์เพราะเพื่อนสนิทออกมาตัวแรงมาเสียอย่างนั้น จะให้เขาทำอะไรได้ล่ะ

                “แล้วจะให้หม่อนถ่ายคนเดียวเหรอคะ”

                “ครับ ต่างคนต่างถ่ายแล้วเราค่อยเอามารวมกัน” ธนานพบอกก่อนจะเอ่ยปากไล่ให้เบญญาไปเตรียมตัวถ่าย

เบญญาพยายามควบคุมใบหน้าของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้แสดงว่าท่าทีไม่พอใจออกมา งานแต่งในฝันของเธอทำมันถึงเละไม่เป็นท่าแบบนี้ มีเพียงแค่เธอที่ดิ้นรนทำทุกอย่างคนเดียว แล้วคนที่ขอเธอแต่งงานล่ะ ทำไมถึงเฉยเมยได้ถึงเพียงนี้

                ธนานพยืนดูความเรียบร้อยให้กับการถ่ายภาพครั้งนี้แทนเพื่อนสนิท เขาไม่ได้อาสามาเองแต่เพราะเพื่อนไม่อยากมาและขอให้ช่วยหญิงสาวเตรียมงานหน่อย เขาจึงมาที่นี่ ยิ่งเห็นแบบนี้เขาก็ไม่กล้าพอจะบอกเพื่อนถึงความหลังและอดีตของเบญญา

*****

                ธมนต์เบี่ยงร่างของตัวเองให้ลงจากตักหนาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ซึ่งตอนนี้กำลังโอบรัดเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา ปลายจมูกก็คลอเคลียพวงแก้มของเธอไม่เลิกลา เขาคลอเคลียแก้มใสไต่ไล่ลงมาจากถึงลำคอระหงจนธมนต์ต้องย่นคอหนีใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์

                “หยุดดิ้นนะคุณ ตรงนั้นมันเสียดสี” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นในลำคอ ทำเอาธมนต์มองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ

                “คุณก็ปล่อยสิค่ะ ฉันจะลงไปนั่งดีดี” ธมนต์ว่าก่อนจะดิ้นไปมาเพื่อให้ตัวเองลงมานั่งข้างๆ แทน

                “นั่งบนตักผมนี่แหละ มันจะอะไรหนักหนา” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดอย่างหัวเสีย แต่ใบหน้าก็ไม่ได้ผละออกจากพวงแก้มใส

                “โอเคค่ะ คุณหยุดคลอเคลียฉันได้แล้วขนลุก!” ธมนต์บอกพร้อมยกธงขาวอย่างยอมแพ้

                “ก็แค่เนี่ย” ใบหน้าคมกดจูบลงบนแก้มใสก่อนจะผละออก ไม่คลอเคลียหญิงสาวต่อแต่อย่างใด

                “ดูคุณสบายใจจังเลยนะคะ”

                “มันไม่มีเรื่องอะไรที่ผมต้องกังวลใจเสียหน่อย”

                ธมนต์เค้นเสียงหัวเราะในลำคออย่างประชดประชันคนที่นั่งกอดเธอจากด้านหลัง อีกแค่อาทิตย์เดียวจะแต่งงานอยู่แล้วยังมีหน้ามาพูดว่าไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวล คงมีแต่เธอที่กังวลอยู่ฝ่ายเดียวสินะ

                “คุณจำสัญญาของเราได้ไหม” ธมนต์หันใบหน้าไปทางด้านหลังเพื่อสบตากับพ่อเลี้ยงจิณธนนท์

                “สัญญาอะไร” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์โกหกคำโต เขาจำได้แต่เลือกที่จะไม่พูดเสียมากกว่า

                “ตำแหน่งนางบำเรอของฉันเหลือเวลาอีกแค่ 3 วันแล้วนะคะ” ธมนต์บอกพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ ความสัมพันธ์ของเธอและเขาอยู่ในสถานะที่อธิบายยาก เธอมีความสุขที่เขาเอาใจใส่เธอ มีความสุขที่เขาคือคนที่นอนกอดและอยู่ข้างกายในยามเธอหลับ แต่ตอนนี้ความสุขของเธอกำลังจะหมดลงแล้ว

                “มิ้นต์ ผมรู้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเรามันไปไกลมากแค่ไหนแล้ว รู้ด้วยว่าคุณคิดยังไงกับผม”

                “แล้วยังไงคะ ในเมื่อคุณเองก็กำลังจะแต่งงานแล้ว สัญญาของเราก็กำลังจะจบ ที่จริงมันควรจบตั้งแต่พี่พุฒิเขาตายไปแล้วด้วยซ้ำ”

ช่วงงานศพของพุฒินาทเธอกลับไปพักที่บ้านของตัวเอง ส่วนพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็พักที่โรงแรมของเพื่อนสนิท เธอได้พูดคุยกับพ่อแม่และเข้าใจกันดี ตอนนี้เธอคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะกลับไปตามหาความฝันของตัวเองเสียที เธอใช้เวลาเก็บเกี่ยวความสุขและความทรงจำมามากพอแล้ว

                “คุณมีเวลาอีกแค่ 3 วันเท่านั่นนะคะ จบทุกอย่างที่นี่ซะ” ธมนต์สื่อความหมายผ่านดวงตาสีรัตติกาลของเธอซึ่งตอนนี้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์กำลังจ้องมองมันอยู่

                “ถ้ามันยังไม่จบล่ะ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามกลับ ภายในใจของเขาก็ได้คำตอบให้แก่ตัวเองแล้ว

                มันไม่มีทางจบแน่นอน

                “มันจะจบค่ะ คุณจะมีครอบครัวของตัวเอง มีภรรยา มีลูก ส่วนฉันจะไปตามทางของฉัน” ธมนต์ยืนยันเสียงแข็งพร้อมบอกถึงจุดยืนของตัวเองอย่างแน่วแน่

                “ทางของคุณคือที่ไหน เคยคิดจะให้ผมร่วมทางไปด้วยไหม” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร แต่เขาเพียงแค่แอบหวังว่าในเส้นทางเดินของธมนต์จะมีเขาอยู่ในนั้นบ้าง

                “ทางเดินของฉันมันไม่มีคุณมาตั้งแต่แรกค่ะ” ธมนต์ตอบกลับ เส้นทางเดินของเธอมันเริ่มมีเขาที่นี่ และในอนาคตถึงแม้เธออยากจะให้เขาอยู่ร่วมทางกับเธอมากแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี เพราะเขาเลือกทางเดินของเขาไปแล้ว

                “ถ้าคุณคิดอย่างนั่น เราก็จบมันซะตอนนี้เลยเถอะ อีกแค่ 3 วันมันคงไม่มากพอให้ผมทำอะไรได้หรอก อีกอย่างคุณก็คิดมันเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ผมคงเปลี่ยนใจคุณไม่ได้” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ผลักร่างบางให้ลงมานั่งข้างกายก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป โดยไม่หันกลับมาสนใจสายตาเว้าวอนของธมนต์เลยสักนิด

                ธมนต์กำลังใจหาย เธอไม่คิดว่าทุกอย่างมันจะจบลงในตอนนี้ เวลา 3 วันที่จะมาถึงเธออยากให้มันให้คุ้มค่าที่สุดเก็บเกี่ยวความทรงจำให้มากเท่าที่เธอจะทำได้

...แต่ตอนนี้มันจบแล้ว

                “จบเสียตอนนี้ก็ดี” ธมนต์พูดขึ้น พลางเงยหน้าขึ้นมองเพดานอย่างห้ามน้ำตาของตัวเอง ยิ่งมองร่างสูงเดินหายลับสายตาไป หัวใจของเธอรู้เจ็บปวดขึ้นมา มันหนักอึ้งจนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีเหมือนน้ำตาตกใน นานกว่าที่ความรู้สึกของธมนต์จะนิ่งได้มือบางค้นหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา ก่อนจะต่อปลายถึงน้องชายทันที

                “ว่าไงอ่ะ” เสียงน้องชายตอบกลับมา หลังจากธมนต์รอสายอยู่ไม่กี่วินาที

                “มาพบหน่อยสิ ฉันจะกลับฝรั่งเศสแล้ว” ธมนต์บอกน้องเสียงอ่อน เธอกลับบ้านก็ไม่ได้เจอน้องเลยเพราะน้องของเธอพักอยู่หอแถวมหาลัยที่เรียน แต่ตอนนี้เธออยากพบน้องมากที่สุด

                “หาที่ไหนอ่ะ ไร่ทางหนงทางเหนือเหรอ” ธมนธรรมถามพี่สาวกลับ

                “เปล่า เจอกันที่สนามบิน อีกสองวันนะ เจอกันที่นั่นเลยมีเรื่องจะปรึกษาด้วย” ธมนต์บอกน้องชาย

                “พี่มิ้นต์!!! อยู่ไหนค่า!” เสียงของสุชาติดังขึ้นก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้ามา

ธมนต์จำใจบอกลาน้องชายทั้งที่ยังไม่ทันได้คุยกันรู้เรื่องรู้ราวเลย ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้สุชาติที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างเธอ

                “ของที่สั่งได้แล้วนะพี่มิ้นต์ ตกลงท้องจริงเหรอ แต่พ่อเลี้ยงกำลังจะแต่งงานนะ” สุชาติถามอย่างสงสัย เมื่อตอนเช้าธมนต์วานให้ตัวเองไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาให้ แถมยังสั่งห้ามบอกใครถึงเรื่องนี้เด็ดขาดอีกด้วย

                “ไม่รู้สิ พี่แค่กังวลยังไงไม่รู้อยากตรวจให้แน่ใจไปเลยนะ” ธมนต์บอกสุชาติตามที่ใจคิด ประจำเดือนของเธอยังไม่มา ยิ่งนึกถึงคำพูดของนางรัศมีเธอยิ่งกังวลมากขึ้น บวกกับความรู้สึกบางอย่างของตัวเธอเองด้วย

                “ถ้าท้องจริงจะบอกพ่อเลี้ยงไหม”

                “ไม่” ธมนต์ตอบโดยไม่ต้องคิด

พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ยังไม่พร้อมจะมีลูกแน่นอนถึงแม้อายุจะเกือบสามสิบปีแล้วก็ตาม คำพูดของเขาที่บอกมารดายังดังชัดอยู่ในห้วงสมองของเธอ เขาคิดว่าเธอป้องกันและคงไม่มีทางจะท้องได้แน่นอน หากไม่ได้ยินคำพูดพวกนั้นเธอคงคิดจะบอกเขาบ้าง เพราะว่าคำพูดของเขาที่เธอได้ยินมันทำให้เธอกลัวว่าเขาจะบอกให้เธอไปทำแท้ง เอาเลือดเนื้อของตัวเองออก ถึงตอนนั้นเธอจะทำอย่างไร สู้ไม่บอกเสียตั้งแต่ตอนนี้และจากไปเลยดีกว่า

                “ทำไมล่ะ ถ้าท้องจริงเจ้าสาวอาจจะเปลี่ยนตัวทันทีก็ได้นะพี่มิ้นต์ เทียนเทียนไม่อยากได้นังใบหม่อนมาเป็นแม่เลี้ยง!” สุชาติบอกหญิงสาว

                “ไม่ท้องหรอกน่า”

                “อย่าเพิ่งตรวจนะพี่มิ้นต์ มันต้องตรวจตอนตื่นนอน! เข้าห้องน้ำแรกของวันถึงจะรู้ผลชัวร์ร้อยเปอร์เซ็น!” สุชาติเตือนหญิงสาว

                “เข้าใจแล้ว ไหนมากอดหน่อยสิ” ธมนต์กางแขนออกเพื่อให้สุชาติเข้ามาหา

                “ไม่เอาอ่ะ เทียนเทียนไม่ชินกับอ้อมกอดของผู้หญิงนอกจากอ้อมกอดของแม่” สุชาติส่ายหัวปฏิเสธทันที

                 “แต่เดี๋ยวพี่ก็จะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วนะ มาให้กอดหน่อยน่า” ธมนต์ยังคงกางแขนรออยู่อย่างนั้น ถึงแม้สุชาติจะเป็นน้องชายที่เพิ่งจะมาสนิทสนมกันแต่ก็คอยช่วยเหลือเธอทุกอย่าง เธอเองก็อยากจะเก็บสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ในความทรงจำ

                สุชาติลังเลอยู่นานก่อนจะยอมเข้าไปสวมกอดธมนต์ ธมนต์กอดรัดแน่นขึ้นเพื่อแบ่งปันความรู้สึกของตัวเอง มือบางก็ยกขึ้นลูบกลุ่มผมรองทรงเบาๆ

                “ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับทุกเรื่อง” ธมนต์บอกด้วยรอยยิ้ม

                “เทียนเทียนรักพี่มิ้นต์นะ รักเหมือนพี่สาวคนนึงเลย” สุชาติบอก รู้สึกใจหายอย่างไรไม่รู้

                “รู้แล้ว! ตั้งใจเรียนให้จบนะ การศึกษาจะช่วยเราได้มากเลยในอนาคต ถ้าเทียนๆ อยากเป็นผู้หญิงเต็มตัวก็ต้องตั้งใจเรียน จบมาก็หางานดีดีทำ จะได้มีเงินส่งเสียพ่อแม่แล้วมีเงินเก็บมากพอจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง” ธมนต์บอกสอนสุชาติ คนเราหากอยากสบความสำเร็จต้องมีแรงจูงใจ อย่างตัวเธอเองก็มีฝันและกำลังจะเดินตามฝันของตัวเองต่อ สุชาติเองก็มีฝันเพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มมันอย่างไร เธอเลยแค่จุดประกายให้เท่านั้น

                “พี่มิ้นต์จะไม่กลับมาที่ไร่ทางเหนือจริงๆ เหรอ” สุชาติผละออกจากอ้อมกอดของธมนต์ถามขึ้นใบหน้าเริ่มเศร้าอย่างเห็นได้ชัด ธมนต์ยิ้มขำ

                “ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก ใครจะรู้ว่าในอนาคตเผื่อพี่มีห้องเสื้อเป็นของตัวเองพี่อาจจะกลับมาจัดแฟชั่นโชว์ที่ไร่แห่งนี้ก็ได้” ธมนต์ตอบอย่างเต็มเสียง เธอไม่แน่ใจว่าอนาคของตัวเองจะเป็นอย่างไร และไม่เคยมีความคิดเรื่องกลับมาที่นี่อีกหรือไม่กลับมา เพราะอนาคตคือสิ่งไม่แน่นอนเลยสำหรับเธอ

                “เทียนเทียนรู้สึกเศร้ายังไงก็ไม่รู้” สุชาติปาดน้ำตาที่คลอหน่วยตาออกพลางบอกออกมา

                “พี่แค่จากลา ไม่ได้ลาจาก เราต้องได้พบกันอีก” ธมนต์บอกด้วยรอยยิ้ม เธอจะใช้ช่วงเวลาเพียงแค่หนึ่งวันลำลาบุคคลสำคัญและเธอสนิทสนมที่ไร่ทางเหนือแห่งนี้ ก่อนจะใช้เวลาอีกวันเก็บข้าวของและจากไป

*****

                บ้านพักเชิงดอยในตอนเช้าตรู่ไม่มีบุคคลอื่นใดนอกจากร่างบางของธมนต์ที่นั่งกุมเครื่องตรวจครรภ์แน่นหลังจากตื่นขึ้นมาและเข้าห้องน้ำ หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าตอนที่อยู่กับพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เสียอีก มืออีกข้างที่ว่างเปล่าก็กำเข้าหากันจนปลายเล็กจิกลงบนเนื้อที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ

                “ก็แค่ดู แค่ดูเท่านั้น ทำใจเอาไว้แล้วนี่หนา” ธมนต์ปลอบใจตัวเอง หญิงสาวทำใจเอาไว้แล้วไม่ว่าจะท้องหรือไม่ท้อง แต่พอเอาเข้าจริงมันกลับไม่ง่ายเลย

                มือบางที่สั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดค่อยๆ เผยมือออกเพื่อดูผลของเครื่องตรวจครรภ์ครั้งนี้ ดวงตาสีรัตติกาลเบิกกว้างเมื่อเครื่องตรวจแสดงเส้นสีแดง

                “สองขีด!” ธมนต์ตะโกนออกมาอย่างกลั้นเสียงเอาไว้ไม่อยู่

                ใบหน้าคล้ำเครียดทันที เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองท้องได้นานเท่าไหร่แล้ว แต่อนาคตไม่ได้มืดหม่นอย่างที่คิด อาจจะเพราะเตรียมใจเอาไว้แล้วก็ได้ว่าตัวเองอาจจะท้อง

                “แค่ลูกคนเดียวเลี้ยงได้สบายอยู่แล้ว!” ธมนต์บอกตัวเองก่อนจะลุกออกไปจากไปอาบน้ำชำระร่างกาย อีกแค่สองวันเธอจะไปจากที่นี่แล้วไม่ต้องคิดอะไรมากทั้งนั้น

                “ไม่ท้องเหรอ” สุชาติพูดขึ้นหลังจากดูเครื่องตรวจครรภ์จากธมนต์

                “ใช่ ไม่ได้ท้อง โล่งอกไปเลยล่ะ” ธมนต์บอก

                “แล้วอีกอันตรวจหรือยัง”

                “อันแรกไม่ท้อง อันที่สองมันก็ไม่ท้องหรอกจะตรวจไปทำไมตั้งสองอัน” ธมนต์ไม่หลบสายตาแต่อย่างใด เธอคิดเอาไว้แล้วว่าหากท้องก็จะไม่บอกใคร เธอจะเลี้ยงลูกเอง จึงให้สุชาติซื้อที่ตรวจมาสองอันและเอาอันที่ใช้น้ำเปล่าตรวจมาให้สุชาติดูแทนอันที่ตรวจจริง

                “เสียดายอ่า นึกว่าจะเกิดศึกแย้งตำแหน่งแม่เลี้ยงเสียอีก!!!” สุชาติพูดออกมาอย่างขัดอารมณ์

                “ไม่ท้องน่ะดีแล้ว” ธมนต์บอก

                ธมนต์ใช้เวลาช่วงเช้าเก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ส่วนช่วงบ่ายเธอก็เดินลงไปข้างล่างเพื่อบอกลาทุกคนที่รู้จักและเคยให้ความช่วยเหลือเธอตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ยืนมองร่างบางเดินไปทักคนนั้นคนนี้อย่างอาลัยอาวรณ์ไม่สนใจแก้วกาแฟเพิ่งที่เอามาเสิร์ฟเลยสักนิด ตอนนี้เขานั่งอยู่ในโซนสองภายในห้องอาหารของไร่ทางเหนือกับเพื่อนสนิท เขาอยากยืดเวลาออกไปอีกสักนิดก็ยังดีแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะหากธมนต์ไม่จากไป แม่ของเขาก็คงกันเขาออกมาจากหญิงสาวอยู่ดี

                “บอกรักเขาสักครั้งหรือยัง” เสียงของธนานพถามขึ้นหลังจากนั่งมองเพื่อนสนิทอยู่นาน

                “ไม่ บอกไปก็เท่านั้น” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นก่อนจะหันกลับมาสนใจแก้วกาแฟตรงหน้าแทนใบหน้าแต้มรอยยิ้มของธมนต์

                “ไม่ลองบอกดู เพื่อใจจะตรงกัน” ธนานพว่า พลางมองใบหน้าเบื่อหน่ายของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์

                “อย่างนี้น่ะดีแล้ว” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ว่า

                “แกอาจจะไม่ได้เจอเขาอีกก็ได้นะ” ธนานพถามขึ้นพลางจิบกาแฟไป เขารู้จากธมนธรรมน้องชายของธมนต์ซึ่งตอนนี้เป็นคู่หูคนใหม่ของเขา ว่าหญิงสาวคิดจะกลับไปฝรั่งเศส

                “ไม่หรอกฉันต้องได้เจอเขา เขาก็คงอยู่ที่ไร่นี้หรือไม่ก็กลับไปอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ถ้าคิดถึงฉันก็ไปเจอได้” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตอบเพื่อนกลับ เขาคิดเอาไว้ว่าหากทนความคิดถึงไม่ไหวคงต้องลงไปพบหญิงสาวเองหรือไม่ก็เสนองานให้หญิงสาวทำอยู่ที่นี่ต่อ

                “ถ้าเธอไปที่อื่นล่ะ ที่ที่แกจะตามหาไม่เจอ” ธนานพถามลองเชิงเพื่อน

                “ฉันจะไม่มีวันยอมให้ธมนต์ไปอยู่ในที่แบบนั้นแน่นอน” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เขายอมได้หากต้องตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างทิ้ง แต่ยอมไม่ได้แน่นอนหากจะไม่ได้เห็นใบหน้าของธมนต์อีก

                “ยื้อเขาไว้เถอะ ฉันบอกแกได้แค่นี้จริงๆ” ธนานพบอกเพื่อน เขาไม่อยากให้เพื่อนเสียใจแต่ก็ไม่อยากให้เบญญาต้องผิดหวังเหมือนกัน เขาไม่รู้ว่าควรช่วยเหลือใครเลยจริงๆ

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น