11

บทที่ 10


 

บทที่ 10

 

บ่ายวันศุกร์ ขณะที่มาริชกำลังอ่านรายละเอียดของคดียาเสพติดอย่างตั้งอกตั้งใจเสียงโทรศัพท์ภายในก็ดังที่โต๊ะ เขากดปุ่มรับสายก็ได้ยินเสียงของสารวัตรพูดว่า

“มาริช แกมาที่ห้องฉันหน่อย”

                ชายหนุ่มลุกออกจากโต๊ะตามคำสั่ง เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของสารวัตร เขาก็เห็นวิธูนั่งอยู่ที่ขอบโต๊ะ กำลังหันหน้าคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหน้า เมื่อเขาก้าวเข้ามา หญิงสาวคนนั้นก็เบือนหน้ามาทางผู้กองหนุ่มทันที

มาริชมองสาวหุ่นบอบบางคนนั้น ผิวพรรณของหล่อนขาวเหมือนกระเบื้องเคลือบ ยิ่งผิวที่ใบหน้านั้น ขาวละเอียดจนเห็นเส้นเลือดบางๆ และแค่เพียงสัมผัสเบาๆ อาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำได้ ผมยาวของหล่อนตรงเผงถึงกลางหลังเป็นระเบียบแทบเรียงเส้น ดวงหน้านั้นมองปราดเดียวก็บอกได้ทันทีว่าเป็นคนสวย แต่มีวี่แววรั้นและเอาแต่ใจตามแบบฉบับลูกคุณหนู ริมฝีปากเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มทาสีแดงเข้มขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ตายิ้มตามไปด้วย

“มาริช!” หล่อนร้องเรียกด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ

“เอ่อ...”

ยังไม่ทันได้เรียกชื่อ หล่อนก็โผเข้ามาหาและกางแขนออกสวมกอดชายหนุ่มเต็มรักจนตัวเซ ร่างของมาริชยืนแข็งค้าง ตาจ้องไปข้างหน้าเห็นวิธูกำลังยิ้มแหยๆ ที่มุมปาก สีหน้าดูโล่งอกเหมือนได้โยนภาระบางอย่างทิ้งไปและมีอีกคนมารับไปแทน

“สวัสดีครับ คุณเพนนี” มาริชค่อยๆ ดันผู้หญิงคนนั้นออกจากตัว พยายามห้ามไม่ให้ตัวเองแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมา “กลับมาอีกแล้วเหรอครับ เอ้อ... ผมหมายความว่าปิดเทอมอีกแล้วเหรอครับ”

เพ็ญนีติ์คือลูกสาวของผู้อำนวยการศูนย์ซีซียูวัยยี่สิบสี่ ทุกครั้งที่บินกลับเมืองไทยตอนปิดเทอม หล่อนจะต้องหาเรื่องมาที่ซีซียูโดยอ้างว่าตามพ่อมา แต่จำเพาะเจาะจงแวะมาเฉพาะแผนกปฏิบัติการและสืบสวน และเอาแต่เกาะติดแจหนุ่มๆ ในแผนกนี้ โดยเฉพาะวิธูกับมาริชที่ดูจะเป็นที่ติดอกติดใจเป็นพิเศษ  หล่อนมักออดอ้อนสองหนุ่มให้ผลัดกันพาไปเที่ยวที่ต่างๆ ในเชียงใหม่โดยอ้างว่าไม่คุ้นเคยกับเมืองทั้งๆ ที่หล่อนก็โตในเชียงใหม่ ทว่าคำสั่งของผอ.ธมกรกำกับมาว่าให้ทำตามความประสงค์ของลูกสาว ทำให้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธหล่อน

“มาริช ตอนนี้คุณเพนนีเรียนจบจากที่อเมริกาแล้วนะ ช่วงนี้เธอกำลังสำรวจเชียงใหม่ให้ทั่วก่อนลงมือทำงาน ผอ.ธมกรก็เลยฝากฝังให้ ‘แก’ ช่วยเทคแคร์เธอให้หน่อย”

วิธูตั้งใจเน้นคำว่า ‘แก’ ที่เจาะจงถึงมาริชคนเดียว ผู้กองหนุ่มจ้องสารวัตรตาเหลือกและพยายามส่ายหน้า แต่วิธูทำเป็นมองไม่เห็น

“วันนี้แกไม่มีธุระอะไรนี่นา ช่วยพาคุณเพนนีไปดูสนามฝึกยิงปืนและสอนเธอด้วยเลยสิ” วิธูเอื้อมมือปิดฝาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กและฉวยของสองสามอย่างบนโต๊ะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ว้าว ดีใจจังเลย เพนนีอยากลองยิงปืน!!” หล่อนเงยหน้าขึ้นมองมาริช เลนส์บิ๊กอายสีเทาขนาดใหญ่จนดูผิดธรรมชาติจ้องจนเขาขนลุก มีความรู้สึกว่าถ้ามองตาคู่นี้นานๆ คืนนี้จะต้องฝันร้ายแน่ๆ

“โอ ตายจริง ไม่ได้เลยครับ” เขายกสองมือขึ้นลูบตามเส้นผม ทำท่าเหมือนกลัดกลุ้มที่ต้องขัดคำสั่ง “บ่ายนี้ผมมีงานสำคัญต้องติดตามครูซันนีครับ เธอต้องพาเด็กๆ ไปทัศนศึกษาที่สวนสาธารณะ ออกนอกสถานที่แบบนี้ผมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตามประกบเธอทุกฝีก้าว”

มาริชอ้างกลางฟ้าเพื่อให้วิธูมองเห็นความสำคัญของภารกิจ แต่สารวัตรหนุ่มกลับเขม่นมองลูกน้องด้วยสายตาขุ่นมัว “แค่ไปสวนสาธารณะ ให้ดอนไปแทนได้ เดี๋ยวฉันโทร.ไปสั่งเอง ส่วนแก... พาคุณเพนนีไปที่สนามยิงปืน”

น้ำเสียงออกคำสั่งของสารวัตรมีนัยยะว่ามาริชต้องน้อมรับแต่โดยดี ผู้กองหนุ่มได้แต่อึกอักพูดไม่ออก    

“อ้อ ใช่ คุณเพนนีครับ” วิธูหันมาหาเพ็ญนีติ์ก่อนก้าวออกจากห้อง “ผมขอบคุณมากที่ชวนไปคอนเสิร์ตวันเสาร์นี้ น่าเสียดายจริงๆ ที่ผมต้องเดินทางไปต่างจังหวัดพอดี แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ เสาร์นี้มาริชจะมารับคุณเพนนีไปชมคอนเสิร์ตฮอลล์ด้วยตัวเองนะครับ”

“แหม เพนนีกะว่าจะได้ไปพร้อมหน้าทั้งพี่วิธูกับมาริช แต่ไปกับมาริชสองคนก็ได้ค่ะ” เพ็ญนีติ์ตอบเสียงหวานใส่สารวัตรหนุ่ม ไม่รู้เลยว่าขณะนี้มาริชกำลังยกมือสองมือขึ้นกุมขมับและทำหน้าสยดสยองอยู่ข้างหลังหล่อน

“ฝากแกเทคแคร์คุณเพนนีดีๆ ด้วยนะ ไอ้ริช ขอให้แกโชคดี” เขากลั้นยิ้มใส่ลูกน้อง “ต้องขอตัวก่อนนะครับ คุณเพนนี ผมมีประชุมด่วนตอนบ่ายสอง”

พอออกมาจากห้องได้ วิธูก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รู้สึกผิดนิดหน่อยที่ใช้อำนาจของผู้บังคับบัญชาเหนือกว่าโยนภารกิจอันน่าหลีกเลี่ยงลูกน้องรับไปแทน ระหว่างเดินออกจากแผนก เขาก็มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูทแล้วหยิบบัตรคอนเสิร์ตสองใบที่เพิ่งได้จากเพ็ญนีติ์ออกมา ตอนที่เดินผ่านโต๊ะทำงานของน่านน้ำ เขาก็วางแหมะลงบนโต๊ะ

“เสาร์นี้พาสาวไปดูซะ นี่บัตรวีไอพีเชียวนะ อย่าให้เสียของล่ะ”

สารวัตรเดินออกจากห้องไปแล้ว น่านน้ำหยิบบัตรแข็งสองใบขึ้นมาดูอย่างงุนงง มองชื่อวงนักร้องอะไรสักอย่างที่พิมพ์อยู่หน้าบัตรที่เขาไม่คุ้นเอาเลย แต่ก็หยิบมาใส่กระเป๋าเสื้อแต่โดยดี

               

                หกโมงเย็นแล้ว แต่กลางฟ้ายังไม่กลับเข้าบ้าน ตั้งแต่เสร็จจากสอนพิเศษที่บ้านดอลลี เธอยังคงรู้สึกเลือดสูบฉีดและหัวใจเต้นแรงไม่หยุดสักทีจนต้องมานั่งที่ร้านกาแฟและโทร.เรียกน่านน้ำให้มาพบเธอหลังเลิกงาน

หญิงสาวหยิบข้อความที่จดจากคอมพิวเตอร์ของลามูนออกมา และนั่งอ่านข้อความลับนั้นเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าองค์กรเดือนลับมีเรื่องลึกลับมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ป๋าเทพ:      ของล็อตใหม่มาแล้วนะ

ลามูน:        เตรียมเอาลงเรือเหมือนคราวที่แล้วในป่า เดี๋ยวจะแจ้งวันอีกที

ป๋าเทพ:      หนนี้อย่าให้ความแตกอีกล่ะ

ลามูน:        ไม่ต้องห่วง งานนี้คนของฉันคุมเองเลย

ป๋าเทพ:      มันเป็นใคร ไว้ใจได้แน่เหรอ

ลามูน:        สายของเราในซีซียู

 

                สายของเราในซีซียู? แสดงว่าในซีซียูมีหนอนงั้นสินะ องค์กรปราบปราบที่ทำงานอย่างมืออาชีพมีหนอนบ่อนไส้ เธออยากรู้ว่าคนภายในรู้เรื่องนี้บ้างไหมนะ

เสียงทักทายดังมาตั้งแต่เจ้าตัวยังไม่ถึงโต๊ะ กลางฟ้าเงยหน้าขึ้น มองใบหน้าหล่อละมุนของน่านน้ำกับทรงผมเท่ๆ ที่เอียงปิดตาข้างหนึ่งระหว่างเดินเข้ามาหาเธอ กลางฟ้าเหลือบมองนาฬิกาแล้วเห็นว่าน่านน้ำใช้เวลาแค่สิบนาทีเท่านั้นก็มาถึงที่นัดหมาย คงเป็นเพราะเธอบอกว่า มีข้อมูล ‘น่าตื่นเต้น’ บางอย่างจากคอมพิวเตอร์ที่บ้านของดอลลี 

“เรื่องน่าตื่นเต้นอะไรเหรอกลางฟ้า” เขาถามโดยที่ยังไม่ทันนั่งลงดีด้วยซ้ำ

กลางฟ้าเล่าเรื่องข้อความลับที่ได้อ่านในวันนี้ พอเขาได้ยินคำว่า ‘สายของเราในซีซียู’ แล้วจ้องหน้าเธอค้างเหมือนถูกผีหลอก

“อะไรนะ ซีซียูมีหนอน?!”

“ข้อมูลลับที่ฉันได้มาบอกว่าอย่างนี้”

                “ผมว่าแล้วเชียวว่ามันต้องเป็นแบบนี้” น่านน้ำตบเข่าฉาด “หลายครั้งที่ผมรายงานเบาะแสที่ได้มาให้ที่ประชุมทราบว่า พวกเดือนลับกำลังจะทำผิดกฎหมายอะไร จู่ๆ พวกมันก็จะเปลี่ยนแผนหรือยกเลิกแผนการนั้นจนกลายเป็นว่าข้อมูลผมผิดพลาด แล้วทุกคนก็จะต้องคิดว่าผมทำงานไม่ได้เรื่อง”

                กลางฟ้าเริ่มตื่นเต้นตาม “เงื่อนงำนี้สุดยอดมากๆ เลยนะ เรามาตามสืบกันให้ได้เถอะว่าใครคือหนอนซีซียู”   

                หลังจากที่กลางฟ้ากับน่านน้ำคุยต่ออีกสักพัก ชายหนุ่มก็ขาตัวกลับบ้าน ก่อนกลับเขาทำท่าเหมือนนึกบางอย่างได้ จึงล้วงมือหยิบของจากกระเป๋าเสื้อแล้ววางบัตรแข็งสองใบลงบนโต๊ะหน้ากลางฟ้า

                “คุณรู้จักนักร้องวงนี้ไหม”

                กลางฟ้าหยิบบัตรไปดู พอเห็นชื่อนักร้องที่หน้าบัตร เธอก็ส่งเสียงร้องลั่นจนน่านน้ำสะดุ้ง

                “นี่บอยแบนด์วงโปรดของฉันเลย! บัตรวีไอพีอีกต่างหาก ไม่ยักรู้ว่าคุณเป็นแฟนคลับวงนี้ด้วย”

                แฟนคลับวงบอยแบนด์เนี่ยนะ บอกตามตรงว่าเขารับไม่ได้กับนักร้องหุ่นหล่อล่ำแต่หน้าสวยยิ่งกว่าผู้หญิงและร้องเพลงรักอกหักใส่กัน  ยิ่งเต้นเรียงเป็นแถวด้วยท่าแบบเดียวกันหมดเป็นอะไรที่งี่เง่าที่สุดในโลก

“เปล่าหรอก สารวัตรให้ผมมา บอกให้ผมพาใครไปดูแทนเขาหน่อย”

กลางฟ้าคว้าหมับแล้วตาเบิกกว้าง “บ้าที่สุด! นี่มันบัตรวีไอพีซะด้วย ขอฉันไปด้วยได้ไหม”

“นี่ของคุณไงล่ะ ผมได้มาสองใบพอดี”

                “กรี๊ด!!” กลางฟ้าร้องลั่น “ถามจริงน่าน คุณพาฉันไปได้จริงๆ เหรอ”

              "ถือว่าตอบแทนที่คุณแบ่งปันข้อมูลสำคัญให้ผมรู้ก็แล้วกัน” เขายิ้มแววตาอ่อนโยนให้เธอ “วันเสาร์นี้ผมจะมารับที่บ้านนะ”

                ค่ำวันนั้น กลางฟ้าโทร.บอกมาริชว่าวันเสาร์เธอจะไปชมคอนเสิร์ตบอยแบนด์วงโปรดที่คอนเสิร์ตฮอลล์ เธอมั่นใจว่าคนอย่างเขาจะต้องไม่อยากเสนอตัวตามไปดูแลในคอนเสิร์ตแบบนี้แน่นอน

“คุณไปกับใคร” เขาถาม นึกสงสัยว่าทำไมพักนี้ถึงมีแต่คนไปดูคอนเสิร์ตนี้ หรือว่าเขาตกข่าวที่ไม่รู้ว่านี่คือบอยแบนด์ที่ดังที่สุดในจักรวาลขณะนี้

“ฉันจะไปกับเพื่อนนักเขียนคนนั้นที่เคยเล่าให้คุณฟัง แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันได้บัตรฟรีมา และตอนนี้บัตรเต็มหมดแล้วด้วย”

 “เอาเถอะ ตามสบาย เสาร์นี้ผมก็ไม่ว่างเหมือนกัน ต้องไปเทคแคร์ลูกสาวของผอ.ธมกร” เขาไม่กล้าบอกเธอว่าไปดูคอนเสิร์ตวงสุดเห่ยนี้เหมือนกัน รู้สึก

 

บ่ายวันนี้จะต้องเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุด มาริชคิดพลางกลั้นหายใจก่อนผ่อนออกมาช้าๆ พร้อมกับนั่งยืดขายาวๆ ออกไปข้างหน้าจากที่นั่งภายในคอนเสิร์ตฮอลล์ขนาดใหญ่ นึกถึงอีกสองชั่วโมงแห่งความน่าทรมานต่อจากนี้แล้วเสียดายที่ไม่ได้ซัดยานอนหลับก่อนเข้าคอนเสิร์ตมาสักครึ่งเม็ด จะได้หลับสนิทได้ท่ามกลางเสียงกรี๊ดและเสียงดนตรีหนวกหูของเหล่าแฟนคลับผู้คลั่งไคล้   

แสงไฟภายในฮอลล์ดับลงเหลือแต่แสงสลัวจากเวที เป็นสัญญาณว่าคอนเสิร์ตกำลังจะเริ่มขึ้น แล้วตอนนั้นชายหญิงคู่หนึ่งก็เดินเข้ามาในแถวและนั่งลงข้างๆ บนที่นั่งตัวติดกัน มาริชนึกถึงผู้ชายร่วมชะตากรรมคนนั้นที่มาดูคอนเสิร์ตกับแฟน คาดว่าคงถูกบังคับให้มาเหมือนเขา เพราะผู้ชายแมนๆ ทั่วไปคงไม่น่าอยากดูคอนเสิร์ตบอยแบนด์งี่เง่าแบบนี้เหมือนกัน

หนึ่งชั่วโมงแห่งความทรมานหูได้ผ่านพ้นไป มาริชถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายสุดขีดและโล่งอกที่ถึงช่วงพักครึ่งเวลาสักที เขาหันไปบอกเพ็ญนีติ์ว่าจะออกไปเข้าห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันลุกจากเก้าอี้ แสงไฟจากสปอตไลท์ก็เหวี่ยงหมุนกวาดไปตามที่นั่งทั่วฮอลล์ตามมาด้วยเสียงเฮลั่น จากนั้นภาพบนจอมอนิเตอร์ก็ถ่ายให้เห็นใบหน้าสลอนของผู้ชมในคอนเสิร์ตฮอลล์ พร้อมกับตัวหนังสือขึ้นมาว่า “ช่วงคิสแคม!!”

เพ็ญนีติ์ร้องวี้ดว้าย รีบกระเถิบเข้ามาใกล้มาริชแล้วกระชากตัวเขาเข้ามากอดแน่นราวกับกำลังดูหนังสยองขวัญ

“มีอะไรหรือครับ เพนนี”

“ก็ช่วงคิสแคมนี่ไงคะ ว้าย! เพนนีตื่นเต้นจังเลยค่ะ มาริชอย่าเพิ่งไปห้องน้ำตอนนี้นะคะ”

เขายังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าหล่อนตื่นเต้นเรื่องอะไร จนกระทั่งได้ยินเสียงกรีดร้องฮือฮาดังสนั่นฮอลล์จึงเงยหน้าขึ้นมองจอมอนิเตอร์ แล้วเห็นกล้องวิดีโอกำลังจับคู่หนุ่มสาวคู่หนึ่งในคอนเสิร์ตฮอลล์ ทั้งคู่หันมาสบตากันอย่างเอียงอายท่ามกลางเสียงเชียร์ดังกระหึ่มหนัก จนในที่สุดทั้งคู่ก็ยื่นหน้าเข้ามาสัมผัสปากกัน ภาพนั้นแช่อยู่อย่างนั้นหลายวินาทีก่อนถูกตัดไป กลายเป็นภาพกว้างภายในฮอลล์แห่งนั้นอีกครั้งที่เต็มไปด้วยใบหน้าและมือของผู้ชมที่โบกกันสลอนใส่กล้อง

เขาแอบกลอกตาและถอนหายใจ เข้าใจแล้วว่าถ้ากล้องวิดีโอจับใบหน้าของคู่รักคนไหนก็ต้องจูบกันออกสื่อสินะ ช่างเป็นรายการที่งี่เง่าสิ้นดี

กล้องเริ่มแกว่งกวาดหาเหยื่อรายใหม่  แสงสปอตไลต์สาดไปตามใบหน้าของคนในคอนเสิร์ต เสียงกรี๊ดดังขึ้นทุกครั้งที่ภาพบนจอแช่ที่ใบหน้าคู่รักสักคู่ แต่เหมือนยังไม่ได้คู่ถูกใจสักที หลังจากค้นหาอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดแสงสปอตไลท์ก็สาดมาที่ที่นั่งแถววีไอพี

แล้วตอนนั้นมาริชเริ่มตระหนักว่าความซวยอาจมาเยือนในวันอันแสนโชคร้ายนี้ก็ได้ ถ้าหากเขาต้องจูบลูกสาวของผู้อำนวยการธมกร

“ผมอั้นไม่ไหวแล้วครับ เพนนี ขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะ” เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ เตรียมเผ่นออกจากฮอลล์ก่อนถูกจับคู่ให้จูบหล่อนออกสื่อ และนั่นจะต้องเป็นฝันร้ายที่ไม่อาจลืมไปจากความทรงจำได้

กรงเล็บของเพ็ญนีติ์ตรึงที่ต้นแขนของเขาแล้วกระชากกลับลงมานั่งอย่างเก่า “นั่งลงเดี๋ยวนี้ค่ะ มาริช คุณต้องอยู่จนจบช่วงนี้ก่อน”

เขายังไม่ทันดิ้นให้หลุดจากกรงเล็บของหล่อน ก็เห็นภาพอันน่าสยดสยองบนจอมอนิเตอร์เป็นใบหน้าของเพ็ญนีติ์ จากนั้นก็ไล่ผ่านไปที่ใบหน้าของเขาอย่างช้าๆ แล้วเลื่อนไปทางซ้ายผ่านไปอย่างหวุดหวิด แต่ยังไม่ทันได้ถอนหายใจโล่งอก กล้องก็เลื่อนไปหยุดนิ่งที่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ

มาริชมองภาพบนจอ แล้วคิดว่าตัวเองตาฝาดไป

“กลางฟ้า!”

เขาหันหน้าไปข้างๆ และคนที่ถูกเขาเรียกชื่อก็หันหน้ามาเจอเขาพอดี

“คุณนั่งอยู่ตรงนี้เหรอ!” ทั้งคู่ร้องถามพร้อมกันอีกครั้ง 

แต่ยังไม่ทันได้ซักถามกันมากกว่านี้ กล้องก็จับได้คู่รักคู่ใหม่ที่จะได้คิสแคมสักที มันก็จอดนิ่งที่ใบหน้าของกลางฟ้ากับชายหนุ่มคนข้างๆ เมื่อเธอเงยหน้ามองจอมอนิเตอร์แล้วแทบเป็นลม

มาริชมองกลางฟ้ายกมือขึ้นทาบปิดปาก แล้วค่อยๆ หันกลับขึ้นไปมองจอมิเตอร์บ้าง ภาพที่เห็นทำให้เขาถึงกับเบิกตาโพลงและดวงตาร้อนผ่าว

มันคือใบหน้าของกลางฟ้ากับน่านน้ำถูกขังอยู่ในเฟรมเดียวกัน!

เสียงกรี๊ดสลับกับเสียงเชียร์ดังกระหึ่มทั่วฮอลล์เมื่อได้คู่รักจูบโชว์คู่ใหม่ ทว่าเป็นคู่ที่ทำหน้าตากระอักกระอ่วนมากกว่าเขินอายด้วยสถานการณ์อันไม่คาดฝัน

“ไอ้น่าน!” มาริชชะโงกตัวข้ามกลางฟ้า “นั่นแก... นั่นแก... มาได้ไงวะ?!”

สีหน้าของเขาตื่นตระหนกไม่แพ้กันเมื่อเห็นตัวเองอยู่ในจอกับกลางฟ้า

“เราต้องทำยังไงดีล่ะ” น่านน้ำร้อง “อย่าบอกว่าเราจะต้อง...”

“นี่แกอย่าได้บังอาจจูบ...” มาริชร้องตะโกนข้ามออกไป แต่เสียงเชียร์กระหึ่มทั่วฮอลล์ดังกลบเสียงเขามิด บัดนี้กล้องแช่ภาพใบหน้าของกลางฟ้ากับน่านน้ำแน่นิ่งไม่ยอมขยับไปไหน เขาเหลือบมองหน้าจอแล้วหันไปมองทั้งคู่ด้วยสีหน้าร้อนใจสุดขีด

กลางฟ้าหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก เธอสบตาน่านน้ำ มองดวงตาโรแมนติกคู่นั้นที่ตอนนี้เหลือแต่ความหวาดหวั่นราวกับกลัวอะไรสักอย่าง

“จูบ! จูบ! จูบ!” เสียงเชียร์ให้จูบดังกระหึ่มฮอลล์

น่านน้ำกลั้นหายใจเข้าลึกๆ ขมวดคิ้วหลับตาปี๋ จากนั้นก็ค่อยๆ ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ กลางฟ้าได้แต่เบิกตากว้างตกตะลึง ระหว่างมองใบหน้าของน่านน้ำค่อยๆ ขยับยื่นเข้ามาเรื่อยๆ จนปลายจมูกของเขาแทบชนจมูกเธอ

แล้วจู่ๆ เขาก็ลืมตาโพลงขึ้นมา “ผะ.... ผม ผมทำไม่ได้...”

“ฉันก็เหมือนกัน...”

กลางฟ้าหลับตาแน่น ทั้งคู่ต่างเบือนหน้าออกจากกันเหมือนแม่เหล็กขั้วเดียวกันผลักออกไปกนคนละทาง และเมื่อลืมตาอีกครั้ง เธอถึงรู้ตัวว่ากำลังมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่ล้อมด้วยขนตาหนาเป็นแพ ใบหน้านั้นอยู่ห่างจากเธอเพียงแต่ไม่กี่นิ้ว

เธอมองคิ้วเข้มของมาริชที่ขมวดจนหัวคิ้วแทบชนกัน สีหน้าดุดันของเขายังคงไม่เลือนหายจากใบหน้า ริมฝีปากของเขาเผยอขึ้นมานิดๆ ราวกับกำลังช่างใจว่าจะต้องทำอย่างไรดี

เขาเหลือบตาขึ้นมองจอมอนิเตอร์ทีหนึ่ง กลางฟ้าไม่รู้ว่าเขาเห็นอะไร แต่รู้สึกได้ว่าฝ่ามือกว้างของเขาเอื้อมไปกุมที่ท้ายทอย และก่อนที่จะนึกได้ว่าเขาจะทำอะไร ฝ่ามือนั้นก็โอบที่ด้านหลังคอของเธอ เหนี่ยวโน้มจนใบหน้าเล็กๆ ยื่นเข้าไปหาดวงหน้าหล่อคม เธอเบิกตากว้างเพราะเริ่มรู้แล้วว่าเขากำลังจะทำอะไร แต่ไม่ทันแล้ว สิ่งสุดท้ายที่เธอมองเห็นคือใบหน้าของเขากำลังเอียงทำองศาเหมาะๆ พร้อมกับโน้มใบหน้าเข้ามาหา

“อะ....”

ยังไม่ทันได้ร้อง เรียวปากของเธอก็ถูกปิดผนึกด้วยริมฝีปากของชายหนุ่ม แล้วกลีบปากนุ่มนวลของเธอถูกครอบครองโดยสิ้นเชิง... และเป็นครั้งที่สองภายในเวลาไม่กี่อาทิตย์

เธอสัมผัสลมหายใจร้อนผ่าวที่กำลังระบายรดใบหน้าราวกับคนเป็นไข้ ริมฝีปากล่างบึกบึนของชายหนุ่มขยับครอบกลีบปากของเธออย่างเร้าอารมณ์ หญิงสาวหายใจติดขัดและแข้งขาชา รับรู้ได้ว่าจุมพิตของเขาครั้งนี้ ร้อนแรงแตกต่างจากครั้งแรกอย่างไม่น่าเชื่อ

ฝ่ามือที่กุมอยู่ที่ท้ายทาย ผลักดันให้เธอขยับเข้ามาอีกราวกับยังดื่มด่ำจากริมฝีปากของเธอไม่หนำใจพอ ใบหน้าเอียงเพื่อให้ริมฝีปากร้อนแรงกระทำต่อปากน้อยๆ ได้อย่างถนัด เธอเมื่อรู้สึกได้ว่าปลายลิ้นของเขาตวัดที่ปลายลิ้นของเธออย่างแผ่วเบา ราวกับเด็กน้อยลิ้มเลียชิมรสหวานมันของไอศกรีม

เสียงอื้ออึ้งดังสนั่นรอบตัว ปลุกให้ชายหนุ่มมีสติกลับคืนมา เขาค่อยๆ ถอนริมฝีปาก ดวงตาเร้าอารมณ์คู่นั้นยังคงจดจ้องที่ใบหน้าของเธอ ราวกับไม่อยากผละจากความอ่อนหวานบนริมฝีปากนั้น

แล้วฝ่ามือกว้างก็ค่อยๆ ปล่อยจากท้ายทอยของเธอ ปลายนิ้วลากผ่านผิวที่ลำคออย่างเชื่องช้าประหนึ่งอาลัยอาวรณ์ต่อการกระทำอันอ่อนหวานนั้น

เมื่อหญิงสาวหวนคืนสู่สถานการณ์ปัจจุบัน เธอเพิ่งรู้ตัวว่าถูกเขาจูบออกจอไปแล้วเรียบร้อย ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาแค่ห้าวินาที แต่กลางฟ้ารู้สึกเหมือนถูกเขาจูบอยู่นานห้าชั่วโมง และตั้งแต่วินาทีนั้นจนคอนเสิร์ตจบ เธอก็จำอะไรไม่ได้เลย 

 

หลังจบช่วงคิสแคมก็เป็นช่วงเวลาพักครึ่งก่อนเข้าคอนเสิร์ตครึ่งหลัง เพ็ญนีติ์กระฟัดกระเฟียตลุกขึ้นมาจากที่นั่งข้างมาริช แล้วร้องถามเสียงแหลมปรี๊ด

“นั่นใครคะมาริช” นิ้วขาวๆ ของหล่อนชี้ปราดมาทางกลางฟ้า และมองเธอด้วยสายตาเดือดแค้น

มาริชหันมาสบตากลางฟ้าแล้วลุกขึ้นพูดกับเพ็ญนีติ์ว่า “เอ่อ นี่กลางฟ้า เพื่อนของผมครับ ผมเพิ่งเห็นว่าเธอนั่งอยู่ข้างๆ เอ่อ... เมื่อสักครู่นี้เอง”

เขาหันไปมองกลางฟ้าที่นั่งเคียงข้างน่านน้ำ ตอนนั้นลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลยเพราะมัวแต่หึงหวงจนหน้ามืดที่กลางฟ้ากำลังจะจูบกับน่านน้ำ แล้วเพิ่งมานึกสงสัยขึ้นมาตอนนี้ว่าสองคนนี้รู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่

                “น่าเบื่อที่สุด” เสียงเพ็ญนีติ์แหลมปรี๊ดขึ้นมาฉุดเขาตื่นจากความคิด “ไม่เคยเจอคอนเสิร์ตไหนที่ห่วยเท่าวันนี้มาก่อน โดยเฉพาะช่วงคิสแคมเฮงซวยนั่น เพนนีไม่อยากดูคอนเสิร์ตต่อแล้ว เพนนีจะกลับเดี๋ยวนี้ มาริชไปส่งเพนนีด้วย”

พอบอกว่าจะกลับก็กลับดื้อๆ ซะงั้น มาริชแอบถอนหายใจเบื่อๆ แล้วหันไปมองกลางฟ้า เธอเงยหน้ามองเขาวูบหนึ่ง แก้มกลายเป็นสีชมพูจัดแล้วรีบหลบตาเขาเหมือนเขินอาย มาริชมองปฏิกิริยาของเธอแล้วรู้สึกหัวใจเต้นแรง

“เอ่อ กลางฟ้า เดี๋ยวผม...”

“มาสิคะ มาริช เพนนีจะกลับเดี๋ยวนี้” หล่อนกระชากแขนเขาอย่างแรงจนตัวปลิว โดยที่ยังไม่ทันได้พูดกับกลางฟ้าเลยสักคำ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น