2

ตอนที่ 1


 

บทที่ 1

กลางฟ้านั่งมองคนตรงหน้าที่เรียกตัวเองว่า “แม่หมอ” ด้วยความสนเท่ห์ หล่อนเป็นหญิงชราวัยประมาณหกสิบ ผมดำหยิกหยองแซมผมขาวยาวถึงกลางหลัง ตุ้มหูห่วงทองอันใหญ่แทรกอยู่ท่ามกลางเส้นผมขดเป็นสปริง นิ้วผอมเหี่ยวและเล็บยาวเฟื้อยโผล่พ้นแขนเสื้อคลุมที่ปักลวดลายหมู่ดาวตามจักรราศี หล่อนทาบมือลงบนกองไพ่ยิปซีบนโต๊ะ หลับตาทำปากขมุบขมิบเหมือนสวดอะไรสักอย่างอยู่นานเกือบครึ่งนาที

“หยิบไพ่ออกมาสิบใบค่ะคุณหนู” แม่หมอบอกหลังจากสวดเสร็จ และใช้มือข้างหนึ่งเกลี่ยไพ่ในกองจนเรียงเหลื่อมกันเป็นแถวยาวไปกับโต๊ะ

กลางฟ้ากวาดตามองไพ่เรียงกันยาวเป็นงู นึกงุนงงกับกติกาเพราะไม่เคยดูหมอไพ่ยิปซีมาก่อน ที่เธอโผล่มาถึงที่นี่ก็เพราะคำร่ำลือของชาวเน็ตว่าหมอดูรายนี้แม่นยำราวกับมีตาที่สาม เธอลองโทร.ไปตามหมายเลขและได้รับแจ้งเวลานัดหมายให้มาพบแม่หมอคนนี้ที่ ‘ห้องพยากรณ์’ ที่เอาเข้าจริงๆ แล้วเป็นแค่โต๊ะเก้าอี้พลาสติกในซอกหลืบของห้างสรรพสินค้าระดับล่างย่านชานเมืองเท่านั้น  

จะแม่นจริงไหมเนี่ย... กลางฟ้าคิด นิ้วชี้จดลงบนไพ่ที่เรียงซ้อนเป็นแถวยาวด้วยท่าทางลังเล แล้วเสียงของแม่หมอพูดเตือนจนนิ้วนั้นชะงัก

                “ถ้าคุณหนูไม่เชื่อ มันจะไม่แม่นนะคะ ไพ่พวกนี้มีพลังมาก อย่าได้ลองดีเด็ดขาด” 

                หญิงสาวแอบสะดุ้งที่แม่หมอพูดดักความคิดของเธอได้ราวกับอ่านใจออก เธอกลั้นหายใจเฮือก แล้วปาดออกมาทีละใบจนครบสิบ

               ปลายนิ้วที่เป็นเล็บยาวเฟื้อยของแม่หมอกอบโกยไพ่ที่เหลือกลับเข้ากองด้วยความว่องไว แล้วหยิบไพ่สิบใบที่ถูกเลือกมาคลี่อยู่ในมือ ผิวรอบดวงที่เหี่ยวย่นตามวัย บีบขยับเข้าหากันจนดวงตาหรี่เล็กระหว่างมองไพ่สิบใบนั้นอย่างครุ่นคิด กลางฟ้ารู้สึกเหมือนรอฟังผลการวินิจฉัยจากหมอ หลังถูกส่งตัวไปเอกซเรย์เพราะพบความผิดปกติบางอย่าง

                “ช่วงปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ย่ำแย่ของคุณหนู... พบกับความผิดหวังมากมายเกือบทุกเรื่อง เรื่องงานก็ไม่สมหวัง ความรักก็อกหัก...” เล็บแหลมของแม่หมอจิกไพ่ใบแรกแล้วเลื่อนวางตรงหน้าหญิงสาว

คนเรามาหาดูหมอก็เพราะมีเรื่องผิดหวังหรือไม่ก็อกหักทั้งนั้นแหละ ถ้าชีวิตสุขสมหวังดีจะหาดูหมอเร้อ กลางฟ้าจึงยังไม่ให้ราคากับแม่หมอคนดัง แม้ว่าสิ่งทำนายทายทักนั้นเป็นจริงก็ตาม

แม่หมอเงยหน้าจากไพ่แล้วเหลือบตามองหญิงสาวแก้มเนียนใสราวกับเด็กสาววัยรุ่น ราวกับอ่านใจได้ว่าเธอยังไม่เชื่อน้ำยาไพ่ยิปซี “คุณหนูทำงานเกี่ยวกับขีดๆ เขียนๆ ที่เป็นงานสร้างสรรค์ความบันเทิง ดูแล้วน่าจะเป็นนักเขียน”

คราวนี้หญิงสาวต้องยกสองมือขึ้นทาบปิดปากอย่างทึ่งจัด เอาแล้วสิ! แม่หมอแผลงฤทธิ์แล้ว

“ว้าว! แม่หมอรู้ได้ไงเนี่ย” กลางฟ้าตาโต “แล้ว... แล้วหนูจะมีหนังสือตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์เมื่อไหร่คะ”

แม่หมอวางไพ่อีกใบตรงหน้ากลางฟ้า ภาพบนหน้าไพ่ดูไม่เข้าใจว่าสื่อถึงอะไร แต่ดูจากท่าทางสิ้นหวังท้อแท้ของคนในไพ่แล้วท่าทางจะไม่ใช่ไพ่ดี

“ไพ่บอกว่าคุณหนูตั้งใจทำงานหนักมาก ทุ่มเทเต็มร้อย นั่งหลังขดหลังแข็งเขียนมาเป็นเดือนๆ” แม่หมอหลับตาเหมือนกำลังมองเห็นภาพในนิมิต “แต่ถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า และจะยังถูกปฏิเสธอยู่อย่างนี้ต่อไป เคยได้ยินไหมคะ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็ยังอยู่ที่นั่น ไม่มีวันสมหวัง...”

หญิงสาวถึงกับหัวใจห่อเหี่ยวไป

“แล้วความรักของหนูล่ะ” เธอเปลี่ยนเรื่องถามเผื่อจะมีอะไรดีขึ้นบ้าง

“แม่หมอมองเห็นคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ค่ะ” แม่หมอหงายไพ่อีกใบ “ตอนนี้เขาอยู่ไกลคนละฟากโลกกับคุณหนู เขาเลือกความรักที่อยู่ใกล้ตัว ผู้ชายคนนี้เป็นไม้เลื้อยนะคะ อยู่ใกล้ใครไม่ได้เลย คุณหนูคบไปมีแต่เรื่องให้เสียน้ำตา”

กลางฟ้าแทบน้ำตาร่วงเมื่อเจอคำพยากรณ์โหดสองเรื่องติดกัน แล้วนึกเสียใจที่โผล่มาท้าพิสูจน์เพราะอยากรู้ว่าชีวิตที่ติดแหงกอยู่กับความล้มเหลวจะดีขึ้นสักทีหรือยัง แต่คำบอกเล่าของหมอดูยิ่งทำให้เธอหมดกำลังใจ

แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นแม่หมอคนนี้แม่นยำจริง โดยเฉพาะเรื่องความรัก เมื่อสองเดือนก่อน เพื่อนสาวที่กำลังเรียนอยู่อเมริการัฐเดียวกับพี่ชาติ โทร.มาระล่ำระลักเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้พี่ชาติกำลังควงสาวไทยที่ไปเรียนภาษาที่นั่นเป็นแฟนอย่างออกนอกหน้า กลางฟ้าแทบทำมือถือตกพื้นด้วยความเหลือเชื่อ จำได้ว่าเพิ่งส่งพี่ชาติขึ้นเครื่องไปเมื่อสามเดือนก่อนเท่านั้น พอเธอซักเขาเรื่องนี้ พี่ชาติก็หายต๋อมไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย

แม่หมอเหลือบมองดวงตาปลายชี้เหมือนตาแมวที่มีหยาดน้ำตาคลอลงมาเปื้อนแก้มใสแล้วนึกเวทนา หล่อนวางไพ่ใบใหม่แล้วตบหลังมือของกลางฟ้าเบาๆ

“ดวงของคุณหนูแปลกค่ะ ความสำเร็จกับความรักจะต้องมาด้วยกัน แต่มีข้อแม้ว่าคุณหนูต้องออกเดินทางนะคะ อย่าใช้ชีวิตอยู่กับบ้านแล้วจะได้พบทั้งสองอย่างสมดังใจหวัง”

กลางฟ้าปาดน้ำตาอย่างมีความหวัง “ออกเดินทางแล้วจะสมหวัง? เป็นวิธีแก้เคล็ดเหรอคะ”

“คุณหนูจะต้องออกไปผจญภัยในโลกกว้างที่ไกลออกไปจากบ้าน เพราะดวงของคุณหนูถูกครอบงำอยู่ใต้อิทธิพลของพ่อแม่ พวกท่านปกป้องคุณหนูเหมือนลูกนกน้อยในกรงทอง ตราบใดที่คุณหนูยังอยู่ใต้ปีกของพ่อแม่ คุณหนูจะไม่มีวันได้โบยบินออกสู่โลกกว้างได้เลย ความท้าทายและการผจญภัย คือตัวแปรความสำเร็จของคุณหนูเลยนะคะ”

                แม่หมอพูดถึงเรื่องพ่อแม่ของเธอได้ถูกต้อง แต่ปัญหาคือทั้งคู่จะยอมให้เธอโบยบินออกสู่โลกกว้างได้อย่างไรนี่แหละ ลำพังแค่ขอไปเที่ยงต่างจังหวัดกับเพื่อน พ่อกับแม่ถึงกับขับรถตามไปด้วยทั้งๆ ที่เธอก็อายุยี่สิบห้าแล้ว

                “คุณหนูมีโอกาสได้เป็นนักเขียนชื่อดังเลยนะ หนังสือของคุณหนูประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นภายในช่วงเวลาจากนี้ไปอีกแค่ปีเดียว” แม่หมอบอกพลางพลิกไพ่ใบใหม่ “แต่... คุณหนูต้องตัดสินใจออกเดินทาง ออกไปอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้ที่ไม่ใช่กรุงเทพ”

                นักเขียนชื่อดัง? หนังสือจะประสบความสำเร็จท่วมท้น? แต่ต้องออกไปให้ไกลจากกรุงเทพฯ ปัญหามันอยู่ตรงประโยคสุดท้ายนี่แหละ

                แม่หมอหยิบไพ่ขึ้นใบใหม่ขึ้นมา หลังจากอ่านไพ่อยู่ครู่หนึ่ง แกก็รีบพูดด้วยน้ำเสียงยินดีเหมือนผู้ชนะ

“นี่ไง เป็นอย่างที่แม่หมอพูดจริงๆ การออกสู่โลกภายนอกครั้งนี้ คุณหนูจะพบเนื้อคู่ด้วยนะ”

“หนูจะเจอเนื้อคู่แล้วเหรอคะ” ดวงตาเหมือนแมวเบิกกว้างขึ้นอีกหลายเท่า “เขาเป็นใครคะ หล่อไหม รวยไหม ทำงานอะไร”

“คู่ของหนูอยู่ในแวดวงคนมีสี ถ้าไม่ใช่ทหารก็ตำรวจนี่ล่ะค่ะ หน้าตาหล่อเหลาทีเดียวเชียว แต่เขาเป็นคนมีอดีต

นะคะ”

กลางฟ้าเบ้ปากทำหน้ายี้ “อี๋... คนมีอดีต แบบพ่อม่ายลูกติดอย่างงี้เหรอคะ”

“ไม่ขนาดนั้น แต่เขาเคยสูญเสียคนรักไปและเจ็บปวดแสนสาหัสจนปฏิเสธไม่อยากมีความรักอีกครั้ง แต่ความ

น่ารัก บ๊องแบ๊ว และสดใสของคุณหนูจะทำให้เขาลืมอดีตได้ แล้วเขาจะรักคุณหนูมากเลยล่ะ” แม่หมอวางไพ่ลงตรงหน้า “เขาคือรักแท้ที่นำความรักที่แสนอบอุ่นเข้ามาในชีวิต เขาจะเป็นดวงอาทิตย์ที่ส่องอยู่กลางฟ้าของหนูเลยนะ”

ภาพบนหน้าไพ่ใบนั้นเป็นรูปดวงอาทิตย์ที่มีรัศมีเจิดจ้า บ่งบอกถึงชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยความหวัง

                ไพ่ดวงอาทิตย์ เธอนึกภาพหนุ่มหล่อในเครื่องแบบผู้มีความหลังปวดร้าว และได้เธอมาเป็นผู้รักษาบาดแผลในใจแล้วเริ่มได้ไอเดียพลอตนิยายเรื่อใหม่ในหัว

แม่หมอเหลือไพ่ใบสุดท้ายในมือ หล่อนยังไม่พลิกออกมาแล้วพูดกับกลางฟ้าว่า “ไพ่สุดท้ายใบนี้ จะบอกเหตุการณ์สำคัญในอนาคตอันใกล้ที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณหนู ตั้งใจฟังนะคะ”

กลางฟ้ากลั้นใจรออย่างตื่นเต้น รอคอยมือผอมเหี่ยวของแม่หมอหยิบพลิกไพ่ขึ้นมาราวกับเฉลยแผ่นป้ายเกมโชว์ว่าจะแจ๊กพ็อตแตกหรือไม่

                “ขอให้ไพ่ออกมาเป็นสิบเหรียญทอง เงินเป็นถุงเป็นถังด้วยเถอะ เพี้ยง!” กลางฟ้าหลับตาอธิษฐาน

                ไพ่สุดท้ายถูกวางหงาย เป็นรูปดวงจันทร์เสี้ยวในวงกลมวงใหญ่ ใบหน้าจันทร์เสี้ยวนั้นดูประสงค์ร้ายเหมือนใบหน้าปิศาจ แม่หมอถึงกับหน้าถอดสี

“ก่อนที่จะสมหวังในความรัก จะมีอุปสรรคเข้ามาขัดขวางโดยผู้ชายคนหนึ่ง เขาจะเข้ามาพัวพันกับคุณหนู”

“เป็นรักสามเส้าเหรอคะ”

“อาจใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ แต่แม่หมอมองเห็นการหลอกลวงและความตายด้วย”

“ฟังดูน่ากลัวจัง เขาจะลวงหนูไปฆ่าอย่างนั้นหรือเปล่า” กลางฟ้าทำหน้าสยอง

หญิงชราส่ายหน้า “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ดวงของคุณหนูยังไม่ถึงฆาตค่ะ แต่มันต้องเกี่ยวข้องกับความตายแน่นอน”

                กลางฟ้าหรี่ตาจ้องไพ่ดวงจันทร์เสี้ยวดวงนั้น ราวกับสามารถมองเห็นใบหน้าชายคนนั้นได้... ผู้ชายคนที่จะนำมาซึ่งการหลอกลวงและความตายน่ะเหรอ คนที่มีชีวิตเรียบง่ายอย่างเธอจะเจอคนแบบนี้ได้อย่างไร

                "ดวงชะตาคนเราเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ค่ะคุณหนู ขอให้โชคดี"

                เมื่อกลางฟ้าออกมายืนอยู่นอกห้องพยากรณ์แล้ว เธอพยายามนึกทบทวนไพ่ใบต่างๆ ที่แม่หมอพลิกออกมาพร้อมคำพยากรณ์ แต่ไพ่ที่ยังติดแน่นอยู่ในความทรงจำมีอยู่เพียงสองใบ

                ไพ่ดวงอาทิตย์ และไพ่ดวงจันทร์

 

สามเดือนต่อมา

                ณ อาคารผู้โดยสารขาออกของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หญิงและชายวัยกลางคนคู่หนึ่งกับชายหนุ่มอีกคนกำลังยืนล้อมรอบหญิงสาวตัวเล็กร่างบางที่มีหน้าตาน่ารักซุกซนเหมือนแมว พวกเขาผลัดกันพูดบางอย่างและสวมกอดเธอครั้งเล่าครั้งเล่า หญิงวัยกลางคนที่น่าจะเป็นแม่ หยิบกระดาษทิชชูขึ้นซับที่ตาเป็นระยะ ใครก็ตามที่เห็นย่อมต้องเข้าใจว่าเป็นการส่งลูกสาวเพื่อเดินทางไปยังดินแดนโพ้นทะเล

                “ยายกลาง ไปถึงที่โน่นแล้ว ลูกจะต้องโทร.กลับมาที่บ้านทุกวัน ต้องออนไลน์ตลอดเวลา และถ่ายรูปที่ทำงานให้พ่อกับแม่ดูด้วย ถ้าไปไหนข้างนอก จะต้องเปิดเฟสไทม์ให้แม่รู้ความเคลื่อนไหวของลูกทุกครั้ง และลูกจะต้องเช็กอินบอกตำแหน่งลูกให้แม่รู้ทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน...” เสียงของแม่สั่นเครือระหว่างกำชับกลางฟ้าเป็นรอบที่เท่าไหร่จำไม่ได้ ตรงลานหน้าจุดเช็กอินที่ฝั่งผู้โดยสารขาออก

                “ลูกต้องสำรวจประตูเข้าออกทุกครั้งก่อนเข้าออกบ้าน ห้ามลืมเด็ดขาด ไปถึงแล้วต้องติดกล้องวงจรปิดเป็นอย่างแรก เสร็จแล้วถ่ายรูปส่งมาให้พ่อดูด้วย” คนเป็นพ่อสำทับต่อ

                “โอย... พ่อฮะ แม่ฮะ พอเถอะ” เสียงร้องอิดหนาระอาใจจากชายหนุ่มตัวโตที่หน้าตาเหมือนกลางฟ้าพูดขัด “นี่สั่งเสียกันซะอย่างกับว่ายายกลางกำลังจะย้ายไปอยู่ซีเรียงั้นแหละ นี่น้องแค่ไปเชียงใหม่เองนะ”

                “อย่าใช้คำว่า 'แค่' นะตะวัน น้องเคยออกต่างจังหวัดคนเดียวซะที่ไหน แล้วจะไม่ให้แม่เป็นห่วงได้ยังไง”

                ว่าแล้วแม่ของกลางฟ้าก็ใช้กระดาษทิชชูซับน้ำตาอีกครั้ง กลางฟ้าหันไปสบตากับภูตะวันพี่ชายใหญ่ แล้วต่างก็กลอกตาให้กัน

                “พ่อคะ แม่คะ ไปถึงที่นั่นหนูต้องทำงาน ไม่ว่างทำทุกอย่างที่พ่อแม่ต้องการหรอกค่ะ เอาเป็นว่าจะไลน์มาทุกวันอย่างแน่นอน รับรองเลยว่าทุกคนจะไม่รู้สึกเหมือนหนูไปอยู่ห่างไกลบ้าน แต่ขอร้องเถอะค่ะว่าแม่หยุดร้องไห้สักที”

                “แต่พ่อกับแม่จะไม่ได้กอดลูกและส่งลูกเข้านอนทุกคืนแล้วน่ะสิ” พ่อพูดบ้าง ทำเอาแม่ต้องปิดปากสะอื้น

                ภูตะวันถึงกับตบหน้าผากดังฉาด “โอ๊ย! ปีนี้ยายกลางอายุยี่สิบห้าแล้วนะ พ่อกับแม่จะส่งมันเข้านอนไปจนถึงอายุเท่าไหร่ครับเนี่ย!!”

“ก็จนกว่าพ่อจะเข้าไปหอมหน้าผากลูกก่อนนอนไม่ได้ เพราะกลางแต่งงานไปแล้วไงล่ะ” พ่อพูดเสียงเศร้าๆ

“บ้าเหรอคุณ ฉันยังไม่ยอมให้ลูกแต่งงานหรอกนะ ผู้ชายคนนั้นเป็นใครมากจากไหน จู่ๆ จะเอายายกลางไปจากเราไม่ได้เด็ดขาด” แล้วแม่ก็หันไปพูดสีหน้าจริงจังกับกลางฟ้า “เบบี๋ของแม่ สัญญากับแม่ได้ไหมว่าไปที่นั่นแล้วอย่าเพิ่งรีบมีแฟนนะลูก ลูกต้องเอามาให้แม่ตรวจสอบคุณสมบัติก่อน เดี๋ยวจะช้ำใจแบบที่ไอ้ชาติมันทำกับลูกอีก”

กลางฟ้านึกอยากขึ้นเครื่องตอนนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

“ก็เพราะพ่อกับแม่ทำกับยายกลางเป็นเด็กน้อยแบบนี้ มันถึงได้ไม่ทันคนจนถูกผู้ชายหลอกนี่ไงล่ะ” พี่ชายโวย

                “นี่แม่ก็ยอมปล่อยยายกลางไปอยู่ไกลถึงเชียงใหม่แล้วไง เข้าใจกันบ้างสิว่ามันต้องห่วงกันเป็นธรรมดา เดี๋ยวสักวันแกก็จะมีลูก จะได้เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ว่ารู้สึกยังไงเวลาที่ลูกน้อยบินจากรังไปแบบนี้” ว่าแล้วแม่ก็สะอื้นจนพูดต่อไม่ได้ พ่อต้องโอบไหล่แม่มากอดไว้

กลางฟ้าหันไปส่ายหน้ากับภูตะวันเป็นเชิงว่าหยุดเถียงพ่อกับแม่เถอะ พี่ชายของเธอถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าแรงๆ แต่แล้วบางอย่างก็สะดุดสายตาเขาจนต้องมองชะโงกข้ามไหล่พ่อ และมองไปยังคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา

“นั่นวิธูมาแล้ว”

สมาชิกครอบครัวอัคราหันไปมองตามเสียงของภูตะวัน เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าผ่าเผยในชุดสูทสีดำประหนึ่งสายลับในจอโทรทัศน์ ชุดดำทั้งตัวขับเน้นให้หุ่นสูงไหล่กว้างและแข้งขายาวเพรียวดูโดดเด่นสะดุดตา ผู้คนที่ละแวกนั้นหันไปมองตามใบหน้าหล่อคมเข้ม ผมสีดำหวีเสยขึ้นหมดอวดโครงหน้าแข็งแรงราวกับนายแบบอิตาเลียน

เขาเดินเคียงคู่มากับหญิงสาวที่แต่งตัวคล้ายกัน แต่เป็นชุดสูทกับกระโปรงแทนที่จะเป็นกางเกง ใบหน้าของเธอสวยคมและโหนกแก้มสูง รวบผมเป็นหางม้าดูคล่องแคล่ว เรือนร่างงดงามที่มีส่วนโค้งเว้าราวกับนาฬิกาทราย เธอก้าวเป็นจังหวะเดียวกับก้าวยาวๆ ของชายหนุ่มที่เดินมาด้วยกัน

เมื่อสองหนุ่มสาวเดินมาหยุดที่ครอบครัวอัครา ชายหนุ่มก็ยกมือไหว้พ่อแม่ของกลางฟ้าทันที

                “คุณพ่อคุณแม่ครับ” เขายิ้มกว้างทักทายด้วยน้ำเสียงกันเอง ผิดจากท่าทางเคร่งขรึมของเขา “คิดถึงจังเลยครับ ทุกคนสบายดีหรือเปล่า”

                “วิธู!” แม่ของกลางฟ้ากางแขนออกเพื่อให้ชายหนุ่มตัวโตโน้มตัวลงมากอดอย่างสนิทสนม “แม่คิดถึงวิธูจังเลย ไม่ได้เจอกันหลายปี กลายเป็นหนุ่มหล่อสะโอดสะองไปแล้วนะลูก”

                “ได้เป็นสารวัตรอยู่ที่เชียงใหม่ซะด้วย เก่งจริงนะวิธู” พ่อตบไหล่ชายหนุ่มรูปหล่อแรงๆ วิธูผละจากอ้อมกอดของแม่ เพื่อขยับตัวเข้ามาให้พ่อลูบหัวอย่างรักใคร่

ภูตะวันเขย่าไหล่เพื่อนรักแรงๆ “เฮ้ย วิธู ขอบใจมากเลยว่ะที่อุตสาห์บินลงมารับยายกลางถึงกรุงเทพฯ ขอโทษที่ต้องรบกวนแกนะ”

“เรื่องเล็กน่า นั่งเครื่องบินจากเชียงใหม่แค่ชั่วโมงเดียวเอง” แล้วเขาก็หันไปทางน้องสาวตัวเล็กที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ สายตาที่มองเธอเต็มไปด้วยความรักใคร่และอ่อนโยน

                “ว่าไง ยายเปี๊ยกของพี่ เธอนี่ไม่ได้ตัวโตขึ้นจากเมื่อก่อนเลยนะ” วิธูพูดพลางโอบกอดกลางฟ้าจนร่างเล็กๆ หายเข้าไปในอ้อมแขนกว้าง

หญิงสาวหัวเราะเสียงใส “พี่วิธูก็! ไม่เจอกันนานขนาดนี้ ยังล้อกลางเรื่องเดิมไม่เลิกเลยนะ”

“เอาน่า ถึงแม้จะเตี้ยเท่าเดิม แต่ความสวยเปลี่ยนไปมากเลยนะ ผมยาวแบบนี้เหมาะกับกลางมาก” วิธูถอยออกมามองหญิงสาว พูดจับปลายผมยาวที่ดัดเป็นลอนคลายๆ ขึ้นมาแล้วปล่อยให้ทิ้งตัวสลวยกลางอากาศ แล้วกวาดมองลงมาที่เสื้อผ้าฝ้ายสีขาวคอปาดกว้างอวดไหปลาร้า เนื้อผ้าฉลุลวดลายหวานสวมกับกางเกงยีน

                “เด็กน้อยของพี่ เธอโตเป็นสาวแล้วจริงๆ”

กลางฟ้ามองชายหนุ่มที่เป็นเสมือนพี่ชายอีกคน ใบหน้าอ่อนโยนที่มีรอยยิ้มตลอดเวลาของเขาไม่เปลี่ยนไปจากสมัยที่เขายังเป็นหนุ่มนักเรียนนายร้อยร่วมรุ่นกับภูตะวัน แต่ที่เปลี่ยนไปก็คืออายุที่เพิ่มขึ้นกลับทำให้เขาดูเปี่ยมด้วยเสน่ห์แบบผู้ใหญ่เต็มตัว รวมถึงหุ่นที่เคยผอมโย่งอย่างกับเสาไฟฟ้า บัดนี้มีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นล่ำสัน ความสูงที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นถึง 190 ซม. ทำให้วิธูมองใครก็ตัวเล็กไปหมด โดยเฉพาะยายเปี๊ยกของเขา อันที่จริงเธอก็ไม่ได้เปี๊ยกขนาดนั้น กลางฟ้าสูง 160 ซม. ไม่ถึงกับตัวเล็กสำหรับผู้หญิง แต่เวลายืนเทียบกับวิธูแล้วก็ไม่แปลกที่เขาเรียกเธออย่างนั้น

“ตั้งแต่พี่วิธูไปรับราชการอยู่เชียงใหม่ก็ไม่มาหาเราที่บ้านอีกเลย หรือว่ามัวแต่มีแฟนคะพี่” กลางฟ้าลอบมองผ่านวิธูไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลัง

เขาทำท่านึกขึ้นได้ ก่อนที่จะหันไปทางหญิงสาวที่มาด้วยกันที่แยกไปยืนห่างๆ จากวงสนทนา

“เอ่อ... อาท มานี่สิ” เขาหันไปเรียกหญิงสาวหน้าตาสะสวยให้เดินเข้ามาร่วมวง “นี่พ่อแม่ของภูตะวัน เพื่อนรักของผมที่จบนายร้อยตำรวจมาด้วยกัน และนี่คือกลางฟ้า น้องสาวคนละพ่อคนละแม่ของผม”

ประโยคหลังนั้นเขาพูดติดตลก แต่บ่งบอกถึงความสนิทสนมเป็นอย่างดี หญิงสาวคนนั้นยกมือไหว้ทุกคน แล้วหันมาส่งรอยยิ้มใจดีให้กลางฟ้า  

“นี่คืออาทิตยา เรียกว่าอาทก็ได้ เป็นผู้ช่วยของผมที่หน่วยซีซียูครับ”

ภูตะวันรีบกระทุ้งสีข้างของเพื่อนทันที “เฮ้ย มีแฟนสวยขนาดนี้ ไม่เห็นเคยบอกกันมั่งเลยนะวิธู”

“ไม่ใช่แฟน” วิธูกระซิบกระซาบ สีหน้าดูออกทันทีว่ากระอักกระอ่วน “อาทกับฉันเป็นผู้ร่วมงานเท่านั้นจริงๆ”

ก่อนที่ภูตะวันจะแซวเพื่อนต่อ วิธูก็รีบโพล่งออกมาเหมือนเป็นการตัดบท “เอ่อ คุณพ่อคุณแม่ครับ ผมมีข่าวดีจะบอกว่าบ้านเช่าหลังที่อยู่เยื้องกับบ้านของผม ในที่สุดเจ้าของก็ยอมปล่อยให้เช่าแล้วนะครับ ผมก็เลยติดต่อเช่าบ้านหลังนั้นให้กลางแล้ว น้องจะได้อยู่ใกล้หูใกล้ตาผม”

แม่ทำหน้าโล่งอก “ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยเบาใจ แม่ฝากน้องด้วยนะวิธู ช่วยดูว่ายายกลางล็อกบ้านทุกวันด้วยหรือ

เปล่า”

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลกลางอย่างดีแน่นอน” เขาหันไปพยักหน้าให้กลางฟ้า “ไปกันเถอะ กลาง ไปขึ้นเครื่องได้แล้ว”

“เดี๋ยวก่อน กลาง” พ่อดึงกลางฟ้าไว้แล้วลากกลับมาให้หันมาเผชิญหน้า “สัญญาของเราคืออะไร ไหนท่องให้พ่อฟังก่อน”

หญิงสาวถอนหายใจแรงๆ อย่างเบื่อหน่ายเต็มทน “หนูสัญญาว่าจะไม่ทำเรื่องที่สุ่มเสี่ยงต่ออันตรายทุกชนิด หนูจะไม่ก่อเรื่องที่ทำให้พ่อกับแม่ต้องเป็นห่วง หนูจะเชื่อฟังพี่วิธูเสมือนหนึ่งเป็นผู้ปกครองของหนู และถ้าหากฝ่าฝืนคำสัญญา หนูยินดีให้พี่วิธูส่งกลางกลับบ้าน จบนะคะ”

แต่หลังจากนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะจบเพียงเท่านั้น กว่าวิธูจะพากลางฟ้าไปขึ้นเครื่องได้ ก็ต้องรอคอยให้ครอบครัวอัคราร่ำลาลูกสาวคนเล็กอยู่อีกเกือบยี่สิบนาที ตอนที่กลางฟ้าเดินเข้าไปในห้องผู้โดยสารขาออก เธอก็ถอนหายใจโล่งอก ในที่สุดเธอก็หลุดออกจากอ้อมอกอันแสนอบอุ่นจนร้อนระอุของพ่อแม่ได้สักที

 

เครื่องบินภายในประเทศพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หญิงสาวมองออกนอกหน้าต่างไปยังท้องฟ้าสีฟ้าใส รู้สึกได้ว่าความหวังใหม่กำลังรอคอยเธออยู่ที่ไหนสักแห่ง แม้ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ชีวิตจะเผชิญกับอะไร แต่ความเชื่อมั่นลึกๆ ทำให้เธอสัมผัสได้ว่าสิ่งดีๆ กำลังจะเริ่มต้น แม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในคำทำนายของแม่หมอ แต่คำพูดประโยคหนึ่งที่จำฝังอยู่ในใจมากที่สุดก็คือ ถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องบินออกจากรังอันอบอุ่นของพ่อแม่และใช้ชีวิตตามทางของตัวเองสักที

“พี่แปลกใจเธอมากเลยนะ ยายกลาง นึกยังไงถึงหันมาเป็นครูสอนเด็กประถมได้” วิธูเอ่ยมาจากที่นั่งข้างๆ ที่อยู่อีกแถวหนึ่งบนเครื่องบิน คำถามของเขาปลุกให้เธอตื่นจากภวังค์ “สมัยก่อนตอนพี่มาหาไอ้ตะวันที่บ้านทีไร จะต้องเห็นเธอก้มหน้าก้มตาพิมพ์อะไรยุกยิกทั้งวัน นึกว่ากลางจะลงเอยด้วยการเป็นนักเขียนซะอีก”

“กลางก็ยังเขียนหน้งสืออยู่เหมือนเดิมค่ะพี่วิธู แต่ระหว่างที่ยังเขียนไม่เสร็จ กลางอยากหางานทำสักอย่างเลี้ยงตัวไปด้วยค่ะ”

หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้วว่าจะออกเผชิญโลกภายนอกตามคำแนะนำของหมอดู เธอก็ตระหนักความจริงข้อหนึ่งว่าถ้าจะอยู่ด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้ เธอต้องมีงานทำระหว่างวิ่งไล่ตามความฝันที่จะเป็นนักเขียน เธอใช้เวลาติดต่อเพื่อนฝูงเก่าแก่อยู่พักใหญ่ๆ จนในที่สุดก็ได้งานเป็นครูสอนโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งที่เชียงใหม่

“พี่วิธูเคยเห็นโรงเรียนที่กลางจะไปสอนหนังสือหรือยังคะ หน้าตาเป็นยังไงบ้าง” หญิงสาวนึกขึ้นได้แล้วถามอย่างตื่นเต้น

“โรงเรียนประถมกลอรีนั่นน่ะเหรอ สวยมากอย่างกับโรงเรียนที่ต่างประเทศงั้นเลย เป็นโรงเรียนสองภาษาชื่อดังของเชียงใหม่ เห็นมีแต่เด็กรวยๆ ไปเรียนทั้งนั้น กลางไปสมัครเป็นครูที่นั่นได้ยังไง”

                เธอยื่นตัวข้ามทางเดินตรงกลางลำเครื่องบิน ทำท่าเหมือนกระซิบบอกความลับ

                “ผู้อำนวยการดาวรุ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียนมอปลายของกลางเอง พ่อของเธอเปิดโรงเรียนนี้ให้เธอบริหาร และกำลังต้องการครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์อยู่พอดี กลางก็เลยอาศัยความสนิทสนมส่วนตัวนิดหน่อยของานเพื่อน ก็เลยบังเอิญได้งานน่ะค่ะ”

                “จบด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ไม่เรียกว่าบังเอิญหรอก” วิธูมองเธออย่างเคร่งขรึมจริงจัง “อีกหน่อยพี่ต้องเรียกเธอว่าครูกลางฟ้าแล้วสิ”

“ดาวรุ่งบอกว่าโรงเรียนนั้นมีครูฝรั่งกับเด็กลูกครึ่งเยอะ ก็เลยให้กลางคิดชื่อภาษาอังกฤษไว้ กลางตั้งใจว่าจะใช้ชื่อว่าครูซันนีค่ะ”

“ครูซันนี” วิธูยิ้ม “ชื่อน่ารักเหมาะกับเธอดีนะ”

“น้องกลาง แลกที่กับพี่ไหม จะได้นั่งคุยกับวิธูสบายๆ” อาทิตยาที่นั่งข้างวิธูอยู่ริมหน้าต่างอีกฟาก ยื่นหน้าออกมาร้องถามหลังจากเห็นสองคนกระซิบกันข้ามทางเดินกลางเครื่องบินมาพักหนึ่งแล้ว

กลางฟ้ายื่นหน้าไปตอบอาทิตยาบ้าง “ไม่เป็นไรค่ะพี่อาท พี่วิธูทนนั่งข้างๆ กลางไม่ได้หรอกค่ะ พี่เขาขี้รำคาญคนอยู่ไม่สุข”

เธอปฏิเสธแบบทีเล่นทีจริง เพราะสัมผัสความรู้สึกแปลกๆ ระหว่างหนุ่มสาวคู่นี้ตั้งแต่ที่สนามบินแล้ว ดูเหมือนสองคนนี้มีปฏิกิริยาเคมีบางอย่างต่อกัน เธอสงสัยว่าพี่ชายสุดหล่อคนนี้กำลังแอบปลูกต้นรักกับหญิงสาวสวยมาดขรึมคนนี้อยู่หรือเปล่า

วิธูหันไปพูดบางอย่างกับอาทิตยา “เดี๋ยวพอเครื่องลงแล้ว คุณกลับซีซียูไปก่อน ผมจะพากลางฟ้าไปส่งที่บ้าน”

เสียงหญิงสาวรับคำเบาๆ แล้วจากนั้นทั้งคู่ก็นั่งกันเงียบๆ กลางฟ้าจึงหันไปถามวิธู “ซีซียูมันคืออะไรหรือคะ กลางได้ยินพี่วิธูกับพี่ตะวันพูดตั้งแต่อยู่สนามบินแล้ว”

“ซีซียูเป็นคำย่อของ Counter Criminal Unit เป็นหน่วยต่อต้านและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษที่ตั้งขึ้นเพื่อจับกุมพวกก่ออาชญากรรมผิดกฎหมาย เป็นหน่วยงานอิสระที่บริหารภายในด้วยตัวเองและขึ้นตรงต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากชายแดนแถบนี้มีพวกแกงค์ทำผิดกฎหมายคอยหลบหนีข้ามฝั่งไปทางลาวหรือพม่า ทั้งทางบกและทางแม่น้ำ เราจึงต้องตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมาเพื่อตามจับพวกผิดกฎหมายโดยเฉพาะ ซึ่งมีตั้งแต่ลักลอบขนของเถื่อน ค้ายาเสพติด ค้าแรงงานผิดกฎหมาย ฟอกเงิน บ่อนการพนัน ส่วนแกงค์ใหญ่ที่เราจับตามองพิเศษคือองค์กรเดือนลับ”

“องค์กรเดือนลับหรือคะ” กลางฟ้าพึมพำ

“ใช่ มันเป็นแกงค์ผิดกฎหมายที่มีอิทธิพลมากที่สุดในแถบนี้ ปัจจุบันมีสมาชิกหลายร้อยคน ตำรวจแถบนี้ไล่ปราบปรามไม่ทันเลยทีเดียว เราถึงต้องตั้งหน่วยซีซียูขึ้นมานี่ไงล่ะ”

กลางฟ้าทำตาวาวด้วยความตื่นเต้น ในใจเคยมีแผนไว้ว่าหากมีโอกาสจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับสืบสวนอาชญากรรมสักเล่ม “ในเมื่อพี่วิธูเป็นถึงสารวัตรของหน่วยซีซียู อย่างนี้กลางก็ขอเข้าไปหาข้อมูลสำหรับเขียนหน้งสือได้สบายเลยสิคะ”

“เอ้า ได้ที่ไหนล่ะ ยายกลาง! นั่นสถานที่ทำงานนะ เธอเข้าไปเที่ยวหาข้อมูลเล่นๆ ไม่ได้หรอก” เขาหันมาขมวดคิ้วดุๆ ใส่เธอ “ที่ทำงานของพี่มีกฎกติกาเข้มงวดมาก กลางเองก็เถอะ ควรระวังเรื่อง...”

“วิธู อย่าดุน้องสิ” อาทิตยาเอื้อมมือไปแตะหลังมือของวิธูเบาๆ เมื่อเห็นใบหน้าจ๋อยๆ ของกลางฟ้า แต่แค่อึดใจเดียว ต่างฝ่ายต่างก็ทำท่าเหมือนรู้ตัวแล้วหดมือกลับอย่างรวดเร็ว

จริงๆ แล้วกลางฟ้าไม่ได้รู้สึกใจเสียสักเท่าไหร่กับท่าทางเข้มงวดของวิธู เธอรู้จักเขามานาน โดนดุจนชินเหมือนเขาเป็นพี่ชายอีกคน แต่ท่าทางแปลกๆ ของสองหนุ่มสาวนี่สิ ที่ทำให้เธอสนใจมากกว่า

และสิ่งที่ทำให้กลางฟ้าอดยิ้มไม่ได้ก็คือ ท่าทีเข้มงวดขึงขังของวิธูได้ผ่อนคลายลงตามที่อาทิตยาปรามไว้ เขาเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นกันเองขึ้นเมื่อเล่าเรื่องการทำงานภายในหน่วยซีซียูให้เธอฟังจนเพลิน แล้วความคิดบางอย่างก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เธอจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับอาชญากรรมสักเล่มที่อ้างอิงจากข้อมูลจริง โดยจะเขียนเป็นนิยายกึ่งสารคดีที่เกี่ยวกับการทำงานของตำรวจในสถานการณ์การทำงานจริงๆ ยิ่งได้อยู่ใกล้ชิดกับวิธู ก็น่าจะยิ่งเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น เธอฉวยสมุดโน้ตขึ้นมาแล้วจดข้อมูลที่ได้ฟังจากวิธูทันที จนกระทั่งมีเสียงประกาศภายในเครื่องว่าอีกไม่กี่นาทีก็ถึงเชียงใหม่แล้ว

ในที่สุดก็ไปถึงสักที... จุดหมายปลายทางแห่งฝันของเธอ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น